26/09/2021
สวัสดีครับ ... กลับมาอีกครั้งกับเรื่องนี้
#โพสนี้เพื่อน้องเภสัช (เอาไว้เตรียมตัวสอบใบประกอบวิชาชีพนะครับ)
ห่างหายไปนานมากๆ
โพสต์นี้สำหรับ น้องๆ นศ. เภสัชศาสตร์ ที่กำลังฝึกงาน ผลัดร้านยา โดยเฉพาะเลยครับ !
ทั้งนี้ พี่ได้รวบรวมจากประสบการณ์ และ องค์ความรู้ส่วนตัวจากการทำงาน
ปฏิบัติเวชกรรมด้านยาเกี่ยวกับการ "แนะนำ และ เลือกยาคุมกำเนิด" ให้เหมาะสมกับผู้ใช้แต่ละประเภท แต่ละเงื่อนไข และความต้องการ . . . . . เห็นว่า เรื่องนี้ ก็เคยออกข้อสอบอยู่เหมือนกันครับ จึงได้ทำการรวบรวมเอามาเพื่อให้น้องๆ ได้เตรียมตัวกันนะครับ
จากการรวบรวม Trick ที่ผ่านๆมาก่อนนะครับ
ดังนี้เลยครับ
(เผื่อน้องๆ นศ.เภสัชฯ บางคน ไม่ได้ตามอ่านจะได้กด Link อ่านย้อนหลังกันครับ พี่เขียนไว้ให้เข้าใจง่ายๆครับ)
รวบ Trick การสอบข้อที่ 1 - 10 ครับ
>>> https://bit.ly/3APPbac
รวบ Trick การสอบข้อที่ 11 - 20 ครับ
>>> https://bit.ly/2XP1GnA
และ ที่เหลือจะเป็นรายข้อแล้วนะครับ คือ
Trick ข้อที่ 21 เรื่อง การคำนวณ Elemental ion (ธาตุเหล็ก)
>>> https://bit.ly/3zHU83k
Trick ข้อที่ 22 Target BP(Blood Pressure) ในแต่ละภาวะโรคร่วมต่างๆ
>>> https://bit.ly/3CJRsnN
Trick ข้อที่ 23 อาหารคนโรคเก๊าท์
>>> https://bit.ly/3ESuHzR
Trick ข้อที่ 24 Hypo & Hyperthyroidism
>>> https://bit.ly/3CLnmAe
Trick ข้อที่ 25 การประเมินคุณสมบัติของผลิตภัณฑ์
>>> https://bit.ly/2XSGOwh
และ
Trick ข้อนี้ คือ ข้อที่ 26 ครับ
คือเรื่อง "การเลือกยาคุมกำเนิดให้เหมาะสม"
เพราะยาคุมกำเนิดมัน 3 ประเภทใหญ่ๆ ดังนี้
1.- ยากินคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวม
2.- ยากินคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนเดี่ยว
3.- ยากินคุมกำเนิดแบบฉุกเฉิน
มาเริ่มกันที่ตัวแรกครับ นั่นคือ
__________________________________________________
1. ยาเม็ดคุมกำเนิดแบบฮอร์โมนรวม
หมายความว่า เป็นยาเม็ดคุมกำเนิดแบบมีฮอร์โมน 2 ตัวรวมอยู่ด้วยกันใน 1 เม็ด นั่นคือ เอสโตรเจน ที่มักนิยมใช้มากที่สุด คือ Ethinyl estradiol หรือย่อว่า EE และ มีฮอร์โมนโปรเจสติน
ซึ่งในอดีตเมื่อปี 1960 มีการใช้ EE อย่างเดียว และสูงมากถึง 150 mcg (ตัวยา Mestranol) ขนาดยาค่อนข้างสูงมาก จึงมีผลข้างเคียงสูงตามมา ส่วนใหญ่เป็นอาการคลื่นไส้,อาเจียน และ EE ที่สูงมากๆอาจจะส่งผลต่อหลอดเลือดได้ในระยะยาว และเมื่อวิวัฒนาการพัฒนายาผ่านไป จึงมีการพัฒนายาคุมโดยลดปริมาณ EE ลงเรื่อยๆ เพื่อเป็นการลดอาการข้างเคียงจาก EE จนถึงในปีปัจจุบัน EE ที่ใช้ อาจจะลดเหลือ 0 mcg ก็มี และในขณะเดียวกันก็มีการพัฒนา Progestogens ให้มีประสิทธิภาพต่อการคุมกำเนิดให้ดีขึ้น โดยพัฒนาเป็นรุ่นๆ ปัจจุบันก็แบ่งออกเป็น 3 รุ่นของการพัฒนา โดยมี 1 ประเภทที่ไม่เข้าพวก ดังนี้
โปรเจสติน แบ่งเป็น 2 กลุ่มดังนี้
1. 19-nortestosterone เป็นโปรเจสตินที่ถูกนำมาใช้มากที่สุดใน Combined oral contraceptive ; COC สามารถแบ่งได้ 3 รุ่นดังนี้
- 1st generation ได้แก่ norethindrone acetate, ethynodiol diacetate, lynestrenol และ norethynodrel
- 2nd generation ได้แก่ norgestrel และ Levonorgestrel
- 3rd generation ได้แก่ Desogestrel, Gestodene และ Norgestimate ซึ่งส่วนใหญ่ ฮอร์โมนในกลุ่มเป็นกลุ่มที่พัฒนามาใหม่ จึงมีผลกระทบต่อ androgenic effect น้อยลง
2. 17-hydroxyprogesterone เช่น Cyproterone acetate
นอกจากนั้นยังมีกลุ่มที่ 3 อีก 1 กลุ่มที่ไม่จัดเข้าพวกเลย นั่นคือ
3. Unclassified เช่น Spironolactone ได้แก่ Drospirenone
Generation ที่ใหม่ๆ มีการพัฒนา ก็ยิ่งมีการจับอย่างจำเพาะกับตัวรับฮอร์โมนได้ดี ทำให้ผลกระทบที่เกิดขึ้น เช่น สิว, ผิวหน้ามัน หรือ เรื่องขน ก็เกิดขึ้นได้ต่ำ
__________________________________________________
และ
2. ยาเม็ดคุมกำเนิดแบบ ฮอร์โมนตัวเดี่ยว
ฮอร์โมนชนิดเดี่ยว คือมีเพียง Progestin อย่างเดียว เป็นฮอร์โมนสังเคราะห์ที่มีโครงสร้างคล้ายกับโครงสร้างของ Progesterone ที่ร่างกายสร้างได้เองตามธรรมชาติ ซึ่งในประเทศไทยมีเพียง 2 ตัวยา คือ Lynestrenol และ Desogestrel ทั้งสองตัวยาอย่างนี้ มีความแตกต่างกันพอสมควร
กลไกการออกฤทธิ์ของ ยาเม็ดคุมกำเนิดแบบ ฮอร์โมนตัวเดี่ยว Progestin คือ
1. ทำให้มูกที่ปากมดลูก เหนียว ข้นมากขึ้น ทำให้อสุจิผ่านไปได้ยากขึ้น
2. ทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกไม่เหมาะสมกับการตั้งครรภ์ได้
3. ทำให้ปีกมดลูกบีบตัวผิดปกติ ทำให้ไม่เหมาะสมการการปฏิสนธิ
__________________________________________________
และสุดท้ายคือ
3. ยาคุมฉุกเฉิน (emergency contraceptive)
ยาคุมฉุกเฉิน ควรใช้ในกรณีฉุกเฉินจริงๆ เพราะยามีผลข้างเคียงที่ค่อนข้างอันตรายหากใช้พร่ำเพื่อ
ยาคุมฉุกเฉินมี 2 แบบ คือ
1. แบบ 1 เม็ด ประกอบด้วย Levonorgestrel;LNG ขนาด 1,500 mcg
(กิน 1 เม็ดทันทีหลังมีเพศสัมพันธ์) ยาคุมกำเนิดชนิดนี้ พบว่ามีผลข้างเคียงเรื่อง การคลื่นไส้, อาเจียน เกิดขึ้นได้บ่อยว่าแบบ 2 เม็ด
2. แบบ 2 เม็ด ประกอบด้วย Levonorgestrel;LNG ขนาด 750 mcg
(กิน 1 เม็ดทันทีหลังมีเพศสัมพันธ์และเว้นไปอีก 12 ชั่วโมงจึงค่อยกินอีก 1 เม็ด) ประสิทธิการคุมกำหนดของทั้ง 2 แบบเหมือนกัน โดยการกินยาคุมฉุกเฉินที่ถูกต้องนั้น ควรกินให้เร็วที่สุดหลังมีเพศสัมพันธ์แบบไม่ได้ป้องกัน และไม่ควรกินยาคุมฉุกเฉินหลังจากการมีเพศสัมพันธ์ผ่านไปแล้ว 72 ชั่วโมง เพราะ ประสิทธิภาพการคุมกำเนิดจะลดลงจนไม่สามารถจะคุมกำเนิดได้
_________________________________________
_______________________________
____________________
____________
______
__
ซึ่งจากประสบการณ์การแนะนำยาคุม และ เลือกใช้ยาคุมกำเนิดให้เหมาะสมกับผู้ใช้ โดยที่มีประสิทธิภาพที่ดีและลดผลอาการข้างเคียงให้ได้มากที่สุด พบว่า . . . จะมีผู้ใช้ยาคุม ที่มีเงื่อนไขดังนี้
1. ผู้หญิงที่ให้นมบุตร
ผู้หญิงให้นมแม่แบบ 100% ในช่วง 6 เดือน จะไม่ท้องแน่นอน เพราะจะไม่มีไข่ตก แต่ถ้าไม่ได้ให้นมแบบ 100% ถึงแม้จะไม่ถึง 6 เดือนก็ตาม แนะนำว่า ควรใช้วิธีคุมกำเนิดวิธีอื่นร่วมด้วย(ใส่ถุงยาง,แผ่นแปะ,....) หรือ อาจจะใช้ยาคุมกำเนิด ชนิดฮอร์โมนเดี่ยวที่ไม่ส่งผลต่อปริมาณ และ คุณภาพน้ำนม ยกตัวอย่างเช่น Lynestrenol หรือ Desogestrel เป็นต้น
2. กลุ่มคนโรคร่วม หรือมีภาวะร่วมดังนี้
- เป็นไมเกรนบ่อยๆ
- สูบบุหรี่จัด
- อ้วน BMI มากกว่าเกณฑ์ปกติ
ต้องหลีกเลี่ยงยาคุมที่มี Estrogen เพราะมันเป็นความเสี่ยงครับ
3. เลื่อนประจำเดือน
คือยา Norethiterone 5 mg/tab แต่การที่จะเลื่อนได้สำเร็จนั้น ผู้ใช้ต้องวางแผนมาพบเภสัชกร เพื่อรับคำแนะนำการกินด้วย ต้องวางแผนล่วงหน้า 3 วัน และ มีการแนะนำการกินตามน้ำหนักร่างกาย และ ต้องเน้นย้ำให้ผู้ใช้ กินในเวลาเดียวกัน ของทุกๆวัน และ เลื่อนได้ไม่เกิน 14 วัน . . . . สิ่งหนึ่งที่ต้องแจ้งผู้ใช้ คือ ประจำเดือนจะมาหลังจากหยุดยาประมาณ 2-3 วัน
4.รักษาสิว
ส่วนใหญ่จะเป็นยาคุมที่มีฤทธิ์ต่อต้านฮอร์โมนเพศชาย หรือ เป็นฮอร์โมน โปรเจสติน รุ่นใหม่ๆ เช่น Drospirenone หรือ Cyproterone acetate หรือเป็น 3rd generation ของ 19-nortestosterone นั่นก็คือ ตัว ได้แก่ Desogestrel, Gestodene และ Norgestimate ซึ่งส่วนใหญ่ ฮอร์โมนในกลุ่มเป็นกลุ่มที่พัฒนามาใหม่ จึงมีผลกระทบต่อ androgenic effect น้อยลง ผลกระทบเรื่องสิวจึงต่ำ
5. กังวลเรื่องน้ำหนัก
เป็นผลมาจาก Ethinyl estradiol หรือย่อว่า EE ยิ่งมีมากก็ยิ่งทำให้เกิดผลข้างเคียงเรื่องน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นมากตาม หรือที่เราเรียกว่า "กินยาคุมแล้วบวมน้ำ" เป็นต้น . . .ทางออกของปัญหานี้คือ ต้องเลือกปริมาณ EE ให้เหมาะสม ไม่มากไป หรือ น้อยไป ซึ่งต้องอาศัยข้อมูลจากการสังเกตและ ซักประวัติ ด้วย
__
______
___________
_________________
_______________________
ทั้งหมดนี้คือข้อมูลที่เราจะใช้เพื่อประกอบการตัดสินใจเลือกยาคุมให้คนไข้นะครับ
#สรุปย่อๆ ดังนี้ครับ
1. สังเกตดูก่อนว่าคนไข้ที่เรากำลังจะแนะนำ หรือ จ่ายยาคุมเป็น ผู้หญิง type ไหน . . . ?
ใครที่ไม่รู้วิธีดู type ผู้หญิง ก็นี่เลยครับ
ผมเคยเขียนไว้ >> https://bit.ly/3i59wk7
2. เลือกระดับ EE ให้เหมาะสม (15 , 20 , 35 mcg)
3. เลือกประเภท หรือ รุ่นของ โปรเจสติน
4. ประเมิน,วิเคราะห์ยาคุม *IESAC (ไอ-อี-แซค)เพื่อจะได้เลือกยาให้เหมาะสมกับความต้องการของผู้ใช้ครับ
*IESAC คือหลักการวิเคราะห์ความเหมาะสมในการเลือกใช้ยากับคนไข้
I - Indication
E - Efficacy
S - Safety
A - Adherence
C - Cost
และด้วยความที่ยาคุมกำเนิดขึ้นทะเบียนเป็น #ยาอันตราย ซึ่งก่อนใช้นะครับ ต้องปรึกษาเภสัชกร นะครับ ไม่อย่างนั้น อาจจะได้รับผลอาการข้างเคียง หรือ อันตรายในระยะยาวได้นะครับ
อย่าลืมนะครับ #มีปัญหาเรื่องยาปรึกษาเภสัชกร ครับผม