MS อาหารปั่น อาหารทางสายสำหรับผู้ป่วย

MS อาหารปั่น อาหารทางสายสำหรับผู้ป่วย รับผลิตอาหารปั่นสำหรับผู้ป่วย ให้อาหารทางสายยาง สั่งมาได้เลยครับ

รับผลิตอาหารปั่นสำหรับผู้ป่วย ให้อาหารทางสายยาง สั่งมาได้เลยครับ-ส่งได้ทั่วกรุงเทพ และ ปริมณฑล-หากเก็บภายใต้อุณหภูมิ -4 ...
28/07/2020

รับผลิตอาหารปั่นสำหรับผู้ป่วย ให้อาหารทางสายยาง สั่งมาได้เลยครับ
-ส่งได้ทั่วกรุงเทพ และ ปริมณฑล
-หากเก็บภายใต้อุณหภูมิ -4 องศา สามารถเก็บรักษาคุณภาพอาหารได้ถึง3วัน
-สารอาหาร และ สูตรควบคุมโดยนักโภชนาการ
-ราคาประหยัด สด และสะอาด
-ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม 098-262-9758 หรือ 099-249-4465
-ID LINE:
หรือทาง inboxเพจได้เลยครับ

3 สารอาหารดี ๆ ช่วยป้องกันมะเร็งต่อมลูกหมากการดูแลต่อมลูกหมากไม่ใช่เรื่องไกลตัว เพราะเมื่อคุณผู้ชายย่างเข้าสู่เลข 4 ด้วย...
30/05/2020

3 สารอาหารดี ๆ ช่วยป้องกันมะเร็งต่อมลูกหมาก

การดูแลต่อมลูกหมากไม่ใช่เรื่องไกลตัว เพราะเมื่อคุณผู้ชายย่างเข้าสู่เลข 4 ด้วยระดับฮอร์โมนที่ค่อย ๆ เริ่มลดลงคล้ายกับผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน อาจส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย อารมณ์ และจิตใจ รวมทั้งมีโรคที่ต้องระวังอย่างมะเร็งต่อมลูกหมาก เพราะฉะนั้นการดูแลป้องกันง่าย ๆ ที่ทำได้ด้วยตัวเองคือ เลือกรับประทานผักผลไม้และธัญพืชที่มีสารอาหารช่วยป้องกันมะเร็งต่อมลูกหมาก สารอาหารดังต่อไปนี้มีงานวิจัยออกมาแล้วว่ามีส่วนช่วยป้องกันมะเร็งต่อมลูกหมากได้
สารไลโคปีน (Lycopene – Rich Foods)
สารที่สร้างการสังเคราะห์สีให้กับมะเขือเทศ มีทั้งสีแดงและสีส้ม ซึ่งมีสารเคมีธรรมชาติของพืชสมุนไพรที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระและสารช่วยต้านมะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งต่อมลูกหมาก ทั้งยังช่วยลดความเสี่ยงของมะเร็งลำไส้ใหญ่ กระเพาะอาหาร เต้านม และปอดได้ด้วย สิ่งที่ควรรู้ไว้คือ เมื่อนำมะเขือเทศไปปรุงอาหารไม่ว่าจะอบ นึ่ง ผัดให้มีสีแดงมากขึ้น ร่างกายจะได้รับสารไลโคปีนมากกว่าการทานมะเขือเทศแบบสด ๆ หรือถ้าใครชอบทานแบบสลัดผักควรจะต้องทานกับน้ำมันมะกอกหรืออะโวคาโดเพื่อให้ร่างกายดูดซับสารนี้ได้มากยิ่งขึ้น
สารซัลโฟราเฟน (Sunforaphane)
สารต้านอนุมูลอิสระธรรมชาติที่ช่วยลดการอักเสบและช่วยกำจัดสารก่อมะเร็ง (Carcinogens) จากสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ในชีวิต สิ่งที่ควรรู้ไว้คือ สารซัลโฟราเฟนพบมากในพืชผักพวกหัวกะหล่ำ (Cruciferous Vegetables) พืชผักตระกูลกะหล่ำ เช่น บรอกโคลี บีท กะหล่ำปลีสีม่วง ดอกกะหล่ำ ผักกาดขาว ผักกาดฮ่องเต้
สารฟลาโวนอยด์ (Flavonoids) และสารไอโซฟลาโวน (Isoflavone)
จัดอยู่ในกลุ่มของโพลีฟีนอล (Polyphenol) ที่ช่วยสร้างสมดุลให้กับฮอร์โมนเพศในร่างกาย ช่วยปรับสมดุลให้สุขภาพต่อมลูกหมากแข็งแรง สิ่งที่ควรรู้ไว้คือ สารฟลาโวนอยด์และสารไอโซฟลาโวนพบมากในถั่วเหลืองและผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง (Soy) มากที่สุด และพบสารนี้ได้บ้างในไวน์แดง ลูกทับทิม และแครนเบอร์รี นอกจากสารอาหารที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว สารอาหารในพืชผักที่ช่วยต้านการอักเสบ (Anti – inflammatory Foods) อย่างเช่น ขิง ขมิ้นชัน หัวหอม เมล็ดฟักทอง เมล็ดแฟลกซ์ ออริกาโน แอปเปิล เบอร์รี ล้วนมีประโยชน์ในการป้องกันโรคของต่อมลูกหมากได้เช่นกัน เพราะฉะนั้นคุณผู้ชายยุคใหม่ควรใส่ใจอาหารที่รับประทานเพื่อช่วยให้ต่อมลูกหมากแข็งแรงห่างไกลโรค

9 เคล็ดลับสู่อาหารต้านมะเร็ง1) กินผักหลากสีทุกวัน   สีสันของผักนอกจากจะดูสวยงาม ผักแต่ละสี แต่ละชนิดยังมีประโยชน์ต่อร่าง...
30/05/2020

9 เคล็ดลับสู่อาหารต้านมะเร็ง

1) กินผักหลากสีทุกวัน
สีสันของผักนอกจากจะดูสวยงาม ผักแต่ละสี แต่ละชนิดยังมีประโยชน์ต่อร่างกายและให้คุณค่าที่แตกต่างกัน การรับประทานผักให้หลากหลายหรือรับประทานให้ครบทั้ง 5 สี จะมีประโยชน์อย่างยิ่งต่อสุขภาพ ตัวอย่างของผักและสารสีต่าง ๆ ได้แก่
สารสีแดง ได้แก่ มะเขือเทศ มีสารต้านอนุมูลอิสระที่เรียกว่า ไลโคปีน (Lycopene) ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งกระเพาะอาหาร และมะเร็งปอด
สารสีเหลือง / ส้ม ได้แก่ ฟักทอง แครอท มีสารต้านอนุมูลอิสระแคโรทีนอยด์ (Beta – Carotene) อุดมไปด้วยวิตามินที่สามารถต้านการเกิดสารอนุมูลอิสระในร่างกาย
สารสีเขียว ได้แก่ คะน้า บรอกโคลี อุดมไปด้วยวิตามินซี รวมถึงผักบุ้ง กวางตุ้ง ตำลึงที่มีวิตามินเอและพิกเมนต์คลอโรฟิลล์
สารสีม่วง ได้แก่ กะหล่ำสีม่วง ชมพู่มะเหมี่ยว สีม่วงในดอกอัญชัน พืชผักสีม่วงเหล่านี้มีสารแอนโทไซยานิน (Anthocyanin) ซึ่งช่วยยับยั้งสารก่อมะเร็ง
สารสีขาว ได้แก่ มะเขือเปราะ ผักกาดขาว ดอกแค โดยเฉพาะยอดแค มีสารเบตาแคโรทีนสูง ซึ่งมีคุณสมบัติในการกำจัดสารอนุมูลอิสระ


2) ทานผลไม้เป็นประจำ
ผลไม้ประกอบด้วยวิตามินและแร่ธาตุหลากหลายชนิดที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย รวมทั้งยังมีเส้นใยอาหารที่ช่วยให้ระบบย่อยอาหารและระบบขับถ่ายทำงานได้อย่างปกติ
ประโยชน์ของผลไม้

ส้ม มีวิตามินเอและซี ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็ง
สับปะรด มีวิตามินซี เบตาแคโรทีน และแมงกานีส ที่ช่วยป้องกันอันตรายจากอนุมูลอิสระ และยังมีความสำคัญต่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย
มะละกอ มีวิตามินเอ บี และซี ช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็ง ช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานเป็นปกติ
มะม่วง มีวิตามินเอและซี ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยในการป้องกันมะเร็ง อีกทั้งแก้อาการคลื่นไส้อาเจียนได้ด้วย

3) เน้นอาหารธัญพืชและเส้นใย
ธัญพืชเต็มเมล็ด คือ ธัญพืชที่ไม่ผ่านการขัดสีหรือขัดสีน้อยที่สุด ทำให้มีคุณค่าทางโภชนาการสูง เช่น วิตามิน แร่ธาตุ ไฟโตนิวเตรียนท์ เส้นใยอาหาร และสารต้านอนุมูลอิสระต่าง ๆ ตัวอย่างของธัญพืชเต็มเมล็ด ได้แก่ ข้าวกล้อง ข้าวสาลี ข้าวโพด ลูกเดือย เป็นต้น นอกจากนี้ใยอาหารในธัญพืชยังทำหน้าที่สำคัญในการพาสารต่าง ๆ ที่เป็นโทษต่อร่างกาย ซึ่งเกาะติดบริเวณลำไส้ให้ขับถ่ายออกไป จึงมีส่วนสำคัญในการลดความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งในทางเดินอาหารและมะเร็งลำไส้ใหญ่
คุณค่าทางอาหารของธัญพืช

ข้าวกล้อง ให้พลังงานแก่ร่างกาย มีเส้นใยอาหาร ช่วยป้องกันโรคเหน็บชา ปากนกกระจอก ลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่และช่วยป้องกันโรคโลหิตจาง
ลูกเดือย มีวิตามินบี 1 วิตามินเอ โพแทสเซียม และใยอาหาร ช่วยแก้เหน็บชา แก้ร้อนใน บำรุงไต ปอด กระเพาะอาหาร
ถั่ว ถั่วชนิดต่าง ๆ เช่น ถั่วเขียว ถั่วเหลือง ถั่วดำ ถั่วแดง มีสารอาหารโปรตีนและเส้นใยอาหาร ช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งลำไส้

4) เติมเครื่องเทศเสริมรสชาติอาหาร
เครื่องเทศ หมายถึง ส่วนต่าง ๆ ของพืชที่นำมาเป็นเครื่องปรุงรสอาหารหรือเพื่อให้อาหารมีกลิ่นหอม สารประกอบอินทรีย์ที่เป็นกลิ่นหอมของเครื่องเทศมาจากส่วนที่เป็นน้ำมันและน้ำมันหอมระเหย ส่วนรสชาติที่เผ็ดร้อนมาจากส่วนที่เป็นยาง เครื่องเทศประกอบด้วยสารหลายชนิด เช่น แป้ง น้ำตาล แร่ธาตุ วิตามิน และสารประกอบอื่น ๆ ซึ่งมีสรรพคุณลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็ง รวมถึงกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันได้
คุณประโยชน์จากเครื่องเทศ

พริก มีสาร Capsaicin ช่วยเพิ่มกระบวนการเผาผลาญในร่างกายและลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็ง
ขมิ้น มีสาร Curcuminoids ช่วยลดคอเลสเตอรอล ทำให้ลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด รวมทั้งช่วยป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่
กระเทียม มีสาร Dially Sulphide ช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็ง
ขิง มีสาร [6]-Gingerol ช่วยลดการดูดซึม LDL Cholesterol และช่วยป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่

5) เพิ่มสารต้านอนุมูลอิสระ
เครื่องดื่มจากธรรมชาติมีสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยแก้กระหาย ทำให้ร่างกายสดชื่น เครื่องดื่มนี้สามารถเตรียมจากส่วนต่าง ๆ ของพืช เช่น ใบ ผล เมล็ด ราก เป็นต้น
ชาเขียว มีสาร Epigallocatechin Gallate [EGCG] ซึ่งมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดเซลล์มะเร็ง การดื่มชาเขียวให้ได้ประโยชน์เต็มที่ควรดื่มทันทีหลังชงชาเสร็จ เนื่องจากหากทิ้งไว้ชาเขียวจะทำปฏิกิริยากับออกซิเจนในอากาศ ทำให้เสียคุณค่าไป นอกจากชาเขียวแล้วยังมีน้ำผักและผลไม้ รวมถึงสมุนไพรอีกหลายชนิดที่นิยมนำมาทำเป็นเครื่องดื่มกันอย่างแพร่หลาย เช่น น้ำแครอท น้ำดอกอัญชัน น้ำขิง น้ำส้ม น้ำเสาวรส เป็นต้น

6) ปรุงอาหารให้ถูกวิธี
วิธีการปรุงอาหารที่ถูกต้องมีความสำคัญ ได้แก่
ไม่ปิ้งย่างอาหารประเภทเนื้อสัตว์จนไหม้เกรียม การปิ้งย่าง รมควัน เนื้อสัตว์จนไหม้เกรียมจะทำให้เกิดสารก่อมะเร็ง การนำอาหารไปทำให้สุกโดยไมโครเวฟก่อนนำไปปิ้งย่าง และการนำส่วนที่ไหม้เกรียมทิ้งก่อนการรับประทานจะช่วยลดสารพิษดังกล่าวได้
ไม่รับประทานอาหารแบบสุก ๆ ดิบ ๆ โดยเฉพาะปลาน้ำจืดที่มีเกล็ด การรับประทานอาหารแบบสุก ๆ ดิบ ๆ อาจทำให้เกิดการติดเชื้อพยาธิใบไม้ตับและเกิดอาการอักเสบเรื้อรังส่งผลให้เป็นมะเร็งได้ ดังนั้นจึงควรปรุงอาหารเหล่านี้ให้สุกก่อนการรับประทานเพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดโรค
ไม่ใช้น้ำมันทอดซ้ำหลาย ๆ ครั้ง น้ำมันที่ผ่านการทอดซ้ำนานเกินไปจะมีคุณค่าทางโภชนาการลดลงและทำให้เพิ่มโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรค จึงควรหลีกเลี่ยงไม่รับประทานอาหารทอดจากร้านค้าที่ใช้น้ำมันมีกลิ่นเหม็นหืน สีดำคล้ำ ฟองมาก

7) หลีกหนีอาหารไขมัน
ไขมันในอาหารพบได้ทั้งในพืชและในสัตว์ โดยมีส่วนประกอบที่สำคัญ คือ กรดไขมัน ซึ่งสามารถแบ่งประเภทของกรดไขมัน ได้ดังนี้
กรดไขมันอิ่มตัว พบมากในอาหารที่มาจากเนื้อสัตว์และน้ำมันที่ได้จากพืชบางชนิด เช่น เนย ไขมันสัตว์ กะทิ น้ำมันมะพร้าว และน้ำมันปาล์ม หากร่างกายได้รับกรดไขมันอิ่มตัวในปริมาณมากเกินจำเป็น จะทำให้เสี่ยงต่อโรคความดันโลหิตสูงและโรคหัวใจ
กรดไขมันไม่อิ่มตัว พบในน้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันข้าวโพด น้ำมันดอกคำฝอย น้ำมันดอกทานตะวัน และปลา เช่น ปลาซาร์ดีน ปลาแซลมอน ปลาทูน่า ปลาจะละเม็ด เป็นต้น การบริโภคกรดไขมันชนิดนี้จะช่วยลดระดับ LDL Cholesterol หรือ คอเลสเตอรอลตัวร้ายในเลือด ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ

😎 ลดบริโภคเนื้อแดง
เนื้อสัตว์สีแดง เช่น เนื้อหมู เนื้อวัว เนื้อแกะ เป็นอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวสูง การบริโภคเนื้อสัตว์สีแดงเป็นประจำอาจทำให้มีความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งลำไส้และทวารหนัก มะเร็งเต้านม และโรคอ้วน จึงควรจำกัดการรับประทานเนื้อดังกล่าวให้เหลือเพียงสัปดาห์ละ 500 กรัม เพื่อลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็ง การรับประทานปลาเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง เนื่องจากปลาเป็นอาหารที่มีปริมาณโปรตีนสูงและยังเป็นโปรตีนที่ย่อยง่าย มีปริมาณไขมันน้อย นอกจากนี้ในปลาทะเลน้ำลึกยังพบว่า มีกรดไขมันที่เรียกว่า โอเมก้า 3 ซึ่งเป็นไขมันไม่อิ่มตัวที่จำเป็นต่อร่างกาย ช่วยการทำงานของสมอง ตับ และระบบประสาทเกี่ยวกับการพัฒนาการเรียนรู้อีกด้วย
9) เกลือแกงและอาหารหมักดองต้องน้อย
เกลือแกง เกลือสมุทร เกลือสินเธาว์เป็นของคู่ครัวเรือน ซึ่งใช้ปรุงอาหารเพื่อให้มีรสเค็ม แต่สิ่งที่ต้องระลึกไว้เสมอคือ ร่างกายควรได้รับโซเดียมไม่เกินวันละ 6 กรัมต่อวัน โซเดียม มีบทบาทสำคัญต่อกระบวนการต่าง ๆ ในร่างกาย แต่หากได้รับในปริมาณที่มากเกินไปก็จะเป็นโทษต่อร่างกายได้เช่นกัน พบมากในเนื้อเค็ม ปลาเค็ม ปลาร้า ผักดอง และผลไม้ดอง เป็นต้น ดังนั้นจึงควรลดการรับประทานอาหารประเภทหมักดองหรืออาหารที่ผ่านกระบวนการแปรรูป โดยเฉพาะที่มีการถนอมอาหารหรือปรุงสีด้วยดินประสิวเพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็ง

รับผลิตอาหารปั่นสำหรับผู้ป่วย ให้อาหารทางสายยาง สั่งมาได้เลยครับ-ส่งได้ทั่วกรุงเทพ-หากเก็บภายใต้อุณหภูมิ -4 องศา สามารถเ...
20/05/2020

รับผลิตอาหารปั่นสำหรับผู้ป่วย ให้อาหารทางสายยาง สั่งมาได้เลยครับ
-ส่งได้ทั่วกรุงเทพ
-หากเก็บภายใต้อุณหภูมิ -4 องศา สามารถเก็บรักษาคุณภาพอาหารได้ถึง3วัน
-สารอาหาร และ สูตรควบคุมโดยนักโภชนาการ
-ราคาประหยัดและสะอาด
-ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม 098-262-9758 หรือ 099-249-4465
-ID LINE:
หรือทาง inboxเพจได้เลยครับ

ทำอย่างไรให้ห่างไกลภาวะสมองเสื่อม  ภาวะสมองเสื่อมในผู้สูงวัยที่เกิดจากความเสื่อมของเซลล์สมองนั้นยังไม่พบวิธีการรักษา มีเ...
18/04/2020

ทำอย่างไรให้ห่างไกลภาวะสมองเสื่อม

ภาวะสมองเสื่อมในผู้สูงวัยที่เกิดจากความเสื่อมของเซลล์สมองนั้นยังไม่พบวิธีการรักษา มีเพียงการให้ยาเพื่อชะลออาการเสื่อมของสมองไม่ให้เข้าสู่ระดับรุนแรง แต่ยาเหล่านี้ต้องใช้ตามแพทย์สั่งเท่านั้น เนื่องจากมีผลข้างเคียงตามมา จึงควรนำผู้ที่เข้าข่ายว่าอาจมีภาวะสมองเสื่อมไปพบแพทย์ซึ่งเป็นวิธีที่ดีที่สุด
ทำอย่างไรให้ห่างไกลจากภาวะสมองเสื่อม
1. ออกกำลังกาย มีส่วนช่วยอย่างมากในการชะลอความเสื่อม และยังเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของสมองด้วย ควรออกกำลังกายต่อเนื่องอย่างน้อย 30 นาทีต่อครั้ง สัปดาห์ละ 3 ครั้ง
2. การเลือกรับประทานอาหาร ให้ครบ 5 หมู่ หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวและคอเลสเตอรอลสูง ให้เน้นรับประทานอาหารเนื้อปลา ผักและผลไม้ ที่สำคัญอย่าให้ร่างกายขาดวิตามิน โดยเฉพาะวิตามินบี 1 และบี 12
3. หลีกเลี่ยงยาหรือสารที่ทำอันตรายสมอง เช่น การดื่มสุราหรือการใช้ยาโดยไม่จำเป็น
4. หมั่นเข้าสังคมหรือหากิจกรรมทำ โดยเฉพาะผู้สูงอายุวัยเกษียณ แทนการจับเจ่าอยู่บ้าน
5. ระมัดระวังอุบัติเหตุ โดยเฉพาะการลื่นล้มที่จะมีผลกระทบกระเทือนต่อสมองโดยตรง
6. ตรวจสุขภาพเป็นประจำทุกปี โดยเฉพาะหากมีโรคประจำตัว เช่น โรคเบาหวาน โรคไขมันในเลือดสูง ควรต้องติดตามการรักษาและปฏิบัติตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด
7. บริหารสมอง ด้วยการฝึกทำกิจกรรมที่ต้องใช้ความคิดและเพิ่มการทำงานของสมอง เช่น บวกลบคูณหารตัวเลข วาดรูป เล่นเกมเพื่อให้ฝึกใช้ความคิด

4 เคล็ดลับ SOCIAL DISTANCING: อยู่บ้านรับมือ COVID-19 ฉบับชาวสูงวัยข้อแนะนำเพื่อป้องกันการติดเชื้อไวรัสที่ทางการแนะนำในช...
18/04/2020

4 เคล็ดลับ SOCIAL DISTANCING: อยู่บ้านรับมือ COVID-19 ฉบับชาวสูงวัย

ข้อแนะนำเพื่อป้องกันการติดเชื้อไวรัสที่ทางการแนะนำในช่วงเวลานี้ คือการงดออกไปนอกบ้านหรือไปอยู่ในพื้นที่ที่มีผู้คนจำนวนมาก แต่ผู้สูงวัยส่วนใหญ่ ยังจำเป็นต้องออกไปทำกิจกรรมข้างนอกบ้านหรือพบปะเพื่อนฝูงอยู่ตลอด ทำให้เสี่ยงต่อการที่จะติดเชื้อได้ ‘Social Distancing’ หรือ ‘การรักษาระยะห่างทางสังคม’ จึงเป็นวลีใหม่ที่สังคมกำลังให้ความสนใจ
4 เคล็ดลับดีๆ ในการรับมือ Covid-19 แบบฉบับชาวสูงวัย โดยที่ไม่ต้องตัดขาดจากสังคม อยู่บ้านได้แบบไม่เหงา และปลอดภัยจากเชื้อไวรัส จนกว่าจะผ่านพ้นวิกฤตนี้ไปได้
1.เรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ๆ อยู่เสมอ
เทคโนโลยีทุกวันนี้พัฒนาไม่เคยหยุด ทำให้การติดต่อสื่อสารกันในโลกออนไลน์เป็นเรื่องง่ายดาย ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็สามารถพูดคุยกันผ่านข้อความ หรือเห็นหน้าตาพร้อมเสียงสดๆ ได้ทุกที่ ไม่ว่าจะเป็น Line ที่ผู้สูงวัยหลายคนคุ้นเคย หรือจะเป็น FaceTime, Zoom, Skype และอื่นๆ อีกมากมาย เหล่านี้คือตัวเลือกสำหรับใช้ในการพูดคุยกับครอบครัวและเพื่อนๆ ได้อย่างสะดวกสบาย ฉะนั้นขอให้ลองศึกษาและเรียนรู้วิธีการใช้อยู่เสมอ
2. พักเสพข่าวบ้าง
การติดตามข่าวสารเป็นประจำ เป็นกิจวัตรที่ต้องทำอยู่เสมอในช่วงเวลานี้ แต่การเสพข่าวมากๆทุกวันอาจทำให้เกิดอาการวิตกกังวลจนเกินไป และทำให้เสียสุขภาพจิตได้ เคล็ดลับง่ายๆ คือดูแค่อัพเดตข่าวรายวันในช่วงเช้า และฟังสรุปข่าวอีกครั้งในช่วงกลางคืนก็เพียงพอ แล้วใช้เวลาไปกับงานอดิเรกอย่างอื่นดีกว่า พยายามหลีกเลี่ยงข่าวด่วนหรือ Breaking News ระหว่างวัน รวมถึงระมัดระวัง Fake News หรือข่าวปลอมที่ส่งต่อๆ กันมา และหลีกเลี่ยงการเสพข่าวในโลกโซเชียลที่ไม่มีแหล่งข้อมูลอ้างอิงที่ถูกต้องหรือไม่น่าเชื่อถือ
3. ไม่ขาดการติดต่อกับครอบครัวและเพื่อนสนิท
ในภาวะเช่นนี้ การมีครอบครัวหรือเพื่อนสนิทพูดคุยติดต่อกันอยู่ตลอด คือสิ่งที่สำคัญมากๆ สำหรับผู้สูงอายุที่ต้องอยู่บ้านตามลำพัง เพราะฉะนั้นเครื่องมือติดต่อสื่อสารอย่างสมาร์ทโฟนจึงสำคัญ ทั้งการโทรศัพท์ กรุ๊ปไลน์ หรือแชตส่วนตัวต้องไม่พลาดทุกการติดต่อ เพราะการรักษาระยะห่างทางสังคม ไม่ได้หมายถึงการต้องเลิกติดต่อสื่อสารกัน แต่หมายถึงการอยู่ห่างกันแค่กาย แต่การพูดคุยกันยังเหมือนเดิมนั่นเอง
4. ร่วมกิจกรรมจากที่บ้าน
การไปร่วมกิจกรรมขณะอยู่ที่บ้าน อาจฟังดูขัดแย้งกัน แต่จริงๆ แล้วด้วยเทคโนโลยีนี่เองที่ทำให้ผู้สูงอายุเข้าร่วมกิจกรรมได้ผ่านทางหน้าจอ เพียงแค่มีคอมพิวเตอร์หรือสมาร์ทโฟนพร้อมอินเทอร์เน็ต ก็สามารถเข้าร่วมกิจกรรมผ่านการ Live หรือถ่ายทอดสดได้แล้ว จะพูดคุยหรือพิมพ์ทักทายก็ทำได้เหมือนได้ไปร่วมกิจกรรมจริงๆ อย่างยังแฮปปี้เองก็มีกิจกรรมออนไลน์ผ่านทาง YouTube Live ทั้งกิจกรรมสอนใช้โซเชียล, สอนเล่น LINE, พัฒนาบุคลิกภาพ ให้เข้าร่วมสนุกทุกสัปดาห์ ห่างไกลจาก Covid-19 แต่มียังแฮปปี้อยู่ใกล้ชิดเหมือนเดิม

สุขภาพดีสร้างได้ กับ 5 วิธี ทำตามแล้วเปลี่ยนชีวิตเลยสุขภาพที่ดีใคร ๆ ก็อยากมี แต่วิถีการใช้ชีวิตในปัจจุบันมีสิ่งยั่วยุต่...
18/04/2020

สุขภาพดีสร้างได้ กับ 5 วิธี ทำตามแล้วเปลี่ยนชีวิตเลย

สุขภาพที่ดีใคร ๆ ก็อยากมี แต่วิถีการใช้ชีวิตในปัจจุบันมีสิ่งยั่วยุต่าง ๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นอาหารการกิน การเสพสื่อโซเชียล ไม่ค่อยมีเวลาออกกำลังกาย สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่เป็นต้นเหตุที่ทำให้สุขภาพของเราทรุดโทรมทั้งนั้น ดังนั้นผมจึงมีวิธีสร้างสุขภาพดีง่าย ๆ ที่อยากบอกต่อ ซึ่งหากคุณสาว ๆ ได้ทำตามล่ะก็ รับรองเลยว่า สุขภาพจะดีขึ้นแน่นอน

1. การเลือกรับประทานอาหาร
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า อาหารเป็นปัจจัยหนึ่งที่สำคัญต่อร่างกาย การจะเกิดผลดีหรือผลเสียนั้น ขึ้นอยู่กับการเลือกรับประทานอาหารให้เหมาะสม เพราะร่างกายจะนำไปพัฒนาและซ่อมแซมในส่วนต่าง ๆ ควรลดอาหารที่มีแคลอรีสูง ของทอด ปิ้ง-ย่าง หรืออาหารที่มีไขมันเยอะ เพราะหากร่างกายเผาผลาญไม่หมดก็จะกลายเป็นไขมันสะสมในร่างกายในที่สุด ทางที่ดีควรรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ในปริมาณที่เหมาะสม เลือกรับประทานแต่อาหารที่มีประโยชน์
2. บริหารสมอง
การบริหารสมองก็เป็นอีกวิธีที่จะช่วยเสริมสร้างสุขภาพที่ดีได้ ลองหาเกมฝึกสมองมาเล่น เช่น เกมอักษรไขว้ เกมจำตำแหน่งภาพ เกมจับผิด เกมซูโดกุ หรือเกมหมากรุกจีน เป็นต้น ควรหันมารับประทานผลไม้พวก ส้ม องุ่น เบอร์รี่ให้มากขึ้นด้วย เพราะผลไม้จำพวกนี้มีสารช่วยต้านอนุมูลอิสระ ลดอาการหลง ๆ ลืม ๆ ได้ หรือการหัวเราะก็ช่วยให้เลือดไหลเวียนดียิ่งขึ้น เพราะร่างกายจะหลั่งสารเคมีในระบบประสาทที่ทำให้ผ่อนคลาย ซึ่งจะส่งผลดีทั้งร่างกาย จิตใจ อีกทั้งคนรอบข้างก็จะมีความสุขตามไปด้วย
3. พักสายตาจากการเสพสื่อโซเชียล
ทุกวันนี้ไม่ว่าจะหันไปทางไหนหรือทำอะไรก็ต้องถ่ายรูป แชร์ข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ ไม่ให้พลาดเหตุการณ์สำคัญ ๆ ซึ่งถ้าใช้ในปริมาณที่เหมาะสมก็จะให้ผลดีแก่เรา แต่ถ้าใช้มากเกินไปนอกจากจะทำให้เป็นคนติดโซเชียลแล้ว ยังอาจทำให้กล้ามเนื้อดวงตาเมื่อยล้า หรือตาแห้งเพราะต้องคอยจ้องอยู่ที่หน้าจอเป็นเวลานาน อาจทำให้เกิดอาการเบลอ สายตาพร่ามัว หรือสายตาสั้นได้ ทางที่ดีควรพักสายตา และบริหารดวงตาของเราด้วย เช่น กระพริบตา กลอกตาไปมาเพื่อป้องกันตาแห้ง หรือมองไปยังวัตถุที่อยู่ไกล ก็จะช่วยให้ผ่อนคลายดวงตาลงได้ และถ้าลดโซเชียลลงบ้าง ก็จะทำให้ไม่ต้องเครียดจากการเสพข่าว สุขภาพจิตดีขึ้น
4. ออกกำลังกาย
การออกกำลังกายนอกจากจะได้สุขภาพที่ดี เพราะอวัยวะภายในร่างกายจะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพแล้ว ยังทำให้เรามีภูมิต้านทานห่างไกลโรคภัยต่าง ๆ สุขภาพจิตก็ดีตามไปด้วย ควรออกกำลังกายอย่างน้อยวันละ 30 นาทีหลังเลิกงาน ลองเดินออกกำลังกายที่สวนสาธารณะใกล้บ้านก็ได้ หรือจะวิ่ง จะแอโรบิค ก็ล้วนแต่ทำให้ร่างกายมีสุขภาพที่ดีทั้งนั้น แต่หากใครไม่มีเวลาออกกำลังกายจริง ๆ งานบ้านก็อาจจะช่วยได้เหมือนกัน เช่น ทำสวน กวาดบ้าน ถูบ้าน ล้างรถ ก็ถือเป็นการออกกำลังกายไปในตัว ทั้งยังทำให้บ้านสะอาดเป็นระเบียบเรียบร้อยอีกด้วย
5. พักผ่อนให้เพียงพอ
เมื่อทำกิจวัตรต่าง ๆ ในแต่ละวันเสร็จเรียบร้อยแล้ว การพักผ่อนที่ดีที่สุด คือ การนอน เพราะร่างกายจะได้ซ่อมแซมฟื้นฟูได้อย่างเต็มที่ ควรนอนให้ครบ 8 ชั่วโมงและนอนให้เป็นเวลา เพราะหากนอนดึกเกินไป ร่างกายอาจเหนื่อยล้าได้ อีกทั้งยังมีผลเสียตามมา เช่น มีริ้วรอย เสี่ยงต่อโรคภัยต่าง ๆ ทางที่ดีควรพักผ่อนให้เพียงพอ เมื่อตื่นขึ้นมารับวันใหม่ ร่างกายจะได้สดชื่นและตื่นตัวตลอดทั้งวัน สุขภาพร่างกายก็จะดีตามไปด้วย

