We Health Thailand การแพทย์และสุขภาพ

ศูนย์การแพทย์บูรณาการ แอ็บโซลูท เฮลธ์   ยกทัพโปรโมชั่นตรวจสุขภาพราคาประหยัด และทรีทเม้นท์ดูแลสุขภาพสุดคุ้มไปดูแลผู้รักสุ...
11/10/2019

ศูนย์การแพทย์บูรณาการ แอ็บโซลูท เฮลธ์ ยกทัพโปรโมชั่นตรวจสุขภาพราคาประหยัด และทรีทเม้นท์ดูแลสุขภาพสุดคุ้มไปดูแลผู้รักสุขภาพทุกท่านในงาน งานนวัตกรรมสินค้าและบริการด้านกีฬาระดับเอเชีย“THAILAND SPORT EXPO 2019 : Empower Your Sport DNA”
✅ บริการตรวจวัดอายุหลอดเลือดเพื่อประเมินความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือด พร้อมรับคำปรึกษาด้านสุขภาพ ฟรี
✅ บริการทรีทเมนท์ลดอาการปวดเรื้อรัง แก้ปัญหาออฟฟิศซินโดรม ด้วยเทคโนโลยีเครื่องบำบัดปวดด้วยคลื่นแม่เหล็ก (Transcutaneous Magnetic Stimulation TMS)
✅ โปรโมชั่นโปรแกรมตรวจสุขภาพ และทรีทเมนท์ลดสูงสุด 50%
พบกันได้ที่บูธ 61 – 72 ระหว่างวันที่ 10 - 13 ตุลาคม 2562 ณ อาคารชาเลนเจอร์ 3 อิมแพ็ค เมืองทองธานี เวลา 10.00 – 22.00 น.
งานดีที่ไม่ว่าคุณหรือใครก็ไม่ควรพลาด

😳
29/09/2019

😳

Apparently, the fact that cannabis successfully destroys cancer cells is no longer a conspiracy theory in the U.S. Therefore, can we regard it as a preventative herb against cancer, or can anyone reject the idea of using medicinal cannabis? According to Amy Willis, to the official cancer advice webs...

😨😨😨 "องค์การอนามัยโลกประกาศแล้ว  ให้เบคอน แฮม ไส้กรอก ซาลามี่ และผลิตภัณฑ์เนื้อแปรรูป ฯลฯ เป็นสารก่อมะเร็ง !!"ทาง IARC ค...
26/09/2019

😨😨😨

"องค์การอนามัยโลกประกาศแล้ว ให้เบคอน แฮม ไส้กรอก ซาลามี่ และผลิตภัณฑ์เนื้อแปรรูป ฯลฯ เป็นสารก่อมะเร็ง !!"

ทาง IARC คณะผู้เชี่ยวชาญนานาชาติ 22 คนของ WHO ได้ประกาศถึงความเสี่ยงในการก่อมะเร็งของผลิตภัณฑ์เนื้อแปรรูปออกมาจริงๆ ซึ่งรวมไปถึงพวกเนื้อแดงต่างๆ (วัว หมู แพะ แกะ) ด้วย หลังจากได้ศึกษาวิเคราะห์ทบทวนงานวิจัยต่างๆ ที่เคยมีมา ทั้งการทดลองในสัตว์ทดลอง และการศึกษาระบาดวิทยา (epidemiology) ในคน และสรุปว่า พบความสัมพันธ์ระหว่างการกินเนื้อแดงและมะเร็งลำไส้ โดยเผยแพร่รายงานผ่านวารสารทางการแพทย์ The Lancet

รายงานนี้ได้ทบทวนงานวิจัยเกี่ยวกับส่วนผสม 50 อย่างของอาหารที่ (ฝรั่ง) บริโภคในแต่ละวัน และพบว่ามีถึง 40 อย่างที่ส่งผลต่อมะเร็งได้

คณะทำงานยังได้อ้างอิงถึงข้อแนะนำทางโภชนาการว่า การกินผลิตภัณฑ์แปรรูปจากเนื้อเพิ่มขึ้น 50 กรัมต่อวัน จะเพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็งลำไส้เพิ่มขึ้น 18% และ การกินเนื้อแดงเพิ่มขึ้น 100 กรัมต่อวัน จะเพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็งลำไส้ขึ้นอีก 17%

แถลงการณ์ของ WHO ครั้งนี้ที่ระบุว่า เนื้อแปรรูปก่อให้เกิดมะเร็งลำไส้ โดยจัดอยู่ในสารก่อมะเร็งกลุ่ม 1 (ระดับเดียวกับสารหนู แร่ใยหิน แอลกอฮอล์ และยาสูบ) และจัดเนื้อแดงให้อยู่ระดับ 2A คือ "น่าจะ (probably)" ก่อให้เกิดมะเร็งลำไส้ร่วมถึงมะเร็งตับอ่อนและมะเร็งต่อมลูกหมาก นี้ นับว่าเป็นเรื่องใหญ่มากเพราะว่าไม่เคยมีองค์กรไหนกล้าฟันธงแรงขนาดนี้มาก่อน แม้ว่าจะเคยมีดีเบตในเรื่องนี้กันมานานแล้วก็ตาม ว่าการกินเนื้อแดงมีผลต่อการเกิดมะเร็งลำไส้จริงๆ หรือเป็นเพราะว่าคนๆนั้นกินผักผลไม้น้อยเกินไป

ข้อมูลจาก

U.S. meat industry objects controversial finding and prepares for battle.

พบสารกันบูดในน้ำพริกหนุ่มที่เกินมาตรฐานกลุ่มที่ตรวจพบสารกันบูดเกินมาตรฐาน มีจำนวน 7 ตัวอย่าง ได้แก่1) น้ำพริกหนุ่ม ร้านด...
02/08/2019

พบสารกันบูดในน้ำพริกหนุ่มที่เกินมาตรฐาน
กลุ่มที่ตรวจพบสารกันบูดเกินมาตรฐาน มีจำนวน 7 ตัวอย่าง ได้แก่
1) น้ำพริกหนุ่ม ร้านดำรงค์ จาก ตลาดวโรรส จ.เชียงใหม่ พบปริมาณ กรดเบนโซอิก เท่ากับ 890.32 มก./กก.
2) น้ำพริกหนุ่ม ล้านนา จาก ตลาดของฝากเด่นชัย จ.แพร่ พบปริมาณ กรดเบนโซอิก เท่ากับ 1026.91 มก./กก.
3) น้ำพริกหนุ่ม นิชา (เจ๊หงษ์ น้ำพริกหนุ่ม) จาก ตลาดวโรรส จ.เชียงใหม่ พบปริมาณ กรดเบนโซอิก เท่ากับ 1634.20 มก./กก.
4) น้ำพริกหนุ่ม เจ๊หงษ์ จาก ตลาดวโรรส จ.เชียงใหม่ พบปริมาณ กรดเบนโซอิก เท่ากับ 1968.85 มก./กก.
5) น้ำพริกหนุ่ม แม่ชไมพร จาก ตลาดสดอัศวิน ร้านสิริกรของฝาก จ.ลำปาง พบปริมาณ กรดเบนโซอิก เท่ากับ 2231.82 มก./กก.
6) น้ำพริกหนุ่ม ยาใจ (รสเผ็ด) จาก ร้านขายของฝากสามแยกเด่นชัย จ.แพร่
พบปริมาณ กรดเบนโซอิก เท่ากับ 3549.75 มก./กก.
7) น้ำพริกหนุ่ม อุมา จาก ตลาดสดแม่ต๋ำ จ.พะเยา พบปริมาณ กรดเบนโซอิก เท่ากับ 5649.43 มก./กก.

เชียงใหม่ ชาวเหนือสะดุ้ง หลังนิตยสารฉลาดซื้อ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค เปิดเผยผลการสุ่มตรวจสารกันบูด ในน้ำพ....

🏃🏃🏃
01/08/2019

🏃🏃🏃

• 5 ประโยชน์ที่คาดไม่ถึงจากการเดิน และอันตรายจากการนั่งนาน 🚶‍♂️🚶‍♀️•

ผมได้อ่านบทความที่น่าสนใจเกี่ยวกับประโยชน์ของการเดินออกกำลังกายจากโรงเรียนแพทย์ฮาร์วาร์ด (วันที่ 6 กรกฎาคม 2019) ซึ่งกล่าวว่า

คุณอาจรู้ว่าการออกกำลังกาย รวมถึงการเดิน เป็นกิจกรรมที่ดีสำหรับสุขภาพโดยรวม แต่การเดินมีประโยชน์เกินคาด 5 ประการ คือ

1.ต่อต้านผลกระทบของยีนที่ส่งเสริมให้น้ำหนักเกิน: นักวิจัยของฮาร์วาร์ดศึกษายีนที่ส่งเสริมโรคอ้วน 32 ยีน ในกว่า 12,000 คนเพื่อตรวจสอบว่ายีนเหล่านี้มีส่วนทำให้น้ำหนักตัวเกินมากเพียงได นักวิจัยพบว่า ผู้ร่วมการศึกษาที่เดินเร็วประมาณหนึ่งชั่วโมงต่อวันจะลดผลพวงจากการทำงานของยีนส์ที่ทำให้น้ำหนักเกินเหลือเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น

2.ช่วยให้กินของหวานน้อยลง: งานวิจัย 2 เรื่องที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้คืองานวิจัยของ University of Exeter ซึ่งพบว่าการเดิน 15 นาทีสามารถลดความอยากกินช็อคโกแลตและลดปริมาณการกินช็อคโกแลตเมื่อเกิดความเครียดและงานวิจัยล่าสุดยืนยันว่าการเดินสามารถลดความอยากและการบริโภคขนมหวานโดยรวมได้

3.ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งเต้านม: นักวิจัยทราบแล้วว่าการออกกำลังกายทุกชนิดทำให้ความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเต้านมลดลง แต่การศึกษาโดยสมาคมโรคมะเร็งอเมริกันพบว่าผู้หญิงที่เดิน 7 ชั่วโมงหรือมากกว่าต่อ1 สัปดาห์มีความเสี่ยงเป็นโรคมะเร็งเต้านมต่ำกว่าผู้ที่เดิน 3 ชั่วโมงหรือน้อยกว่าต่อสัปดาห์ ถึง 14% การเดินออกกำลังกาย ให้การป้องกันความเสี่ยงเป็นโรคมะเร็งเต้านม แม้ผู้หญิงจะมีปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆเช่น มีน้ำหนักตัวเกินหรือการใช้ฮอร์โมนเสริม

4.ช่วยลดอาการปวดข้อ: มีงานวิจัยหลายชิ้นพบว่าการเดินช่วยลดความเจ็บปวดที่เกี่ยวข้องกับโรคข้ออักเสบและการเดิน 5-6 ไมล์ (8-9 กิโลเมตร) ต่อสัปดาห์ สามารถป้องกันการเกิดโรคข้ออักเสบได้ตั้งแต่แรกเริ่ม กล่าวคือการเดินจะช่วยให้ข้อต่อที่สำคัญของร่างกายแข็งแรงและได้รับการหล่อลื่นโดยเฉพาะหัวเข่าและสะโพกซึ่งส่วนใหญ่จะไวต่อการเกิดโรคข้อเข่าเสื่อม นอกจากนั้นการเดินยังจะเสริมสร้างกล้ามเนื้อที่สนับสนุนกระดูกและข้อต่อ

5.ช่วยการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน: การเดินสามารถช่วยช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันได้ในช่วงฤดูหนาวและฤดูไข้หวัดใหญ่ จากการศึกษาชายและหญิงกว่า 1,000 คนพบว่าผู้ที่เดินอย่างน้อย 20 นาทีต่อวันอย่างน้อย 5 วันต่อสัปดาห์ จะลดวันลาป่วยลง 43% เมื่อเทียบกับผู้ที่ออกกำลังกายสัปดาห์ละ 1 ครั้งหรือน้อยกว่า แต่ถ้าป่วยก็ยังจะมีอาการป่วยที่รุนแรงน้อยกว่าและช่วงให้เวลาป่วยสั้นลง หมายความว่าคนที่เดินเป็นประจำจะฟื้นตัวจากอาการป่วยเร็วขึ้นกว่าคนที่ไม่ได้เดินเป็นประจำ

การเดินเป็นประโยชน์ แต่การนั่งนานเป็นอันตราย

การศึกษาที่ตีพิมพ์ออนไลน์เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2018 ในวารสารระบาดวิทยาอเมริกัน เป็นงานวิจัยที่ ติดตามสุขภาพของคน 127,554 คน (ไม่มีโรคเรื้อรังที่สำคัญเมื่อเมื่อเริ่มต้นการศึกษา) เป็นเวลา 21 ปี ในระหว่างการศึกษามีผู้เสียชีวิต 48,784 คน การศึกษาพบว่า การนั่งพักผ่อนเป็นเวลานานมีความเสี่ยงสูงต่อการเสียชีวิตจากทุกสาเหตุ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคมะเร็ง โรคหลอดเลือดหัวใจโรคหลอดเลือดสมอง โรคเบาหวาน โรคไต โรคปอด โรคตับโรคแผลในกระเพาะอาหารและโรคระบบย่อยอาหารอื่น ๆ โรคพาร์กินสัน และความผิดปกติของกล้ามเนื้อและกระดูก

การนั่งนานมากกว่า 6 ชั่วโมง / วัน) มีความสัมพันธ์กับอัตราการเสียชีวิตที่สูงขึ้น 19% จากทุกสาเหตุรวมกัน เมื่อเทียบกับกับการนั่งน้อยกว่า 3 ชั่วโมง

เวลาที่ใช้ในการนั่งอาจเป็นแรงจูงใจให้ทำกิจกรรมที่ไม่ดีต่อสุขภาพ เช่น การกินอาหารว่างขณะดูทีวี เวลาที่ใช้ในการนั่งมีผลเสียต่อระดับฮอร์โมนของร่างกายและวิธีการทำงานของระบบภูมิคุ้มซึ่งนักวิจัยคิดว่ากันอาจเป็นปัจจัยในการเชื่อมโยงเวลานั่งกับความเสี่ยงตาย

ผู้หญิงที่นั่งมากที่สุดมีความเสี่ยงที่จะเสียชีวิตมากขึ้น 34% ในช่วง 14 ปีของการศึกษาเทียบกับผู้ที่นั่งน้อยที่สุด สำหรับผู้ชายความเสี่ยงเพิ่มขึ้น 17% ผู้หญิงที่นั่งมากและไม่ออกกำลังกาย มีความเสี่ยงที่จะเสียชีวิตมากขึ้นเกือบ 200% เมื่อเปรียบเทียบกับผู้หญิงที่นั่งน้อยและออกกำลังกายมากที่สุด

ผู้ชายที่นั่งมากและไม่ออกกำลังกาย มีแนวโน้มที่จะเสียชีวิตมากกว่าผู้ชายที่นั่งน้อยและออกกำลังกายอยู่ประจำ 50% การศึกษาอื่น ๆ ได้มีข้อสรุปเดียวกันว่าการเคลื่อนไหวร่างกายในชีวิตประจำวันมีประโยชน์ในการป้องกันโรคหัวใจ โรคเบาหวาน โรคมะเร็ง หรือการลดน้ำหนัก แพทย์บางคนจึงแนะนำให้จำกัดเวลาในการนั่ง เหมือนกับการจำกัดการดื่มสุรา

การนั่งเป็นเวลานานจะผ่อนคลายกล้ามเนื้อใหญ่ที่สุดของร่างกาย กล้ามเนื้อใหญ่เมื่อไม่มีอะไรทำก็ไม่จำเป็นต้องดูดซับรับน้ำตาล (กลูโคส) จากเลือดซึ่งจะทำให้เสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวานประเภท 2 เอ็นไซม์ที่สลายไขมันในเลือดก็จะลดลง ทำให้ไขมันในเลือด (ไตรกลีเซอไรด์) เพิ่มขึ้นและในขณะเดียวกันการไม่ออกกำลังกายจะทำให้ระดับไขมันดี (HDL) ลดลง จึงมีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดโรคหัวใจต่อไป

บทเรียนคือการเดินออกกำลังกายควรทำอย่างยิ่งและทำอย่างเป็นประจำ แต่การนั่งนั้นควรทำให้น้อยลงครับ

ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ

ที่มา: คอลัมน์ เศรษฐศาสตร์จานร้อน | กรุงเทพธุรกิจ | 29 ก.ค 62....................................................................
ขอขอบคุณ

เฟซบุ๊ก ป้าศรี จำนงศรี หาญเจนลักษณ์
:https://www.facebook.com/ChamnongsriAwareness ที่นำมาแชร์ต่อครับ

▶️  #น้ำมันมะกอกดีต่อสุขภาพ แต่คุณแน่ใจหรือไม่ว่าใช้ถูกชนิด ▫️▶️น้ำมันมะกอก เป็นน้ำมันอีกหนึ่งชนิดที่ ผู้รักสุขภาพหลายคน...
31/07/2019

▶️ #น้ำมันมะกอกดีต่อสุขภาพ แต่คุณแน่ใจหรือไม่ว่าใช้ถูกชนิด
▫️
▶️น้ำมันมะกอก เป็นน้ำมันอีกหนึ่งชนิดที่ ผู้รักสุขภาพหลายคนเลือกนำมาใช้ในการปรุงอาหารทาน เพราะด้วยคุณสมบัติอันหลากหลายของมันทั้งช่วยลดน้ำหนัก ต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยบำรุงหัวใจ และยังมีประโยชน์ในด้านสุขภาพความงามและอื่น ๆ อีกมากมาย ซึ่งสำหรับมือโปรหลายท่านก็คงรู้อยู่แล้วว่าน้ำมันมะกอกนั้นมีหลายชนิด และการนำไปใช้นั้นก็ค่อนข้างแตกต่างกัน แต่สำหรับมือใหม่ที่อยากเริ่มใช้น้ำมันมะกอกก็คงมีคำถามขึ้นว่า มันมีกี่ชนิดกันแน่ และความแตกต่างของมันอยู่ที่ใด
▫️
▶️หลายคนแอบพยักหน้าว่าจริงด้วยเนอะ เราต่างทราบกันดีว่าน้ำมันมะกอกเป็นไขมันที่สกัดมาจากผลมะกอกมีทั้งแบบบริสุทธิ์และผ่านกรรมวิธี เรียกได้ว่าเป็นน้ำมันชนิดที่ดีไม่ทำร้ายสุขภาพ น้ำมันมะกอกอุดมไปด้วยสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายหลายชนิด แต่ปัญหาที่หลายคนเจอคล้าย ๆ กัน คือ น้ำมันมะกอกมีหลายชนิดแล้วเราต้องใช้แบบไหนล่ะ!
น้ำมันมะกอกที่มีจำหน่ายในปัจจุบัน หลัก ๆ มี 2 ส่วน คือ
▫️
▶️น้ำมันมะกอกธรรมชาติ (EXTRA VIRGIN)
เป็นน้ำมันที่ได้โดยตรงจากผลมะกอกโดยการบีบสดแบบเย็นทันทีหลังการเก็บเกี่ยว ดังนั้นจึงเต็มไปด้วยรสชาติและกลิ่นหอมของมะกอกแบบเข้มข้น จึงเหมาะกับการทำสลัด ซอส และพาสต้า
▫️
▶️น้ำมันมะกอกผ่านกรรมวิธี (EXTRA LIGHT)
น้ำมันชนิดนี้จะผ่านกระบวนการขั้นตอนอื่น ๆ นอกเหนือจากการบีบจากผลมะกอก จึงทำให้ทนความร้อนได้ดีโดยไม่ไหม้ น้ำมันมะกอกผ่านกรรมวิธีจึงเหมาะกับการผัด อบ ย่าง และทอด และที่ขายในบ้านเรามักมีแยกออกไปอีกว่าเป็นชนิดที่ปราศจากกลิ่น ซึ่งเหมาะกับผู้ที่ไม่ชอบกลิ่นของน้ำมันมะกอก
ซื้อน้ำมันมะกอกครั้งต่อไป อย่าลืมเลือกชนิดที่เหมาะกับการใช้งานนะครับ และถึงแม้น้ำมันมะกอกจะมีกรดไขมันที่มีประโยชน์ แต่ไม่ได้หมายความว่าคุณจะทานได้แบบไม่จำกัดนะครับ เลือกใช้แค่พอเหมาะน่าจะเป็นการดูแลสุขภาพที่ถูกต้องและสมบูรณ์แบบมากกว่าแน่นอนครับ

🛡 เพราะสุขภาพดี... คุณกำหนดได้
#ปรึกษาและฟื้นฟูสุขภาพ ได้ที่แอ็บโซลูท เฮลธ์ ทุกสาขา
☎️ Absolute Health Clinic โคราช 044-756-489 ทุกวัน 9:00-18:00 น. (ยกเว้นวันพุธ)

#เพราะสุขภาพดีคุณกำหนดได้


#แอ็บโซลูทเฮลธ์

▶️IG : absolute_health_regenerative
▶️LINE@ : ( มี@ด้านหน้า)

 #เทคนิคการออกกำลังกายให้ดีกับหัวใจเมื่อเราคิดจะเริ่มต้นออกกำลังกายเพื่อมุ่งหวังประโยชน์กับหัวใจ บางคนอาจคิดถึงการออกกำล...
26/07/2019

#เทคนิคการออกกำลังกายให้ดีกับหัวใจ
เมื่อเราคิดจะเริ่มต้นออกกำลังกายเพื่อมุ่งหวังประโยชน์กับหัวใจ บางคนอาจคิดถึงการออกกำลังกายที่หนัก เหงื่อโทรมกาย เหนื่อยแบบหายใจแทบไม่ทัน เราจะขอให้คุณลบภาพเหล่านั้นออกไปก่อน และจดจำไว้เพียงว่า “การออกกำลังกายเพื่อประโยชน์ของสุขภาพหัวใจไม่จำเป็นต้องหักโหม เพราะการได้เคลื่อนไหวร่างกาย ทำกิจกรรมที่ใช้แรงปานกลางจนหายใจเร็วขึ้นเล็กน้อยก็เป็นประโยชน์ที่ดีแล้ว”
#แอโรบิก คำตอบดี ๆ เพื่อหัวใจแข็งแรง
การออกกำลังกายแบบแอโรบิก (Aerobic Exercise) คือ การออกกำลังกายที่ดีกับหัวใจ เพราะเป็นการออกกำลังกายที่ร่างกายต้องใช้ออกซิเจน มุ่งเน้นให้กล้ามเนื้อมัดใหญ่ในร่างกายได้ทำงานอย่างต่อเนื่อง เช่น การเดิน การวิ่ง การว่ายน้ำ การขี่จักรยานอยู่กับที่ ในแง่ของการดูแลสุขภาพนั้น การออกกำลังกายด้วยวิธีการแอโรบิกมีประโยชน์ที่สำคัญมาก ๆ เพราะ #ช่วยให้หัวใจและระบบไหลเวียนเลือดแข็งแรง #ระบบเผาผลาญพลังงานในร่างกายทำงานได้เป็นระบบและดีมากขึ้น #เพิ่มจำนวนเซลล์ที่มีหน้าที่เผาผลาญพลังงานให้เพิ่มจำนวนมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตามมีสิ่งที่จะต้องปฏิบัติทุกครั้งเมื่อออกกำลังกาย ห้ามละเลยเด็ดขาดก็คือ การอบอุ่นร่างกาย (Warm-Up) เพื่อเตรียมร่างกายให้พร้อมก่อนออกกำลังกาย และการผ่อนคลายกล้ามเนื้อก่อนเลิกออกกำลังกาย (Cool-Down) ซึ่งเป็นตัวช่วยลดอาการบาดเจ็บได้อย่างดี
การออกกำลังกายแม้ ขยับร่างกายทำกิจกรรมก็นับเป็นสิ่งที่ดีแล้ว แต่ถ้ามุ่งหวังให้การออกกำลังกายเกิดประโยชน์กับสุขภาพนั่นจะต้องเพิ่มคำว่า “สม่ำเสมอ” เข้าไปด้วย โดยควรออกกำลังกายอย่างน้อย 3 ครั้งต่อสัปดาห์ ครั้งละประมาณ 30 นาที เรามาทำให้การออกกำลังกายเป็นปัจจัยในชีวิตที่คุณขาดไม่ได้กันเถอะครับ เพราะเพียงแค่คุณเริ่มหันมาดูแลตัวเอง มันก็เป็นจุดเริ่มต้นในชีวิตที่จะนำพาความมีสุขภาพดีมาสู่ชีวิตคุณได้แล้วละครับ

 #สารพิษโลหะหนัก อันตรายใกล้ตัวที่คุณอาจเคยละเลยนอกจากพฤติกรรมการใช้ชีวิต และปัจจัยทางพันธุกรรมที่เป็นต้นเหตุให้ร่างกายข...
25/07/2019

#สารพิษโลหะหนัก อันตรายใกล้ตัวที่คุณอาจเคยละเลย
นอกจากพฤติกรรมการใช้ชีวิต และปัจจัยทางพันธุกรรมที่เป็นต้นเหตุให้ร่างกายของเราเสื่อมและระบบการทำงานในร่างกายหยุดชะงักแล้ว การที่ร่างกายของเราได้รับสารพิษโลหะหนักเข้าไปก็ยังเป็นอีกสาเหตุหนึ่งของการที่ร่างกายเราเสื่อมถอยและเกิดการเจ็บป่วย แม้เราจะได้รับสารพิษในปริมาณที่ไม่มากหรือคิดว่าไม่น่าก่อให้เกิดพิษได้ แต่แท้จริงแล้วการที่ร่างกายของเราได้รับสารพิษนี้ไป แม้เพียงปริมาณเล็กน้อยก็ก่อให้เกิดความเสื่อม ความเสียหาย ก่อให้เกิดอาการเจ็บป่วยกับร่างกายของเราได้ไม่แพ้ปัจจัยอื่น ๆ

เพราะโลหะหนักเหล่านั้นจะเข้าไปรบกวนการทำงานของแร่ธาตุต่าง ๆ ในร่างกาย ทำให้ปฏิกิริยาการทำงานของระบบต่าง ๆ ในร่างกายเช่น การสร้างพลังงาน การใช้สารอาหารในการสร้างฮอร์โมนต้องหยุดชะงักไป นอกจากนี้โลหะหนักยังเป็นตัวการที่ก่อให้เกิดอนุมูลอิสระในร่างกาย ทำลายผนังเซลล์ ทำให้หลอดเลือดแข็ง เกิดพลาคหรือลิ่มเลือดอุดตัน กลายเป็นปัจจัยเสี่ยงให้หลอดเลือดอุดตัน และก่อให้เกิดโรคมากมาย เช่น อัลไซเมอร์ พาร์กินสัน โรคหัวใจและหลอดเลือด เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไตเสื่อม ตาเสื่อม และโรคเรื้อรังต่าง ๆ

ซึ่งสารพิษโลหะหนักต่าง ๆ ที่เราพูดถึงนั้นปนเปื้อนอยู่ใกล้ตัวเราตลอด ทั้งในอากาศ พืชผักผลไม้ อาหารทะเล ยาทาเล็บ เครื่องสำอาง หม้อก๋วยเตี๋ยว ซึ่งเราสะสมเข้าไปในร่างกายทีละเล็กทีละน้อย ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่เราจะพบว่าคนในปัจจุบันนี้ป่วยด้วยโรคของความเสื่อมโดยที่เราไม่ทันได้รู้ตัวมาก่อนเลยด้วยซ้ำ

ฉะนั้นหากเราอยากมีสุขภาพแข็งแรงอย่างยั่งยืน เราจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับการเลือกทาน เลือกใช้ให้มากขึ้น รวมถึงกำจัดสารพิษเหล่านี้ออกไปจากร่างกายเราด้วยวิธี #การทำคีเลชั่น ซึ่งเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการฟื้นฟูหลอดเลือดและ ช่วยล้างสารพิษและโลหะหนักต่าง ๆ ทำให้ระบบไหลเวียนเลือดในร่างกายดีขึ้น โดยเฉพาะหากคุณเป็นคนที่พักอาศัย ทำงานในเขตเมือง หรือเขตที่มีโรงงานอุตสาหกรรมซึ่งอุดมด้วยมลพิษ และมีพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่เสี่ยงในการรับสารพิษและโลหะหนัก ทั้งนี้ ก็เพื่อป้องกันความเสี่ยงของปัญหาสุขภาพที่กล่าวมาครับ

 # 4 เทคนิคง่าย ๆ ลดอาการปวดศีรษะด้วยตัวเอง  #ปวดศีรษะ ปัญหาการปวดที่เสมือนจะเป็นเรื่องทั่วไปที่ใครก็ปวดกัน และที่มาของค...
23/07/2019

# 4 เทคนิคง่าย ๆ ลดอาการปวดศีรษะด้วยตัวเอง
#ปวดศีรษะ ปัญหาการปวดที่เสมือนจะเป็นเรื่องทั่วไปที่ใครก็ปวดกัน และที่มาของความปวดก็มีหลายปัจจัย อาทิ ปวดศีรษะจากความเครียด วิตกกังวล นอนไม่หลับ ใช้สายตามาก ทำงานหนัก หรือพักผ่อนน้อย และวิธีที่คนส่วนใหญ่เลือกใช้เป็นวิธีแรกในการบรรเทาอาการปวด คือ การทานยาพาราเซตามอล ซึ่งในความเป็นจริงการทานยาควรจะเลือกเป็นวิธีสุดท้าย ดังนั้นแทนที่เราจะเริ่มต้นแก้ปัญหาด้วยยา มาเลือกบำบัดลดปวดด้วยวิธีธรรมชาติกันดีกว่า มีวิธีใดบ้างไปทำพร้อม ๆ กัน
#ละลดความเครียด เมื่อรู้สึกปวดศีรษะต้องรีบหยุดพักจากสิ่งที่ทำ หรือถ้ากำลังรู้สึกเครียดต้องถอยห่างทันทีเพื่อเปลี่ยนอิริยาบถ เช่น นั่งหลับตาเงียบ ๆ คนเดียวในห้องที่มีแสงน้อย ๆ หรือออกไปหาพื้นที่สีเขียวโล่ง ๆ สูดอากาศบริสุทธิ์ให้เต็มปอด หยุดคิดในทุกเรื่อง เพราะหลายครั้งแค่เราหยุดเพื่อหลุดจากความเครียด อาการปวดศีรษะก็หายได้เอง
#สุคนธบำบัด การเลือกสูดดมกลิ่นต่าง ๆ จากธรรมชาติหรือที่สกัดจากธรรมชาติ อาทิ กลิ่นจากเปลือกส้ม กลิ่นน้ำมันหอมระเหยกลิ่นส้ม กลิ่นมะนาว กลิ่นลาเวนเดอร์ กลิ่นกาแฟ คาโมมายล์ หรือมิ้นท์ ก็ช่วยบำบัดอากาศปวดศีรษะและยังส่งผลให้ร่างกายรู้สึกผ่อนคลายได้อีกด้วยนะครับ
#นวดผ่อนคลาย การนวดบริเวณ คอ บ่า ไหล่ สามารถช่วยลดอาการปวดศีรษะ โดยกดเบา ๆ และค้างไว้สัก 10 วินาที จากนั้นจึงค่อย ๆ คลายออก นวดไปสักระยะจะรู้สึกผ่อนคลาย ทำให้อาการปวดศีรษะหรือความเครียดลดลงหรือหายในที่สุด หลังนวดเสร็จอาจใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นประคบตามจุดที่นวดจะช่วยให้ผ่อนคลายยิ่งขึ้น
#ลดปวดด้วยโยคะ โยคะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้ร่างกาย และหลายท่ายังช่วยบรรเทาอาการปวดศีรษะได้ดี เช่น ท่าดอกบัว ท่าคางชิดอก ท่ายืนก้มตัวหาข้อเท้า ท่าสุนัขก้มหน้า ท่าเหล่านี้จะช่วยให้ผู้ฝึกรู้สึกผ่อนคลาย ช่วยให้ระบบไหลเวียนเลือดทำงานได้สะดวก เลือดไหลไปเลี้ยงสมองได้ดีขึ้น ช่วยยืดกล้ามเนื้อบริเวณแขน ขา และช่วงไหล่ ซึ่งจะเน้นทำช้า ๆ เพราะถ้าทำเร็วอาจหน้ามืดได้
เมื่อปวดศีรษะอย่าลืมเลือกวิธีที่แนะนำข้างต้นไปปฏิบัติและปรับใช้ให้เหมาะกับสถานการณ์นะครับ เพราะถึงอย่างไรแนวทางบำบัดแบบธรรมชาติย่อมดีกับสุขภาพมากกว่าการเลือกใช้ยาอย่างแน่นอนครับ

ที่อยู่

เมืองเชียงใหม่
10330

เบอร์โทรศัพท์

+66619391590

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ We Health Thailandผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

แชร์

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram