30/11/2025
เมื่อเรารู้ว่า “อะไรสำคัญต่อชีวิต” และรู้สึกว่าเรา “กำลังก้าวไปสู่สิ่งนั้น” ความหวังก็จะเติบโตได้ แม้อยู่ท่ามกลางความทุกข์และวิกฤติ
1. ความหวังเริ่มต้นจาก “ความเป็นจริง” ไม่ใช่ “ความคิดบวก” ด้วยการถามตนเองจากสิ่งที่เป็นจริง ณ ตอนนี้ว่า “ฉันสามารถทำอะไรต่อไปได้บ้าง?”
2. “ความหวัง” vs. “ความคาดหวัง” ความคาดหวังจากผู้อื่นมักสร้างความกดดันและอาจทำร้ายเรา แต่ ความหวังเชื่อมโยงเรากลับสู่คุณค่าและความหมายของชีวิตเพื่อวางแผนอนาคตจากความเป็นจริงที่เผชิญอยู่
3. สิ่งที่ช่วยให้คนมีความหวัง คือ (1) Goals: มีสิ่งที่ต้องการไปให้ถึงในชีวิต (2) Pathways: มีแผนหรือวิธีการหลายแบบในการไปถึงเป้าหมาย และ (3) Agency: มีพลังใจในการขับเคลื่อนลงมือทำ (Snyder, 1994; Snyder et al., 2002)
4. การช่วยผู้ประสบภัยพิบัติ เช่น น้ำท่วม (1) ความต้องการพื้นฐานต้องมาก่อน ที่พัก อาหาร ความปลอดภัย การแพทย์ การสนับสนุนทางการเงิน ฯลฯ (2) ผู้ที่ได้รับผลกระทบทางใจต้องได้รับการดูแล (3) ความหวังไม่ใช่ตัวแทนของการบำบัด แต่เป็น “พลังเสริม” ที่ช่วยให้ผู้รับบริการมีกำลังเดินหน้าต่อช่วยผู้ประสบภัยตั้งเป้าหมายเล็ก ๆ ที่มีความหมาย ถามว่า “อะไรที่ยังสำคัญสำหรับคุณในตอนนี้?” “อะไรทำให้คุณลุกขึ้นมาได้ในแต่ละวัน?”
5. การช่วยเหลือไม่เพียงพาผู้รับบริการกลับสู่ภาวะปกติ แต่ช่วยให้พวกเขา “เติบโตหลังวิกฤติ” (post-traumatic growth) แม้ผ่านความสูญเสียมาแล้ว
6. เทคนิคง่าย ๆ สำหรับผู้ให้การปรึกษา (1) อย่ากลัว “ความหวัง” เพราะความหวังคือสิ่งที่ทำให้เรามีพลังในการลงมือทำ (2) เป็นแบบอย่างของความหวังให้ผู้รับบริการเห็น (3) ซื่อสัตย์ต่อความจริงแล้วถามว่า “เราทำอะไรได้บ้างต่อจากนี้” (4) ใช้ Hope Mapping เขียนแผนความหวังแบบง่าย ๆ (เป้าหมาย เส้นทาง ขั้นตอน และอุปสรรค) เพื่อช่วยให้ผู้รับบริการเห็นทางเดินที่เป็นรูปธรรมมากขึ้น
ที่มาของข้อมูล : “Hope – Evidence-Based Interventions for Counseling Practice” ผู้บรรยาย : David B. Feldman, Ph.D. (November 29, 2025) จัดโดย สมาคมจิตวิทยาการปรึกษาแห่งประเทศไทย