17/07/2020
สวัสดีค่ะ สมาชิกเพจทุกท่าน
หลายๆคนที่ได้เคยคุยกัน เรื่องการตั้งเป้าหมาย
เอ๋จะบอกเสมอ เรื่องการวางเเผนความเสี่ยง
หรือ ไว้ด้วย
วันนี้มาเจอในเพจ DrToy ที่เขียนเรื่องนี้พอดีค่ะ
เค้าเชียนดีอยู่เเล้ว เราก็เเชร์ให้ค่ะ
#ยาวนิดเเต่อ่านเถอะเพราะเค้ามีการยกตัวอย่างได้ชัด
COVID19 ของไทยอยู่ในช่วงขาลงที่นิ่งไปได้สักพักก็กลับมากังวลกันว่าจะสวิงกลับขึ้นมาหรือไม่
ก่อนหน้านี้คนไทย รัฐ องค์กร บริษัทต่างๆ รู้จักการทำ Risk Management Plan แต่บางองค์กรอาจไม่เคยทำเสียด้วยซ้ำ
แต่ถึงอย่างไรมี Risk Management Plan ก็ไม่รอด COVID19 เพราะอะไร?
การทำแผนบริหารความเสี่ยง ก่อนที่จะกำหนดว่าอะไรคือ Risk ประเภทไหน สำคัญที่สุดคือต้องเข้าใจความแตกต่างและบริบทของ Risk กับ Uncertainty
จุดเริ่มต้นแรกสุดคือ แยกให้ออกระหว่างความเสี่ยงและความไม่แน่นอน
#ความเสี่ยง คือ รู้ว่ามีโอกาสเกิดขึ้นและรู้ว่าเมื่อเกิดขึ้นจะส่งผลกระทบอย่างไร นี่คือความเสี่ยง
เช่น ถ้าเครื่องจักรหยุดทำงาน ทำให้กำลังการผลิตไม่พอ และผลผลิตทำไม่ทัน แบบนี้เป็น Risk ถ้าเอาลึกหหน่อยเรียก Hazard Risk
เรารู้ทันทีว่า ถ้ามันเกิด ผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร เช่น ผลผลิตทำไม่ทัน ก็จะโดนค่าปรับ ต้องเพิ่มกำลังการผลิตในวันอื่นๆ เพื่อชดเชย รถขนส่งที่จองไว้ก็ต้องหาใหม่ และอาจไม่ทัน ถ้าต้องส่งออก ต้องไปดูตารางเดินเรืออีกว่าว่างไหม
เมื่อเรารู้ว่าผลกระทบจะเกิดอะไรขึ้น Risk Management Plan ถึงออกแบบและจัดทำได้ เพราะเรารู้ว่าผลลัพธ์คืออะไร
เราจะสามารถวางแผนและออกแบบแนวทาง ประเมิน ควบคุม ติดตามและแก้ไข เพราะหัวใจสำคัญต่อมาคือ แผนต้องประเมินได้ชัดว่าเริ่มเสี่ยงหรือยัง (ซึ่งมีตัววัด ไว้มีโอกาสมาเล่า) เมื่อมีตัววัดเราก็ต้องออกแบบการควบคุมและติดตามกระบวนการทั้งกลยุทธ์และการดำเนินงานขององค์กร ถ้าผิดแผนนั่นละดึงแนวทางแก้ไขมาจัดการเพื่อให้กลับคืนสู่สภาวะปกติ
#ความไม่แน่นอน คือ รู้ว่ามีโอกาสเกิดขึ้นแต่ไม่รู้ว่าผลกระทบจะเป็นอย่างไร เช่น COVID19 เรารู้ว่าโรคระบาดมีโอกาสเกิดขึ้น แต่ไม่รู้ว่ามันหนักถึงขึ้น Shutdown ทำให้แผนบริหารความเสี่ยงของหลายๆ องค์กรไม่ไ้ดกำหนดแผนรับมือไว้เลย ทุกอย่างจึงดูวุ่นวาย ทำได้แค่หาแผนที่เคยทำเกี่ยวกับโรคระบาดที่ใกล้เคียงที่สุด บางคนเรียกบรรทัดฐาน หยิบมันมาปัดฝุ่นและปรับระดับเพื่อแก้ไขปัญหาที่เจอ
ถ้าเราลองปรับความเข้าใจ Risk and Uncertainty มาใช้เราจะสามารถบริหารชีวิตเราได้ดีด้วยนะ อะไรที่เราประเมินว่ามันเสี่ยงสำหรับการดำเนินชีวิต ก็แค่หาตัววัดที่เรียก Risk Appetite และ Risk Tolerance มาประเมินตนเอง
Risk Appetite คือ ค่าความเสี่ยงที่เรายอมรับได้เพื่อให้แผนงานมันเดินต่อไปสู่เป้าหมาย
เช่น เราตั้งเป้าชีวิตว่าเราจะเป็นเจ้านายตนเอง เป็นเจ้าของกิจการ จะเริ่มหากิจการมาทำเสริมระหว่างทำงานประจำ โดยจะยอมเสียเวลาพักผ่อนไปทำธุรกิจ และต้องสร้างรายได้ไม่ต่ำกว่า 20,000 ต่อเดือน เพราะจะชดเชยเวลาที่เสียไปได้ แสดงว่า รายได้ 20,000 สามารถพลิกจาก Income มาเป็น Risk Appetite ทันที ถ้าต่ำกว่านี้แสดงว่าธุรกิจนี้ไม่เวิคสำหรับการทำเป็นงานเสริมแล้ว เป็นต้น
Risk Tolerance เป็นเสน่ห์สำหรับผมเลย มันคือความเบี่ยงเบนจากเกณฑ์ที่ยอมรับได้ เรียกว่าเป็นแนวรับตัวสุดท้ายก่อนที่จะประเมินทั้งหมดว่าคุ้มค่าหรือเสี่ยงแค่ไหน
ถ้า Risk Appetite คือ 20,000 ถามกลับว่าแล้วรับได้จริงๆ เท่าไหร่ ใจเราอาจรับได้ 17,500 หักลบกลบหนี้แล้วยังเหลือให้ปาร์ตี้ได้อีกนิด ก็สบายใจแล้ว แสดงว่า Risk Tolerance ที่ยอมรับได้คือ 17,500
เวลาประเมินจึงดู 2 ขั้น ขั้นแรกดู 20,000 ก่อนผ่านไหม ถ้าผ่านถือว่าดีจบไป แต่ถ้าไม่ผ่าน มันยังเกิน 17,500 ไหม ถ้าเกินยังโเครับได้อยู่ ถ้าต่ำกว่าทีนี้แหละเรียกว่า Risk Management Plan ต้องถูกนำมาใช้แล้วเพื่อแก้ไขสถานการณ์ดังกล่าว ซึ่งก็อยู่ว่าแผนวางไว้มีอะไรบ้าง มีตั้งแต่แนวทางแไขแบบขำๆ เล็กน้อยจนกระทั่งสูงสุด คือ เลิกกิจการ เช่นกัน
ถ้าเอาลึกละเอียดอีกนิด เค้าก็จะมีการกำหนด Risk Matrix เพื่อกำหนดความเสี่ยงที่มีโอกาสเกิดขึ้นและผลกระทบมากน้อยแค่ไหน เพื่อไล่ลำดับการจัดทำแผน การพิจารณา การประเมิน เป็นต้น
วันนี้มาเล่าให้ฟังเพราะมีโปรเจคต้องไปทำให้หน่วยงานรัฐ เรียกว่ารื้อระบบทั้งหมด ประเมินเบื้องต้น เสี่ยงสูงสุดคือ เลิกกิจการเพราะโดน Disrupt ซึ่งคาดการณ์ว่า 2-3 คือเสี่ยงสุด เลยต้องปรับขนานใหญ่ ไว้รอบหน้ามาเล่าต่อถ้ามีคนสนใจ
ใครอยากรู้ลึกๆ พิมพ์ "อยากรู้"
ดร.ทอย
ปุญญภณ เทพประสิทธิ์
CEO, MVP Consultant
์ธุรกิจ