22/01/2022
หวัดใหญ่ หวัดน้อย ถึงตาย ถ้าหมอรู้ไม่จริง ตำราก็ว่าไว้...โคvิด ก็เช่นกัน
จากประสบการณ์การรักษาโคvิดมา 2 ปี อีกทั้งป่วยด้วยอาการไข้ติดเชื้อบ่อยครั้ง จึงเกิดความเชี่ยวชาญในการวิเคราะห์และรักษาโรค
1. ใช้สุดยอดยาตำรับ และกระบวนการรักษา ตามพระคัมภีร์แพทย์ตักศิลา
2. ห้ามบริโภคของแสลง โดยเฉพาะไข่ ซึ่งจะทำให้เชื้อเข้ากระดูก (รู้ซึ้ง เพราะเป็นอยู่เอง) ว่าง่าย ๆ "กัน" ดีกว่า "แก้"
3. ใช้น้ำกระสายยา "รู้ก่อน สบายก่อน"
4. เชื่อมั่น และลงมือปฏิบัติตามคำแนะนำ
"อันว่าคนไข้ทั้งหลายใดเมื่อจะเปนไข้นั้น ชื่อว่า หวัดใหญ่ให้ จับสะบัดร้อนสะท้านหนาว ให้ปวดสีสะให้ไอให้จาม น้ำมูกตกเปนกำลัง ให้ตัวร้อนให้อาเจียร ให้ปากแห้งปากเปรี้ยว ปากขมกินเข้าไม่ได้ แล้วแปรไปให้ไอเปนกำลัง แลทำพิษคอแห้งปากแห้งฟันแห้ง จมูกแห้งน้ำมูกแห้ง บางทีกระทำให้น้ำมูกไหลหยดย้อย เหตุดังนี้ เพราะว่ามันสมองนั้นเหลวออกไปหยดออกจากนาสิกทั้งสองข้าง ไปปะทะกับสอเสมหะจึงให้ไอไป แก้มิฟังกลายไปเปนริศดวงมองคร่อหืดไอ แลฝีเจ็ดประการจะบังเกิด อันว่าคนไข้ทั้งหลายก็ดี เมื่อแพทย์วางยามิฟังแล้ว อันว่า ความตายจักมีแก่คนไข้นั้น แท้จริงอันว่าพระอาจารย์จะแสดงไข้หวัดสองประการ ให้แก่แพทย์ทั้งหลายพึงรู้ หวัดสองประการเปนเหตุอย่างไร จึงวิสัชนาว่าเกิดเพราะเหตุฤดูสามประการ คือคิมหันต์ฤดูหนึ่ง วัสสานะฤดูหนึ่ง เหมันตฤดูหนึ่ง เปนสามฤดู ด้วยกัน โรคเกิดแต่คนทั้งหลายต้องร้อนอย่างหนึ่ง ต้องน้ำค้างอย่างหนึ่ง ต้องละอองฝนอย่างหนึ่ง จึงว่าจะเปนไข้หวัด แลผู้จะเปนแพทย์ไปข้างน่า อย่าพึงประมาทว่าไข้เปนหวัดดอก ถ้าแก้ไม่ฟังแปรไข้ ถึงมรณะ
สิทธิการิยะ พระอาจารย์เจ้าผู้ปรีชาญาณอันอุดม จะแสดงไข้กำเดาสืบต่อไป อันว่าลักษณไข้กำเดามีสองประการนั้น มีอาการให้ปวดสีสะ ให้จักษุแดงให้ตัวร้อนเปนเปลว ให้ไอสะบัดร้อนสะท้านหนาว ให้ปากขมปากเปรี้ยวปากกินเข้าไม่ได้ แลให้อาเจียร ให้นอนไม่หลับ ลักษณดังนี้เปนเพื่อไข้กำเดาน้อย
ทีนี้จะแสดงซึ่งไข้กำเดาใหญ่นั้นต่อไป มีอาการนั้นให้ปวดสีสะเปนกำลัง ให้จักษุแดงให้ตัวร้อนเปนเปลว ให้ไอให้สบัดร้อนสท้านหนาว ให้ปากแห้งคอแห้งเพดาลุแห้งฟันแห้ง ให้เชื่อมให้มัว ให้เมื่อยไปทั้งตัว จับสบัดร้อนสท้านหนาว ไม่เปนเวลา บางทีผุดขึ้นเปนเม็ดเท่ายุงกัดทั้งตัว แต่เม็ดนั้นยอดไม่มี บางทีให้ไอเปนโลหิตออกมาทางจมูกทางปาก บางทีให้ชักมือกำเท้ากำ ถ้าแพทย์แก้มิฟังใน ๓ วัน ๕ วัน สำคัญว่าเปนไข้เพื่อเส้นเพื่อลมอัมพฤกษ์แลไข้สันนิบาต มิรู้วิธีในไข้กำเดาก็จะเกิดกาฬห้าจำพวกแซกขึ้นมา คือกาฬฝีพิษหนึ่ง กาฬฝีฟกหนึ่ง กาฬคูธหนึ่ง กาฬมูตรหนึ่ง กาฬสิงคลีหนึ่ง ก็จะบังเกิดแก่คนไข้ อันว่าความตายจักมีแก่บุทคลเปนไข้นั้น แท้จริงพระอาจารย์เจ้าจึงจะบอกให้ผู้จะเรียนเปนแพทย์ไปข้างน่าให้พึงรู้ ซึ่งลักษณไข้กำเดามิใช่ไข้เล็กน้อย จะว่าง่ายๆ เปนไข้สำคัญ เปรียบเหมือนพระอาทิตย์ขึ้นดวงหนึ่ง โลกนั้นพอเปนสุข ครั้นขึ้นมาเปนสองดวงโลกนั้นกระวนกระวายนัก ครั้นขึ้นสามดวงสัตว์ทั้งหลายก็ตายหมด ฉันใดก็ดี พระอาจารย์เจ้าเปรียบดังไข้กำเดาเหมือนกัน พระอาจารย์เจ้าจึงยกสาธกไว้ ให้ผู้เปนแพทย์ไปดูไข้ จะเปนไข้พิษหรือไข้กำเดา แลลักษณไข้กำเดานั้น อาการที่ผุดนอกนั้นไม่มี ที่ว่าจะเปนแผ่นเปนวงนั้นก็ไม่มี มีแต่ว่าจะบังเกิดกาฬทีเดียว ถ้าไม่ตายใน ๗ วัน ๙ วัน ๑๑ วัน ก็จะกลายไปเปนสันนิบาตสำประชวรบุราณชวร บอกไว้ให้แพทย์พึงรู้
พระอาจารย์เจ้าจะแสดงซึ่งไข้ทั้งสามสืบต่อไป แลไข้ในคิมหันตฤดูนั้นคือเดือน ๕ เดือน ๖ เดือน ๗ เดือน ๘ เปนไข้เพื่อโลหิตเปนใหญกว่าลมกว่าเสมหะทั้งปวงทุกประการ
ไข้ในวัสสานะฤดูคือเดือน ๙ เดือน ๑๐ เดือน ๑๑ เดือน ๑๒ นี้ ไข้เพื่อลมเปนใหญ่กว่าเลือด แลเสมหะทั้งปวงทั้งสองประการ
ไข้ในเหมันตฤดูนั้น คือเดือน ๑-๒-๓-๔ นี้ไข้เพื่อกำเดาแลเพื่อดีพลุ่ง เปนใหญ่กว่าเสมหะแลลมทั้งสองประการ อาการมีต่างๆ ให้นอนละเมอฝันร้ายแลเพ้อไป ย่อมเปนหวัดมองคร่อ หิวหาแรงมิได้ให้เจ็บปาก ให้เท้าเย็นมือเย็นแลน้ำลายมาก แลกระหายน้ำเนืองๆ แลให้หยากเนื้อพล่าปลายำสดคาว ให้หยากกินหวานกินคาว มักให้บิดขี้เกียจคร้าน มักเปนฝีพุพองเจ็บข้อเท้าข้อมือ ย่อมสท้านหนาวดังนี้ ท่านให้วางยาอันร้อนจึงชอบโรคนั้นแล"