27/09/2025
ดี
คนไทยส่วนมากเข้าใจผิดเกี่ยวกับสุขภาพ 4 ด้านนี้
[ เส้นผม – กระดูก – สุขภาพจิต – ดวงตา ]
ทุกวันนี้เรายอมเสียเงินซื้อวิตามินเป็นกำๆ
แต่หลายครั้ง…เรากำลังซื้อผิด ไม่ตรงจุด
งาน #4 ครั้งนี้
เบ้นได้ฟังคุณหมอ 4 ท่านที่มาช่วย “หักความเชื่อผิดๆ”
แล้วบอกความจริงที่คนไทยส่วนใหญ่ยังไม่รู้ (มีหลายอันที่ทึ่งมากก)
มาดูกันทีละด้านกันครับ #อ่านจบปุ๊ปเก่งขึ้นปั๊ป
---------------------
[A] เรื่องของเส้นผม คุณหมอ อร (พญ.อรอุมา พันธรัตน์วัฒน์)
หมออรเปิดมาปั๊บ…ก็ฆ่าความเข้าใจผิดที่คนไทยเสียเงินกันมหาศาล
คนส่วนมากเวลา ผมร่วง ก็จะรีบ ไปหา ไบโอตินมาทานกัน
แต่คุณหมอ อรบอกว่าจริงๆแล้ว มีคน "ส่วนน้อยมากๆ" ที่ขาดไบโอตินจริงๆ
[ผมหงอก ไม่ได้แปลว่าจะตายไว หรือ สุขภาพไม่ดี]
คุณหมอ อรบอกว่า ผมหงอกเป็นการเสื่อมของเซลล์จริงๆ แต่ไม่ได้หมายความสุขภาพจะไม่ดีหรือทำให้เราอายุสั้นลง
คนเอเชียเริ่มหงอกเฉลี่ยตอนอายุ 25 ปี ถ้าขาวก่อนหน้านั้น = “หงอกก่อนวัย”
การสูบบุหรี่ จะเพิ่มโอกาสการหงอกของผมเร็วขึ้น
[เรื่องผมบาง หัวล้าน]
- หมออรเล่าว่า ผู้หญิงก็เป็นได้เหมือนผู้ชาย
- คนไข้ที่มาปรึกษา เป็นผู้ชายครึ่ง ผู้หญิงครึ่งเลยทีเดียว
- อาการคือผู้ชายมักเริ่มจากเว้าตัว M ผมเส้นเล็กลงเรื่อยๆ
- อาการ ผู้หญิงมักบางตรงรอยแสกกลาง โดยเฉพาะช่วงใกล้หมดประจำเดือน เพราะฮอร์โมนเอสโตรเจนที่ลดลง (บางเคสก็เว้าแบบผู้ชาย แต่เจอน้อยกว่า)
แล้วหมออรบอกให้เรา “ลองมองต้นตระกูลตัวเองก่อน ถ้าที่บ้านมีคนผมบาง…เราก็มีโอกาสเป็นผู้ท้าชิง คนผมบาง candidate รายต่อไป”
(ไม่เอาได้ไหมแบบนี้ทุกคน55555)
ถ้าเรายังมีไรผมเล็กๆอยู่ ก็ยังรักษาให้เติบโตได้ กลับมาผมดกได้
แต่ถ้ารูขุมขนผมปิดถาวรแล้ว วิธีเดียวที่จะกลับมาคือปลูกผมเท่านั้น
[สาเหตุที่ทำให้ผมร่วง]
ความเครียด, ขาดสารอาหาร, การลดน้ำหนักเร็วเกินไป, ฉีดฮอร์โมนเพศชายมากไป รวมถึงการทำสี ยืดผม หรือเจอความร้อนบ่อยๆ
[นวดหนังศีรษะ ช่วยจริงไหม ?]
หมออรบอกว่า มันอาจช่วยกระตุ้นเลือดไหลเวียน แต่ในเชิงวิจัยยังไม่มีหลักฐานชัดเจนพอ
[หมออร สรุปทิ้งท้ายว่า]
“การดูแลเส้นผมก็เหมือนการดูแลผิว อย่าลอกใคร ต้องเลือกสิ่งที่เหมาะกับเราเอง” อย่าไปตามใครเขาต้องดู สุขภาพผิวเรา
-----------------------
[B]- เรื่องของกระดูก - คุณหมอไชย (นพ.ไชยพัทร์ ไชยกรณ์วงษ์)
คุณหมอไชย บอกว่า สาเหตุหลักๆที่ คนชอบกระดูกหักไม่ได้มาจากความแก่
แต่มาจาก 1. เตะบอล (ล้ม5555) 2. ออกกำลังกายหนักไป Overtrain
No pain No Gain คำนี้ไม่ได้นะครับ ต้อง Pain → Rest → Gain
คุณท๊อปเสริมว่า Bryan Johnson พูดว่าเราใช้เวลาถึง 10 ปีในการสร้างมวลกระดูกใหม่
และหมอไชย บอกว่า กระดูกคือสมดุลระหว่าง “การทำลาย” และ “การสร้าง”
กระดูกแข็งแรงขึ้นจากการ “ทำลายแล้วซ่อมแซม” เหมือนนักมวยที่ซ้อมเตะกระสอบจนหน้าแข้งแตก แล้วร่างกายก็ซ่อมใหม่ แข็งแรงกว่าเดิม
[สองพระเอกที่ขาดไม่ได้คือ แคลเซียม และ วิตามิน D]
วิตามิน D มีตัวรับอยู่แทบทุกเซลล์ในร่างกาย และมีงานวิจัยบอกว่า การได้วิตามิน D เพียงพอช่วยลดอาการเจ็บเข่าได้จริง
ส่วนแคลเซียม นอกจากสร้างกระดูกแล้ว ยังช่วยเรื่องการสื่อประสาทของกล้ามเนื้ออีกด้วย
คุณหมอไชยยังแนะนำให้ทานแคลเซียมหลังอาหารเย็น เพราะจะเข้าสู่ช่วง fasting ทำให้ร่างกายใช้ประโยชน์ได้ดีที่สุด
มวลกระดูกของเราจะค่อยๆ ลดลงตั้งแต่อายุ 30 ปี
ผู้หญิงจะลดเร็วขึ้นหลังหมดประจำเดือน
ส่วนผู้ชายก็ลดเรื่อยๆ แต่ช้ากว่า
ผู้หญิงที่หมดประจำเดือนก่อน 45 ปี → ควรตรวจมวลกระดูกให้ไว
ผู้ชายควรตรวจตั้งแต่อายุ 60–75 ปี
ที่น่ากลัวคือ โรคกระดูกพรุน มักไม่รู้ตัวเลย จนกว่าจะ “หักแล้วถึงรู้”
อีกเรื่องที่หมอไชยเน้นคือภาวะ Sarcopenia (กล้ามเนื้อลด)
กล้ามเนื้อเป็นตัวพยุงกระดูก ถ้ากล้ามเนื้อหายไป ความเสี่ยงล้มแล้วกระดูกหักสูงมาก
คนที่กระดูกสะโพกหัก → มีโอกาส 50% เสียชีวิตภายใน 4 ปี
เพราะต้องผ่าตัดใหญ่ แล้วภาวะแทรกซ้อนจะตามมา
มีงานวิจัยหลายตัวบอกตรงกันว่า…
ยิ่งกล้ามเนื้อต้นขาแข็งแรง = ยิ่งอายุยืน.
หมอไชยยังไม่ลืมพูดถึง pain point ของพนักงานออฟฟิศ “คอ บ่า ไหล่”
เวลานั่งทำงาน เรามักเกร็งบ่าเพราะเครียด จนปวดสะบักเรื้อรัง
เขาแนะนำว่า ทุกๆ 1 ชั่วโมง ควรลุกไปเข้าห้องน้ำอย่างน้อยหนึ่งครั้ง
แต่ถ้าไปไม่ได้ ก็ลองยกบ่าแรงๆ บ่อยๆ เพื่อคลายกล้ามเนื้อ
ส่วนคอ - หมอเตือนว่า อย่าสะบัดแรงๆ เพราะอันตรายมาก
ไม่ควรหมุนคอเยอะๆ
ให้ทำง่ายๆ แค่เงย ก้ม หันซ้าย หันขวา ประมาณ 45 องศา ก็พอ
อีกประเด็นที่คนชอบบ่นกันคือ “เข่าเสื่อม”
หมอไชยบอกว่าคนไทยบางคนอายุแค่ 30 ก็เริ่มมีเสียงกรอบแกรบแล้ว
ข้อนี้เกิดจากการเสื่อมของ “ข้อหน้าเข่า” กับ “กระดูกต้นขา”
โดยเฉพาะพนักงานออฟฟิศที่นั่งงอเข่านานๆ จะเจอเยอะ
เขาแนะนำว่า อย่านั่งพับขา ลองเหยียดเข่าบ้างเพื่อเปลี่ยนแรงกด
หมอไชย ยังเจาะลึกเรื่องกล้ามเนื้อต้นขา ซึ่งประกอบด้วย 4 มัด
โดยเฉพาะกล้ามเนื้อ VMO (Vastus Medialis Oblique) ซึ่งอ่อนแอง่ายที่สุด
แต่ดันมีหน้าที่สำคัญมากในการดึงลูกสะบ้าให้อยู่ตรงกลาง
มีสถิติว่า 40% ของคนไทยมีปัญหากล้ามเนื้อมัดนี้ → พอลูกสะบ้าเอียงก็ทำให้เจ็บหน้าเข่า เจอเยอะในคนเอเชียด้วย
วิธีแก้คือ ออกกำลังกายแบบเหยียดขา ค้างไว้อย่างน้อย 20 วินาที
ทำสลับข้างไปเรื่อยๆ จนกว่าจะเมื่อย
“อย่ารอให้กระดูกเสื่อมตามอายุ แต่สร้างกล้ามเนื้อไว้ตั้งแต่วันนี้”
--------------------------------------
[C] เรื่องสุขภาพจิตและสิ่งแวดล้อม -คุณหมอพิม (พญ.พิมสุภา พุฒิไพโรจน์)
คุณหมอพิมเริ่มจากความเข้าใจผิดที่เจอบ่อยมาก…
คือคนเรามักชอบไปทำตาม Influencer หรือสิ่งที่ “ใครๆ ก็บอกว่าดี” โดยไม่ได้ดูเลยว่ามันเหมาะกับตัวเราจริงๆ ไหม
หมอพิมย้ำว่า แต่ละคนไม่เหมือนกันตั้งแต่ยีนส์
สิ่งที่เวิร์กกับเขา อาจไม่เวิร์กกับเราเลยก็ได้
อีกความเชื่อที่ผิดคือ “โรคทางจิตเวชรักษาไม่หาย”
หมอบอกว่าไม่จริง ทุกโรคสามารถรักษาให้ดีขึ้นและหายได้
มีหลายคนบอกว่าทำไมชอบมาแพ้ฝุ่น ช่วงๆหลังตอนแรกไม่เห็นเป็นอะไร แต่หลายครั้งอาการที่เพิ่งออกมา มันไม่ได้เพิ่งเกิด มันสะสมมากว่า 10 ปีแล้ว
เหมือนแพ้ฝุ่น แพ้น้ำหอม - เมื่อก่อนอาจไม่เป็นอะไร แต่วันหนึ่งร่างกายถึงจุดที่ทนไม่ไหวก็ป่วยขึ้นมาได้
หมอพิมยังเล่าว่า น้ำหอมมีผลกับฮอร์โมนบางคนด้วย
มีบางงานวิจัยบอกว่า ไม่แนะนำคนตั้งครรภ์ใช้น้ำหอมด้วยซ้ำ
เรื่องมือถือใกล้หัวนอนก็เป็นอีกประเด็นที่หมอว่า “ตอบยาก”
เพราะบางงานวิจัยบอกว่ามีผล บางงานบอกว่าไม่มี
ถ้าไปดูในกฎหมาย เขาจะถือว่าปลอดภัย
แต่ก็มีกรณี ศึกษา ที่คนไข้เคลมว่าแพ้คลื่น Wi-Fi จนทนไม่ไหว และสุดท้ายจบลงด้วยการจบชีวิตตัวเอง (เพราะทนคลื่นไม่ไหวแล้ว)
หมอพิมเลยแนะนำว่า “เวลาชาร์จมือถือ อย่าเล่นจะดีกว่า"
เพราะถ้าเทสไฟฟ้าตอนเรากำลังชาร์จจริง ๆ จะพบว่ามีกระแสไหลผ่านตัวเรา
เรื่องอากาศก็สำคัญไม่แพ้กัน
หมอแนะนำว่า เครื่องฟอกอากาศควรเลือกแบบ HEPA Filter ที่กรองละเอียดที่สุด
ถ้ามีงบก็ติดในรถด้วย ตรงไหนกรองได้ ก็กรองไปเลย
ควรเปิดทิ้งไว้ตลอดเวลาที่เรานอน
นอกจากนี้ การมีต้นไม้ในห้องสักเล็กน้อย ให้มีสีเขียว จะช่วยทั้งกรองฝุ่นและลดความเครียดไปพร้อมกัน
หมอยังเล่าว่า เคยซื้อเฟอร์นิเจอร์ไม้ปาเก้ใหม่ ๆ
วางไว้แค่เดือนเดียวก็รู้สึกหายใจไม่ออก เพราะสารที่ถูกปล่อยออกมา
สภาพแวดล้อมรอบตัวมีผลต่อสุขภาพเยอะมาก
อีกประเด็นที่หมอพิมเน้นคือเรื่อง อายุชีวภาพ (Biological Age)
มันวัดได้หลายแบบ ทั้งจากการตรวจเลือด หรือดูการเสื่อมของระบบต่าง ๆ ในร่างกาย
เราจึงต้องรู้ว่าอวัยวะไหนเสื่อม เพื่อจะได้แก้ที่ต้นเหตุ ไม่ใช่ดูแต่ตัวเลขอายุอย่างเดียว
และสิ่งที่คนส่วนใหญ่ “ไม่ค่อยเห็นคุณค่า” คือเรื่องจิตใจ
หมอพิมย้ำเลยว่า สุขภาพ ≠ แค่ร่างกาย
สุขภาพ = ร่างกาย + จิตใจ รวมกัน
คุณหมอทิ้งท้ายด้วยคำถามชวนคิดว่า…
“แล้วเรามีใครไหม ที่ออกกำลังกาย ‘จิตใจ’ ให้ตัวเองทุกวัน?”
วิธีง่าย ๆ ที่หมอพิมใช้ คือเขียนไดอารี่สั้น ๆ เพื่อขอบคุณตัวเองทุกวัน
เล็กๆน้อยๆแต่ทรงพลังมาก เพราะนี่คือการสร้าง Mindfulness
ที่ช่วยให้เราแข็งแรงทั้งกายและใจไปพร้อมกัน
---------------
[D] อาจารย์จอยเปิดด้วยการทำลายความเชื่อเดิมที่คนไทยเข้าใจผิดกันมานานว่า
“ดวงตาเสื่อมแล้ว…ฟื้นฟูกลับมาไม่ได้” (อันนี้อึ้งจริง เบ้นก็พึ่งรู้)
อาจารย์ย้ำเลยว่าไม่จริง ต่อให้สายตาแย่ลง ก็ยังมีโอกาสฟื้นกลับมาได้
คุณท๊อปถามอาจารย์จอยตรงๆ ว่า
“ถ้าสายตาสั้น 2000 มันลดได้จริงๆ แค่ไหน?”
อาจารย์ยิ้มแล้วตอบว่า “เคยมีเคสตอนนี้ลดลงมาได้ถึง 600 แล้ว”
เรียกได้ว่าเกินครึ่ง เห็นแล้วมีความหวังขึ้นมาทันที
อีกความเข้าใจผิดที่เจอบ่อยคือ
“ต้องใส่แว่นติดตาตลอดเวลา”
หลายบ้านพ่อแม่จะบอกลูกแบบนี้ แต่ อาจารย์จอย อธิบายว่า จริงๆ แล้วไม่จำเป็น
ที่ต่างประเทศเขาแนะนำว่า ให้ใส่เฉพาะตอนที่ “มองไม่เห็น” เท่านั้น
ไม่ใช่บังคับใส่ทั้งวันแบบที่เราคิดกัน
อาจารย์จอย เล่าให้ฟังว่า สายตาสั้นเกิดจาก “กล้ามเนื้อที่ยึดเลนส์ตาเกร็ง”
ถ้าเราคลายกล้ามเนื้อตรงนี้ได้ แรงเพ่งก็จะลดลง
แปลว่าสายตาก็จะไม่สั้นเพิ่ม และมีโอกาสดีขึ้นด้วย
แล้วถ้าเป็นสายตายาวล่ะ ฟื้นฟูได้ไหม?
อาจารย์บอกว่าได้เหมือนกัน เพียงแต่สาเหตุของสายตายาวคือ “แรงเพ่งหมด”
วิธีแก้คือเราต้องออกกำลังกายให้มันกลับมา
อาจารย์จอย แนะนำ 1 ท่าง่ายๆ คือ “การนวดเป้าตา” (ไม่ใช่นวดลูกตานะ!)
วิธีคือ ใช้นิ้วกดหัวตาเบาๆ แล้วหมุนเป็นวงเล็กๆ
ทำให้กล้ามเนื้อรอบๆ คลายตัว ลดความตึงของสายตาได้จริง
คุณหมอพิม เสริมจากประสบการณ์ตรงว่า
ตัวเองเคยไปทำกับอาจารย์จอยเหมือนกัน
จากที่สั้น 475 ตอนนี้เหลือ 300
คุณพ่อของหมอพิมก็ลดจาก 600 เหลือ 200
อาจารย์จอย บอกว่า “ไม่ว่าอายุเท่าไหร่สายตาก็ดีขึ้นได้”
เรื่องโภชนาการ อาจารย์จอย บอกว่าวิตามินที่สำคัญที่สุดคือ
วิตามินเอ และเบต้าแคโรทีน (จากผักใบเขียวเข้ม ฟักทอง แครอท)
รวมถึงกลุ่มวิตามินซี ที่ช่วยชะลอสายตาสั้นได้จริง
แล้วคำถามยอดฮิต…
“แสงจากมือถือทำให้จอประสาทตาเสื่อมจริงไหม?”
อาจารย์จอย บอกว่า
แสงสีฟ้า (Blue light) มีส่วนทำลายดวงตาได้
ที่อเมริกาถึงขั้นแจกแว่นกันแสงสีฟ้าให้เลย
แม้บาง paper จะบอกว่าป้องกันได้ไม่หมด
แต่ก็ “ดีกว่าไม่ทำอะไรเลย”
อาจารย์ สรุปทิ้งท้ายว่า
“ดวงตาคือหน้าต่างของสมอง”
ถ้าเราทำงานหนัก นอนน้อย หรือใช้สายตาเกินไป สมองก็พังตาม
ดังนั้นการดูแลดวงตา ไม่ใช่แค่เรื่องมองเห็น
แต่มันคือการดูแลสมองและชีวิตเราไปพร้อมกัน
-----------------
#สรุปแบบลงดาบ
ก็มีหลายๆความเข้าใจผิดที่ เราเข้าใจผิด เข้าใจถูกกันมาตลอดทาง
เรื่องของสุขภาพเป็นเรื่องที่ส่วนบุคคล เบ้นว่าต้องค่อยๆเรียนรู้จักกับร่างกายของตัวเองให้มากขึ้น
สุขภาพ = ความเข้าใจที่ถูกต้อง + การลงมือทำที่เหมาะกับตัวเอง
ไม่ใช่วิ่งตาม Influencer หรือคำโฆษณา
Health is the first foundation.
ถ้าเราไม่เริ่มจากความเข้าใจที่ถูกก่อน ทุกอย่างที่เหลือก็พังหมด
ขอให้เราสุขภาพดี แก่แบบไม่เจ็บป่วยครับ
ผมหวังว่าเรื่องนี้จะช่วยสร้างวันของคุณ