เจ เจษ นักจิต - Jay Jess counseling

เจ เจษ นักจิต - Jay Jess counseling นักจิตวิทยาการปรึกษา ให้บริการปรึกษาเชิงจิตวิทยา บรรยายให้ความรู้ และ แบ่งปันมุมมองจากความคิดของนักจิตวิทยา

28/03/2025

แผ่นดินไหวแรงมากครับ ขอให้ทุกคนปลอดภัย
เป็นเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดและอาจส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจของบางคนได้

อย่าลืมดูแลใจตัวเองกันด้วยนะครับ
ทุกคนมีสิทธิ์กลัวได้เมื่อต้องเจอเหตุการณ์แบบนี้ 🙏

27/03/2025

📣📣⭐⭐⭐
การศึกษาวิจัยเชิง meta-analysis ในปี 2024 รายงานในวารสาร American Psychologist
พบว่า "การบำบัดทางจิตใจ(ที่มีการวางแนวทางการรักษาต่อเนื่องในระยะเวลานานระดับหนึ่ง) ส่งผลสำเร็จในระยะยาว มากกว่ายาต้านเศร้า"

รายละเอียดเพิ่มเติมเบื้องต้น อยู่ในคอมเมนต์ (1-5)
รายละเอียดเต็มๆ คลิ๊ก https://at.apa.org/20adf5

เครดิต©APA
แปลและเรียบเรียง©อจ.ส่องโสม

27/02/2025

🧔🏻 เลคเชอร์ โดย เจษฎา กลิ่นพูล นักจิตวิทยาการปรึกษาคลิปวิดีโอนี้เป็นการพูดถึงจิตวิทยาอีโก้ (Ego Psychology...

13/02/2025

เวลาที่คนรักของคุณถามซ้ำๆ ว่าคุณรักเขาที่ตรงไหน
หรือแม้กระทั่งเวลาที่เขามักคอยถามว่าคุณรู้สึกอย่างไรบ้างกับสิ่งที่เขาทำ
บางทีนั่นอาจเป็นสัญญาณของความรู้สึกไม่มั่นคงในความสัมพันธ์ที่เกิดกับใจพวกเขา

ความรู้สึกไม่มั่นคงนี้อาจมีที่มาที่ไปได้จากหลากหลายสาเหตุ
บางทีก็มาจากสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบัน
บางทีก็มาจากความสัมพันธ์ในอดีต
หรือบางทีก็มาจากประสบการณ์ในวัยเด็ก
ที่ทั้งหมดทั้งมวลนั่นทำให้เขาไม่สามารถเชื่อได้อย่างสนิทใจว่าตัวเองคู่ควรกับความรัก

มันเหมือนการมองเห็นเพียงแต่จุดบกพร่องของตัวเอง
ที่พร้อมจะกลายเป็นการรู้สึกถูกตำหนิ รู้สึกว่าตัวเองไม่เหมาะสม และรู้สึกว่ามีโอกาสถูกปฏิเสธหรือทอดทิ้งได้เสมอ

ความไม่ไว้วางใจที่กลายเป็นปัญหาในความสัมพันธ์เองก็เริ่มต้นได้จากจุดนั้น
เพียงเพราะพวกเขาไม่อาจมองเห็นตัวเองได้อย่างชัดเจนถึงสิ่งที่พวกเขาเป็นจริงๆ
และไม่สามารถมองเห็นได้ว่าพวกเขาเองก็มีคุณค่า มีตัวตน และมีความสำคัญต่ออีกคนอย่างไรบ้าง

มันอาจไม่ได้ดูเป็นเรื่องใหญ่นักหากมองอย่างผิวเผิน
แต่มันก็อาจสร้างปัญหาหากมีอยู่มากเกินไป จนค่อยๆ ก่อให้เกิดไดนามิกของการหาเรื่องทะเลาะ

เหมือนกับว่าจากความรู้สึกไม่มั่นคงเล็กๆ ในใจของคนหนึ่ง
กลับกลายเป็นความไม่ไว้วางใจกันและกันของทั้งสองฝ่าย
จากคำพูดและวิธีการที่ปฏิบัติต่อกัน

การหันกลับมาพูดคุยทำความเข้าใจร่วมกันเพื่อตอบคำถามว่า
อะไรเป็นสาเหตุให้ความรู้สึกไม่มั่นคงนี้เกิดขึ้น จึงกลายเป็นสิ่งสำคัญ
เมื่อเราได้เข้าใจถึงสาเหตุแล้ว ทั้งคู่จึงอาจปรับตัวเข้าหากันได้ด้วยการทำสิ่งต่างๆ เพื่อกันและกันให้อีกฝ่ายสบายใจ

รวมไปถึงการพยายามโฟกัสกับความไว้วางใจในความสัมพันธ์ที่ต่างฝ่ายต่างต้องลองทิ้งตัวลงไปด้วย
แม้จะเป็นเรื่องน่ากลัวและคาดเดาไม่ได้ว่าท้ายที่สุดแล้วความไว้วางใจนี้จะถูกทำลายรึเปล่า
แต่การปกป้องตัวเองอยู่กับการถอยห่างหรือสรรหาคำถามมากมายมาคอยเช็คเพียงความรู้สึกอีกฝ่ายซ้ำๆ ก็ไม่ได้ช่วยอะไร และมันก็อาจกลายเป็นสิ่งที่น่ารำคาญหากมันค่อนข้างจะมากเกินไปก็ได้

10/02/2025

ผู้ชายอย่างเราน่ะ เก่งมากเรื่องเก็บซ่อนความรู้สึก
เรามัวแต่คิดว่าต่อให้มีเรื่องทุกข์ใจแค่ไหนก็ต้องเก็บเอาไว้คนเดียว
คิดเอาเองว่าทุกอย่างเราแก้ไขปัญหาด้วยตัวเองได้

มีไม่กี่คนที่คิดจะบอกปัญหาของตัวเองกับคนอื่น
ไม่แม้แต่จะพูดอย่างง่ายๆ ว่ากำลังเจออยู่กับเรื่องอะไร
หลายคนเลยเลือกหันไปหาสิ่งพึ่งพิงทางใจแบบผิดๆ
กลายเป็นการบ่อนทำลายและพร้อมจะระเบิดตัวเองอย่างไม่รู้ตัว

ราวกับว่า เราต่างเตรียมพร้อมรับวันสิ้นโลกที่กำลังจะมาถึง
แต่อาจเป็นเราเองนี่แหละที่กลายเป็นผู้สร้างหายนะ
ซึ่งก่อนจะถึงวันนั้น กว่าจะรู้ตัวว่าเรากำลังสู้อยู่กับตัวเองมากกว่าสิ่งอื่นเสียอีก มันก็อาจช้าไปแล้ว

เวลาที่มีผู้ชายซักคนเดินเข้ามาปรึกษาผม
ส่วนมากผมจะบอกเสมอว่าพวกเขากำลังเลือกเส้นทางที่ถูก
แน่นอนว่ามันมีอุปสรรคอยู่บ้างในช่วงแรกของการพูดคุย
มันไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับผู้ชายอย่างเราที่จะเอ่ยปากพูด
แต่เมื่อได้พูด มันก็กลายเป็นบทสนทนาที่แสนธรรมดาได้เช่นกัน

03/02/2025

ปูพื้นนิดหน่อย ผมเป็นนักจิตวิทยาที่ทำงานนอกระบบ เติบโตจากแนวคิด Existential-Humanistic และ Buddhism ครับ
1.ผมว่าโดยรากฐานแต่ละแนวคิดในการรักษาบำบัดตั้งมาจากเจตนาที่ดีของคนต้นคิด ที่มีโลกแห่งประสบการณ์ส่วนตัว มีการสังเกต ตีความ ศึกษาวิจัย สร้างข้อสรุปว่าปัญหาทางจิตนั้นๆ มาจากอะไร บ้างก็ว่ามาจากทางกาย เช่น สมอง ฮอร์โมน บ้างก็ว่าเพราะปมวัยเด็ก การเลี้ยงดู หรือความผิดหวังในปัจจุบัน ฯลฯ
2.แต่เจตนาที่ดี ก็ยังไมได้หมายความว่าองค์ความรู้ หรือวิธีการนั้นจะถูกที่สุด หรือเหมาะสมกับการแก้โจทย์ไปทุกโจทย์ เพราะมนุษย์มีความเฉพาะของตัวตนทางกาย ทางจิต และบริบทปัญหาไปอีก ผู้ปฏิบัติเลยควรรู้ไว้กว้าง เพราะเวลาเจอโจทย์ต่างๆ จะได้หาเหลี่ยมในการเข้าใจปัญหาได้ถูกต้อง นี่ยังไม่รวม Bad Side ของแต่ละวิธีการที่เราต้องคำนึงถึงด้วย ทั้งยา ทั้งจิตบำบัด
3.ปัญหาของผู้สืบทอดความรู้ที่มาตรฐานไม่เท่ากัน บุคลิกไม่เหมือนกัน ต่อให้เรียนจากสถาบันการศึกษา แล้วจะบอกว่าตัวเองเป็นจิตแพทย์ เป็นนักบำบัด เป็นนักจิต จะทำทฤษฎีอะไรก็ว่าไป แต่ไม่ใช่ว่าทุกคนจะเก่งหรือคมเท่ากัน ประสบการณ์ไม่เท่ากัน อุดมการณ์ไม่เท่ากัน การปฏิบัติไม่เหมือนกัน
4.คนเราไม่ได้ท็อปฟอร์มทุกวัน จิตแพทย์ นักจิต ก็ไม่ได้ท็อปฟอร์มทุกวัน วันที่เสียทรง ทำงานพลาดก็มีได้ สิ่งที่น่ากลัวคืออีโก้ หรือ อัตตา เพราะในวันที่เราพลาด แต่เราไม่ได้ทบทวนหรือยอมรับความพลาดของตัวเอง วันนั้นคือวันที่คนไข้จะเละ และเละต่อไประยะยาว โดยอิงกับเงื่อนไขว่า "คุณหมอว่าไง ผมก็ว่างั้น" ส่วนตัวคนทำก็อาจจะเผลอเชื่อไปเองว่า "เราดีแล้ว เก่งแล้ว" เราเลยไม่หยุดทำสิ่งที่ผิดทาง ความถ่อมตัวเลยสำคัญมาก ไม่งั้นทุกอย่างจะพังเกินที่ควร พังเกินแก้
5.Scammer หรือคนที่เรียนจิตวิทยาแล้วเอามาใช้ประโยชน์เพื่อสร้างผลกำไร สนองอัตตาตัวเอง เป็นตัวอันตรายต่อชีวิตผู้อื่นนี่มีอยู่จริงครับ ไม่ใช่แค่คนนอก แต่คนที่จบจากสถาบันการศึกษาเองที่ทำก็มี
6.ผมว่า Psychodynamic/analysis ยังใช้งานได้นะครับ ขึ้นกับตัวผู้ทำว่าเก่งจริงไหม (หรือแค่เคลม) ส่วนที่ผมชอบใช้จากแนวคิดนี้จะเป็นพวก Defense Mechanism กลไกป้องกันทางจิตเพื่อลดการแตกสลายของ Ego หรือ Self หรือ อัตตา โดยพื้นฐานมนุษย์อยากจะรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนดี เป็นคนเก่ง เป็นที่น่าชื่นชม แต่พอมีข้อมูลบางอย่างที่มาขัดแย้งว่าเขาไม่ได้เจ๋งแบบนั้น กลไกนี้มันก็จะโผล่ขึ้นมาบล็อคไม่ให้จิตแตก อาการปรากฏก็จะเช่น โทษคนอื่น ด้อยค่าคนอื่น ไขสือ เพิกเฉย ไม่รับรู้ ทำเป็นโกรธ แง่มุมนี้เราไม่เพียงช่วยคนไข้ให้เห็น pattern นี้ของตัวเองเท่านั้น เราอาจช่วยให้เค้ารับมือกับคนอื่นที่กำลังใช้ pattern นี้ได้ด้วย (โดยเฉพาะพวกที่ชอบ Gaslight คนอื่น) หรือการวิเคราะห์ปมในอดีต อันนี้ก็สำคัญ
7.BT หรือ CBT ผมว่ามันมีแง่มุมที่ใช้ได้ผลดีอยู่ครับ เพราะการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม เปลี่ยนสภาพแวดล้อม และเปลี่ยนวิธีการตีความสถานการณ์ใช้ได้ผลจริง ผมก็หยิบยืมวิธีคิดของสายนี้มาใช้อยู่เป็นประจำ แต่ BT หรือ CBT ก็ไม่ได้ตอบทุกโจทย์ของมนุษย์ที่กว้างใหญ่ลึกซึ้งกว่านั้น มันไม่ได้จบในตัวเอง
8.โดยธรรมชาติมนุษย์จะไม่เจ็บปวดกับสิ่งที่ไม่สำคัญ ตรงนี้ Existential กับ Buddhism จะมีบทสำคัญมากต่อการทำความเข้าใจว่า "อะไรคือสิ่งที่คนนี้ให้ความสำคัญ" และ "สิ่งนี้ถูกปรุงว่าสำคัญขึ้นมาได้ยังไง" อ่านกลไกที่สัมพันธ์เกี่ยวข้องกันทั้งหมด จากนั้น Humanistic + Buddhism จะถูกประยุกต์ในเรื่องการสร้างทางเลือกในการคิด การมอง การวางใจ การจัดวางชีวิตที่เหมาะสม และแยกแยะให้ออกว่า "อะไรคือสิ่งที่สำคัญจริงๆ อะไรที่เราถูกหลอก ถูกอำ"
9.เคสที่กินยาซึมเศร้ามา 2-5 ปีแล้วไม่หาย เจอ Counseling เซสชั่นเดียว เบิกเนตร รู้กลไกปัญหาทั้งหมดจนพลิกชีวิตก็มีจริงครับ แต่มันอาจไม่ใช่ 45 นาทีอย่างที่ทำกัน เพราะมันสั้นไป เวลาที่เกิดขึ้นแบบหวังผลได้คือ 90-120 นาที แต่คนทำต้องเก่ง + วันนั้นสมองปลอดโปร่ง + คนไข้มีวัตถุดิบมาพร้อมแล้ว + จังหวะทุกอย่างวันนั้นดีมาก
10.บางคนทำ counseling เป็นสิบๆ session แต่เคสไม่ได้ผลอะไรก็มีอยู่จริงครับ
11.คนที่กินยาเป็นสิบปีไม่หายก็มีจริงครับ
12.นักจิตช่วยตั้งสมมติฐานเกี่ยวกับอาการทางจิตเวชได้บ้างครับ เพราะโจทย์ที่เกี่ยวกับเรื่องจิตใจ มักจะมีเรื่องเล่า มีตัวละคร มีสถานการณ์ มีแง่มุมจิตวิทยาที่ทำให้เกิดการกระทบทางจิตใจ มีความสมเหตุสมผล ถ้ามีองค์ประกอบพวกนี้ก็จะเข้าทางนักจิต แต่ถ้าถามไปแล้วไม่มีสถานการณ์ ไม่มีตัวละคร วิเคราะห์แง่มุมจิตวิทยาแล้วไม่สมเหตุสมผล อาการรุนแรงเกินกว่าเหตุ เกินกว่าควบคุมได้ อันนั้นนักจิตจะสันนิษฐานว่าอาจเกี่ยวกับสมอง หรือสารเคมีบางอย่าง ยกตัวอย่างเคสที่ผมเจอบ่อย เช่น พบว่ามีอาการซึมเศร้าเพราะ แพ้วิตามินโฟลิกที่กินเพื่อเตรียมตั้งครรภ์ (ทดลองหยุดตามที่ผมวิเคราะห์แล้วหาย), ร้องไห้ไม่หยุดเพราะเป็นวัยทอง (ไปตรวจฮอร์โมนตามที่ผมแนะนำให้พบว่าค่าฮอร์โมนเพศต่ำมาก), สมาธิสั้น โฟกัสงานไม่ได้ เพราะก่อนหน้านี้มีเสพกัญชาแล้วน็อค (ผมถามไล่จนเคสยอมบอก), ควบคุมอารมณ์ไม่ได้ เพราะเมนส์ใกล้มา (ผมลองทักเล่นๆ กลายเป็นเขาก็เพิ่งนึกออกว่าใช่) แต่สุดท้ายพวกนี้เราจะไม่อวดอ้างฟันธงลงไปตรงๆ แต่เราจะพูดว่าเท่าที่วิเคราะห์น่าจะมีความเป็นไปได้ แต่ถ้าเอาชัวร์แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ร่วมด้วย
13.คนทำงานในโรงเรียนแพทย์หรือหน่วยงานสุขภาพของรัฐน่าเห็นใจมากครับ จะไปหวังการรักษา หรือจิตบำบัดเทพๆ จากในระบบ บอกเลยว่ายาก เพราะ 1) คนไข้เยอะเกิน 2) จิตบำบัดเป็นงานที่ต้องใช้เวลา ยังไม่รวมใช้เวลาแบบมีประโยชน์หรือเปล่าอีก 3) นักศึกษาแพทย์ยังไม่ได้เซียนขนาดนั้น การเรียนหนัก ได้นอนหรือยัง 4) อาจารย์หมอเองงานก็หนัก งานตรวจ สอน ตำรา วิจัย เอาเวลากับพลังงานจากไหนก่อน 5) คนไข้บางวัน 30-60 เคส หมอสิจะตายก่อนถ้าไม่รีบเคลียร์ ความละเอียดก็หายไป เอายาโปะไปก่อน แล้วบอกว่าอย่าเครียดนะ
14.ถ้าจะเอาคุณภาพ ก็ต้องไปหาจากเอกชนข้างนอกเอา หรือเดี๋ยวนี้ก็มีแบบออนไลน์ ก็ต้องไปเดิมพันเอาอีกว่าจะเจอที่ที่ดีไหม เราจ่ายเงินเองไหวไหม บางที่สะดวกจริง ให้เวลาจริง แต่คุณภาพก็อาจจะไม่ได้มีมากอะไร นัดไปเรื่อยๆ จ่ายยาไปเรื่อยๆ คุยไปเรื่อยๆ เสียเงินไปเรื่อยๆ เพื่อให้สถานพยาบาลนั้นอยู่รอด
15.บทสรุปของเรื่องนี้ ไม่ใช่แค่คนไข้ต้องหาทางรอดกันเองนะครับ แต่พวกคนทำงานสายสุขภาพจิตก็ต้องเอาตัวรอดกันเองเหมือนกัน ถ้าไม่ใช่ทนอยู่กับระบบที่ไม่ส่งเสริมคุณภาพชีวิต ก็ต้องปากกัดตีนถีบเองในระบบเอกชนข้างนอก
16.พูดได้แค่ว่า เอาใจช่วยนะครับทุกคนนน 555
ดร.สุววุฒิ วงศ์ทางสวัสดิ์ (เอิ้น)
นักจิตวิทยาการปรึกษาคนหนึ่ง

ประชาสัมพันธ์เวิร์คช้อปจากคนรู้จักครับใครสนใจสามารถลองไปอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม หรือลงทะเบียนได้ที่เพจ Empath' ครับ-----...
02/02/2025

ประชาสัมพันธ์เวิร์คช้อปจากคนรู้จักครับ

ใครสนใจสามารถลองไปอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม หรือลงทะเบียนได้ที่เพจ Empath' ครับ
-------------------------------------
“Reflective Art for Communication”

เวิร์คช็อปที่ใช้กระบวนการศิลปะบำบัดเพื่อชวนคุณสำรวจรูปแบบการปฏิสัมพันธ์ระหว่างตัวคุณกับผู้อื่นและกลไกของจิตใต้สำนึกที่ส่งผลต่อรูปแบบการปฏิสัมพันธ์ของตัวคุณเอง

เวิร์คช็อปนี้จะช่วยให้คุณ�1.มี self-awareness ในการปฏิสัมพันธ์ที่ดีขึ้น
2.เข้าใจเรื่อง power dynamic และการให้ space ในการปฏิสัมพันธ์
3.เป็นตัวเองได้เป็นธรรมชาติมากขึ้น เวลาอยู่ร่วมกับผู้อื่น��วันเวลา: วันอาทิตย์ที่ 23 กุมภาพันธ์ 2025 เวลา 13.30-17.00 น.
สถานที่: C2 Cafe พญาไท��ค่าเข้าร่วม 690 บาท/ท่าน�รับจำนวนจำกัด 10 ท่าน/รอบ

**เวิร์คช็อปนี้จัดโดย นักจิตบำบัดและ Art Therapist Practitioner��ลงทะเบียนได้ที่ Line Official: (@)empath.co�หรือ Instagram DM: .mentalhealth

29/01/2025
”นอนสักหน่อย แล้วค่อยตื่นขึ้นมาจิบกาแฟร้อนๆปล่อยให้ความทุกข์ใจเมื่อคืนสลายไปกับไอน้ำจากถ้วยกาแฟ“เรื่อง: เปื้อนยิ้มภาพ: J...
29/01/2025

”นอนสักหน่อย แล้วค่อยตื่นขึ้นมาจิบกาแฟร้อนๆ
ปล่อยให้ความทุกข์ใจเมื่อคืนสลายไปกับไอน้ำจากถ้วยกาแฟ“

เรื่อง: เปื้อนยิ้ม
ภาพ: JayJess

ผมไม่ได้มีโอกาสไปงาน แต่มีคนสรุปให้เรียบร้อยครับ 😎
23/01/2025

ผมไม่ได้มีโอกาสไปงาน แต่มีคนสรุปให้เรียบร้อยครับ 😎

🤗 21 มกราคม วันกอดแห่งชาติ 💜เวลาที่มีคนใกล้ชิดกำลังเผชิญปัญหาเชื่อว่าหลายคนคงง่วนกับการคิดหาคำปลอบใจและพยายามปลุกใจ ให้เ...
21/01/2025

🤗 21 มกราคม วันกอดแห่งชาติ 💜

เวลาที่มีคนใกล้ชิดกำลังเผชิญปัญหา
เชื่อว่าหลายคนคงง่วนกับการคิดหาคำปลอบใจ
และพยายามปลุกใจ ให้เขามีแรงฮึดสู้

แต่บางทีคำพูดเหล่านั้นอาจส่งไปถึงแค่ปากประตู
ไม่สามารถผ่านเข้าไปถึงข้างในหัวใจได้
อาจเพราะปัญหาที่หนักหน่วง
ทำให้ประตูถูกล็อกอย่างแน่นหนา

มีวิธีการหนึ่งที่แสนง่าย แต่หลายคนมองข้าม
คือการกอดเบาๆอย่างอ่อนโยน ให้เขาได้รับรู้ถึงความห่วงใย

การกอด คือการส่งผ่านสัมผัสอบอุ่น จากคนหนึ่งถึงอีกคนหนึ่ง
เป็นความรู้สึกที่จริงใจและมีอยู่จริง

บางครั้งสำหรับคนที่อ่อนแอ อ่อนไหว
คำพูดปลอบใจอาจเบาเหมือนปุยเมฆ
แต่อ้อมกอดเป็นเหมือนดวงอาทิตย์
อบอุ่น สว่างไสว

สวัสดีวันแห่งการกอดครับ 🫂


เรื่อง: เปื้อนยิ้ม
ภาพ: JayJess

ทำไมคนที่ประสบความสำเร็จจึงมีโอกาสทำลายชีวิตของตัวเองลงกับมือในหนังสือเล่มหนึ่งของ Brett Kahr ที่ชื่อ “Freud: Great Thin...
19/01/2025

ทำไมคนที่ประสบความสำเร็จจึงมีโอกาสทำลายชีวิตของตัวเองลงกับมือ

ในหนังสือเล่มหนึ่งของ Brett Kahr ที่ชื่อ “Freud: Great Thinkers on Modern Life” นำเอาทฤษฎีจิตวิเคราะห์ของซิกมุนด์ ฟรอยด์ (Sigmund Freud) มาพูดไว้อย่างน่าสนใจในบทแรกของหนังสือเกี่ยวกับประเด็นนี้

ในหนังสือจะยกตัวอย่างจากเหตุการณ์คดีอื้อฉาวของนักแสดงชายอย่าง ฮิวจ์ แกรนท์ (Huge Grant) ในปี 1994 ที่เพิ่งจะโด่งดังขึ้นมาในฮอลลิวู้ดจากหนังเรื่อง For Wedding and a Funeral

ซึ่งในปีถัดมาก่อนที่หนังเรื่องใหม่ของเขาจะเข้าฉาย (เรื่อง Nine Months) เพียง 2 สัปดาห์ครึ่ง แกรนท์ก็ถูกจับในระหว่างซื้อบริการทางเพศจาก ดีไน์ บราวน์ (Divine Brown) หรือชื่อจริงคือ เอสเตลล่า แมรี่ ทอมป์สัน (Estella Marie Tompson) จนกลายเป็นข่าวที่โด่งดังมากในช่วงนั้นเพราะสร้างความงุนงนว่าทำไมแกรนท์ที่กำลังเดตกับนักแสดงสาวอีกคนหนึ่งอยู่ด้วยจึงทำแบบนั้น

อีกกรณีตัวอย่างหนึ่งในหนังสือคือ คดีของนักการเมืองนิวยอร์ก อีเลียต สปิตเซอร์ (Elliot Spitzer) ที่หลังได้รับการเลือกตั้งไม่นานก็ถูกแฉและดำเนินคดีว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการซื้อบริการทางเพศ จนสุดท้ายต้องประกาศลาออกและหายไปจากอาชีพทางการเมืองในที่สุด

Brett Kahr พยายามยกเอาทฤษฎีของฟรอยด์มาเพื่อบอกว่าเรื่องนี้ไม่ได้แปลกเท่าไร เพราะฟรอยด์เองก็เคยเขียนเกี่ยวกับเรื่องนี้ในงานเขียนของตัวเองว่า คนไข้ประสาทหรือคนที่มีปัญหาสุขภาพจิตหลายคนของเขาต่างก็เริ่มมีอาการหรือมีพฤติกรรมบ่อนทำลายตัวเองก็หลังจากประสบประสบการณ์ของชัยชนะมากกว่าความล้มเหลวเสียด้วยซ้ำ

ยกตัวอย่างเช่น กรณีของหญิงสาวที่เกิดในครอบครัวฐานะดี และเมื่อถึงช่วงวัยรุ่นก็เริ่มหลงรักการผจญภัยจึงหนีออกจากบ้านไปพบเจอศิลปินหนุ่มที่มองเห็นความงามและคุณค่าในตัวเธอ

แต่เมื่อศิลปินหนุ่มเริ่มคิดจะขอเธอแต่งงานอย่างถูกต้องตามกฎหมายและแนะนำให้เธอได้รู้จักกับครอบครัวของเขา หญิงสาวก็เริ่มมีอาการทางประสาทเกิดขึ้น เริ่มจากการที่เธอไม่ค่อยอยู่บ้าน จินตนาการว่าญาติฝ่ายชายจะทำร้ายลงโทษเธอ และกีดกันแฟนหนุ่มจากกิจกรรมเข้าสังคมทุกแขนง โดยให้เขาอยู่แต่ภายในห้องกับงานศิลปะของตัวเองเท่านั้น

อีกกรณีหนึ่งคือ อาจารย์มหาวิทยาหนุ่มที่ปรารถนาว่าวันหนึ่งจะได้ประสบความสำเร็จเช่นเดียวกับอาจารย์อาวุโสที่เชื้อเชิญเขามาเข้าวงการ

แต่เมื่อถึงวันที่อาจารย์อาวุโสเกษียณและเพื่อนร่วมงานของอาจารย์หนุ่มบอกว่า เขาคือผู้ถูกเลือกในฐานะคนที่ประสบความสำเร็จที่สุด เขากลับเริ่มเกิดความลังเลใจ เริ่มมองค่าความสามารถของตัวเองในแง่ลบ ลดทอนคุณค่าของตัวเองว่าเขาไม่เหมาะสมกับตำแหน่งที่จะได้รับ และกลายเป็นโรคซึมเศร้าที่รบกวนทุกการทำกิจกรรมในชีวิตของเขานับปี

จริงๆ แล้วหนังสือของ Brett Kahr ไม่ได้อธิบายในเชิงทฤษฎีอะไรมาก (เพราะเขาแค่ quotes มาจากงานเขียนของฟรอยด์) ผมจึงนำเอาประเด็นสำคัญในบทนี้มาต่อยอดและเขียนขึ้นมาเพื่ออธิบายด้วยแนวทางของผมเอง

เพราะงั้น เรามาเริ่มกันว่า “ทำไมคนที่ประสบความสำเร็จบางคนจึงมีโอกาสทำลายชีวิตตัวเองลงกับมือได้?”

1. ความไม่สัมพันธ์กันของอิด อีโก้ และ ซุปเปอร์อีโก้

ตามทฤษฎีของ Sigmund Freud จะแบ่งโครงสร้างทางจิตออกเป็น 3 ส่วนที่ทำงานร่วมกัน ประกอบด้วย

อิด (id) ส่วนของจิตใจที่เต็มไปด้วยแรงขับทางจิตต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่แรงขับทางเพศและความก้าวร้าว โดยฟรอยด์เรียกพลังงานของแรงขับเหล่านี้ว่าลิบิโด (libido)

อีโก้ (ego) ส่วนของจิตใจที่รับเรื่องจากอิด มีหน้าที่ในการประสานความต้องการของอิดกับความเป็นจริงว่าสามารถตอบสนองได้หรือไม่ จึงเป็นส่วนของจิตใจที่มีเหตุผลในการห้ามปรามอิดพอสมควรเนื่องจากความต้องการของอิดบางครั้งก็เป็นอันตรายต่อตัวเอง ยังไงก็ตาม แต่อีโก้ก็ไม่ได้ทำงานด้วยตัวเองเพียงอย่างเดียว เพราะอีโก้ก็ได้สร้างซุปเปอร์อีโก้ขึ้นมาเพื่อช่วยประเมินอิดด้วยหลักศีลธรรม แต่ก็กลายเป็นว่าซุปเปอร์อีโก้สามารถสร้างความลำบากใจให้อีโก้ที่ต้องมาหาทางประนีประนอมความไม่ลงรอยกันของอิดกับซุปเปอร์อีโก้อีกทีนึงด้วย

ซุปเปอร์อีโก้ (super) ส่วนของจิตใจที่เป็นแหล่งรวมของกฎและข้อบังคับทางศีลธรรมต่างๆ ทั้งจากที่เรียนรู้มาโดยตรงและการเลียนแบบ ซุปเปอร์อีโก้จึงมีทั้งข้อบังคับต่างๆ ที่ห้ามปรามให้อีโก้เกิดความรู้สึกผิดเมื่ออนุญาตการทำงานอิด (ตัวห้าม) และส่วนของตัวตนในอุดมคติที่กำหนดว่าจริงๆ แล้วอีโก้ควรจะปฏิบัติตัวอย่างไร (ตัวยุ)

โครงสร้างทางจิตทั้ง 3 ส่วนเมื่อทำงานร่วมกัน ก็เลยจะเห็นได้ว่าอีโก้ต้องแบกภาระในการรับเรื่องจากอิด และหากปล่อยให้พลังงานของอิด (ที่ชื่อว่าลิบิโด) ปลดปล่อยออกมามากเกินไป ก็จะเกิดความรู้สึกผิดและถูกลงโทษจากซุปเปอร์อีโก้ได้ (ถูกทำลายด้วยศีลธรรมในใจ)

คราวนี้ ความปรารถนาในการเอาชนะอุปสรรคหรือประสบความสำเร็จนั้นก็เป็นส่วนที่สัมพันธ์กับลิบิโดในอิด และมันก็พุ่งเป้าไปอย่างมีเป้าหมายผ่านการทำงานของอีโก้และซุปเปอร์อีโก้

พูดง่ายๆ คือ ซุปเปอร์อีโก้เป็นตัวกำกับว่าความสำเร็จ (เป้าหมาย) คืออะไรจากประสบการณ์ที่เราได้เรียนรู้มา และอีโก้ก็ทำหน้าที่ประสานระหว่างความปรารถนาของอิดกับเป้าหมายนั้น แต่ต้องไม่ใช่การทำให้อิดบรรลุเป้าหมายแล้วเกิดความรู้สึกจากซุปเปอร์อีโก้ไปพร้อมกันด้วย (เพราะซุปเปอร์อีโก้เป็นทั้งตัวห้ามและตัวยุ แม้จะยุว่าแนวทางการประสบความสำเร็จคืออะไร แต่การไล่ตามความสำเร็จที่ต้องเหยียบหัวคนอื่นจะทำให้เกิดความรู้สึกผิดหรือละอายใจขึ้นมาด้วย)

ดังนั้น การที่คนคนหนึ่งประสบความสำเร็จและผูกติดตัวเองกับความสำเร็จนั้นเสมือนว่าตนได้บรรลุจุดสูงสุดของชีวิตแล้ว จึงเปรียบเหมือนลิบิโดของอิดที่เอาชนะอีโก้ได้ด้วยการทำลายภาพในอุดมคติของตัวเองสิ้น และตกอยู่ในภาวะที่เสมือนว่า “ดีเกินกว่าจะเชื่อว่าเป็นจริง”

และเมื่อตกอยู่ในภาวะแบบนั้น การตอบสนองทุกสิ่งอย่างตามอุดมคติได้หรือบรรลุอุดมการณ์ทั้งหมดจึงนำมาสู่อุดมคติของอีโก้ที่หายไปด้วย จนหลงเหลือเพียงพลังงานของอิดหรือลิบิโดที่ย้อนกลับมาสร้างความทรมานใจแทนเนื่องด้วยความรู้สึกผิดหลังจากเอาชนะทุกอย่างได้แล้ว (เสมือนว่าเมื่อบรรลุเป้าหมายได้แล้วกลับพบแต่ความว่างเปล่า และมองไปไม่เห็นสิ่งใดอีก นอกเสียจากร่องรอยบาดแผลของสงครามที่สร้างขึ้นเองกับมือในเบื้องหลัง)

การประสบความสำเร็จของคนบางคนที่ไม่อาจสร้างสมดุลระหว่างจิตใจทั้ง 3 ส่วนนี้ได้ จึงนำมาสู่อาจนำมาสู่อาการซึมเศร้า วิตกกังวล และการทำลายชีวิตของตัวเองลงกับมือเพื่อประคองสมดุลของพลังงานลิบิโดกับความรู้สึกผิดเอาไว้

2. ความรู้สึกแบบลงโทษ (persecutory guilt)

เราพูดถึงเรื่องความรู้สึกผิดไปแล้วว่า มันจะเกิดขึ้นเมื่อคนคนหนึ่งประสบความสำเร็จเพราะมองเห็นว่าความสำเร็จของตัวเองกลับทำให้คนอื่นตกต่ำลงหรือต้องลำบากมากขึ้นอย่างไร

แต่ขณะเดียวกัน เราต่างก็รู้ดีว่าไม่ใช่ทุกคนเสียหน่อยที่จะรู้สึกผิดจนซึมเศร้ากับการประสบความสำเร็จ ดังนั้นความรู้สึกผิดนี้มันก็ต้องมีความแตกต่าง

ในที่นี้ ผมขอยกทฤษฎีจิตวิเคราะห์ของ เมลานี ไคลน์ (Melanie Klein) มาเสริมทฤษฎีของฟรอยด์เพราะจะเห็นภาพได้ชัดเจนกว่า เนื่องจากไคลน์มีการแบ่งความรู้สึกออกเป็น 2 รูปแบบ ในขณะที่ฟรอยด์ไม่ได้แบ่ง

สำหรับ เมลานี ไคลน์ ความรู้สึกผิด (guilt) จึงเกิดขึ้นในสองรูปแบบ และส่งผลต่อกระบวนการทางจิตใจของบุคคลในแบบที่ต่างกัน

2.1) แบบแรกคือ “ความรู้สึกผิดแบบลงโทษ” (persecutory guilt) ซึ่งเป็นความรู้สึกผิดแบบที่สัมพันธ์กับการทำงานของซุปเปอร์อีโก้ที่แข็งกระด้างและอีโก้ที่อ่อนแอ

หมายความว่า ความรู้สึกผิดแบบนี้คือการหวาดกลัวการถูกลงโทษ การละอายใจอย่างสุดซึ้ง ซึ่งมีโอกาสลงลึกไปในระดับตัวตน ดังนั้น เราจะเห็นได้ว่าความรู้สึกผิดแบบนี้มักเกิดขึ้นกับผู้ป่วยโรคซึมเศร้าหรือโรคประสาทหวาดระแวง เพราะจะทำให้คนคนนั้นเกิดความหมกหมุ่น เกิดความกลัว เกิดความวิตกกังวล ไม่มั่นใจ และรู้สึกละอายใจต่อการกระทำบางสิ่งที่ส่งผลกระทบต่อคนอื่น

2.2) ความรู้สึกผิดแบบที่สองคือ “ความรู้สึกผิดแบบแก้ไขได้” (reparative guilt) ซึ่งเป็นความรู้สึกผิดที่อีโก้แข็งแรงอยู่และเข้ามากำกับความขัดแย้งระหว่างอิดกับซุปเปอร์อีโก้ต่อไปได้ ซึ่งทำให้อีโก้ไม่ได้รู้สึกสูญเสียตัวตนหรือถูกทำลายไปหมดสิ้น ไม่ตกอยู่ในภาวะของความว่างเปล่า และมองหาเป้าหมานใหม่ต่อไปได้ด้วยหลักของเหตุผล

แปลว่า ความรู้สึกผิดแบบที่สองจะเกิดขึ้นกับคนที่ถึงแม้จะรู้ว่าตนเองทำบางสิ่งบางอย่างผิดพลาดไปหรือทำบางสิ่งที่ส่งผลกระทบต่อคนอื่น แต่จิตใจก็จะไม่สั่นไหวและไม่จมอยู่กับความหวาดกลัวหรือละอายใจมากจนทำอะไรไม่ โดยความรู้สึกผิดแบบนี้เราจะเห็นได้จากคนที่สำนึกต่อการกระทำผิดของตัวเองแล้วยืดอกรับผลกรรมทุกอย่าง หรือเห็นได้จากคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตส่วนตัวแล้วนำเอาความสำเร็จนั้นแบ่งปันช่วยเหลือคนอื่นเสมือนเป็นความหมายในชีวิตที่ถูกสร้างขึ้นใหม่

คราวนี้คงพอจะเห็นได้ว่า แม้ว่าอิด อีโก้ และซุปเปอร์อีโก้ จะไม่สมดุลกันจนทำให้คนคนนึงเกิดความรู้สึกผิดจากการตอบสนองแรงขับจากอิดได้ แต่ความแข็งแรงของอีโก้นั้นจะเป็นตัวกำหนดอีกทีหนึ่งว่าคนคนนั้นจะแบกรับผลกระทบทางใจที่เกิดขึ้นต่อจากนั้นได้รึเปล่า ซึ่งนั่นก็คือความรู้สึกผิดต่อการเอาชนะคนอื่นได้หรือความรู้สึกผิดจากการประสบความสำเร็จ

3. ประสบการณ์ที่สร้างความรู้สึกไม่ดีพอ หรือ การมองไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง

เราพูดถึงความรู้สึกผิดที่แตกต่างกันเพราะความแข็งแรงของอีโก้ที่ต่างกันไปแล้ว แต่คำถามต่อมาคือแล้วอะไรเป็นสิ่งที่ทำให้อีโก้ของแต่ละคนแข็งแรงไม่เท่ากัน (และซุปเปอร์อีโก้แข็งกระด้างจนรู้สึกผิดมากด้วย)

ในมุมมองของฟรอยด์ มันก็คือการย้อนกลับไปที่ปมโอดิปุส (Oedipus complex) ที่บอกว่า เด็กผู้ชายต้องการแข่งขันกับพ่อเพื่อเอาชนะใจแม่ ก็เลยพยายามเลียนแบบพ่อของตนและบางครั้งก็พยายามทำตัวเองให้ดีกว่าด้วย

เรื่องราวของปมโอดิปุสไม่ได้จบลงที่การเอาชนะพ่อจนครองใจแม่ได้ เพราะการแต่งงานกับแม่ตัวเองเป็นเรื่องผิดศีลธรรมน่นอน ดังนั้น ปมโอดิปุสสำหรับทฤษฎีของฟรอยด์มันจึงเป็นการจบลงที่การล้มเลิกการแข่งขันกับพ่อของตน และสร้างชีวิตของตัวเองแทน (หาคู่ครองของตัวเองแทนซะ)

แต่ยังไงก็ตาม สิ่งที่ฟรอยด์ได้พุดถึงเกี่ยวกับปมโอดิปุสคือ พ่อของเด็กชายคือคนที่กำหนดข้อบังคับหรือห้ามปราม รวมทั้งกำกับเสียด้วยว่าเด็กชายควรจะต้องมีกลายเป็นคนแบบใดจึงจะเรียกได้ว่าเป็นลูกผู้ชาย (ทั้งที่บอกโดยตรงและการเป็นตัวแบบให้ดู) ดังนั้น หากพ่อของเด็กชายมีทัศนคติที่แข็งกระด้าง ด่าทอ ละเลย และแสดงออกให้เด็กชายรู้สึกว่าเด็กคนนั้นไม่เคยดีพอในสายตาของเขาเลย สิ่งที่ตามก็คือการสร้างตัวตนของเด็กที่ไม่แข็งแรงและรู้สึกไร้ค่า

หมายความว่า อีโก้นั้นก็ไม่แข็งแรงไปด้วยเนื่องจากมันสูญเสียอำนาจในการควบคุมตัวเอง มองเห็นตัวเอง และต้องคอยเอาตัวเองไปผูกติดกับพ่อที่เสริมสร้างความแข็งกระด้างของซุปเปอร์อีโก้มากขึ้น)

ความรู้สึกไม่ดีพอและมองไม่เห็นคุณค่าในตัวเองที่ไม่สามารถเยียวได้นี้เองจึงเป็นองค์ประกอบที่คล้ายชนวนให้เกิดการตำหนิและถล่มตัวเองของบุคคลได้ง่าย เมื่อคนคนนึงอยู่บนเส้นทางของความสำเร็จก็ไม่ใช่เพียงการทำเพื่อตัวเองแต่ก็เพื่อพิสูจน์คุณค่าของพวกเขาต่อคนที่มองไม่เห็น (พ่อแม่) ไปเรื่อยๆ แต่เมื่อพวกเขาถึงจุดที่ประสบความสำเร็จได้แล้ว บาดแผลในใจที่ไม่เคยหายไปนี้ก็จะกลับมาทำร้ายพวกเขาเองอีกครั้งให้เกิดความรู้สึกผิดและลำอายใจที่ตนทำได้ดีกว่าพ่อแม่ของตน เพราะสิ่งที่พวกเขาติดใจอยู่เสมอไม่ใช่การเป็นคนขี้แพ้ แต่มันคือความรู้สึกว่าตนไม่เคยดีพอ

มาถึงจุดนี้ ถ้าเรานำเอาข้อ 1-3 มารวมกัน ก็จะเห็นได้ว่าเหตุผลที่คนที่ประสบความสำเร็จแล้วมีโอกาสทำลายชีวิตตัวเองลงกับมือนั้น ก็เพราะมันมักมีจุดเริ่มต้นมาจากประสบการณ์หรือความรู้สึกของการไม่ดีพอ และผูกติดอยู่กับความรู้สึกผิดในใจที่ไม่เคยจัดการได้อย่างเหมาะสม

จนกระทั่งเมื่อคนเราได้มาซึ่งความสำเร็จ อำนาจ หรือ ชื่อเสียง ความรู้สึกว่าตนเอง “ไม่สมควรได้รับ” ก็ถาโถมจนรับมือไม่ถูก หากไม่ตกอยู่ในภาวะซึมเศร้าอย่างทรมานจิตใจ ก็อาจกลายเป็นคนที่ใช้อำนาจที่ได้มาอย่างไม่เหมาะสมและเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวคล้ายการเยียวยาความเปราะบางในใจของตนเองมากกว่าการคิดถึงประโยชน์ส่วนรวมที่พวกเขาอาจใช้อำนาจของตัวเองมอบให้ได้

ยังไงก็ตาม ถึงแม้ทฤษฎีของฟรอยด์ดูเหมือนเรากำลังไปโทษประสบการณ์ในวัยเด็กมากเกินไป และกำลังบอกว่าสาเหตุนั้นก็มาจากประสบการณ์วัยเด็กของคนเหล่านี้ทั้งนั้น แต่ในการวิเคราะห์ตามจริงเราต้องอาศัยหลายปัจจัยประกอบ

แม้แต่การพูดถึงปมโอดิปุสที่บอกว่าพ่อแม่อาจเป็นคนสร้างความรู้สึกไม่ดีพอในเด็ก ทั้งที่ความจริงแล้ว ประสบการณ์พวกนั้นอาจเกิดมาจากปู่ย่าตายาย ญาติ ครูที่โรงเรียน เพื่อนที่บูลลี่ อาจารย์มหาวิทยาลัย หรือแม้แต่สังคมที่ทำงานก็ได้

เวลาที่บอกว่าคนเหล่านี้อาจไม่เคยหลุดพ้นจากการแข่งขันกับพ่อของตัวเอง จึงไม่ได้หมายถึง “Father” แบบตรงตัวเหมือนที่ฟรอยด์เขียน แต่เป็น “Name of Father” (นามแห่งพ่อ) ในทฤษฎีของฌาคส์ ลากอง (Jacques Lacan) นักจิตวิเคราะห์ฝรั่งเศส ที่แนะนำให้เราอ่านงานของฟรอยด์ในแบบตีความเชิงสัญลักษณ์ก็ได้

Kahr, B. (2015). Freud: Great thinkers on modern life. Pegasus Books, LLC.

ที่อยู่

Bangkok

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ เจ เจษ นักจิต - Jay Jess counselingผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ การปฏิบัติ

ส่งข้อความของคุณถึง เจ เจษ นักจิต - Jay Jess counseling:

แชร์

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram

ปรึกษาเชิงจิตวิทยากับ K. Therapeutist นักจิตวิทยาการปรึกษา

การปรึกษาเชิงจิตวิทยา เป็นการพูดคุยเพื่อมุ่งทำความเข้าใจประเด็นปัญหาหรือความทุกข์ใจที่ผู้รับบริการนำเข้ามาปรึกษากับนักจิตวิทยา การทำความเข้าใจเรื่องราวที่นำพามาอย่างสลับซับซ้อนจะได้นำเราไปสู่การทบทวนประสบการณ์ที่พบเจออย่างลึกซึ้ง จนสามารถเกิดมุมมองใหม่ๆ ความคิดใหม่ๆ และแนวทางพฤติกรรมใหม่ๆ ที่ฉุดเราออกจากหลุมพลางแห่งความทุกข์ที่เราอาจไม่เคยคาดคิดว่ามีอยู่

ในทัศนะของผม การปรึกษาเชิงจิตวิทยาจึงเป็นการเรียนรู้ที่จะทำความเข้าใจเรื่องราวของตัวเองในหลากหลายแง่มุม โดยมีนักจิตวิทยาเป็นเสมือนคู่หูที่คอยช่วยเหลือให้การผ่านพ้นความทุกข์ใจที่มีอยู่ ผมคิดเสมอว่าการปรึกษาเชิงจิตวิทยาเปรียบเสมือนเทรนเนอร์ที่ไม่ได้เป็นผู้สร้างร่างกาย (จิตใจ) ที่แข็งแรงกำยำให้ผู้คน แต่เป็นผู้ที่ช่วยให้การเรียนรู้แนวทางการสร้างร่างกาย (จิตใจ) ที่แข็งแรงของผู้คนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น . เจษฎา กลิ่นพูล เพจ K. Therapeutist นักจิตวิทยาการปรึกษา

———————--ช่องทางการให้บริการปรึกษาเชิงจิตวิทยา———————--

o การปรึกษารายบุคคล o