04/12/2025
เพราะการยินยอม ไม่ได้มีระดับเดียว ข้อมูลชุดนี้เกิดขึ้นใน "หลักสูตรการฝึกอบรมสื่อมวลชนเพื่อส่งเสริมวัฒนธรรมการสื่อสารด้วยความยินยอมทางเพศ" (Workshop for the Media to Promote a Culture of Sexual Consent Communications)
Clear No : ไม่ยินยอม ฉันไม่โอเคเลย
Enduring : จำยอม ยอมเพราะไม่มีอำนาจต่อรอง ไม่มีทางเลือกอื่น หรือจำยอมเพราะกลัวมีปัญหา
Tolerating : พอทน ยอมรับได้ แต่จริงๆ ก็ไม่ได้อยาก
Not sure : ไม่แน่ใจยังลังเล
Willing : ฉันเต็มใจ
Wanting : ฉันอยากทำ
6 คำนี้คือ Spectrum of Consent ที่ ดร.ชเนตตี ทินนาม คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาฯ อธิบายว่ามิติของ consent ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงการตอบรับหรือปฏิเสธเท่านั้น แต่คือ ‘ข้อตกลงร่วมกัน’ ที่ต้องเกิดขึ้นอย่างมีคุณภาพในหลายเงื่อนไข ได้แก่ต้องเป็น อิสระ ไม่ถูกบังคับหรือกดดัน ต้องมีข้อมูลครบถ้วน จึงจะตัดสินใจได้ ต้องเป็นการยินยอมที่ ปราศจากความกลัวหรือความเสี่ยง ต้องสามารถ ถอนความยินยอมได้ตลอดเวลา
ดร.ชเนตตีย้ำว่า “คำว่าใช่ ที่เกิดขึ้นภายใต้ความกลัว ไม่ใช่ consent”
ในขณะที่สังคมจริงที่ผู้คนเจอ ส่วนใหญ่ความสัมพันธ์จำนวนมากถูกครอบด้วยคำว่า เกรงใจ ไม่เป็นไรหรอก หรือ เขาคงไม่คิดอะไร
“ทำให้พื้นที่ของ consent ถูกตีบแคบจนผู้หญิงหรือผู้มีสถานะอ่อนกว่ามักต้อง ‘ทน’ ‘ยอมเพราะจำใจ’ หรือ ‘ยังไม่แน่ใจแต่ไม่กล้าพูด’” ดร.ชเนตตี กล่าว
เช่นเดียวกับที่ ดร.โกสุม โอมพรนุวัฒน์ วิทยาลัยสหวิทยาการ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์อธิบายว่า สเปกตรัมนี้ช่วยเปิดพื้นที่ให้คนยอมรับว่าความรู้สึกของตนเองไม่ต้องสุดโต่ง อย่างคำว่ายอม จะต้องตรงข้ามกับไม่ยินยอมเสมอไป และช่วยตั้งคำถามว่า
“เรายินยอมจริงๆ หรือเรากำลังยินยอมภายใต้แรงกดดันของอำนาจทางสังคม?”
⭕️ อำนาจ ความสัมพันธ์ และการยินยอมที่ไม่เคย ‘เท่ากัน’
ดร.โกสุมย้ำว่า consent ไม่สามารถแยกออกจากโครงสร้างอำนาจในสังคมไทยได้เลย ไม่ว่าจะเป็นอายุเพศ สถานะในที่ทำงาน อำนาจทางเศรษฐกิจ ความเป็นชาย/หญิงตามค่านิยมดั้งเดิม
“การสื่อสารในแบบไทยๆ อย่างอย่าพูดแรง เดี๋ยวเขาเสียหน้า หรือเดี๋ยวถูกมองว่าเล่นตัว ทำให้หลายคนไม่สามารถปฏิเสธอย่างตรงไปตรงมา”
นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเครื่องมือเช่น I-statement (ฉันรู้สึก…, ฉันต้องการ…) จึงถูกนำมาใช้ในหลักสูตร เพื่อช่วยให้ผู้คนสื่อสารความต้องการของตัวเองโดยไม่ใช้อำนาจไปกดทับอีกฝ่าย
ขณะที่ อ.พิมพ์พจี เย็นอุรา คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ตั้งคำถามสำคัญว่า
“เมื่อสื่อรายงานคดีข่มขืนด้วยคำว่า ดื่มด้วยกัน, เป็นแฟนกัน, หรือ หญิงยอมขึ้นรถไปด้วย เรากำลังผลิตความหมายแบบไหนให้สังคม?”
เพราะคำเหล่านี้ถูกใช้เป็นนัยเพื่อสื่อว่าผู้หญิงมีส่วนผิด หรือ อาจยินยอมโดยปริยาย ทำให้ความรุนแรงทางเพศถูกเบี่ยงความสนใจไปจากผู้กระทำ
หลักสูตรอบรมจึงเสนอ แนวทางการรายงานข่าวที่เคารพความยินยอม เช่น ไม่ใช้ภาษาที่โทษเหยื่อ ไม่บิดเบือนเหตุการณ์ให้ดูเหมือนมี consent เน้นข้อมูลด้านอำนาจ ความเสมอภาค และความปลอดภัย สื่อสารคำว่าไม่มีการยินยอม อย่างตรงไปตรงมา
“เมื่อสื่อเปลี่ยนภาษา สังคมก็จะเปลี่ยนความเข้าใจตามไปด้วย”
✅ ทำไมเราต้องสร้าง Culture of Sexual Consent ไม่ใช่การให้แค่ความรู้?
ส่วนสำคัญคือ ‘Consent’ จะไม่มีวันเกิดขึ้นจริง หากสังคมไม่ทำให้มันกลายเป็นวัฒนธรรมร่วมที่ทุกคนต้องมีส่วนรับผิดชอบ ไม่ว่าจะในโรงเรียน ห้องทำงาน ความสัมพันธ์ หรือในพื้นที่สาธารณะ คำง่าย ๆ อย่าง “โอเคไหม?” “ไม่สะดวกก็ได้นะ” “หยุดได้ทุกเมื่อ”
“คือการสร้างวัฒนธรรมใหม่ที่ยืนยันว่าความต้องการของทุกคนมีความหมายเท่ากัน นี่คือการย้ายจาก culture of silence (วัฒนธรรมการเงียบ เพราะกลัว) ไปสู่ culture of consent (วัฒนธรรมการสื่อสารอย่างเคารพ)” อ.พิมพ์พจี กล่าว
ท้ายที่สุดแล้ว consent ไม่ใช่กฎที่ทำให้ความสัมพันธ์ยุ่งยากขึ้น แต่เป็น ภาษาที่ทำให้ความสัมพันธ์ทุกแบบปลอดภัยและเท่าเทียมมากขึ้น
หากเราหัดถาม หัดฟัง หัดเคารพคำตอบ ไม่ว่าคำตอบนั้นจะเป็น “ใช่”, “ไม่”, หรือ “ยังไม่แน่ใจ” เราก็กำลังสร้างวัฒนธรรมใหม่ที่ทำให้ทุกคนมีสิทธิ์ในร่างกายและขอบเขตของตนเองอย่างแท้จริง
Culture of Sexual Consent จึงไม่ใช่แค่เรื่องส่วนตัวแต่คือเรื่องของ ความเป็นมนุษย์ที่เท่าเทียมกัน
เรื่อง : มยุรา ยะทา
ภาพ : ภัทราภรณ์ สงสาร
#การยินยอม