เห็นไหม แค่วิธีง่าย ๆ แค่นี้ก็ทำให้คุณมีสุขภาพที่ดีขึ้นได้แล้ว อาจจะต้องใช้ความพยายามสักหน่อย อาจรู้สึกฝืนตัวเองสักนิดในช่วงแรก แต่รับรองได้เลยว่า ความพยายามไม่ศูนย์เปล่าแน่นอน ถือเป็นกำไรเสียด้วยซ้ำ

9 เทคนิคเปลี่ยนท่า เปลี่ยนชีวิต1. ไม่นั่งหลังค่อมการนั่งหลังค่อมจะทำให้มีแรงกดไปที่กระดูกสันหลัง กล้ามเนื้อและข้อต่อเป็น...
08/04/2020

9 เทคนิคเปลี่ยนท่า เปลี่ยนชีวิต

1. ไม่นั่งหลังค่อม
การนั่งหลังค่อมจะทำให้มีแรงกดไปที่กระดูกสันหลัง กล้ามเนื้อและข้อต่อเป็นอย่างมาก ส่งผลให้ผู้ที่ชอบนั่งหลังค่อมจะมีอาการปวดหลังอยู่เป็นประจำ นอกจากนี้การนั่งหลังค่อมจะทำให้การทำงานของปอดและกระเพาะแย่ลง โดยจะทำให้รู้สึกหายใจไม่อิ่ม เนื่องจากท่าทางในการนั่งไม่เอื้ออำนวยต่อการสูดลมหายใจเข้าไปในปอด และอาหารไม่ย่อยเพราะการนั่งหลังค่อมจะกดลำไส้ไว้ ลำไส้จึงเคลื่อนไหวได้น้อย

2. ยืนตัวให้ตรง
การยืนตัวตรงเป็นพื้นฐานของการปรับบุคลิกภาพที่ดีที่สุด เพราะนอกจากจะทำให้บุคลิกภาพคุณดูดีแล้ว จะทำให้คุณดูผอมลงอีกด้วย การฝึกยืนตัวให้ตรงนั้น สามารถทำได้ง่ายๆโดยยืนชิดผนัง เข่าตรง ให้ก้น หลัง และศีรษะชิดผนัง เก็บคางเล็กน้อย เมื่อส่องกระจกจะเห็นว่าใบหูอยู่กึ่งกลางหัวไหล่ หากทำถูกต้องเมื่อมองออกมา จะพบว่าระดับสายตาของคุณจะมองท้องฟ้าอยู่พอดี

3. อย่านั่งเท้าโต๊ะ
ต่อจากการยืนคือการนั่ง ยิ่งคุณต้องเป็นคนที่ทำงานกับโต๊ะเป็นส่วนใหญ่แล้วนั้นท่านั่งที่ดี จะทำให้อาการปวดไหล่ หลัง เอว ของคุณดีขึ้น โดยท่านั่งที่ดีทำได้โดยนั่งหลังตรง พิงไปกับพนักพิง จากนั้นนำผ้าขนหนูม้วนเป็นก้อนกลม หรือหมอนรองนั่งมารองหลังบริเวณบั้นเอวไว้เพื่อให้ลักษณะของกระดูกสันหลังโค้งตามเดิม และหาที่วางเท้าให้เข่าอยู่ที่ระดับเดียวกับเอว หรือจะสูงกว่าเอวเลล็กน้อยก็ได้ เพียงเท่านี้คุณจะได้ท่านั่งสบายๆที่ทำงาน

4. เปลี่ยนท่าเล่นโทรศัพท์
โดยปกติแล้วเรามักเคยชินกับการก้มเล่นโทรศัพท์อยู่กันเป็นประจำ นานๆทีถึงจะยืดกล้ามเนื้อบริเวณคอบ้าง หลังจากผ่านความเหนื่อยล้าจากการเล่นหลายๆชั่วโมงติดกัน คุณเชื่อหรือไม่ว่าการก้มหน้าเล่นโทรศัพท์เป็นเวลานานนั้นส่งผลเสียถึงกระดูกสันหลังของคุณด้วย ท่าที่ดีกว่าคือการยกโทรศัพท์ขึ้นมาเล็กน้อยเพื่อให้คุณเล่นโทรศัพท์ได้ในลักษณะคอตรง ลดระดับสายตาลงเล็กน้อย จะสามารถลดการเมื่อยล้าของกล้ามเนื้อบริเวณคอ และการกดทับกระดูกสันหลังได้

5. ไม่นั่งไถลตัวขณะขับรถ
ในกรณีที่ต้องขับรถเป็นเวลานานๆ เรามักจะไถลตัวไปด้านหน้าเพื่อลดความเมื่อยล้าบริเวณสะโพก แต่รู้หรือไม่ว่าการนั่งในลักษณะดังกล่าวจะทำให้กระดูกสันหลังของคุณได้รับการกดทับอีกเช่นเดิม จะดีกว่าไหมหากคุณเลื่อนเบาะเข้ามาอยู่ใกล้พวงมาลัยในระดับที่เหมาะสม อาจวัดได้จากท่าเข่าของคุณงอเล็กน้อย ให้เข่าอยู่ในระดับเดียวกับสะโพก และที่สำคัญอย่าลืมรองหลังของคุณด้วยหมอนหรือผ้าขนหนูเพื่อลดความเมื่อยล้าที่แผ่นหลังลง

6. ลดระดับความสูงของรองเท้าส้นสูงลงบ้าง
ในยุคสมัยปัจจุบันการใส่ส้นสูงสวยๆสักคู่ เพื่อออกไปตามที่ต่างๆกำลังเป็นที่นิยมอย่างมาก แต่การที่คุณใส่ส้นสูงเป็นเวลานานไม่ว่าจะส้นตึกหรือส้นเข็ม รองเท้าเหล่านี้กำลังทำลายสุขภาพของคุณไปช้าๆ เพราะนอกจากทำให้การเรียงตัวของไขสันหลังผิดปกติ เส้นประสาทได้รับความเสียหายและเข่ารับน้ำหนักมากขึ้น ดังนั้นหากคุณยอมลดความสูงของส้นสูง หรือระยะเวลาที่ยืนบนส้นสูงลงบ้าง จะทำให้สุขภาพของคุณดีขึ้นไม่น้อย

7. นอนให้ถูกท่า
การนอนให้ถูกท่านั้นเป็นสิ่งสำคัญเพราะหากคุณทำตามคำแนะนำที่ควรนอน 6-8 ชั่วโมงต่อวันนั้น จะเห็นว่าระยะเวลานอนกินเวลาไปเกือบ 1/3 ของวัน หรือแม้กระทั่งการงีบหลับก็ควรเป็นท่าที่ดี โดยท่าดังกล่าวนั้นจะต้องทำให้กระดูกสันหลังของคุณตรงตลอดเวลานั่นเอง เริ่มตั้งแต่เตียงนอนไม่ควรนิ่มจนเกินไป หมอนที่ใช้ควรมีความสูงพอดีกับที่ทำให้คอของคุณเป็นแนวเดียวกับไขสันหลัง สำหรับหมอนข้างนั้นเพียงแค่วางไว้แล้วงอเข่าพาดไว้ และหากเป็นไปได้หาหมอกเล็กๆสักใบมารองหลังไว้เพื่อให้คุณนอนในท่าเดิมตลอด

8. ออกกำลังกาย
เนื่องจากการมีไขมันที่หน้าท้อง หรือช่วงลำตัวปริมาณมากจะทำให้ไขสันหลังได้รับแรงกดที่มากไปปด้วย การออกกำลัง หรือการฝึกกล้ามเนื้อโดยเฉพาะช่วงกลางลำตัวจะทำให้เกิดกล้ามเนื้อขึ้นและช่วยพยุงกระดูกสันหลังให้ดียิ่งขึ้นด้วย ข้อสำคัญคือไม่ควรออกกำลังด้วยวิธีที่ส่งแรงถึงกระดูกสันหลังมากนัก

9. หมั่นปรับและเชคตัวเองเสมอ
เป็นวิธีการดูง่ายๆว่ากระดูกของคุณยังจัดเรียงตัวเป็นปกติหรือไม่ ให้คุณยืนชิดกำแพง หลังจากนั้นให้ลองเดินหน้ามาช้าๆ ประมาณ 6 ฟุต แต่หลังและสะโพกยังติดผนังอยู่ คุณจะต้องพบว่า หลังด้านล่างและคอของคุณจะต้องอยู่ห่างจากผนังประมาณ 2 นิ้ว ดังนั้นหากท่าทางคุณไม่ได้เป็นอย่างที่กล่าวมา ลองปรึกษาแพทย์เพื่อหาแนวทางแก้ไขตอนไป

ดื่มแอลกอฮอล์อย่างไร ให้ปลอดภัย1 ดื่มมาตรฐานในคนทั่วไปที่ไม่ได้มีโรคประจำตัว สามารถดื่มแอลกอฮอล์ได้ โดยไม่มีผลเสียต่อร่า...
08/04/2020

ดื่มแอลกอฮอล์อย่างไร ให้ปลอดภัย

1 ดื่มมาตรฐาน
ในคนทั่วไปที่ไม่ได้มีโรคประจำตัว สามารถดื่มแอลกอฮอล์ได้ โดยไม่มีผลเสียต่อร่างกาย

สำหรับผู้ชาย น้ำหนักประมาณ 71.5 กิโลกรัม ไม่ควรดื่มเกิน 5 วันต่อสัปดาห์
ใน 1 วันไม่ควรดื่มเกิน 4 ดื่มมาตรฐาน
โดยดื่มไม่เกิน 2 ดื่มในชั่วโมงแรก และ
1 ดื่มในชั่วโมงถัดไป
ส่วนสาวๆ น้ำหนักประมาณ 50 กิโลกรัม ไม่ควรดื่มเกิน 5 วันต่อสัปดาห์
ใน 1 วันไม่ควรดื่มเกิน 2 ดื่มมาตรฐาน
โดยดื่มไม่เกิน 1 ดื่มในแต่ละชั่วโมง
โดย 1 ดื่มมาตรฐาน (Standard Drink) คือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์บริสุทธิ์ผสมอยู่ 10 กรัม ซึ่งเป็นปริมาณที่ตับใช้เวลา 1 ชั่วโมง ในการขับออก

เบียร์ หรือเครื่องดื่มพร้อมดื่มที่มี แอลกอฮอล์ 5% จะมี 1 ดื่มมาตรฐานเท่ากับ 1 กระป๋อง หรือ 1 ขวดเล็ก หรือ 330 มิลลิลิตร
วิสกี้ หรือ วอดก้าที่มีแอลกอฮอล์ 40-43% 1 ดื่มมาตรฐาน จะอยู่ที่ 3 ฝา หรือ 30 มิลลิลิตร


ไวน์ ที่มีแอลกอฮอล์ 11-13% จะมี 1 ดื่มมาตรฐานคือ 1 แก้ว หรือ 100 มิลลิลิตร

ที่อยู่

58/621
Bangkok
10230

เบอร์โทรศัพท์

+66982629758

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ MS อาหารปั่น อาหารทางสายสำหรับผู้ป่วยผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ การปฏิบัติ

ส่งข้อความของคุณถึง MS อาหารปั่น อาหารทางสายสำหรับผู้ป่วย:

แชร์

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram