Jundee HealingMind&Physical

Jundee HealingMind&Physical Psychotherapy Level 7 Diploma In Psychology ,Counselling Psychology

10/09/2025

Reach out if you need support this World Su***de Prevention Day 💙

Please share this so people know where to go for help.

01/09/2025

แนวคิดจิตวิเคราะห์บอกว่ากลไกป้องกันตัวหรือ defense mechanism มีหน้าที่หลักๆคือปกป้องเราจากความรู้สึกเจ็บปวด กลไกนี้อาจทำงานในระดับที่เราไม่รู้ตัวหรือเรียกว่าระดับจิตไร้สำนึก มันเกิดขึ้นโดยเราไม่ทันรู้ตัว กลไกทางจิตนั้นมีเป็นสิบๆตัว แต่จะขอยกตัวอย่างสักสามตัวพื้นฐานให้พอเห็นภาพว่ามันปกป้องเราอย่างไร ก่อนที่จะไปพูดถึงกลไกการป้องกันตัวแบบโทษตัวเอง
1. การโยนความรู้สึก (projection) คือ การโยนความรู้สึก ความคิด แรงขับ หรือตัวตนบางส่วน ที่ตนรับไม่ได้ให้ไปเป็นของคนอื่นซะ เช่น ลึกๆเรารู้สึกผิดที่นอกใจแฟน แต่ก็ไปว่าแฟนว่าเป็นเพราะเขาไม่ดีอย่างนั้นอย่างนี้เป็นสาเหตุที่ทำให้เราต้องไปมีคนอื่น หรือเพื่อนเราอาจทำอะไรบางอย่างสำเร็จ เรารู้สึกอิจฉาและด้อย เวลามีใครพูดถึงความสำเร็จของเพื่อน เราจึงพูดทำนองว่า จะไม่สำเร็จได้ยังไงล่ะก็มีคนช่วยตั้งเยอะแยะ ความหมายลึกๆคือ เราก็ไม่ได้ห่างกับเพื่อนขนาดนั้น
2. การเก็บกด (repression) คือ การกดสิ่งที่ไม่อยากรับรู้หรือรู้สึกให้ลงไปอยู่ในจิตใต้สำนึก เราจะได้ไม่ต้องรับรู้ถึงมัน ไม่ว่าจะเป็นความทรงจำ ความรู้สึก ความคิด ตัวตน ความปรารถนาต่างๆ มันไม่ได้หายไปไหน และยังคงมีอิทธิพลต่อความคิด ความรู้สึก และพฤติกรรมของเราอยู่ เช่น คนที่เป็น pleaser หลายคนไม่รู้ตัวว่าลึกๆตนเองก็มีความเหนื่อย ไม่พอใจ และต้องการการดูแล เพราะในวัยเด็กความรู้สึกของเขามักถูกปฏิเสธและถูกมองว่าเป็นเด็กไม่น่ารัก การเอาอกเอาใจคนอื่นจึงเป็นการกดตัวเองเพื่อนความปลอดภัย หรือ…มีคนคนหนึ่ง ตอนเด็กๆเขาประสบอุบัติเหตุหนักจนกระดูกแขนหัก เมื่อเขาโตขึ้นก็ไม่ได้นึกถึงเหตุการณ์นี้แล้ว แต่เมื่อเขาเริ่มเข้าฟิตเนสออกกำลังกายและเล่นแขนหนักๆ เขาก็เริ่มนอนฝันร้าย เป็นไปได้ว่าประสบการณ์เลวร้ายที่แขนนั้นยังคงอยู่และเมื่อมีแรงตึกเครียดเกิดขึ้นที่แขนหนักๆ มันจึงไปออกที่ความฝัน เพราะการระลึกถึงประสบการณ์นี้ตรงๆอาจสร้างความวิตกกังวลที่สูงเกินไป
3. การแทนที่ (displacement) คือ การเปลี่ยนเป้าหมายของความรู้สึกไปยังเป้าหมายใหม่ที่ปลอดภัยกว่า เช่น คนที่โดนเจ้านายด่ามา จริงๆแล้วอาจจะอยากด่ากลับแต่ทำไม่ได้ เมื่อกลับบ้านมาจึงมาหงุดหงิดใส่คนที่บ้านแทน หรือที่เราเคยเห็นกันว่าคนที่ถูกบอกเลิกแล้วเอาสัตว์เลี้ยงที่เลี้ยงด้วยกันมาไปทิ้ง ไม่ใช่ยกให้อีกคนเลี้ยงนะ แต่เอาไปทิ้งข้างทางอะไรอย่างนี้ เพราะทำสัตว์มันปลอดภัยกว่า
.
นี่คือหน้าที่ของกลไกการป้องกันตัว ตอนเรียนจิตวิทยาใหม่ๆผมจึงแปลกใจ เพราะว่าถ้าคุณเคยรู้สึกผิดกับอะไรบางเรื่อง คุณจะรู้ว่ามันเป็นความรู้สึกที่แย่มาก และยากมากที่จะนั่งอยู่กับความรู้สึกนั้น แล้วการโทษตัวเองกลับกลายมาเป็นกลไกการป้องกันตัวเองได้ยังไงกัน ในเมื่อกลไกมันควรจะปกป้องเราจากความรู้สึกผิดสิ ทำไมไม่โยนหรือกดมันลงไปแทน
…อาจเพราะมีความรู้สึกอื่นที่หนักและใหญ่กว่าความรู้สึกผิดที่เราไม่พร้อมเผชิญหน้ากับมันก็ได้ เราจึงใช้ความรู้สึกผิดเป็นหนทางในการหลบหนีการเผชิญหน้ากับความรู้สึกนั้น…
ผมขอเริ่มอธิบายด้วยการเกลาคำพูดของ Nedra Tawwab นักบำบัดและนักเขียนชาวอเมริกัน ‘there’s grief in accepting someone won’t change’ ไปเป็น ‘there’s grief in accepting something won’t change’
การยอมรับว่าบางสิ่ง(หรือบางคน)จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงทำให้เราเกิดภาวะ grief ซึ่งภาษาไทยยังไม่มีคำแปลที่ตรงตัวแต่ชาวตะวันตกใช้คำนี้เมื่อคนคนหนึ่งสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักไป เมื่อเราสูญเสีย เราเสียศูนย์ แตกสลาย เคว้ง หลงทาง เศร้าโศก ดิ่ง โกรธ สิ้นหวัง และอีกนานาความรู้สึกพัวพันกันยุ่งเหยิงรวมกันเป็น grief
แล้วเกี่ยวกับการโทษตัวเองอย่างไร
การโทษคือการตัดสิน ไม่ว่าจะโทษตัวเองหรือโทษใคร เราตัดสินเพื่อหาข้อสรุป เวลามีความขัดแย้งหรือปัญหาเกิดขึ้น สิ่งที่เกิดขึ้นด้วยคือความตึงเครียดและวิตกกังวล ก็ไม่แปลกที่กลไกการป้องกันตัวจะทำงาน เพราะหากความขัดแย้งคลี่คลายความเครียดก็ทุเลาลงด้วย แต่เราไม่ได้พูดถึงกรณีที่เรารับผิดโดยที่ไม่ได้รู้สึกผิดจริงแต่พูดเพียงเพื่อตัดจบความวุ่นวาย แต่เรากำลังพูดถึงกรณีของคนที่ชอบโทษตัวเองในทุกๆเรื่อง แม้บางเรื่องจะไม่ใช่ความผิดของตน หรือเป็นเรื่องเหนือการควบคุม แต่กลับเชื่อสุดใจว่าทุกอย่างคือความผิดของฉันเอง
เมื่อปัญหา ความผิดพลาด ความขัดแย้งทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันคือความผิดของฉัน ดังนั้นถ้าฉันปรับปรุง เปลี่ยนแปลง หรือเป็นคนที่ดีขึ้น ปัญหาและความขัดแย้งเหล่านี้จะหมดไป ย่อความให้สั้น…ถ้าฉันดีพอ ทุกอย่างจะโอเค ขยายความอีกนิด…ทุกอย่างขึ้นอยู่กับฉัน ฉันควบคุมทุกอย่างได้
แต่นี่คือความเชื่อที่ผิดเกี่ยวกับตนเอง หรือ false sense of control
ความเชื่อผิดๆว่าถ้าเราเปลี่ยน ทุกอย่างจะเปลี่ยนตาม ถ้าเราไม่มีปัญหา ก็จะไม่มีใครมีปัญหา ถ้าเราดีพอ ทุกอย่างจะโอเค ความคิดแบบนี้ไม่ต่างจากความเชื่อว่าโลกอยู่ในมือเราและเราควบคุมได้ การโทษตัวเองจึงช่วยให้เรายังสามารถคงความเชื่อว่าทุกอย่างอยู่ใต้การควบคุมของเราอยู่ ทุกอย่าง in control
เราจึงปรับ ปรับ ปรับ แล้วก็ปรับ เปลี่ยน เปลี่ยน แล้วก็เปลี่ยน ทางออกก็คือ ฉันต้องดีพอ
พ่อแม่เลิกกัน ฉันผิดเอง ฉันต้องเป็นเด็กที่น่ารักกว่านี้
สอบได้ที่สอง ฉันผิดเอง ฉันต้องขยันกว่านี้
แฟนนอกใจ ฉันผิดเอง ฉันต้องใส่ใจเขามากกว่านี้
เพื่อนแกล้งแล้วเราโกรธ ฉันผิดเอง ฉันต้องใจกว้างกว่านี้
โดนก็อปงาน ฉันผิดเอง ฉันต้องคอยระวังมากกว่านี้
ทำตามบรีฟแต่เจ้านายไม่พอใจ ฉันผิดเอง ฉันต้องเก่งกว่านี้
ฉันป่วย ฉันผิดเอง ฉันต้องเข้มแข็งกว่านี้
ทุกปัญหาเป็นเพราะฉันดีไม่พอ แค่ฉันกว่านี้ กว่านี้ กว่านี้ ทุกอย่างก็จะโอเค
การยอมรับว่าบางอย่างจะไม่มีวันเปลี่ยนแม้ว่าเราจะดีกว่านี้หรือเปลี่ยนไปแค่ไหนนั้นอาจทำเราเสียศูนย์ได้ยิ่งกว่าความรู้สึกผิดเสียอีก คงคล้ายๆกับการสูญศรัทธาจากการค้นพบว่าฮีโร่ในวัยเด็กของเราไม่ใช่คนแบบที่เราคิดแหละมั้ง เพียงแต่การยอมรับครั้งนี้อาจทำให้เราสูญศรัทธาในตัวเองและโลกไปขณะหนึ่งแทน(ขณะที่ว่านั้นนานแค่ไหนไม่รู้) นี่เป็นสาเหตุให้กลไกทำงาน
ในมุมของจิตวิเคราะห์สมัยใหม่ เปรียบเทียบกลไกการโทษตัวเองนี้ว่าเป็นการขยายตัวให้ใหญ่เพื่อให้เรายังคงรู้สึกถึงอำนาจควบคุมได้อยู่ จากความจริงที่เราไม่อยากรับรู้ว่าเรานั้นแสนเปราะบางและเล็กด้อยไร้อำนาจ เป็นกลไกความเชื่อแบบเด็กทารกที่หลงตัวเองไปว่าตนควบคุมทุกสิ่งได้ เมื่อร้องก็มีนมมาป้อนถึงปาก เมื่อดิ้นก็มีคนมาเปลี่ยนชุด เมื่อหน้าเบะก็มีคนมาอุ้ม เมื่อต้องการอะไรสิ่งนั้นก็ปรากฏตามต้องการ ทารกจึงเชื่อว่าตนควบคุมทุกอย่างได้เพียงขยับหรือร้องให้มากเข้า เมื่อเราโตขึ้นและยังเชื่อว่าทุกอย่างเราควบคุมได้เพียงทำให้มากขึ้นนั้น จึงอาจเป็นสัญญาณการถดถอย (regression) กลับไปเป็นเด็ก ภายนอกที่แข็งแกร่งไม่สะทกสะท้าน สะท้อนความเป็นผู้ใหญ่ แต่นั่นก็เพียงเกราะที่ปกป้องปกปิดความเปราะบางเนื้อในที่ต้องการการดูแลทะนุถนอมไม่ต่างจากเด็กน้อยคนหนึ่ง
การที่สภาพจิตใจเราถดถอยไปอยู่ในสภาพคล้ายเด็กน้อย นั่นอาจหมายถึงเรากำลังต้องการการดูแล ใส่ใจ และปกป้องบ้างไม่ต่างจากเด็ก(และไม่ต่างจากผู้ใหญ่คนอื่นๆด้วย) ซึ่งทุกคนมีโมเม้นต์นั้นเพียงแต่เราอาจเข้มงวดกับตัวเองมาตลอด ลองคิดดูว่าถ้าเราเป็นคนที่โทษตัวเองตลอด นั่นแปลว่าเราไม่มีโอกาสจะได้พูดถึงความต้องการหรือความรู้สึกของตัวเองเลย เราปรับและแก้ที่ตัวเองตลอดก่อนที่จะร้องขออะไรจากใคร ซึ่งตรงนี้เองที่ทำให้ความต้องการของเราไม่เคยมีใครเห็นและได้ยิน มันสร้างความบาดเจ็บและบอบช้ำมาเรื่อยๆโดยที่เราไม่รู้ตัว
ผมเชื่อว่าคนที่โทษตัวเองเป็นปกติคงเคยผ่านประสบการณ์อะไรบางอย่างที่ทำให้รู้สึกกลัวและไม่กล้าเสี่ยงจะบอกความไม่พอใจหรือความต้องการของตัวเอง อาจกลัวถูกปฏิเสธ กลัวเป็นคนเยอะ ไม่น่ารัก หรือถูกทอดทิ้ง ซึ่งเข้าใจได้มากๆ ก็เจ็บปวดมาก่อนมันก็ต้องกลัว จึงเก็บความรู้สึกที่แท้จริงไว้ในห้องแห่งความลับ
ลองค่อยๆแง้มประตูบานนั้นแล้วค่อยๆให้ความรู้สึกย่องออกมาทีละก้าวก็ได้ ยังไม่ต้องลุกเดินแค่นั่งอยู่ตรงหน้าประตูก่อนก็ได้ถ้ามันยังน่ากลัวเกินไป ไม่ต้องหยิบยื่นหรือยัดเยียด แต่ไม่ต้องปกปิดเก็บซ่อน เผื่อยังพอมีโอกาสที่คนจะมองเห็นเราได้บ้าง ผมว่าการอยู่ในห้องนั้นตามลำพังมันโดดเดี่ยวและบอบช้ำเกินไป
การยอมรับว่าบางอย่างจะไม่มีวันเปลี่ยนนั้นคงสั่นคลอนเราไปถึงแกน แต่บางอย่างก็คือบางอย่าง ไม่ใช่ทุกอย่าง
การพาความรู้สึกออกจากห้องแห่งความลับไปขอความช่วยเหลือบ้าง ให้คนอื่นได้ดูแลเราบ้าง เพราะเราก็ต้องการความใส่ใจเหมือนที่เราใส่ใจคนอื่นนั่นแหละ บางอย่างตรงหน้าอาจไม่ได้น่ากลัวเหมือนบางอย่างที่เราเจอมาในอดีตก็ได้
โดม ธิติภัทร รวมทรัพย์
นักศิลปะบำบัด

_________

รับให้คำปรึกษาสุขภาพจิต ความเครียด ความสัมพันธ์
ทักอินบ็อกซ์

08/07/2025
26/05/2025

เพราะเป็นนักบำบัดที่ทำงานกับความรู้สึกลึกซึ้งซับซ้อนของคนมากมาย บวกกับเจอหลายคนหลายเหตุการณ์ที่มักพูดและทำเหมือนความรู้สึกเป็นสิ่งจับต้องไม่ได้และไม่ควรใช้มากจนเกินไป ทำให้ผมเกิดความรู้สึกค้านขึ้นในใจ เพราะสำหรับผม ความรู้สึกนี่โคตรจะจริงและสัมผัสได้
นึกถึงสิ่งที่จับต้องได้ผมนึกถึงสสาร และด้วยความรู้วิทยาศาสตร์อันน้อยนิด ผมเจอความเชื่อมโยงบางอย่างระหว่างสองสิ่ง ผมพอจะจำความรู้สมัยประถม (หรือมัธยมกันแน่) ได้ว่า สสารนั้นมีสามสถานะ คือของแข็ง ของเหลว และก๊าซ มันมีมวล มีปริมาตร เปลี่ยนแปลงสถานะได้ และต้องการที่อยู่ ด้วยนิยามแบบนี้แล้ว ความรู้สึกของเราก็แทบจะเรียกได้ว่าเป็นสสาร แต่กลับถูกกระทำเหมือนสิ่งไร้ตัวตน
หลายครั้งในการบำบัดหรือเมื่อมีคนในชีวิตมาปรึกษา ผมมักเจอกับคำบอกกล่าวว่า มันมีมวลความรู้สึกอะไรบางอย่างก็ไม่รู้ เทาๆทึมๆที่เอาออกไปไม่ได้สักที คุณเคยรู้สึกอะไรบางอย่างแต่พูดออกมาไม่ได้มั้ย เหมือนมีมวลอะไรบางอย่างอยู่ในอก ในท้อง หรือในหัว ขมุกขมัวพัวพันจนไม่รู้จะจับต้นชนปลายอย่างไร ไม่มีคำพูดหรือภาษาไหนรองรับสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกภายในของคุณ มันอาจซับซ้อนกว่าความรู้สึกที่เราเรียกชื่อมันได้อย่างความอึดอัด ความเศร้า ความโกรธ อิจฉา ริษยา ดีใจ ภูมิใจ ตื่นเต้น หรืออะไรก็ตาม บางครั้งไม่มีชื่อเรียกเป็นแค่มวลและน้ำหนักที่วัดได้ยาก
ความรู้สึกวัดได้ยาก ไม่มีมาตรวัดใดวัดได้เป็นกลาง ไม่มีหน่วยเป็นกรัมเป็นเมตรหรือนิวตัน ทางวิทยาศาสตร์จึงมองว่ามันไม่มีปริมาตร วัดไม่ได้ แต่ในมุมของผู้รู้สึกล่ะ ในตอนที่คุณรู้สึกแต่ละครั้งต่อแต่ละเหตุการณ์ คุณอาจมีประสบการณ์และมาตรวัดเป็นของตัวเองโดยไม่ต้องอาศัยค่ากลางก็ได้ ในเมื่อคุณรู้แก่ใจว่าความรู้สึกกลัวจนได้แต่นั่งเงียบ กับความรู้สึกกลัวจนตัวสั่นกระทั่งต้องพาตัวเองออกไปจากตรงนั้น ต่างมีมวล ขนาด และน้ำหนักที่เกิดขึ้นภายในต่างกัน เมื่อไม่มีค่ากลางให้สื่อสารกับคนนอกทำให้เข้าใจความรู้สึกของกันและกันผิดไป คนที่เห็นอาจบอกว่าคุณดูไม่ได้รู้สึกกลัวเลย เห็นนั่งนิ่งๆอยู่แบบนั้น แต่คุณรู้แก่ใจว่าคุณกลัวจนแทบขยับตัวไม่ได้
หลายครั้งความเข้าใจผิดแบบนี้ก็ทำให้เกิดความรู้สึกว่าไม่ถูกมองเห็น เหมือนมันไม่มีอยู่ จนตัวเราเองต้องมาตั้งคำถามว่าไอ้ที่รู้สึกเนี่ยมันจริงมั้ย หรือเราสมควรรู้สึกมั้ย คนอื่นบอกว่าเราดูไม่กลัว เออเนอะ หรือจริงๆเราไม่ได้กลัว หรือจริงๆสิ่งที่เราเจอมันไม่ได้น่ากลัว แล้วยิ่งในบางครั้งที่มีคนมาบอกว่าเรา ‘ไม่ควร’ กลัว สิ่งที่เราเจอมันจิ๊บจ๊อยมากๆ เราก็เริ่มทำเหมือนว่าความรู้สึกกลัวนั้นไม่มีอยู่จริง และไม่ใช่แค่กับความกลัวเท่านั้น ความรู้สึกอื่นๆก็ถูกตั้งคำถามและทำให้หายไปได้ไม่ต่างกัน
ลองนึกภาพเวลาที่เรารู้สึกภาคภูมิใจกับอะไรบางอย่างแต่ความรู้สึกนั้นกลับถูกกระทำเยี่ยงวัตถุไร้ตัวตน ไม่มีใครเห็น เสมือนเราก็ไม่ควรยินดีกับตัวเองขนาดนั้น เมื่อเราเอาหน่วยวัดภายนอกมาวัดความรู้สึกภายใน บางอย่างที่ยิ่งใหญ่กลับเล็กลงจนแทบมองไม่เห็น ความรู้สึกหนักหน่วงกลับเป็นผีไร้ตัวตน ในครั้งแรกๆเราอาจต้องใช้ความพยายาม แต่เมื่อทำไปเรื่อยๆ เราก็แทบไม่ต้องใช้ความพยายามอะไรเลยในการทำให้ความรู้สึกนั้นหายไปจากสายตา อยู่นอกการรับรู้ รู้ตัวอีกทีความรู้สึกของเราเป็นสิ่งที่อยู่ด้วยยากไปแล้ว
ถ้าคุณเชื่อในเรื่องจิตใต้สำนึก (unconscious) เหมือนซิกมันด์ ฟรอยด์ (ซึ่งผมก็เชื่อ) ที่บอกว่าความรู้สึกนั้นมันไม่ไปไหนหรอกถ้าเราไม่ได้ย่อยหรือถ่ายเทมันดีๆ หมายความว่าแม้คุณคิดว่าการไม่รู้สึกคือไม่มี คือหาย คือผ่านพ้น และคุณไม่ได้เป็นอะไร แต่จริงๆมันแค่เข้าไปอยู่ในที่ใหม่ชื่อจิตใต้สำนึกและยังคงส่งผลบางอย่างโดยที่เราไม่รู้ตัว สิ่งที่เกิดขึ้นภายในใจนี้คล้ายการเปลี่ยนสถานะของสสาร คุณระเหิดความรู้สึกหนักแน่นท่วมท้นให้กลายเป็นไอบางเบาจับต้องไม่ได้ในช่วงเวลาหนึ่ง แต่เมื่อเวลาผ่านไปไอความรู้สึกเหล่านั้นอาจควบแน่นกลับขึ้นมาใหม่ มาอยู่ในการรับรู้ของคุณอีกครั้ง
การเปลี่ยนแปลงสถานะรูปร่างของความรู้สึกนั้นไร้กรอบ กะเกณฑ์ได้ยาก แรงกระทำเพียงเล็กน้อยสามารถสร้างปฏิกิริยาใหญ่หลวง ด้วยแรงกระทำจากภายนอกอย่างการรับฟังหรือถากถางของคนรอบข้าง และจากภายในอย่างประสบการณ์ในอดีต ภูเขาความโกรธก็อาจละลายเป็นสายธารแห่งความสงบให้อภัย หรือชั่วนาทีเดียวอาจพลุ่งพล่านอัดแน่นเป็นอาฆาต แม้ความรู้สึกจะแปรเปลี่ยนสถานะไปมากมายและสร้างความแปรปรวน แต่เมื่อมันยังอยู่แค่ในโลกภายใน ผู้คนก็ยังอาจรู้สึกว่าเป็นสิ่งนามธรรมจับต้องไม่ได้ แต่ถ้าความรู้สึกเหล่านั้นผันสภาวะออกมาสู่โลกภายนอกได้ล่ะ?
ชั่ววูบเดียวความอาฆาตอาจเปลี่ยนสถานะเป็นของแข็งอย่างกระสุนปืนเช่นที่เราเห็นตามข่าว ความโศกเศร้าสิ้นหวังสามารถกลั่นตัวทะลักเป็นของเหลวออกมาทางตาเป็นน้ำหูน้ำตาฟูมฟาย และขณะเดียวกันก็สามารถเปลี่ยนดวงตาเป็นทะเลทรายแห้งผากไร้ชีวิต มือถือของมีคมเงียบเชียบอยู่คนเดียว มีอีกตัวอย่างนึงที่ผมนึกขึ้นได้แล้วรู้สึกตลกดี คุณเคยหรือเคยเห็นคนเครียดจนอ้วกแตกมั้ย สิ่งที่ออกจากปากนั้นมีทั้งของแข็ง ของเหลว และก๊าซในทีเดียว นี่ไงความรู้สึกเปลี่ยนสถานะเป็นทั้งสามอย่างในคราวเดียวกัน ความรู้สึกดีๆก็ไม่ต่างกัน อย่างความภูมิใจอาจแปรรูปอยู่ข้างในเป็นแรงบันดาลใจและแสดงตัวสู่โลกภายนอกได้หลากหลายรูปแบบ หากคุณเคยได้รับแรงบันดาลใจ คุณอาจรับมันมาแปรเปลี่ยนมันเป็นความหมกมุ่น สร้างสรรค์ก่อเกิดอะไรได้หลากหลายเกินคาดเดา นี่แหละคือการเปลี่ยนแปลงสถานะของความรู้สึก
คุณสมบัติข้อสุดท้ายที่ผมสนใจเป็นพิเศษและอธิบายให้คนอื่นเข้าใจได้ยากคือ…ความรู้สึกมันก็ต้องการพื้นที่หรือที่อยู่สักที่หนึ่งในจักรวาล ถ้าถามว่าที่ไหน ผมก็ไม่แน่ใจ แต่มันจะหาพื้นที่ของมัน ปรากฏตัว เฝ้ารอการเข้าใจ และบางครั้งต้องการมากกว่าหนึ่งพื้นที่
การทำความเข้าใจประสบการณ์ทางความรู้สึกหรือการย่อยที่พูดถึงในตอนต้น คล้ายอาหาร มีย่อยง่ายย่อยยากต่างกันไป ความรู้สึกที่ย่อยง่ายๆก็ถูกย่อยเก็บไว้เป็นความทรงจำดีๆ เป็นประสบการณ์ที่บางครั้งเราก็อยากจะหยิบมันมาดูชมซ้ำแล้วซ้ำเล่า และเก็บมันมาเป็นส่วนหนึ่งของเนื้อตัว หรือ ‘ตัวตน’ ของเรา เช่น เราแบ่งปันของให้เพื่อน เพื่อนขอบคุณ เรารู้สึกดี เราย่อยความรู้สึกและประสบการณ์นี้เก็บไว้ ‘เราเป็นคนมีน้ำใจ’ สิ่งนี้ก็หลอมมาเป็นตัวตนของเรา ความรู้สึกดีแบบนี้คืออาหารย่อยง่ายที่ใครๆก็อยากกิน คุณหาพื้นที่ให้ของแบบนี้ได้ไม่ยากหรอก คุณอนุญาตให้มันอยู่ในเนื้อตัวคุณนี่แหละ
แต่คุณเคยเจอความรู้สึกที่ยากจะรับได้มั้ย มันอาจพ่วงกับตัวตนที่ตัวคุณเองไม่อยากจะหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับมันก็ได้ คุณเคยรู้สึกผิดมั้ย นั่นล่ะ ความรู้สึกผิดมันครอบครองพื้นที่ในตัวคุณอยู่ แต่เนื่องจากมันเป็นความรู้สึกที่ไม่มีใครอยากอยู่ด้วย คุณก็ไม่ชอบหน้ามันอารมณ์เดียวกับคนอยากไล่หมาจรให้พ้นบ้าน คุณพยายามหาทางเอาไอด่างขี้เรื้อนออกไปจากที่ตรงนี้ ในวันที่ความรู้สึกนี้ยังเป็นสิ่งแปลกปลอมย่อยยาก ทางเลือกแรกที่เกิดขึ้นกับหลายๆคนคือคุณอาจเริ่มหาข้ออ้าง เข้าข้างตัวเอง หรือโทษคนอื่น เมื่อเป็นเช่นนั้นความรู้สึกผิดในตัวคุณได้หายไปแล้ว ไปโผล่อยู่ในตัวอีกคนที่คุณโทษเขาแทน มันไม่ได้หายไปไหน แค่มีที่อยู่ใหม่ ทางที่สองคือการย่อยผ่านการทำความเข้าใจและยอมรับซึ่งทำได้ยากมากในบางคราวเพราะหากคุณรับผิด มันอาจเปลี่ยนรูปร่างเป็นความรู้สึกอับอาย ด้อย ไม่ดีพอ คุณจึงไม่อยากหลอมรวมและยอมรับเอาแง่มุมลบๆเหล่านี้เข้ามาเป็นตัวตนของคุณ ใครมันจะอยากมองกระจกแล้วเห็นคนแย่ๆคนนึงกันล่ะ
ไอความรู้สึกที่มันย่อยยากแบบนี้แหละครับ ที่เรามักเก็บกดมันลงสู่พื้นที่จิตใต้สำนึกหรือผลักออกไปอยู่ในพื้นที่อื่น ไม่เผชิญหน้ากับมัน ไม่จับมันมาย่อยดีๆ นั่นจึงเป็นที่มาว่าบางครั้งเราจำเป็นต้องใช้พื้นที่มากกว่าหนึ่ง พูดง่ายๆคือเราต้องการใครอีกคนมาโอบอุ้ม รองรับ ทำความเข้าใจ และช่วยย่อยความรู้สึกนี้
นักจิตวิเคราะห์ชื่อ Wilfred Bion ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างแม่และลูก เสนอแนวคิดว่าแม่ทำหน้าที่เสมือนบรรจุภัณฑ์หรือกล่องเพื่อรองรับอารมณ์ของลูก ลูกในวัยที่ยังไม่มีภาษา ยังทำความเข้าใจหรือย่อยความรู้สึกที่เกิดขึ้นภายในตัวเองไม่ได้ ความรู้สึกเหล่านั้นถูกโยนมาให้ผู้เลี้ยงดูในรูปแบบการร้องไห้ งอแง กรีดร้อง ผู้เลี้ยงดูได้รับความรู้สึกนั้นมาเพื่อย่อยและทำความเข้าใจ และส่งความรู้สึกนั้นกลับไป ‘ในรูปแบบที่ลูกย่อยได้’ ด้วยการให้ความหมายกับความรู้สึกนั้นผ่านภาษาพูด การกอด อุ้ม โอ๋ เล่น พานอน ให้นม เปลี่ยนผ้าอ้อม เป็นต้น ลูกก็จะค่อยๆเข้าใจและให้ความหมายกับความรู้สึกที่เกิดขึ้นภายในตัวเองได้
บางจังหวะชีวิตเราก็ไม่ต่างจากเด็กทารกที่ต้องการใครสักคนมาช่วยเป็นพื้นที่โอบอุ้มความรู้สึกที่ย่อยยากกับตัวตนที่ยากจะยอมรับ คุณเคยรู้สึกด้อยและตัวเล็กจ้อยร่อยมั้ย บางครั้งมันผันไปเป็นความเกรี้ยวดกราดเพื่อปกป้องตนเอง หากคุณโยนความเกรี้ยวกราดใส่เพื่อนด้วยการถากถางด่าทอ(เพื่อทำให้เขารู้สึกตัวเล็ก) ความร้อนระอุและความรู้สึกจ้อยเหล่านั้นปรากฏและรู้สึกอยู่เต็มในตัวเพื่อนแล้ว ถ้าเพื่อนไม่ได้ช่วยย่อยความรู้สึกนี้ เพื่อนก็อาจจะส่งมอบเปลวไฟกลับมาให้คุณ คุณก็รับความรู้สึกตัวเล็กด้อยค่าแผดเผาตัวตนที่ย่อยยากอันเดิม(หรือมากกว่าเดิม)กลับมา
แต่สมมติว่าเหตุการณ์แตกต่างออกไปล่ะ ขณะที่คุณโยนความเกรี้ยวกราดของคุณให้เพื่อนไป เขารับความร้อนระอุนั้นไว้แต่เขาไม่ได้ด่าคุณกลับ เขาย่อย ทำความเข้าใจ พร้อมโต้ตอบด้วยความเข้าใจ อาจจะด้วยท่าทางใจเย็นและด้วยภาษาพูดว่า…กูรู้ว่ามึงโกรธ แต่มึงด่ากูแบบนี้ไม่ได้ มึงไม่พอใจอะไร มึงบอกกูดีๆกูฟังมึงอยู่แล้ว ความเกรี้ยวกราดที่น่ารังเกียจกลับกลายเป็นสิ่งที่ไม่ได้น่าเกลียดขนาดนั้นแล้ว และความด้อยของคุณก็ดูเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ขึ้นมา ไอเดือดปะทุที่เพื่อนคุณรับไว้ถูกส่งกลับมาที่คุณในอุณหภูมิที่เย็นลงมาก…คุณอยู่กับเปลวไฟไม่ไหว แต่ไอผ่าวจากฟืนมอดไฟไม่โหดร้ายเกินไปสำหรับคุณ คุณย่อยมันเองได้แล้ว
ความรู้สึกยากๆที่คุณไม่อยากยอมรับ คุณเก็บกดมันไว้โดยไม่ย่อย มันไม่หายไปไหน มันอาจครองพื้นที่สักตารางเมตรในหลืบหนึ่งในตัวและใจคุณ เฝ้ารอวันที่คุณจะมีพื้นที่เพื่อให้มันถูกทำความเข้าใจ หรือไม่ก็รอทำปฏิกิริยากับแรงบางอย่างแล้วเปลี่ยนสถานะเป็นอะไรบางอย่าง เป็นความป่วยกาย ป่วยใจ หรือพฤติกรรมบางอย่างที่ตัวคุณเองก็ไม่เข้าใจที่มา
ในการบำบัดมีคำพูดหนึ่งว่า ‘it takes two minds to understand one’ บางความรู้สึกอาจต้องการมากกว่าตัวคุณคนเดียวเพื่อทำความเข้าใจมัน คุณอาจแค่ต้องการใครสักคนเพื่อเป็นพื้นที่ให้โลกภายในของคุณถูกทำความเข้าใจและยอมรับอย่างที่มันเป็น ความรู้สึกของคุณไม่ว่ามันจะอยู่ในสถานะไหน หน้าตาอย่างไร สสารที่ว่าสัมผัสได้มีอยู่จริง อยากจะบอกว่าความรู้สึกของคุณนั้นจริงยิ่งกว่าเสียอีก
โดม ธิติภัทร รวมทรัพย์
นักจิตวิทยา/นักศิลปะบำบัด (UK)
_________________________________
- รับให้คำปรึกษาสุขภาพจิต จิตบำบัด ศิลปะบำบัด จัดเวิร์คช็อปนะครับ
- เดี๋ยวจะเปลี่ยนชื่อเพจนะครับ ฝากติดตามใกล้ชิดนะครับ กลัวจะหายกันไป
- ในปีนี้จะเปิดสตูดิโอสุขภาพจิตของตัวเองนะครับ รับเคสบำบัด ปรึกษา จัดเวิร์คช็อป นัดเจอตัวได้แล้ว (ซอย กรุงเทพ-นนท์ 7 เข้าซอย 800 เมตร มีที่จอดรถ)
-

06/01/2025

ความเครียด ความวิตกกังวลสะสม ภาวะซึมเศร้า ไม่ควรมองข้าม สุขภาพจิตสามารถส่งผลต่อสุขภาพทางกายได้ ผ่านการทำงานของสมองและสารสื่อประสาท

วันนี้ MindcareClinic ยกตัวอย่างกรณี ภาวะ Conversion Disorder ที่มีอาการผิดปกติทางร่างกาย อันเนื่องมากจากสภาวะจิตใจ ความเครียดที่กระตุ้นสมองที่ควบคุมการเคลื่อนไหว/สมองส่วนที่รับรู้ประสาทสัมผัส ร่างกายทำงานผิดปกติไป จากสภาวะจิตใจที่ไม่สมดุล เช่น กล้ามเนื้ออ่อนแรง ยกแขนขาไม่ได้ สูญเสียการรับรู้ความรู้สึกเจ็บ การสัมผัส เป็นต้น

ซึ่งภาวะนี้สามารถรักษาได้โดยการจัดการปมปัญหาในใจ ร่วมกับมียาที่จะช่วยปรับสมดุลการทำงานของสมองให้อาการดีขึ้น

ปีใหม่ 2025 นี้มาเริ่มดูแลสุขภาพใจกันนะคะ 😊

" เรื่องของใจ ให้เราดูแล " ❤️
mindcare clinic

====================
📥ปรึกษา-สอบถาม ตลอด 24 ชม.
====================
สนใจปรึกษาจิตแพทย์/นักจิตวิทยา
ติดต่อ > m.me/100716046159041

Add line :
📞โทร : 082-919 5282
🔗 Website : https://www.mindcarebkk.com/

-------------------------------
🕛เปิด 12:00น - 20:00 น.

🚩พิกัด : ชั้น 2 สัมมากรเพลส
รามคำแหง 110 เหนือVilla Market

#คลินิกจิตเวช #คลินิกจิตเวชกรุงเทพ #คลินิกจิตเวชรามคำแหง #ไบโพลาร์ #แพนิก #ซึมเศร้า #เครียด #กังวล #สมาธิสั้น #เหงา #ความสุข #อ่อนแรง #ความกดดัน

09/12/2024
03/11/2024
02/10/2024

"5 กุญแจไขความสุข" ที่จะเปลี่ยนออฟฟิศให้กลายเป็นพื้นที่ปลอดภัยทางจิตใจ (Psychological safety) ด้วยตัวคุณเอง

เคล็ดลับนี้สรุปจาก คุณมัตซึมุระ อาริ นักจิตวิทยาเชิงบวก/แพทยศาสตรบัณฑิต ผู้ก่อตั้งสถาบัน New York Life Balance ผู้เชี่ยวชาญด้านการสร้างความปลอดภัยทางจิตใจ ด้วยจิตวิทยาเชิงบวกได้บอกเล่าถึง 5 กุญแจสำคัญที่ช่วยสร้างพื้นที่ปลอดภัยทางจิตใจ(Psychological safety) ด้วยตัวเราเอง ไว้ดังนี้ค่ะ

1.สร้างความสัมพันธ์ที่ดี: เริ่มต้นวันด้วยรอยยิ้มและคำทักทายอบอุ่น ให้เวลารับฟังเพื่อนร่วมงานอย่างตั้งใจ สิ่งเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้จะช่วยสร้างบรรยากาศที่เป็นมิตรในที่ทำงานได้อย่างน่าประหลาดใจ

2. ปลุกพลังซุปเปอร์ฮีโร่ในตัวคุณ: เสริมสร้างความมั่นใจ ท้าทายตัวเองด้วยมุมมองแบบ "ทำได้แน่นอน!" แม้งานจะยาก แต่ด้วยความมุ่งมั่น คุณและทีมงานจะมีพลัง คุณจะเชื่อมั่นในความสามารถของตนเอง และมั่นใจในตนเองมากขึ้นได้อย่างไม่น่าเชื่อ

3. ให้อิสระและความไว้วางใจ : เมื่อคุณเปิดโอกาสให้ตนเอง หรือให้ทีมงานได้แสดงความคิดเห็นและลองทำสิ่งใหม่ๆ บรรยากาศแห่งความไว้วางใจที่ได้จะช่วยปลดล็อกพลังสร้างสรรค์ได้ไอเดียใหม่ๆ และกระตุ้นให้เกิดนวัตกรรมในทีมได้

4. ค้นหาดาวเหนือประจำใจ: ก่อนทำอะไร ลองถามหัวใจตัวเองว่า "งานที่เรากำลังทำนี้ สำคัญกับตัวเราอย่างไร?” เมื่อเจอคำตอบ แรงบันดาลใจจะเกิดขึ้น และความกระตือรือร้นจะตามมาเอง

5. เปิดใจรับความหลากหลาย: ยอมรับและชื่นชมความแตกต่างของแต่ละคน ทีมที่มีความหลากหลายมักจะมีมุมมองที่กว้างขึ้นและสร้างสรรค์ผลงานที่โดดเด่น

ลองนำ 5 กุญแจนี้ไปไขประตูสู่ความสุขในออฟฟิศดูสิคะ อย่าลืมว่า ถ้าอยากได้พื้นที่ปลอดภัยทางใจเกิดขึ้นในที่ทำงาน คนแรกที่เริ่มทำได้ไม่ใช่ใครแต่เป็นตัวคุณเอง เมื่อได้ฝึกทำบ่อยๆ จนกลายเป็นทักษะติดตัว รับรองว่าคุณจะกลายเป็นพื้นที่ปลอดภัยที่ใครๆก็อยากมาทำงานด้วย! ถ้าคุณยังไม่มั่นใจว่าเราจะสร้างพื้นที่ปลอดภัยทางจิตใจให้ตัวเองหรือทีมงานได้ยังไง EraMind อยากชวนคุณมาอัพเกรดตัวเองเป็น "นักส่งเสริมสุขภาพใจในองค์กร" ที่จะมาในเดือนพฤศจิกายนนี้นะคะ มาช่วยกันสร้างที่ทำงานให้เป็นบ้านหลังที่สองที่ทุกคนอยากมาทำงานสร้างเรื่องดีๆ ด้วยกันค่ะ

Reference: มัตซิมุระ อาริ.(2566). Psychological safety เมื่อทำงานสบายใจ ใครก็ปล่อยพลังได้เต็มที่. สำนักพิมพ์อัมรินทร์, กรุงเทพมหานคร.

Congratulations to me on having passed the achievement of Becoming a Counsellor first step 👏🏻At the beginning of the pro...
27/09/2024

Congratulations to me on having passed the achievement of Becoming a Counsellor first step 👏🏻
At the beginning of the process, I have to learn more from L2 to L4 of Counsellor and then qualify for the quantification of Counsellor and Psychotherapy in my future career path.

Address

Plymouth

Opening Hours

Tuesday 10:30am - 5pm
Wednesday 10:30am - 5pm
Thursday 10:30am - 5pm

Telephone

+447944781621

Website

Alerts

Be the first to know and let us send you an email when Jundee HealingMind&Physical posts news and promotions. Your email address will not be used for any other purpose, and you can unsubscribe at any time.

Contact The Practice

Send a message to Jundee HealingMind&Physical:

Share

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram