The Cadence Music Therapy

The Cadence Music Therapy The group of Medical Music Therapists in Thailand

หายไปนานไม่ ได้หายไปไหนหายไปพัฒนา นวัตกรรมต่อในนามของเจ้เม ดนตรีบำบัดอย่างง่าย by Mayrin ผู้ก่อตั้งและผู้พัฒนานวัตกรรม C...
04/09/2025

หายไปนานไม่ ได้หายไปไหน
หายไปพัฒนา นวัตกรรมต่อ

ในนามของเจ้เม ดนตรีบำบัดอย่างง่าย by Mayrin ผู้ก่อตั้งและผู้พัฒนานวัตกรรม Cadence Music Therapy รู้สึกเป็นเกียรติและภูมิใจอย่างยิ่ง กับรางวัลชนะเลิศจากการประกวด Innovation Pitching Competition ในงานประชุมวิชาการ Quality and Innovation Conference ของโรงพยาบาลรามาธิบดี เมื่อวันที่ 28–29 สิงหาคม 2025 ที่ผ่านมา

รางวัลนี้คือรางวัลแรกของ LUMINAL SUITE of Transition นวัตกรรมด้านดนตรีบำบัดที่พัฒนาขึ้นเพื่อช่วยหวังจะช่วยตรวจจับสัญญาณเริ่มต้นของ complicated grief

สำหรับเมรินและทีมผู้พัฒนา ความสำเร็จนี้ไม่ใช่แค่รางวัล แต่คือความท้าทายครั้งใหญ่ในการพัฒนางานดนตรีบำบัดเข้าสู่โลกดิจิทัล ซึ่งเกิดขึ้นได้จากการทำงานร่วมกันของมนุษย์และ AI

แต่ถึงแม้ว่าเราจะเป็นผู้พัฒนานวัตกรรมที่มี AI เป็นตัวผสาน แต่เราก็ยังเชื่อมั่นใน ‘พลังดนตรีและการบำบัดของมนุษย์’ เชื่อว่าเป็นสิ่งท้าย ๆ ในโลกที่เทคโนโลยีจะมาทดแทนได้

ขอบคุณทีมงานทุกคนและขอบคุณทุกกำลังใจนะคะ
มาลุ่นต่อว่าเราจะไปต่อในเวทีโลกไหม

#ดนตรีบำบัด

The trust in your intuition “การเชื่อถือในภูมิปัญญาตัวเอง”ในยุคที่ AI, G*I ถาโถม มีใครคาดการณ์ไว้ไหมว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้า...
23/07/2025

The trust in your intuition
“การเชื่อถือในภูมิปัญญาตัวเอง”

ในยุคที่ AI, G*I ถาโถม มีใครคาดการณ์ไว้ไหมว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้างกับเรา
นวัตกรรมท้าทายสติปัญญาของมนุษย์ ตั้งแต่ก่อนเกิดถึงหลังความตายเช่นนี้

ศิลปะจรรโลงโลกอย่าง “ดนตรี” ก็ถูกท้าทายเช่นเดียวกัน
ถอดแง่คิดจากการได้ไปร่วมงาน “Tomorrow Today in Research: Leveraging AI and Data Analytics for Real-World Impact” การเปิดตัวอย่างเป็นทางการของการร่วมมือทางวิชาการของ Mahidol X Elsevier เลยมีมุมมองมาฝาก

🔵ให้ AI เป็น assistance ไม่ใช่ boss

“ #ภูมิปัญญามนุษย์ยังล้ำกว่าทุกสิ่ง” พูดแบบนี้เดี๋ยวอวยสายพันธุ์เดียวกันเอง จุดตัดเลยนะ ที่ทำให้ยังไงมนุษย์ก็เหนือกว่า AI นั่นคือเรามี “จิตวิญญาณ” ฮั่นแน่!!!! เดี๋ยวมีถามต่ออีกว่ามีจิตวิญญาณดีกว่าไม่มีอย่างไร

เพราะเราให้ค่ากับจิตวิญญาณอย่างไรเล่า มันเลยเป็นคุณค่าของเรา เพราะถ้าไร้ซึ่งจิตวิญญาณ เราก็จะไม่ต่างอะไรกับสิ่ง “ไม่มีชีวิต” อย่างสิ้นเชิง การมีชีวิตที่มีจิตวิญญาณบรรจุอยู่ (ไม่ใช่มีแต่ลมหายใจที่ขาดไปแล้ว ซึ่งการเชื่อมโยงกับจิตวิญญาณและตัวตน ยกตัวอย่าง เช่น คนสมองตาย ที่อาจมีลมหายใจแต่ไม่มีแล้วชีวิต เราถึงเรียกว่าตาย) ทำให้เราสร้างโลกได้ รวมทั้งสร้าง AI ขึ้นมาได้อีกตัว แถมเก่งพอที่จะสอนให้มันเป็นเรา (มนุษย์) ได้

🔵ภาษา ปัญญาขั้นสูง และสุขภาพจิต

การสอนได้ ถ่ายทอดเป็น ออกมาในรูปแบบ “ภาษา” ที่จะใช้ในการสื่อสารได้ เป็นปัญญาขั้นสูงของมนุษย์ และลึกซึ้งกว่าที่เราคิด และ base ของการเทรน AI คือภาษา หรือ LLM (Large Language Model) อย่างที่เรารู้กัน สังเกตอะไรไหม AI ยังต้องเรียนภาษากับเรา และเสียงดนตรีก็เป็นภาษาอีกรูปแบบ

การเจ็บป่วยทางจิตนั้นกระทบต่อสภาพอารมณ์ (emotional, mood) และความคิด (thought) ซึ่งกระทบต่อ “ความรู้สึก” (feeling) ใน psychotherapy ความสามารถที่จะกลั่นเอา “คำ” ออกมาเพื่อใช้อธิบายความคิด thought ความรู้สึก feeling อารมณ์ emotion ของตัวเองได้ เป็น indication หนึ่งที่ใช้วิเคราะห์ได้ว่าคนไข้มี self-awareness พอที่จะเห็นและเข้าใจ self-concept ของตัวเองหรือไม่ ซึ่งเกิดจากการรับรู้ในระดับ unconsciousness (จิตใต้สำนึก) จนขึ้นมาสู่ในระดับ consciousness (จิตสำนึก) และความสามารถในการสื่อสารให้ผู้อื่นได้รับทราบ เข้าใจ หรือแม้แต่การมีคำอธิบายให้ตัวเองได้ นำไปสู่การเยียวยาทางจิตใจ ความคิด และอารมณ์ ลดอาการเศร้า ลบแนวคิดในการฆ่าตัวตาย (แต่ในคนไข้ที่อาการหนักต้องใช้ยา และการกระตุ้นไฟฟ้าในการรักษา)

กระบวนการคิดโดยเอาจิตวิญญาณและสัญชาติญาณเข้าไปหลอมรวมทำให้เกิด หรือ “ #ปัญญาญาณ” (INFJ คือสายแข็งในด้านนี้ แต่จะ MBTI ไหนก็ฝึกได้)

OSHO กล่าวในหนังสือ Intuition ว่า “ปัญญาญาณเป็นปรากฏการณ์ในลักษณะการ ‘ก้าวกระโดด’ มันไม่ได้เป็นการก้าวจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง ไม่ต้องอาศัยการต่อเชื่อมระหว่างจุดสองจุด แต่มันเป็นการกระโดดข้าม” ไม่มีแหล่งกำเนิดชัดเจน มันแค่อุบัติขึ้นมา เป็นสิ่งที่รับส่งกันไม่ได้ และเป็นการปรับเปลี่ยนสถานการณ์จากสิ่งที่ “รู้จักไม่ได้” กลายมาเป็นสิ่งที่ “รู้จักได้”

🔵งงใช่ไหม? อย่างเพิ่ง งง อ่านต่อก่อน

มีอีกคำที่ใกล้เคียงกันแต่ไม่เหมือนกัน และมักถูกเข้าใจผิดว่าเป็นเรื่องเดียวกัน คือ “ #ปรีชาญาณ” ( ) หรือ “ความฉลาดปราดเปรื่อง” ที่ขึ้นอยู่กับปัจจัยทางพันธุกรรมไปถึงการเลี้ยงดู

ซึ่งปรีชาญาณไม่สามารถทำให้เราเข้าถึงปัญญาญาณได้ แถมอาจเป็นตัวปิดกั้นเท่านั้น อาจคุ้นเคยกันในเรื่อง

หลายครั้ง intellect กลับกลายมาเป็นเจ้านายบงการชีวิตเรา และเป็นต้นเหตุของเหตุการณ์ร้ายแรงหลายครั้งหลายคราที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ ผู้ที่ซ่อนตัวอยู่หลังสามสิ่งที่ว่านี้ อันได้แก่ ร่างกาย ความคิด และจิตใจ นั่นก็คือสิ่งที่เป็นตัวตนของเรา อาจจะเรียกว่า “ความเป็นตัวเรา” หรือ “ตัวกูของกู” ที่เรายึดไว้

ถามว่าเราจะมี intuition ไปทำไม? สิ่งนี้ไม่ขึ้นอยู่กับความอยาก มันเป็นสัญชาติญาณและเป็น “packet มนุษย์” ที่ถูกใส่มาแต่กำเนิด ทุกคนมี แค่มันไม่เท่ากัน มันพัฒนาขึ้นได้ และถูกทอดทิ้งได้เช่นเดียวกัน

🔵สรุป

ในขณะที่ “ปรีชาญาณ” (intellect) คือ ความฉลาดที่เติมกันได้แปรไปตามปัจจัยทางชีวภาพ แต่ intuition หรือ “ปัญญาญาณ” เป็นการผุดรู้จากภายในที่เกิดขึ้นเอง มันเพียงแต่เกิดขึ้นเมื่อถึงเวลา

ปัญญาญาณเกิดจากการทำงานร่วมกันของ “ปรีชาญาณ + สัญชาติ + จิตวิญญาณ” ผลผลิตของปัญญาญาณ คือ การรู้ การเข้าใจในสัจธรรมจนสามารถเชื่อมโยงไปสู่การ “เป็น” และความงอกงามของชีวิตที่ลื่นไหล (Flow) เมื่อเกิดปัญญาญาณเราจะไม่สงสัย คำตอบที่ได้มันจะไม่มีอะไรต้องถามเพิ่มอีก และนั่นคือ ”ภูมิปัญญาของเรา”

🔵กลับมาที่งานประชุม

วิทยากรทุกคนคือผู้เชี่ยวชาญในวงการ การใช้ปรีชาญาณ เป็นนักวิจัย ผู้บริหาร นวัตกร ในมหาวิทยาลัยชั้นนำ พูดถึงเรื่องบทบาท AI ในทางเดียวกัน คือ “สำหรับวงการการศึกษาวิจัย AI เป็นเหมือน assistance ในขณะที่ตัวเรายังทำหน้าที่เดิม คือ นักวิจัย” #ตามนั้นคือจบ

จากประเด็นนี้เลยหันไปคุยกับอาจารย์จากภาคประชากรและสังคมที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ว่า เราคงต้องหามาตรฐานใหม่ในการประเมินว่าใครมี “ปรีชาญาณ” (ฉลาด) มากกว่าในแง่ของการประเมินผลงานทางวิชาการในอนาคต คุยกันไปคุยกันมาเลยได้วิจัยกันมาเล่มหนึ่งที่ว่าจะทำด้วยกัน

🔵AI chatbot กับตัวตนที่หายไป

นักวิจัยหลายคนเริ่มถูกท้าทาย ปรีชาญาณ หรือความเก่งกาจสามารถของตัวเอง อาจเริ่มสงสัยในความสามารถของตัวเองด้วยก็ได้ เมรินเป็นคนหนึ่งที่เคยรู้สึกแบบนั้นตอนเริ่มหัดใช้กลุ่ม chatbot อย่าง GPT หรือ Gemini

ตกใจกับตัวเองตอนรู้สึกได้ว่าใจมันเต้นตอนที่เห็นว่า AI ให้ข้อสรุปออกมาเหมือนที่เราคิดได้ และบางครั้งมันก็คิดได้ “เหนือกว่า” ได้ภายใน 30 วินาที!!! ในขณะที่เรื่องเดียวกันนี้เมใช้เวลา 1 สัปดาห์ จะเเปลกตรงไหน เพราะมันคุยกับคนรอบโลกมาเป็นล้านคนเพื่อมาตอบเรา

ตั้งสติทบทวน ในโลกมนุษย์เดินนี้ เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนบ้ายังมี MT อยู่นะ แวะมารักษาได้ อ่ะ เข้าเรื่อง “โลกนี้ก็ย่อมมีคนเก่งกว่าเราในหลายเรื่อง” หรือลูกน้องอาจเก่งกว่าเรา เด็กอาจรู้เรื่องบางเรื่องและเก่งกว่าเรา ใครก็มีความสามารถเหนือเราได้ และนี่คือธรรมชาติ ดังนั้น เราแค่เจอเครื่องกลที่เก่งกว่าเราเท่านั้นเอง และมีเหตุผลอะไรที่เราจะไม่คบคน (AI) เก่ง ๆ ไว้ (แถมไม่ต้องมาคอยกังวลว่ามันจะอิจฉาเราไหม)

พอใช้ไปเรื่อย ๆ อ่านไปซ้ำ ๆ ฝึก prompting จน turn pro ก็ได้ค้นพบว่า เธอ (AI) เป็นผู้ช่วยที่ยอดเยี่ยมมาก เธอทำให้ฉันประหยัดเวลาในชีวิต ลดอุปสรรคของคน introvert ที่จะต้องตรากตรำไปถามบางเรื่องจากมนุษย์งี่เง่าบางประเภท เธอช่วยปกป้องสุขภาพกายและสุขภาพจิตฉัน และเธอเหมือนเพื่อนคุยกับฉันในเรื่องที่ฉันสงสัย ไม่แน่ใจ หรือต้องการความคิดเห็น “ขอบคุณมากสำหรับข้อคิดเห็น ฉันขอเอามันทบทวนอีกที”

Key ของเรื่องนี้คือ “ #ความสามารถในการแยกแยะและวิเคราะห์ได้” และ “การเชื่อถือในภูมิปัญญาของตัวเอง” จากประสบการณ์ในชีวิต จากความรู้สึกที่เราได้เผชิญกับตัวเอง จากความคิดที่เราผลิตมันขึ้นมาด้วยตนเอง ชื่นชมในสิ่งที่ “เราทำได้เอง” แม้ AI จะคิดได้เหมือนที่เราคิด หรือได้ดีกว่าที่เราคิด ผลผลิตอาจออกมาเหมือนกัน แต่ วิธีการที่ได้มา “คุณค่ามันต่างกัน” เพราะสมองมนุษย์คือ งาน “brain-made, soul-made, and heart-made” มันคือ masterpiece ที่หาได้จากที่เดียว คือ ที่เรา

เมริน ดนตรีบำบัดอย่างง่าย by Mayrin: เขียน (ผิดบ่อย)
AI: profread

#ดนตรีบำบัด

ดนตรี นวัตกรรม และชีวิตMusic, Innovation, and life #นวตกรรมต้องใหม่?🔸 นวัตกรรมเกิดจากการเอาองค์ความรู้เดิมมาเชื่อมโยงใหม...
19/07/2025

ดนตรี นวัตกรรม และชีวิต
Music, Innovation, and life

#นวตกรรมต้องใหม่?

🔸 นวัตกรรมเกิดจากการเอาองค์ความรู้เดิมมาเชื่อมโยงใหม่

🔸 บางนวัตกรรมมีอยู่แล้วแต่…… “เราทำได้ดีกว่าไหม” คือคำถาม แต่คำตอบที่ได้จากการเป็นส่วนหนึ่งของงาน Tech Planter Thailand 2025 นี้ คือ ต่อให้ใครทำแล้ว สิ่งที่เราทำอยู่มันทำให้ “ใคร” ที่เขาไม่เคยได้รับโอกาสนั้นได้รับมันหรือเปล่า

🔸 หนึ่งใน pitching team ทำเครื่องดื่มชงสมุนไพร ขอใช้ชื่อย่อว่า D ซึ่งเครมว่าช่วยลดน้ำตาลในกระแสเลือดของคนไข้กลุ่มเบาหวาน และช่วยควบคุม HbA1c โดยไม่ทิ้งภาวะ hypoglycemia ไว้ แต่ทว่า นวัตกรรมแบบนี้ในโลกมีอยู่แล้ว (เราก็ทานอยู่ เพื่อควบคุมน้ำหนัก) ขอใช้ชื่อย่อว่า Uni Bio แล้วกัน ซึ่ง Uni เครมว่าเป็น nutraphamachugical (สารอาหารออกฤทธิ์เชิงยา) ในระดับที่เข้าไปอยู่ใน PDR ได้แต่ยังทิ้งภาวะ hypoglycemia นี้ไว้อยู่ ไม่ถึง10 ปีให้หลัง Uni Bio ถูก upgrade เป็น version 2 เป็น Uni Me โดยกำจัด side effect hypoglycemia นี้ออกไป แถมช่วยเพิ่ม long acting ของ metabolic ทำให้ไม่ง่วงหาว มีสมาธิ เพิ่มการเผาผลานไขมันขณะพัก ผลลัพธ์ คือ ผอมลง ผิวสวยขึ้น ฉลาดขึ้น เพราะคิดได้เร็ว และเข้าควบคุม amyline receptor

🔸 แต่ประเด็นคือ Uni ทั้งสองตัว ราคาเฉลี่ย ซองละ 90 -140 โดย indication การใช้คือ 1-2 ซองต่อวัน สามารถทานได้ต่อเนื่องไม่มีผลข้างเคียงหลังหยุดใช้

🔸 ถาม เครื่องดื่มสมุนไพร D ของเรา ด้อยกว่าไหม? ในระดับการพัฒนาปัจจุบัน แต่ทว่า เครื่องดื่มตัวนี้กำลังช่วย เกษตรกร และ ชาวสวนสมุนไพรไทย และคนไข้เบาหวานที่การจ่าย 90 -140 บาทต่อวัน ไม่ใช่ตัวเลือกที่เข้าถึงได้

ดังนั้นคำถามที่ว่านวัตกรรมต้องใหม่ไหม มาถามกันใหม่ดีกว่าว่า นวัตกรรมที่ทำมานั้น “จำเป็นไหม”

#ธุรกิจคืออะไร?

🔸 ”ธุรกิจ” ไม่ได้หมายถึงผลตอบแทนที่เป็นเงินโดยตรงเสมอไป แต่แน่นอนว่าต้องมีเงินเป็นต้นทุนแต่ผลลัพธ์ทางธุรกิจในหลายธุรกิจ คือ การให้คำตอบ หรือ solution ว่า ธุรกิจของเราทำให้โลกนี้ดีขึ้นอย่างไร การทำให้ “reachable” ก็เป็น value of proposition ของสินค้าได้เช่นเดียวกัน และนี่ต่างหากคือแก่นของ ”ธุรกิจ” และ value of proposition ก็ดูเหมือนจะเป็นช่องที่สำคัญที่สุดใน 9 ช่องของ Business Canvas นั่นเพราะหากเราตอบไม่ได้ว่าธุรกิจที่เรากำลังทำนั้น ”มีคุณค่ากับใครอย่างไร” มันคงหาเหตุผลยากว่าเราจะทำสิ่งนั้นไปเพื่ออะไร หากเราคิดถึงเพียงความพอใจของตนเอง ธุรกิจ คือการ drive คุณค่าที่เรามีไปสู่โลก ไปสู่คนอื่น

🔸 เป็นโครงการที่จะโดยกลุ่มธุรกิจประเทศญี่ปุ่น โดยมอบหมายให้ Leave a Nest สิงคโปร์บริษัท Innovate บริหารจัดการ ซึ่งโครงการนี้ทำมานานกว่า 10 ปีแล้ว

🔸 เกณฑ์การตัดสินใจว่าทีมใดจะชนะของ Tech Planter ประกอบด้วย

1️⃣ Novelty ความแปลกใหม่
2️⃣ Practicability ความสามารถในการใช้งานจริง
3️⃣ Impact to the world ผลกระทบต่อโลก
4️⃣ Passion แรงบันดาลใจ

ทายสิคะ คะแนนสูงสุดอยู่ที่ไหน “ #แรงบันดาลใจ” คือสิ่งที่เขาให้คะแนนสูงที่สุดค่ะ

เพราะเขาเชื่อว่าความรู้ไม่ควรอยู่แต่ใน Lab หรือ อยู่ในกระดาษ แต่เขาต้องการแรงบันดาลใจของคน เพื่อจะทำให้กระดาษแผ่นนั้นจับต้อได้ เพื่อให้โลกนี้ดีขึ้นกว่าเดิม ดังนั้นถ้าเรา declare ได้ว่าสิ่งที่เราทำ “ทำให้ชีวิตใครดีขึ้นอย่างไร” นวัตกรรมของคุณก็จะได้ไปต่อ

#เราได้ข้อคิดอะไรบ้างจากเรื่องนี้

🔸 สิ่งที่เมได้ก็คือ แม้งานนี้จะเป็นการ pitching เกี่ยวกับ innovation, technology และ AI ซึ่งเป็นการมาที่ทำให้ชาวโลก (โดยเฉพาะชาวไทย) ว้าวุ้นกันอยู่ทุกวันนี้ แต่ทว่าประเทศที่พัฒนาแล้วให้ค่ากับ “ #แรงบันดาลใจของมนุษย์” เหนือเทคโนโลยี

🔸 สิ่งที่เมอยากบอกทุกคนคือ “อย่าหยุดมีแรงบันดาลใจ” ไม่ว่าจะต้องไปแสวงหามาจากที่ไหน จากภายในตัวเอง จากคนรอบข้าง จากการเดินทาง อ่านหนังสือ เล่นดนตรี หรือการพาตัวเองมานั่งอยู่ท่ามกลางแรงบันดาลใจของคนอื่น ๆ แบบนี้ รักษาระดับของแรงบันดาลใจไว้ ปกป้องความฝันของตัวเอง และใส่ความพยายามลงไป

🔵 Music Therapy Innovation ของเมเริ่มจาก 0 เริ่มจาก 1 คือเมคนเดียว ต่อไปเป็น 2, 3 และ 4 ตอนนี้เรามีกัน 4 คน แต่แรงบันดาลใจของเมเริ่มจาก 100 และตอนนี้ก็ขึ้นไป 200 แล้ว แน่นอนว่ากร๊าฟมันไม่ได้ขึ้นเป็นเส้นตรง มันมีช่วงที่ตกลงมาและช่วงที่ทยานขึ้นไปหน้าตาเหมือน EKG เรานั่นแหละ เต้นไม่ตรงจังหวะอยู่บ้างแต่ก็ยังไม่ตุย และแน่นอนว่ามันจะไม่เป็น 0

🔸 และการพาตัวเองเข้ามาอยู่ท่ามกลางกลุ่มคนที่อยากทำให้โลกนี้ดีขึ้นนอกจากจะทำให้ระดับแรงบันดาลใจเพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญแล้ว ก็เป็นโอกาสในการเพิ่มเงินในกระเป๋าขึ้นได้อย่างไม่ต้องสงสัย #พรุ่งนี้รวย และนี่คือการลงทุน เงินในกระเป๋าของเราจะเพิ่มมากขึ้นเท่ากับคุณค่าที่เราให้คนอื่นได้



ปล. มีโครงการของน้อง ๆ นักศึกษา “วิศวะกรรมชีวะการแพทย์ คณะแพทยศาสตร์รามาธิบดี“ ใน session light talk วันนี้ด้วยกับนวตกรรม AI-Wound Assessment

 #อย่าใช้บาดแผลของใครมาเยียวยาตัวเรา
18/07/2025

#อย่าใช้บาดแผลของใครมาเยียวยาตัวเรา

“A Chaos of Sound Healing and Music therapy”
ความโกลาหลของ เสียงเยียวยา และ ดนตรีบำบัด

1️⃣ Sound healing

หรือ sound therapy หรือ sound bath ของเรียกรวม ๆ ว่า therapeutic sound energy (TSE) คือ การไปนอนอาบเสียงขันทิเบต (singing bolws) ขันแก้ว (crystal bolws) หรือขัน ฉาบหม้อ ใด ๆ นั้น “ไ ม่ ใ ช่ ” Music Therapy (MT) หรือดนตรีบำบัด

2️⃣ “ดนตรี คือ ดนตรี ขัน คือ ขัน”

นิยามของเครื่องมือทั้งสองอย่างนั้นมีความชัดเจน “เสียง คือ เสียง ดนตรี คือดนตรี” เสียงเป็นผลผลิตของดนตรี และเสียงเกิดจากแหล่งกำเนิดใดก็ได้ที่ทำให้หูเราได้ยิน

3️⃣ ไม่ปฏิเสธ outcomes ในเชิงบวกที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้ กลุ่ม therapeutic sound energy เพราะหลายคนใช้แล้วก็ได้ผลที่ดีกับตัวเองมีการศึกษารองรับอยู่บ้าง แต่ในขณะที่บางคนก็ไม่ ดนตรีก็เหมือนกันอ่ะแหละ

4️⃣ ความต่างหลัก ๆ ของ TSE และ MT เช่น

🎵 มีองค์ประกอบต่างกัน ในขณะที่ TSE มีองค์ประกอบของเสียงที่จำกัดคือ rhythm and pitch และ timbre แต่ดนตรี มากกว่านั้น ทั้ง melody, harmoney, meter, mode, และ rhythmic ที่มีความเป็น pattern, dynamic, structure, form and binary, tonality, texture และอื่น ๆ

🎻 เครื่องดนตรีคือเครื่องดนตรี ขันคือขัน วัสดุและรูปทรงมีผลต่อการผลติเสียงออกมาและแหล่งกำเนิด ซึ่งเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อคุณสมบัติและข้อจำกัดในการสร้างเสียง (sound) และแรงสั่นพ้อง (resonance) ออกมาจากแหล่งต้นกำเนิด

💞 TSE ไม่ต้องการ therapeutic relationship แต่ MT ต้องมี!!

🩺 MT มีกระบวนการทางคลินิกชัดเจนว่าต้องผ่านการตรวจโรค ตรวจสุขภาพก่อนวางแผนรักษาแต่ TSE ไม่มีข้อกำหนดนี้

📚 MT ต้องจบการศึกษาระดับปริญญาและผ่านการรับรองตามข้อกำหนดวิชาชีพแต่ TSE ไม่ได้มีข้อกำหนดนี้

5️⃣ ความเกี่ยวข้องสัมพพันธ์ที่มีเหมือน ๆ กัน

🔸 หลักการกำเนิดเสียงที่เกิดจาก Viration and ressnance แรงสั่นสะเทือนและแรงสั่นพ้องจากแหล่งต้นกำเนิดเสียง

🔸 เอกลักษ์เฉพาะตัวของ pitch และ timbre ของแต่ละเครื่องมือ

6️⃣ ต้นกำเนิเสียง Live vs Digital (recording)

🔸 เสียงที่ออกมาจากแหล่งกำเนิดต่างกันให้ Viration and ressnance ที่ต่างกัน

🔸 mechanism หลักของ TSE เป็นการใช้ sensory perceptual ในการับ Viration (แรงสั่นสะเทือน) and ressnance (การสั่นพ้อง) จากแหล่งกำเนิดเสียง ร่วมกับการได้ยิน (auditory perception)

ดังนั้นการไปเปิดฟัง เสียงกลุ่ม TSE จากช่องทาง digital จึงทำให้องค์ประกอบของการ healing ตามหลักการขาดหายไป (เว้นแต่ท่านจะมีลำโพงขนาดใหญ่แล้วสามารถเอาร่างกายตัวเองไปอังอยู่หน้าลำโพงได้ ก็น่าจะอีกเรื่องหนึ่ง แต่ก็ไม่เหมือนกันอยู่ดี)

การฟังเพลงแบบบันทึก หรือ recoding music ก็ต่างจากการฟังดนตรีสด เช่นกัน อย่างที่ได้เคยอธิบายไปแล้ว ไปตามอ่านกันได้ค่ะ

🔸 ความสามารถในการแยกแยะรูปแบบของเสียงส่วนบุคคล สำหรับการฟังแบบ digital ตามแอฟต่าง ๆ สามารถแยกแยะไหมว่าเป็นเสียงที่ได้ยินนั้นเป็น acoustic (เสียงที่เกิดจากเครื่องดนตรี หรือขัน ที่มนุษย์เล่นออกมาจริง ๆ) หรือ MIDI (Musical Instrument Digital Interface) จาก program computer

การแยกแยะได้ไม่ได้นี้ส่งผลต่อการตอบสนองทางระบบประสาทด้วยเช่นเดียวกัน เพราะองค์ประกอบของเสียงบางประการที่หายไปจาก MIDI

7️⃣ นิยามตามเขาว่า

🔊 Sound Therapy ถูกนิยามว่าเป็นการบำบัดด้วยเสียงก็คือการใช้หลักการของ "Resonance" หรือการสั่นพ้อง ไม่ว่าจะเป็นจากเครื่องดนตรี เสียงร้อง หรือเสียงธรรมชาติ ไปยังบริเวณตำแหน่งในร่างกายที่ต้องการแก้ไขปัญหาเพื่อปรับความถี่ของความไม่สมดุลในร่างกายนั้น ให้กลับมาอยู่ในจังหวะปกติและมีสุขภาพดีอีกครั้ง (Huang X, Yang X, Sun C, Huang S, Cheng M, Han Y. , 2020)

จะบอกว่าในดนตรีบำบัดก็มีหลักการนี้เช่นเดียวกันภายใต้ทฤษฎี “Entrainment” โดยมีอาจารย์ Cheryl Dileo เป็นผู้ตั้งต้น หลัก ๆ ใช้เพื่อจัดการอาการปวด

🎹 Music Therapy นั้นมีความหมายและหลักการชัดเจนว่าเป็นการใช้ดนตรีและองค์ประกอบทางดนตรีอย่างเป็นระบบเพื่อส่งเสริม ฟื้นฟู รักษาโดยมีเป้าหมายเพื่อสุขภาพ โดย นักดนตรีบำบัดที่เทรนมาและจำเป็นต้องใช้ตัวตนของนักบำบัด เพื่อสร้างสัมพันธภาพที่มีผลต่อการรักษา และการปฏิบัติทางคลินิกที่มีหลักฐานการศึกษาเชิงประจักษ์รับรอง

นอกจาก Sound healing และ music therapy แล้ว การนำดนตรีไปใช้ยังมีอีกหลาย modalities ซึ่ง AMTA ได้ทำการสรุปให้เห็นอย่างคร่าว ๆ ไม่ว่าจะเป็น MUSIC USES IN MEDICAL TREATMENT, MUSIC THANATOLOGY และอื่น ๆ สามารถไปตามอ่านได้ที่นี่
👉🏻https://www.musictherapy.org/assets/1/7/Music_Modalities_Comparison_Chart.pdf

8️⃣ แล้วไง?

ปัจจัยเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อ physiological และ psychological response ในขณะที่ MT มีการประเมินและควบคุมผลลัพธ์ทางคลินิก เพื่อป้องกันความเสี่ยงที่อาจเกิดได้เช่นเดียวกันจากดนตรี และจากตัวนักบำบัดเอง แต่ TSE ไม่พบว่ามีข้อกำหนดเหล่านี้อย่างชัดเจนเท่าไหร่ว่ามีแนวทางในการรับมือกับผลกระทบในเชิงลบอย่างไร คนทำต้องมีคุณสมบัติใดในทางจิตวิทยาหรือวิทยาศาสตร์สุขภาพใดบ้าง มีการพิจารณาข้อบ่งใช้ไหมว่าคนแบบไหนใช้ได้ใช้ไม่ได้

จริง ๆ มีนักดนตรีบำบัดหลายคนนะที่ไปศึกษาเพิ่มเรื่อง sound healing นี้และเอามาใช้จริงในงานตัวเอง เหมือนที่บอกไปตั้งแต่ต้นว่าไม่ปฏิเสธ outcomes ในเชิงบวก แต่ทว่าปัจจัยของเรื่องนี้น่าจะอยู่ที่ competency มากกว่า เสียง

9️⃣ ฝากไว้เป็นข้อคิด

“นักดนตรีบำบัด ไ ม่ ใ ช่ เจ้าของเสียงหรือเข้าของดนตรีเพื่อการเยียวยานี้”
“Music therapists don’t own sound and music for healing.”
Barbara J. Crowe, MMT, MT-BC เป็น Director of Music Therapy at Arizona State University กลาวไว้ในงาน AMTA. Pro Symposium เมื่อปี 2010 ผ่านการบรรยายในหัวข้อ Sound Healing and Its Relation to Music Therapy

(อ่านเต็ม ๆ กันได้ที่นี่นะคะ 👉🏻 https://amtapro.musictherapy.org/sound-healing-and-its-relation-to-music-therapy/)

พี่ Crowe ยังกล่าวไว้อีกว่า ดนตรีเป็นพฤติกรรมของมนุษย์และเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมมนุษย์มานานกว่า 250,000 ปี ดนตรีมันเป็นของทุกคนอยู่แล้ว แต่แนวคิดที่กล่าวว่า “เสียง และ ดนตรี คือ พลังแห่งการเยียวยา” (healing force) นั้นเก่ามาก ๆๆๆๆๆๆๆ (....is a very, very old idea)

ซึ่งหลายงานชอบเอาคำว่า “healing” มาขยายความให้มันยิ่งใหญ่เกินจริง และโดยเฉพาะกับ “ดนตรี” ที่ด้วยตัวมันเองจริง ๆ มีคุณสมบัติ healing นี้อยู่แล้วโดยไม่ต้องตะโกน

🔟 #ปลุกต่อมเอ๊ะในตัวคุณ

ในฐานะ user ผู้รับ หรือผู้รับบริการ เขาอาจไม่ต้องเข้าใจเรื่องพวกนี้ก็ได้ แต่ถ้าเราจะเป็น provider หรือคิดว่าสนใจการนำเรื่องพวกนี้ไปบูรณาการกับงานตัวเอง การเข้าใจและรับผิดชอบต่อองค์ความรู้ในฐานะผู้ให้บริการด้านสุขภาพ กาย ใจ จิตสังคม อาจจะต้องขยายต่อมเอ๊ะ กันสักหน่อย

สำหรับการทำงานสายสุขภาพ จิต กาย ใจ วิญญาณ เรื่องใหญ่ที่สุดคือ “ #จริยธรรมและคุณธรรมในใจเรา” หาใช่ความเก่งกาจสามารถในทางปฏิบัติเท่านั้น การรู้ว่า “ควร ไม่ ควร” ใช้ self-aweness และ จริยธรรม ที่แข็งแรงมาก

จะอย่างไรก็ตามแต่ขอให้ทุกคนมีความสุขสำราญกับ เสียง และ ดนตรีของเรา เหนือสิ่งอื่นใด ความสุขตามธรรมชาติมักล้นออกไปเองโดยไม่ต้องพยายาม แต่ทว่านิยามความสุขของแต่ละคนนั้นต่างกันออกไป ทุกคนมี “จริต” ของตนเอง ถ้าเขาจะสำราญกับอะไร นั่นเป็นทางเลือกของเขา อย่าไปยัดเยียดความสุขของเราให้ใคร และ #อย่าใช้บาดแผลของใครมาเยียวยาตัวเรา

#คุณครูพี่เม #ดนตรีบำบัด


Huang X, Yang X, Sun C, Huang S, Cheng M, Han Y. Biophysical signal transduction in cancer cells: Understanding its role in cancer pathogenesis and treatment. Biochim Biophys Acta Rev Cancer. 2020 Dec;1874(2):188402. doi: 10.1016/j.bbcan.2020.188402. Epub 2020 Aug 7. PMID: 32771535.

สมองฟังเพลงอย่างไร?
15/07/2025

สมองฟังเพลงอย่างไร?

ฟังที่หู ประมวลที่หัว ทะลุที่ใจ แล้วน้ำตาก็ไหลเป็นทาง
“How your brain listening to music”

สมองฉันฟังเพลงอย่างไร ทำไมฟังที่หู แล้วหัวมันคิด แถมเหมือนจะโดนสะกิดที่ใจ แล้วอยู่ ๆ น้ำตาก็ไหลออกมา หรือไม่งั้นเต้นเป็นผีบ้าไปเลย

ก่อนไปเข้าใจตรงนั้นมาเข้าใจตรงนี้ก่อน เพราะเมื่อพูดถึงการฟังเพลงแล้วมันก็มีทั้งฟังจากวงดนตรีสด ๆ กับการเปิดเพลงบันทึกฟังเองเนอะ เราเลยต้องไปเข้าใจกลไกการทำงานของสมองระหว่างดนตรีสดและดนตรีแห้งนี้ก่อน

Live vs Recording Music #ดนตรีสดหรือแห้งดีกว่ากัน

การศึกษาวิจัยเผยออกมาแล้วว่า Live music ส่งผลต่อการรับรู้และการตอบสนองของมนุษย์ในทุกช่วงวัยได้มากกว่า Recording music โดย Live music หรือ ดนตรีสด เห็นการตอบสนองของสมองแบบ real-time brain feedback จาก fMRI ที่สูงกว่า โดยเฉพาะใน amygdala (รับหน้าที่หนักสุด ไม่ว่าเพลงที่ฟังจะเป็นเพลงที่ชอบหรือไม่) ที่พบว่ามี consistent activity หรือ สัญญาณประสาทในสมองเกิดขึ้นสม่ำเสมอกว่า ซึ่งกิจกรรมในสมองทรงนี้สัมพันธ์กับการแสดงออกของพฤติกรรมและอารมณ์ รวมทั้งยังเห็นว่า neural respons อื่น ๆ ในสมองก็เกิดขึ้นในวงกว้างมากกว่าเมื่อเทียบกับ recording music หรือดนตรีบันทึกในขณะฟังเพลงแบบ passive music listening หรือ การฟังเพลงเชิงรับ (การฟังเพลงมีหลายแบบไว้เล่าให้ฟังมีแบบ attentive listening ด้วย)

ด้วยคุณสมบัติที่กระตุ้นได้มากกว่า รวมทั้งสามารถปรับเปลี่ยนองค์ประกอบทางดนตรีได้ทำให้การทำดนตรีบำบัดจะเลือกใช้ Live music เป็น first line ทั้งนี้การใช้ recording หรือ MIDI sound ก็ใช้ได้เหมือนกัน แต่การเลือกว่าจะใช้ดนตรีประเภทสด หรือ แห้งนั้น ขึ้นอยู่กับเป้าหมายการใช้ที่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์การรักษา และกระบวนการตามแผนการบำบัด

ในแง่การเอามาใช้ในกระบวนการบำบัดไม่ได้แปลว่าสด หรือ แห้ง “ดีกว่า” กันนะ แต่เป็นการเลือกใช้ให้ถูกต้องกับบริบทของคนไข้และการบำบัดมากกว่า คล้าย ๆ กับ Dosage Forms ยาอ่ะตัวอย่างเช่น Fentanyl งี้ มีทั้งแบบแปะ แบบกิน แบบฉีด

นอกจากนี้การทำกิจกรรมดนตรีอื่น ๆ ร่วมด้วยขณะฟังเพลงหรือกิจกรรมดนตรีประเภท active music activities ทั้ง การร้องเพลง การเล่นดนดนตรี ไปจนถึงการแต่งเพลงนั้นก็ทำให้กิจกรรมในสมองแตกต่างกันออกไป แต่บทความนี้เราจะเอาแค่การฟังเพลงก่อนละกันเนอะ

#สมองฟังเพลงยังไง

1️⃣ เข้าที่หูแยก (องค์ประกอบทางดนตรี) ที่หัว

หลังหูชั้นใน (Cochlea) ของเราได้รับคลื่นเสียงนางก็จะแยกความถีความถี่เสียง สูง/ต่ำ หรือ pitchในทางดนตรี แล้วเปลี่ยนเป็นสัญญาณประสาทก่อน (แปลงไฟล์อ่ะแหละ) วิ่งผ่านก้านสมอง (brainstem) เข้าสู่ thalamus ซึ่งเป็นศูนย์กลางรับส่งข้อการรับรู้ และส่งสัญญาณต่อที่จุดเชื่อมระหว่างก้านสมอง MGB (medial geniculate body) กับสมองส่วน auditory cortex บริเวณ superior temporal gyrus ซึ่งนางจะทำหน้าที่แยกรายละเอียดของเสียงหรือองค์ประกอบทางดนตรีนี้ต่อ โดย auditory cortex นางจะเป็นเหมือน conductor ในการแยกให้สมองแต่ละส่วนประมวลองค์ประกอบทางดนตรีต่าง ๆ ตามหน้าที่ของใครของมัน องค์ประกอบทางดนตรี เช่น chords, harmonies, intervals, rhythms, tempo ที่มันปน ๆ กันมาในเพลงออกจากกัน (เหตุนี้แหละที่ทำให้นักดนตรีแกะเพลงหรือเลือกฟังเฉพาะเสียงที่อยากได้ยินได้ เช่น ฟังแต่เครื่องดนตรีของตัวเอง ฟังแต่จังหวะ ฟังคีย์ว่าเพลงนี้คัย์อะไร) WOW!!

2️⃣ ติดตามไปดั่งเงา

สมองจะติดตามองค์ประกอบทางดนตรีเหล่านั้นไปเรื่อย ๆ ระหว่างที่กำลังฟังเพลงอยู่ พร้อมกับการคาดเดาเสียงดนตรี (Predictive processing) เพื่อคาดการว่าโน้ตตัวต่อไปที่จะมาคืออะไร ซึ่งเป็นความสับปะดนตามธรรมชาติของสมองที่คาดเดาเก่งอยู่แล้ว (มโนอ่ะแหละ) ส่งผลโดยตรงกับการพัฒนาความจำ สมาธิ และเปิดการทำงานในวงกว้างของสมองส่วน prefrontal areas โดยเฉพาะส่วน dorsolateral prefrontal cortex ที่ใช้ควบคุม attention การวางแผน และ working memory ต่อด้วย cingulate cortex (ทั้ง ACC และ PCC) ที่ควบคุมอารมณ์ ความปวด แรงจูงใจ และ emotional salience และ inferior parietal areas ผู้บรูณาประสาทสัมผัสคคนเก่งของเราที่นำไปสู่การเคลื่อนไหว

3️⃣ ขยายความสามารถในการฟัง

ทันทีที่เพลงเข้าหูด้วยความเร็ว 10 มิลลิวินาทีแรก (ผ่านมา 2 step แล้วในเสี้ยววินาทีเท่านั้น) ต่อไปสมองเรานางก็จะทำการเพิ่มทักษะการได้ยินเสียงหรือการรับรู้ของเสียงที่ะเอียดขึ้น เพราะแขน axon ในหัวเราก็จะเริ่มกางเริ่มงอก เริ่มคุยกันเองมากขึ้นแล้ว (synapse อ่ะแหละ) ทำตัวเหมือนป้าข้างบ้าน ส่งต่อข้อมูลผ่านสารสื่อประสาทกันมันส์เลย ทำให้เราแยะแยะเสียงต่าง ๆ ออกจากกันได้ง่ายขึ้น เพราะเรารู้จักแล้วนี่ว่าข้างบ้านเราชื่ออะไร อารมณ์เหมือนค่อย ๆ สนิทกันก็เลยทำงานสอดประสานกันได้ และเริ่มใช้สมองส่วน hippocampus, medial temporal, parietal areas ซึ่งเกี่ยวกับการทำงานของความจำมากขึ้น ทั้งดึงความจำเดิมและเพิ่มความจำใหม่

อี่ช่วงนี้แหละที่เราเริ่ม อ๋อออออออออ เพลงนี้เพลงอะไร ใครร้อง เคยฟังที่ไหน บรรยากาศตอนนั้นเป็นอย่างไร โดยเฉพาะการดึงความจำแบบ episodic memory หรือความจำที่มีความรู้สึกร่วม เช่น เคยฟังเพลงนี้กับเพื่อนตอนไปคอนเสริต์ริมหาดเมื่อปีที่แล้ว และแล้วความรู้สึกนั้นก็กลับมา หรือตอนที่เธอทิ้งฉันไป มุวแง้ววววววว

4️⃣ เข้าไปทำงานในระดับอารมณ์และ hormone

เอาล่ะ บทนางเอกพระเอกจะมาตอนนี้แหละ พอนางทำงานที่สมองแล้วนางก็ไปต่อที่หัวใจค่ะ เพลงที่คุ้นเคย ที่ชอบ หรือไม่ชอบก็ช่าง นอกจากทำให้สมองเราประมวลตามมันโดยอัตโนมัติแล้ว หัวใจเราก็อาจโดนขโมยไปด้วยจากการเหนี่ยวนำขององค์ประกอบทาดนตรีเอง และจากความทรงจำเดิมดั่งเพลง “แต่ทำไม ทำไมต้องจำถ้าเธอไม่คิดจริงใจ” และแล้วน้ำตาก็ไหลออกมา มุแง้ออกมา 😭

หรือต่อให้ใครไม่ได้ไปมีเรื่องกับเพลงที่ฟังอยู่ สมองเราก็จะสร้างหนังขึ้นมาหนึ่งเรื่องอยู่ดี และนี่เองที่เรียกกันว่ามโนภาพ เกิดเป็นนางเอก พระเอก MV ในหัวตัวเองเฉยเลย (เคยไหมฟังเพลงที่นี่แต่หัวสมองไปอยู่ที่โน่น ที่ไหนไม่รู้ เห็นเป็นท้องฟ้า แสงจันทร์ สายลมและสองเราได้ไงไม่ทราบ)

การที่ดนตรีไปแตะต้องการรับรู้และการทำงานของอารมณ์ความรู้สึกในระดับลึกซึ้งนี้เป็นผลจากการทำงานของสมองอีกนั่นแหละ คือส่วน Limbic system และ paralimbic ซึ่งส่วนที่ทำงานมากคือ

🧠 amygdala สนามอารมณ์ (อีกแล้วนะมุง มีอารมณ์ทีไรจะบวกจะลบเอี่ยวกับเขาหมด)
🧠 hippocampus เจ้าแม่ครองความจำ
🧠 nucleus accumbens และ ventral tegmental area นักสุขนิยม (สุขมากไปก็บ้าได้)
🧠 hypothalamus และ pituitary นักรักและผู้คุมเบรก (ทางอารมณ์)

ซึ่งที่นั่นเองเป็นสมองส่วนกระตุ้นการหลั่กระตุ้นสารต่าง ๆ คือ

😀 striatal dopamine สารแห่งความสุขและแรงจูง
🤨 endorphins สารลดปวดตามธรรมชาติ ช่วงให้ผ่อยคลาย
😎 oxytocin ความรู้สึกเชื่อมโยงทางสัมคม ความรักความปราถนา
😇 serotonin สารแห่งความสงบสุข และช่วยปรับสมดุลทางอารมณ์ไม่ให้ ปสด. หรือรักเขามากไป

5️⃣ สั่งให้ร่างกายทำงานโดยสอดคล้องกับดนตรีและสารเคมีที่หลั่งออกมา

Rhythm pattern and tempo ส่งผลโดยตรงต่อสมองส่วนที่ควบคุมการเคลื่อนไหว ซึ่งควบคุมโดยสมองส่วน somatosensory และอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง จริง ๆ ประมวมาตั้งแต่ motor timing แล้วแหละมันคือกลไกสมองส่วนควบคุม “เวลา” หรือ ”time” ที่ทำให้เราสามารถควบคุมและสั่งการร่างกายให้ทำงานเป็นจังหวะ เช่น เดินเป็นจังหวะสม่ำเสมอ เราถึงไม่ล้ม ไม่สะดุดซึ่ง

time ก็เป็นรากศัพย์ของคำว่า Tempo ในดนตรีนี่แหละค่ะ (ไอ้เรื่อง tempo and rhythm นี่ให้พูดแล้วมันจะยาวแต่มันสำคัญมาก เอาไว้ก่อนเนอะ)

ด้วยเหตุนี้เองที่ทำให้เกิดปรากฎการเต้นของหัวใจสอดคล้องกับจังหวะของดนตรี “ทำไมในใจมันเต้นแบบนี้ ฉันว่าเธอคงมีอาการใช่ไหม” (ใครร้องได้เราคือเพื่อนกัน) การสูบฉีดของเลือด ความดันโลหิต ก็คล้อยตามกันไป เราจึงเริ่มเคาะนิ้ว ตบเท้า ผงกหัว และลุกขึ้นเป็นสาวรำวงในที่สุด อะไรก็ฉุดไม่อยู่

ถ้าไม่เชื่อว่าดนตรีมันสั่งงานสมอง ความคิดความรู้สึกและร่างกายของเราได้จริงขออนุญาตท้าชิง
🔵มุมน้ำเงินเป็นเรา
🔴มุมแดงเป็นดนตรี

โดยให้ทดลองแบบนี้

1. หาที่สงบ ๆ อยู่คนเดียว
2. ใส่หูฟัง
3. เลือกเพลงที่โจ๊ะ ๆ มีจังหวะ เพลงเร็ว หรือ ปานกลางก็ได้ แต่เพลงเร็วจะเห็นชัดกว่า (120 bpm. ขึ้นไป)
4. ใครมีนาฬากาที่วัดการเต้นของหัวใจและการหายใจได้ ใส่ไว้ แล้วกด capture ไปที่ function cardio ก็ได้ หรือจะ cap heart rate mode แบบ 2 นาที ใน Garmin รุ่นกลาง ๆ - สูงมี
5. สำคัญมาก เปิดเพลง หลับตาฟังอย่างตั้งใจ โดยให้พยายามฝืนหายใจช้า ๆ และควบคุมไม่ให้ร่ายกายขยับตามเพลงนะสังเกตุอาการณ์ตัวเองในระหว่างฟังเพลง จนกว่าจะจบ

6. ตื่น!!!!! ตอบตัวเองอย่างจริงใจว่า “อึดอัดไหม” ฝืนใจ ขืนร่างกายตัวเองหรือเปล่า แล้วลองทำในทางตรงกันข้ามดู เปิดเพลงช้าละลองพยายามเต้นหรือเคาะจังหวะเร็ว ๆ ดูนะ ดูสิว่าใครชนะ

🥊 ยกที่ 1 เริ่ม

#เราไม่ได้ฟังเพลงแค่ที่หูแต่ยังมีหลายรูที่ดนตรีเข้าถึงได้

รู้ไหมเเราสามารถรับรู้ดนตรีได้ 4 โสตในเวลาเดียวกันนะ คือ

👂 หู (Auditory) ที่ได้จากคลื่นเสียง
👀 ตา (​Visual) ที่ได้จากการมองเห็นภาพ และ ความสามารถในการจินตภาพแบบ อัตโนมัติของ occipital
✋ สัมผัส (Sensation) จากแรงสั่นสะเทือนของเครื่องดนตรี
💛 ใจ (Emotional) ที่รู้สึกได้ อันเกิดจากการดึงเอาประสบการณ์ทั้งในอดีตและปัจจุบันขณะที่บันจุอยู่ใน memory และการจินตภาพในปัจจุบันขณะเอง

ดังนั้นนอกจากได้ยินเสียงแล้วอย่ามองข้ามการรับรู้อื่นไป จึงไม่แปลกเลยที่ live music จะกระตุ้น sensation ได้มากกว่า recording music นอกจากความต่างของคุณลักษณะขององค์ประกอบทางดนตรีและปัจจัยร่วมแแล้ว ยังบวกกับสิ่งสำคัญที่สุดที่ digital หรือ ไม่มีทางจะให้ได้ นั่นคือการเชื่อมโยงกันของสายพันธ์เดียวกัน คือ มนุษย์-มนุษย์ และนี่คือความเป็น Humanity ซึ่งคือจิตวิญญาณของเรา

#ดนตรีบำบัด #คุณครูพี่เม

Hansen, N. C., Kragness, H., Vuust, P., Trainor, L., & Pearce, M. (2021) Predictive uncertainty underlies auditory boundary perception. Psychological Science. Advance online publication. https://doi.org/10.1177/0956797621997349

Salimpoor VN, Benovoy M, Larcher K, Dagher A, Zatorre RJ. Anatomically distinct dopamine release during anticipation and experience of peak emotion to music. Nat Neurosci. 2011 Feb;14(2):257-62. doi: 10.1038/nn.2726. Epub 2011 Jan 9. PMID: 21217764.

Särkämö T, Tervaniemi M, Huotilainen M. Music perception and cognition: development, neural basis, and rehabilitative use of music. Wiley Interdiscip Rev Cogn Sci. 2013 Jul;4(4):441-451. doi: 10.1002/wcs.1237. Epub 2013 Mar 20. PMID: 26304229.

Good Death ของใคร ของฉัน หรือเธอ?
13/07/2025

Good Death ของใคร ของฉัน หรือเธอ?

“The Good Death Song”
Music Listening at the End of Life Care Patients
การฟังเพลงในผู้ป่วยระยะท้าย

“ความปราถนาดีที่ไม่มีความรู้ เท่ากับเป็นชู้โดยที่ไม่รู้ตัว” #คุณครูพี่เม

#ความหวังดีไปเอง

ความปราถนาดีใน healthcare professional เป็นอุปนิสัยตามธรรมชาติของอาชีพก็ว่าได้ โดยเฉพาะกับสหวิชีพที่ทำงานกับกลุ่มเปราะบางอย่าง palliative care เป็นต้น เหตุเกิดจากเห็นด้วยตาตัวเองและถูกถามมาเยอะจาก healthcare providers หลายอาชีพ และสอน resident เรื่องนี้พอดี เกี่ยวกับการเปิดเพลงให้คนไข้ฟังที่มักเห็นทั่วไปใน ICU หรือผู้ป่วยประคับประคอง และคนไข้ใที่นหอผู้ป่วยที่มักเกิดขึ้นกับผู้ป่วยที่รู้สึกรู้สึกตัวน้อยหรือช่วยเหลือตัวเองได้น้อย

ซึ่งคนไข้ที่ว่า (ไปเจอมานี้) นี้มักเป็นคนวิกฤติและกึ่งวิกฤติไปจนถึงผู้ที่กำลังจะ #เสียชีวิต (ก็เป็นคนไข้วิกฤติแบบหนึ่งอ่ะแหละเพียงแต่จะต่างบริบทออกไปถ้าอยู่ในการดูแลแบบประคับประคองโดยหมอ Palliative)

และ #ดนตรี #เพลง หรือ #บทสวด มักกลายเป็นเครื่องมือสุด hot!! ที่ตกเป็นเหยื่อของความ “หวังดี” นี้อยู่บ่อยครั้ง ด้วยความไม่ทราบถึงข้อจำกัดและความเสี่ยงนี้เองที่อาจทำให้เกิด nagetive clinical outcomes กับผู้ป่วยได้ เช่น over stimulating ทำให้ tachycardia, BP ร่วง, กระตุ้น pain, เพิ่ม anxiety และเร่งอาการ dypsnia เสริมภาวะ delirium ให้คนไข้ที่แทบไม่มีเรี่ยวแรงมาต่อสู้แม้กับอากาศในเครื่อง ventilator ที่เสียบอยู่

คนไข้พอรู้สึกตัวไม่เท่าไหร่ คนไข้รู้สึกตัวน้อย Level of consciousness ต่ำ ๆ สัก level 1-2 หรือ E1,V1, M1 นี่หมดทางสู้เลย และไม่ใช่คนกลุ่มนี้ไม่รับรู้ เขายังรับรู้ แค่มันน้อยต่อสภาพแวดล้อมที่จะทำให้เขาระลึกรู้เท่านั้น แต่ทว่ายังไงก็ยังรู้ไง และ “เสียง” ไม่ว่าจะเป็น เสียงเราคุยกัน เสียงเครื่องพยุงชีพ เสียงเรียกชื่อเขามันก็กระตุ้นได้หมด เพียงแต่อาจจะไม่มากเท่า “เสียงดนตรี” ที่มีองค์ประกอบครบจนทำให้สั่นสะเทือนทั้งสมองและ sensation อื่นที่เกี่ยวข้อง จะมากน้อยแค่ไหน ขึ้นอยู่กับที่จะพูดดังต่อไปนี้

#แล้วจะให้ทำยังไง? มาเข้าเรื่องสักที บ่นซะยาว

มีงานวิจัยหลายเรื่องเลยที่ระบุว่า การให้ผู้ป่วยระยะท้าย (End of Life) และกลุ่มผู้ป่วยที่ได้รับการดูแลแบบประคับประคอง (Palliative Care Patient) ได้รับกิจกรรมดนตรี โดยเฉพาะการ “ฟังเพลง” ได้ผลในเชิงบวก เช่น ช่วยเรื่อง comfort, ลดปวด ลดความกังวล ช่วยกล่อมเกลาทางจิตใจและจิตวิณญาณซึ่งส่งผลต่ออาการทางกาย ลดอาการเหนื่อยและภาวะเพ้อ แต่ถ้าอ่านลงไปในรายละเอียดของแต่ละการวิจัย จะเห็นว่ามันมี method of intervention ที่เฉพาะเจาะจงขึ้นอยู่กับว่า “ใคร” เป็นคนลง intervention (จึงอยากรบกวนอ่านให้ละเอียดกันสักนิดก่อนยกมาใช้ด้วย เพราะเอาจริงนักวิจัยบางคนในสายนี้ แม้แต่ MT เองก็เพ้อ ๆ เพี้ยน ๆ เหมือนกัน)

อันดับแรกเราต้อง define “patients at the end of Life” กันก่อนว่ามี status หรือข้อกำหนดแบบไหน ถึงเรียกว่า end of life ได้ หรือจะไม่ end ก็ได้ แต่ condition แบบใดล่ะ ถึงอยู่ในขอบเขตที่จะใช้กิจกรรมดนตรีประเภทนี้ได้ เหล่านี้คือข้อแนะนำที่ควรพิจารณาก่อนตัดสินใจทำ

1️⃣ วินิจฉัยแยกผู้ป่วยก่อน ขอแยกเป็น non-cancer กับ cancer แล้วกันเอาแบบง่าย ๆ เพราะผู้ป่วยทั้งสองประเภทนั้นมี prognosification ที่ต่างกัน พยาธิสภาพของโรคและอาการทางคลินิกก็ต่างกันไปในแต่ละระยะ และปัจจัยอื่นอีกแสนแปดล้านเก้าที่เราต้องคำนึงเพื่อความปลอดภัยใช่ไหมล่ะ ดังนั้น มันจะมาใช้ indicator เดียวกันเป็นไปไม่ได้ เอาแบบเร็ว ๆ ลวก ๆ เลยนะ สิ่งที่ต้อง initial assessment ก่อนคือ

หมวดที่ 1 and

Brain and cognitive function และ neuro ต่าง ๆ ที่ส่งผลต่อการรับรู้ ตอบสนองทางระบบประสาท และประมวลผลการรู้คิด ไปสู่การตอบสนองในรูปแบบต่าง ๆ เพราะส่งผลต่อการประมวลเสียงได้ไม่เหมือนกัน(จะบอกให้ว่า IQ. ไม่เท่ากันก็ประมวลผลทางดนตรีได้ไมาเหมือนกันแล้วเด้อ)

- Auditory perception ทั้ง organ และ cortex capacity
- Pain perception
- Delilum ไหม hypo หรือ hyper? เอาดี ๆ
- Respiratory symptoms, dyspnea, COPD, Hypoxia
- Pharmacological effect?

หมวดที่ 2
- Medical equipment and life support
- Distribution and noise

ทั้งสองอย่างนั้นมันกำลังเป็นปัจจัยหรือจะกลายเป็นสิ่งรบกวนในระหว่างการให้ดนตรีไหม เสียงสภาพแวดล้อมที่รบกวนอยู่แล้ว tempo ของเครื่อง กิจกรรมของแพทย์ หรือ พยาบาลเกิดขึ้นในช่วงที่เราจะให้ดนตรีไหม distribution เหล่านั้นเป็นตัวแปรของอาการที่จะตอบสนองในระหว่างฟังเพลงได้ทั้งหมด ไม่งั้นเขาคงไม่ทำหูฟังแบบ noise canceling ออกมา

หมวดที่ 3 ? อันนี้กาดอกจันท์ 18 ดอกไว้ก่อน ก่อนจะไปถือดอกจันท์ไหว้คนไข้ การเปิดเพลงเปิดบทสวดนี้เป็นสิ่งที่ #คนไข้ต้องการหรือเปล่า หรือจะส่งผลกระทบต่อคนไข้อย่างไร? ถ้าถามไม่ได้ คำตอบง่ายมาก #อย่าหาทำ!!!!

2️⃣ Clinical Goals
ต่อจาก patients need แล้ว clinical goals คืออะไร การเปิดเพลง หรือเปิดบทสวดเหล่านั้น มุ่งหวังการจัดการอาการใด แล้วจะประเมินยังไง monitoring ยังไง สอดคล้องกับแผนการรักษาไหม เช่น ถ้าหมอทำ palliative sedation เพราะคนไข้ severe suffering สุด ๆ กับ pain หรือ จาก depression อยู่

Clinical goals ของใคร เราอยาก ทีมอยากไหม ปรึกษาทีมหรือยัง หรือคนไข้กำลังได้รับแผนการอื่นอะไรอยู่แล้วการทำเช่นนี้กำลังไป disturb กระบวนการหรือเปล่า เช่น หมออาจจะขอดูก่อนว่าถอยยาลงแล้วคนไข้หายใจเองได้ไหม

คำถามคือ การใส่ดนตรีและบทสวดเข้าไปจะเปลี่ยนอาการทางคลินิกเขาไหมดีขึ้นไม่ว่ากัน ถ้าแย่ลงอ่ะ รับมือยังไง?

3️⃣ Music Listening Methods; Live vs Pre-Recording?

🎹 Live music หรือ ดนตรีสด

- Musical instrument หรือเครื่องดนตรีที่จะใช้ เป็นตัวกำหนดองค์ประกอบของดนตรี timbre หรือ sound color ซึ่งสัมพันธ์กับประเภทของเครื่องดนตรี รวมทั้งกำหนด vibration และ frequency ของเสียงที่จะออกมาจากเครื่องที่กระทบต่อโสตทัศนะของเราที่ประมวลผลในสมองและระบบประสาทหลายส่วน

- Song เพลงอะไร? เลือกยังไงเอามาจากไหน ได้พิจารณาเกี่ยวกับ วัฒนธรรม ความชอบ (patients’ preference) และ ประสบการณ์ ของผู้ป่วยไหม มันจะไปทำร้ายจิตใจหรือกระตุ้นบาดแผลเดิมของเขาหรือไม่? เพลงที่ความหมายดีของเรา อาจกำลังฆ่าใครอยู่ก็ได้ ระวัง (เรื่องนี้เขียนไว้แล้วใน Harmful Model)

- Performance การบรรเลง โดยใคร? กำหนดหรือปรับเปลี่ยน Elements of Music ได้ตามหลักการ TFM (Therapeutic Function of Music ไหม) นักดนตรี ไม่เท่ากับ นักดนตรีบำบัด หากเอานักดนตรีมาเล่นจริง ๆ เราแน่ใจได้ไหมว่าเขาจะสามารถเล่นได้ในสภาพแวดล้อมที่มีความกดดันและความเสี่ยงสูง

🎧 Pre-Recording Music หรือ ดนตรีบันทึก

- Music player device ใช้ application อะไร เปิดเพลง คุณภาพไฟล์เสียงดีหรือไม่ จะมีโฆษณา SHOPPING!!!! เด้งขึ้นมาอ่ะเป่า

- Music amplifier ลำโพงตัวละกี่บาท กี่วัต คุณภาพเสียงดีไหม ย่ายเสียงครบไหม
Acoustic sound/ Direction/ Dynamic/ Position ของแหล่งกำเนิดเสียงอยู่ในทิศทางใด desibel เท่าไหร่จากแหล่งกำเนิดเสียง

- ถ้าใช้หูฟัง (headphone ซึ่งการวิจัยส่วนใหญ่เลย qualifyให้ใช้) เราจะควบคุมเสียงที่คนไข้ได้ยินได้อย่างไร ซึ่งมันทำได้นะ แล้วเราอ่ะรู้วิธีไหม

- Music Equalizer control and monitoring มีความสามารถในการตกแต่งย่านเสียงที่ปลอดภัยสำหรับคนฟังไหม

- Songlist เหมือนข้อข้างบน แต่มีข้อจำกัดกว่าเรื่อง TFM ในมุมดีคือการได้ฟังแบบ original version ซึ่งคนไข้อาจจะฟินกว่า ข้อเสียคือมันปรับเปลี่ยนองค์ประกอบแทบไม่ได้ทำได้แค่ดังเบา ดังนั้นการเลือกลำดับเพลง ความเร็ว จังหวะ และ dynamic เพลง สำคัญมาก ๆ ต่อ physiopsychological ของคนไข้

4️⃣ Therapeutic Methods

- Duration and frequency เหมือน does ยาอ่ะ รู้ไหมคนไข้แบบไหนควรให้นานเท่าไหร่กี่นาที ถี่แค่ไหน?

- Clinical Assessment Skill ประเมินเป็นอ่ะเปล่า รู้ไหมว่าการตอบสนองแบบไหนที่เห็นแล้วเราควรหยุด หรือไม่ควรเริ่มเลยด้วยซ้ำ (บอกตรงนี้ไม่ได้มันซับซ้อน ไว้ไปสอนใน workshop นะคะ

ทั้งหมดที่ว่ามานี้ส่งผลต่ออาการทางคลินิกของคนไข้โดยตรงและทั้งหมดที่ว่านี้รวมทั้งอาการทางกาย ทางใจ และจิตวิญญาณด้วย (ดักคอไว้ก่อน)

สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นข้อจำกัดและความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น ซึ่งกระทบไปยังการประเมินผลทางคลินิกและคุณภาพชีวิตของคนไข้ทั้งนั้น เหนือไปกว่านั้นใช้คำว่า Authority ก็ไม่มากไป

5️⃣ Ethical Thinking

กล่าวไปแล้วเล็กน้อยตั้งแต่บันทัดแรก เพราะเป็นสิ่งที่าสำคัญที่สุด healthcare provider ถูกเน้นย้ำกันเรื่องนี้อยู่แล้ว การ “knows your limitation of practice” การไม่ cross the line ทางวิชาชีพ

ับจริยธรรมในวิชาชีพ

เราชินกับการ “ทำ” และมองว่าการ “ไม่ทำ” นั้นไร้คุณค่า จะบอกว่าบางที การไม่ทำอะไรก็คือการทำอย่างหนึ่งนะ เช่น การอนุญาตให้คนไข้และญาติได้เห็นผลของการตัดสินใจต่อชีวิตตนเอง ซึ่งนั่นดังกว่าคำพูด
การ Cross the Line ทางวิชาชีพ = ทำลายคุณค่าของงานคนอื่น
รับผิดชอบต่อ competency ของตัวเอง = เคารพตัวเอง

และไม่ใช่แค่เสียง “ดนตรี” เสียงเคาะขันธิเบต แก้ว ไห เสียงน้ำไหล ไฟไหม้ พระสวด เจ้าแม่กวนอิม อะไรก็ตาม ที่เรียกว่าเสียง ขอให้คิดและพิจาณากันดูให้ดีก่อนว่าเรา “ทำ” เพราะมันเป็นความต้องการของเรา เป็นการคิดเอาเองของเรา หรือ คนไข้เราต้องการจริง ๆ และเราก็มีความสามารถและทักษะ ที่จะทำมันไหม

Ethical ส่วนตัวของเมริน (ซึ่งลำบากมากที่ใช้ในประเทศไทย) จะถือสิทธิผู้ป่วยเป็นเรื่องใหญ่ที่สุด คำขอของญาติ (รวมทั้งหมอด้วย) เป็นอันดับสองเสมอ ถ้าไม่เป็นผลดีกับผู้ป่วย ถ้า harm ผู้ป่วย หรือเป็นเรื่องที่เราไม่มีความสามารถที่จะทำ เมรินปฏิเสธทุกกรณี ซึ่งสิ่งนี้เป็น ethical ที่ระบุไว้ใน AMTA ด้วย คือ การตัดสินใจสุดท้ายว่าจะหรือไม่อยู่ที่เรา

ทำให้หลายครั้งเวลาเดิน round ward แล้วไปเจอใครเปิดเพลงในโทรศัพย์เอาไปวางข้างหูคนไข้ PPS ต่ำ ๆ ต่อสู้กับใครก็ไม่ได้ ถึงต้องดึงออกแทบทุกครั้ง นั่นเพราะเราก็รับผิดชอบต่อวิชาชีพเราเหมือนกัน รับผิดชอบต่อหน้าที่ต้องปกป้องคนไข้ในขอบเขตงานของตัวเอง ยกมือไหว้ขอร้องอยู่บ่อยครั้งให้ปิดวิทยุราคาถูก ๆ คุณภาพต่ำ ที่เปิดบทสวดไม่ชัด ฟังเพลงก็ซ่า พอถามว่าเปิดตั้งแต่เมื่อไหร่ ใครรับผิดชอบ เปิดเพื่ออะไร ใครเป็นคนขอ ก็หาแหล่งที่มาแทบไม่ได้ เคยเจอว่าเปิดตั้งแต่เวรเช้า มาถึงเวรบ่ายยังไม่ปิดเลย!!!!!

ถ้าให้ยกเคสมาเล่าว่า harm คนไข้กันไปเท่าไหร่แล้ว กับความไม่รู้นี้ มีหวังได้ออกรบทางไซเบอร์จนคีบอร์ดไหม้แน่ ๆ

ในฐานะ นักดนตรีบำบัด ที่ชื่อ เมริน ผู้ไม่เคยหวงวิชา และไม่ได้จะหวงดนตรีไว้ใช้ส่วนตัวแต่อย่างใดไม่มีสิทธิ์นั้นด้วยเพราะ #ดนตรีเป็นของทุกคนบนโลก แค่เป็นห่วงอ่ะแหละ ห่วงทั้งคนให้ใส่ใจทั้งคนรับ เรื่องบางเรื่องก็ต้องบอกกันแบบ ดุดันไม่เกรงใจใคร จะได้ไม่ต้องมาเสียใจกันทีหลัง วันนี้เลยมาแบบด๊าก ๆ กะต๊าก ๆ (ทด ๆ ติดตลกไปหน่อย ดุได้ไม่สุดจริง ๆ)

ปล. 1 คอสฟรีดนตรีบำบัดที่จะมอบให้ทุกท่านอีกอีก 2 คอสนั้นยังไม่ลืม แต่ติดปัญหาเรื่อสถานที่ ใครมีที่ไหนแนะนำให้ใช้ได้ฟรี ๆ ชี้เป้ามาด้วยค่ะ หรือครอยากเป็นเจ้าภาพจัดก็ไม่ขัดแต่อย่างใด แต่ขอร้องว่าให้จัดฟรี ไม่คิดตังคนไข้ามาฟังตามเจตนาของเมริน

ปล. 2 โพสต์นี้ “คน” เขียน 100% NO AI claim (เขียนจากใจนะจ๊ะ)

ปล. 3 ฝาก The Cadence Music Therapy ไว้กับทุกคนด้วย ช่วยเป็นกำลังใจให้เมรินในการเอา ดนตรี การแพทย์ ชีวิต และ AI มาหยุมรวมกันด้วย เดินทางไปด้วยกันนะคะ

รัก💙

the series #ดนตรีบำบัดสายดาร์ก

ที่อยู่

Music Therapy, Department Of Family Medicine, Ramathibodi Hospital
Bangkok
10400

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ The Cadence Music Therapyผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

แชร์

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram