DeEgo Embodiment Yoga : ดีอีโก้ โยคะฟังร่างกาย

DeEgo Embodiment Yoga : ดีอีโก้ โยคะฟังร่างกาย ข้อมูลการติดต่อ, แผนที่และเส้นทาง,แบบฟอร์มการติดต่อ,เวลาเปิดและปิด, การบริการ,การให้คะแนนความพอใจในการบริการ,รูปภาพทั้งหมด,วิดีโอทั้งหมดและข่าวสารจาก DeEgo Embodiment Yoga : ดีอีโก้ โยคะฟังร่างกาย, การแพทย์และสุขภาพ, Bangkok.

🌸 DeEgo โยคะฟังร่างกาย
🧘‍♀️ ฝึกโยคะ | เยียวยาบาดแผลทางใจ | ความเจ็บป่วยจากอารมณ์สะสม | ดำรงอยู่กับความจริงผ่านร่างกาย
🌈 Class&Service:
Traditional | Yin หยินโยคะ | Trauma-Informed บาดแผลทางใจ | Body Listening Yoga โยคะฟังร่างกาย
👉🏻 Line OA: โยคะที่ให้ร่างกายนำทาง
กลับมาอยู่กับความจริงแท้ของตัวเอง

Yoga that lets the body lead you back to your truest self — through gentle movement and embodied presence.

🌸 Reflection จากผู้เข้าร่วม Reconnect - Body Listening Yoga (โยคะฟังร่างกาย) 🌸บางครั้งเราลองมาหลายทางแล้ว แต่ยังรู้สึกเห...
01/10/2025

🌸 Reflection จากผู้เข้าร่วม Reconnect - Body Listening Yoga (โยคะฟังร่างกาย) 🌸
บางครั้งเราลองมาหลายทางแล้ว แต่ยังรู้สึกเหมือนมีบางอย่างค้างอยู่… ร่างกายนี่แหละ อาจเป็นคำตอบสุดท้ายค่ะ 😉
เหมือนเวลาให้นึกขอบคุณ… เรานึกถึงตัวเองเป็นลำดับที่เท่าไรคะ?
เรามักวิ่งหาคำตอบจากข้างนอก เชื่อเสียงของคนอื่น
แต่ความจริงแล้ว คำตอบที่แท้จริง อยู่ในตัวเรา ไม่เคยอยู่นอกตัวเลยนะ 😉

—————————

✨ เยียวยาผ่านปัญญาของร่างกาย… ฟังเสียงภายใน เพราะคำตอบอยู่ในตัวคุณเสมอ
- Healing through Body Wisdom

—————————

💚 DeEgo โยคะฟังร่างกาย
🧘 Traditional | Yin | Trauma-Informed | Body Listening Yoga
👉🏻 Line OA:
#โยคะฟังร่างกาย #โยคะเยียวยา #โยคะบำบัด

01/10/2025

ช่างมันความคิด ไม่ใช่ช่างมันความรู้สึก เพราะความรู้สึกเค้าแค่ “ต้องการพื้นที่ให้เรารับรู้“
💚 DeEgo โยคะฟังร่างกาย
✨ Healing through Body Wisdom
🧘 Services: Traditional | Yin | Trauma-Informed | Body Listening Yoga
👉🏻 Line OA:
#โยคะฟังร่างกาย #โยคะเยียวยา #โยคะบำบัด

29/09/2025

ยอมรับคนที่ “เราเป็น” ในปัจจุบัน
💚 สนใจเยียวยาจิตใจ ผ่านการ “ฟังร่างกาย” ด้วยกัน
Line OA:
#โยคะฟังร่างกาย #โยคะเยียวยา #โยคะบำบัด

29/09/2025

Somatic Experience - การรับรู้อารมณ์ในร่างกาย
💚 สนใจ “ฟังร่างกาย” ด้วยกัน Line OA:
#โยคะฟังร่างกาย #โยคะเยียวยา #โยคะบำบัด

Trauma response จาก Survival Mode “Fawn” 🌸ไม่ว่าตอนนี้จะรู้สึกอะไรอยู่ ไม่โทษตัวเองนะ เธอทำดีที่สุดเท่าที่เธอรู้แล้ว และ...
29/09/2025

Trauma response จาก Survival Mode “Fawn” 🌸
ไม่ว่าตอนนี้จะรู้สึกอะไรอยู่ ไม่โทษตัวเองนะ เธอทำดีที่สุดเท่าที่เธอรู้แล้ว และถ้าเธอเสียใจ โกรธ ฯลฯ ก็ให้เวลาตัวเองเช่นกัน เธอมีสิทธิ์รู้สึกทุกอย่างเลย 🌸
💚 สนใจ “ฟังร่างกาย” ด้วยกัน
Line OA:
#โยคะฟังร่างกาย #โยคะเยียวยา #โยคะบำบัด

ต่อจากนี้ เราจะหัดมีชีวิตเพื่อตัวเอง

บทความนี้เป็นภาคต่อจากตอนที่แล้ว - "ชีวิตวัยเด็กหล่อหลอมให้เราเป็นคนแบบไหน" ซึ่งมีเนื้อหามาจากหนังสือ Are You Mad at Me ของ Meg Josephson

ในตอนแรกผมเกริ่นเอาไว้ว่า บ้านในวัยเยาว์อาจสร้างให้เรามีบุคลิกที่ชอบตามใจผู้อื่นและไม่กล้าขัดใจใคร (fawning)

บ้านที่มีปากเสียง อาจทำให้เราเป็นผู้รักษาความสงบ (peacekeeper)

บ้านที่บรรยากาศตึงเครียด -> นักแสดง(ตลก) (performer)

บ้านที่บังคับให้เรารีบโตเป็นผู้ใหญ่ -> ผู้ดูแล (caretaker)

บ้านที่ไม่มีใครใส่ใจดูแลเรา -> หมาป่าเดียวดาย (lone wolf)

บ้านที่คาดหวังให้ลูกเป็นเลิศ -> เพอร์เฟกชั่นนิสต์ (perfectionist)

บ้านที่ปล่อยให้ลูกโดนรังแก -> กิ้งก่าคาเมเลี่ยน (chameleon)

Josephson ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ เป็นนักจิตบำบัดที่เน้นเรื่องบาดแผลในวัยเด็ก (child trauma) แถมยังเป็นคนที่สนใจศึกษาศาสนาพุทธมาพอสมควร

คน 6 ประเภทที่ยกมาข้างต้น Josephson ยกมาจากเคสคนไข้ที่มารักษากับเธอจริงๆ แต่แน่นอนว่าไม่ได้ครอบคลุมทุกเคสที่เคยเกิดขึ้น

ดังนั้น ใครที่อ่านบทความตอนที่แล้วแล้วรู้สึกว่า "ไม่เห็นตรงกับฉันเลย" หรือ "ฉันเป็นหลายอย่างเลย" ก็ถูกต้องแล้วครับ เพราะ 6 ประเภทที่ผู้เขียนยกมาเป็นเพียงการยกตัวอย่างให้เห็นภาพ ไม่ได้มีเจตนาที่จะทำให้เป็นเฟรมเวิร์กที่ครบถ้วนเหมือน Enneagram หรือ MBTI

และถ้าเราเป็นคนโชคดี มีวัยเด็กที่สมบูรณ์ มีครอบครัวที่อบอุ่นและไม่กดดัน เราก็อาจไม่ต้องใช้การ fawning เพื่อเอาตัวรอดในวัยเด็กเลยก็ได้

บางคอมเมนต์จากตอนที่แล้วค้านว่าตัวตนของเราไม่ได้เกิดจากการเลี้ยงดู แต่เกิดจากข้อมูลทางพันธุกรรมต่างหาก

ส่วนตัวผมเชื่อว่า คำตอบนั้นมักจะอยู่ตรงกลาง นั่นคือพันธุกรรมก็มีส่วน การเลี้ยงดูก็มีผล

ถ้าเราเหนื่อยกับการเติบโตมาโดยต้องคอยคิดถึงหัวอกคนอื่น จนละทิ้งความต้องการของตัวเองมาโดยตลอด จากนี้ไปเราจะเปลี่ยนนิสัยหรือแพทเทิร์นเดิมๆ ได้หรือไม่

Josephson เชื่อว่าเราทำได้ โดยที่เราไม่จำเป็นต้องจำบาดแผลจากวัยเด็กได้ด้วยซ้ำ

สิ่งที่เป็นอดีตนั้นเรากลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้ แต่สิ่งที่สำคัญกว่าคือเราจะอยู่เพื่อปัจจุบันและสร้างอนาคตที่ดีกว่าเดิมได้อย่างไร

-----

วิธีสำรวจว่าเราเป็น fawner รึเปล่า

ถ้ามีอาการดังต่อไปนี้ เราก็มีแนวโน้มที่จะเป็น fawner

- ทำทุกอย่างเพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะหรือความขัดแย้ง

- คิดว่าการทำให้ทุกคนแฮปปี้เป็นหน้าที่ของเรา

- พยายามอธิบายตัวเองมากเกินไป (overexplain yourself) เพราะกลัวคนไม่เข้าใจ

- ไม่กล้าตัดสินใจเพราะไม่อยากทำให้ใครไม่พอใจ หรือไม่ก็เพราะเราไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วเราต้องการอะไรกันแน่

- ไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองดีพอ และไม่คู่ควรกับความสำเร็จที่ผ่านมา

- รู้สึกว่าต้องสวมบทบาทเป็นใครบางคนตลอดเวลา

-----

ทำไมเราถึงติดหลุมพรางความสัมพันธ์ที่เป็นพิษ (toxic)

เคยสงสัยไหมครับว่า ทำไมคนบางคนถึงมักจะเลือกคบแฟนที่นิสัยไม่ดี เลิกกับคนเก่าไปแล้ว คบกับคนใหม่ก็ยังเลือกคนนิสัยเดิมๆ อีก

นั่นเป็นเพราะว่า เรารู้สึกคุ้นเคยกับการรับมือกับคนประเภทนี้นั่นเอง

สมมติว่าตอนเด็กๆ เรามีคนในบ้านที่เรียกร้องให้เราต้องตามใจเขาตลอด พอเราโตขึ้นมาและจะเลือกคบกับใคร เราก็มักเลือกคบคนที่ชอบเรียกร้องให้เราต้องดูแลเขาและตามใจมากเป็นพิเศษเช่นกัน

อะไรที่เราคุ้นเคย จิตใต้สำนึกจะบอกเราว่ามัน "ปลอดภัย" (แม้ว่าแท้จริงแล้วมันจะ toxic)

ส่วนอะไรที่เราไม่คุ้นเคย จิตใต้สำนึกจะบอกว่ามัน "อันตราย" ทั้งที่จริงแล้วมันอาจไม่ได้มีอันตรายใดๆ เลย

จิตใต้สำนึกพาให้เรากลับไปสู่ความสัมพันธ์ที่เราคุ้นเคยจากวัยเด็ก เพราะว่าเราอยากจะพิสูจน์ให้ตัวเองเห็นว่า "รอบนี้ฉันขอแก้มือ และถ้าฉันทำให้ความสัมพันธ์ครั้งนี้มันเวิร์กได้ ก็น่าจะเป็นการลบล้างความเจ็บปวดในอดีตได้เช่นกัน"

-----

เรียนรู้ที่จะอยู่กับความอึดอัด

ผู้เขียนบอกว่า การที่เรา fawning ผ่านการตามใจหรือเอาอกเอาใจคนอื่น เพราะมันคือกลไกที่จะช่วยให้เราไม่ต้องเผชิญหน้ากับความรู้สึกที่เราไม่ชอบ

ดังนั้น หากเรารู้ตัวว่ากำลัง fawning โดยไม่จำเป็น ให้ถามตัวเองว่า "เรากำลังปกป้องตัวเองจากความรู้สึกอะไรอยู่?"

วิธีการเยียวยาจากอาการ fawning ก็คือการค่อยๆ สอนตัวเองว่า ความรู้สึกอึดอัดนี้ทำอะไรเราไม่ได้ - "Healing is the practice of slowly getting comfortable with being uncomfortable."

ในหนังสือ The Body Keeps the Score (20,000 reviews, 4.36 ดาวบน Goodreads) Bessel van der Kolk ผู้เขียนบอกว่า "บาดแผลในอดีตยังคงมีตัวตนอยู่ในรูปแบบของความรู้สึกอึดอัดที่กัดกินอยู่ข้างใน"

เวลาเกิดบาดแผลในวัยเด็ก ส่วนที่พยายามปกป้องเราเหมือนถูกแช่แข็งเอาไว้และคิดไปว่าสิ่งที่เคยเกิดขึ้นในอดีตยังคงเกิดขึ้นอยู่ในวันนี้ มันยังนึกว่าเรายังเป็นเด็กอายุแค่ 6 ขวบเหมือนกับช่วงที่เกิดบาดแผลไม่มีผิด

การเยียวยาจากการ fawning คือการกลับมาอยู่กับปัจจุบันในขณะที่ร่างกายยังไม่สามารถมูฟออนจากเหตุการณ์ในอดีตได้

-----

เฟรมเวิร์กในการรับมืออาการ fawning

Josephson บอกว่า เวลาพบว่าตัวเองอยู่ในอาการ fawning เธอจะพูดกับตัวเองว่า "Be NICER to yourself."

NICER ย่อมาจาก Notice, Invite, Curiosity, Embrace, และ Return

Notice - เริ่มต้นจากเราต้องรู้ตัว หรือสังเกตเห็นก่อนว่าเรากำลัง fawning อยู่ เช่นเห็นคนโกรธแล้วไม่กล้าขัดใจ หรือเห็นว่าตัวเองมักจะคิดมากไปต่างๆ นานาว่าเขาจะไม่พอใจเราไหมนะ เมื่อเราสังเกตได้ว่าความคิดกำลังเตลิด นี่คือจุดเริ่มต้นของการเยียวยา

Invite - ให้เชื้อเชิญความรู้สึกที่เกิดขึ้นมาร่วมโต๊ะกับเรา ถามตัวเองว่าเรารู้สึกอย่างไรอยู่ เช่น อึดอัด กลัว กังวล ฯลฯ แล้วต้อนรับมันอย่างเป็นมิตร ไม่ต้องไปพยายามกดข่มหรือขจัดมันทิ้งไป เราไม่ได้ผิดอะไรที่มีความรู้สึกเช่นนี้ ปล่อยให้ความรู้สึกนั้นอยู่กับเราโดยไม่ต้องปรุงแต่งเพิ่ม เพราะในระดับกายภาพ ความรู้สึกที่เกิดขึ้นจะมีอายุขัยเพียง 90 วินาทีเท่านั้น หากมีความรู้สึกใดที่อยู่ยาวนานกว่านั้น ก็เพราะว่าเราไป "ตีฟอง" ให้ความรู้สึกมันฟูฟ่องขึ้นมา

Curiosity - จงเป็นนักสังเกตการณ์ของจิตและกาย ใจของเรากำลังเป็นอย่างไร บนร่างกายเราเกิดความรู้สึกขึ้นตรงไหนไหม เช่นหัวใจเต้นเร็วขึ้น หน้าร้อนผ่าว ตึงๆ ตรงหน้าอก ค่อยๆ ดูความรู้สึกที่เกิดขึ้นทั้งในร่างกายและจิตใจด้วยความสงสัยใคร่รู้

Embrace - ยอมรับความรู้สึกที่เกิดขึ้น อย่าไปโกรธตัวเองซ้ำที่มีความรู้สึกแบบนี้ มันคือตัวตนเราในอดีตที่พยายามจะปกป้องเราอยู่เหมือนอย่างที่มันเคยทำเสมอมา ให้มีปฏิสัมพันธ์กับความรู้สึกนั้นอย่างมีเมตตา บอกความรู้สึกนั้นว่า "ขอบคุณนะที่พยายามปกป้องเรา ตอนนี้เราปลอดภัยดี ไม่ต้องเป็นห่วง"

Return - กลับมาอยู่กับปัจจุบัน ที่นี่ตรงนี้ เรากำลังมองเห็นอะไร ได้ยินเสียงอะไรอยู่ ดูหน้าที่กำลังกระเพื่อมขึ้นลงจากลมหายใจ เป็นต้น

-----

วิธีพากายใจกลับบ้าน

กายกับใจนั้นจะเชื่อมโยงกันตลอด ใจรู้สึกอย่างไร ก็จะมีผลกับร่างกาย ร่างกายรู้สึกอย่างไรก็ย่อมมีผลต่อจิตใจ

หากเรารู้ตัวว่ากายหรือใจระส่ำ ทำงานไม่ปกติ นี่คือบางวิธีที่จะช่วยให้กายและใจสงบลงได้

หายใจออกให้ยาวกว่าหายใจเข้า: เช่นหายใจเข้านับ 1 ถึง 4 หายใจออกนับ 1 ถึง 6

เทคนิค 5 4 3 2 1: ขานชื่อ 5 อย่างที่ตาเรากำลังมองเห็น, 4 อย่างที่ใจเรารู้สึก, 3 เสียงที่หูเราได้ยิน, 2 กลิ่นที่จมูกเราสัมผัสได้ และ 1 รสที่เรารับรู้

วางมือบนจุดที่เรารู้สึกตึงในร่างกาย: เช่นถ้ารู้สึกอึดอัดที่หน้าอก ก็ลองวางมือเบาๆ ตรงนั้นแล้วหายใจเข้าออกยาวๆ

เอาขาพาดกำแพง: ในภาษาโยคะมีชื่อเรียกว่า Viparita Karani (วิปะรีตะ การณิ) ทำได้โดยการนอนหงายให้ก้นชิดผนัง ขาพาดขึ้นไปบนฝาผนัง ขาทั้ง 2 ข้างชิดกันและชิดผนัง ค้างไว้อย่างนั้น 3-5 นาที

ผลักกำแพง: เวลารู้สึกโกรธใคร ท่านี้อาจช่วยได้ ตอนผลักกำแพงอย่าลืมบอกตัวเองด้วยว่า "ถ้าจะยังรู้สึกโกรธอยู่ก็ไม่เป็นไร เธอสามารถอยู่ตรงนี้ได้นานเท่าที่เธอต้องการ"

-----

บอกสิ่งที่เราต้องการ โดยเริ่มจากเรื่องที่ง่ายที่สุด

คนที่คุ้นเคยกับการ fawning มาตลอดชีวิต อาจจะไม่ค่อยกล้าบอกความต้องการของตัวเอง ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงต้องค่อยเป็นค่อยไป โดยเริ่มจากสิ่งที่ง่ายที่สุดก่อน เช่นในสถานการณ์ที่เราควรจะบอกความต้องการของเราได้แน่ๆ เพราะว่าเราเป็นลูกค้า

เช่นถ้าเราสั่งอาหาร แล้วร้านทำมาผิด แทนที่จะบอกตัวเองว่า "ไม่เป็นไร กินเมนูนี้ก็ได้" ก็ให้บอกทางร้านว่าร้านทำมาผิด ให้เขาไปทำใหม่

หรือเวลาเข้าร้านนวดแผนไทย ถ้าอยากให้หมอเน้นจุดไหน หรือถ้านวดเบาหรือแรงเกินไป ก็เอ่ยปากบอกหมอตรงๆ ว่าเราอยากได้ประมาณนี้นะ

ฟังดูเหมือนเป็นเรื่องเบสิกมาก แต่เชื่อมั้ยครับว่ามีคนที่ไม่กล้าแม้แต่จะบอกเรื่องพวกนี้ ซึ่งตัวผมเองก็มีอาการอย่างนี้ในบางครั้งเช่นกัน เพราะชอบคิดว่าไม่อยากเป็นคนเรื่องเยอะ

แต่ขอให้มองว่าการเอ่ยปากบอกในสิ่งที่เราต้องการคือการฝึกฝนที่จะออกจากแพทเทิร์นเดิมๆ เพื่อเพิ่มความเป็นไปได้ใหม่ๆ ให้ชีวิต

จากนั้น เราค่อยเริ่มฝึกที่จะบอกสิ่งที่เราต้องการกับคนที่รู้สึกปลอดภัย อาจจะเป็นการคุยกับแฟนว่าเราอยากกินอาหารร้านนี้ หรือบอกเพื่อนที่โทรมาว่าเรามีเวลาคุยแค่ 10 นาที

เราต้องพร้อมที่จะขีดเส้นให้ตัวเอง - draw your own boundary โดยที่เราไม่จำเป็นต้องไปเรียกร้องหรือบงการให้ใครทำอะไร

คือแทนที่จะบอกเพื่อนว่า "อย่าโทรมาเวลาทำงาน" ก็ให้บอกเพื่อนว่า "ถ้าเขาโทรมาเวลางานเราจะไม่สะดวกรับสาย" เป็นต้น

เมื่อเรากล้าบอกความต้องการกับคนที่เราสนิทใจ เราจึงค่อยรวบรวมความกล้าในการบอกความต้องการกับคนที่เราเคยหลบหลีกหรือตามใจเขามาโดยตลอด เช่นผู้ใหญ่ในบ้านบางคน หรือญาติหรือเพื่อนบางคนที่มักจะข้ามเส้นเราอยู่บ่อยๆ

แน่นอนว่าการฝึกฝนเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย และเราก็มีแนวโน้มที่จะกลับไปสู่แพทเทิร์นเดิมๆ ซึ่งถ้าหากเกิดเหตุการณ์แบบนั้นขึ้นจริงก็ไม่ต้องตกใจ ให้ถือว่าเป็นเรื่องปกติ แค่เรารู้ตัวว่าเรากำลัง fawning อยู่ก็นับเป็นความก้าวหน้าแล้ว

-----

การไม่ขัดใจ การตามใจ การเอาอกเอาใจที่เรียกรวมๆ ว่าการ fawning นี้เป็นสิ่งที่ช่วยให้เราอยู่รอดมาได้ในวัยเด็ก

แต่ตอนนี้เราเป็นผู้ใหญ่แล้ว เราคือ "พ่อแม่ของตัวเอง" เราสามารถอยู่รอดปลอดภัยได้โดยไม่จำเป็นต้องตามใจหรือเอาอกเอาใจทุกคนอีกต่อไป

เราสามารถหลุดออกจากวังวนเดิมๆ ได้ ด้วยการพาตัวเองกลับมาอยู่กับปัจจุบัน เป็นเพื่อนกับความอึดอัด ไม่รังเกียจความรู้สึกใดๆ ปล่อยให้มันผ่านมาและผ่านไปโดยไม่ไปปรุงแต่งเพิ่มเติม และฝึกที่จะบอกสิ่งที่เราต้องการโดยเริ่มจากเรื่องเล็กๆ และปลอดภัยต่อจิตใจ

ต่อจากนี้ ขอให้เราหัดมีชีวิตเพื่อตัวเองครับ

แต่ทุกวันนี้ไม่ฝึก Headstand แบบนี้ละนะไม่ใช่เพราะท่านั้นไม่ดี แต่มันไม่ดีกับเราการฝึกในบางท่า มันเกิดสิ่งที่เรียกว่า “R...
28/09/2025

แต่ทุกวันนี้ไม่ฝึก Headstand แบบนี้ละนะ
ไม่ใช่เพราะท่านั้นไม่ดี แต่มันไม่ดีกับเรา
การฝึกในบางท่า มันเกิดสิ่งที่เรียกว่า “Retraumatize” คือไปกระตุ้นบาดแผล เรื่องราวบางอย่าง ซึ่งบางคนอาจเคยมีประสบการณ์ไม่ค่อยดีกับบางท่าอาสนะ จากการถูกผลักดันเกินขีดจำกัดและความรู้สึกปลอดภัยในขณะนั้น

พอเรา “รู้” แล้ว ก็ “เลือกใหม่” ฟังร่างกายแล้วเลือกให้เหมาะกับตัวเอง ในปัจจุบัน
แบบนี้ก็ได้ “ฝึกโยคะ” เหมือนกัน
This is still YOGA 🧘‍♀️
💚 สนใจ “ฟังร่างกาย” ด้วยกัน
Line OA: .
#โยคะฟังร่างกาย #โยคะเยียวยา #โยคะบำบัด

อนุญาตให้ตัวเอง เติบโตตามจังหวะตัวเอง
Grow at your own pace 🌱
คือการให้ความรักตัวเองอย่างไร้เงื่อนไข (Unconditional love)
อดทน รอคอยให้เป็น
มันจะไม่ดีในทันที แต่มันจะดีขึ้น..
ทุกการเปลี่ยนแปลง..ใช้เวลา..
#ดีอีโก้โยคะ #โยคะ
—————
🍀 ดีอีโก้โยคะ สอนอะไร 🍀
สอนให้ผู้ฝึกทำความรู้จัก เชื่อมโยง ความสัมพันธ์ระหว่างร่างกาย จิตใจ และลมหายใจให้กลับเข้าสู่สมดุลของตัวเอง ผ่านการใช้ท่าทาง อุปกรณ์และเครื่องมือต่างๆ เป็นศาสตร์และศิลป์ของการมีสุขภาพองค์รวมที่ดี
📣📣 ช่องทางการติดตาม
Facebook : https://www.facebook.com/yogadeego
Instagram :https://www.instagram.com/yogadeego
Tiktok : https://www.tiktok.com/

26/09/2025

ไม่ต้องเป็นคนดีหรอก แค่จริงกับตัวเองก็พอ 🌸
💚 สนใจ “ฟังร่างกาย” ด้วยกัน Line OA:
#โยคะฟังร่างกาย #โยคะเยียวยา #โยคะบำบัด

TikTok Live ครั้งแรกของช่อง 😆 วันพุธที่ 1 ตุลา เวลาดี๊ดี 19:30 น. มาเจอกันค่ะ 🌸Link 👉🏻 https://www.tiktok.com/💚 สนใจ “ฟั...
25/09/2025

TikTok Live ครั้งแรกของช่อง 😆
วันพุธที่ 1 ตุลา เวลาดี๊ดี 19:30 น.
มาเจอกันค่ะ 🌸
Link 👉🏻 https://www.tiktok.com/
💚 สนใจ “ฟังร่างกาย” ด้วยกัน Line OA:
#โยคะฟังร่างกาย #โยคะเยียวยา #โยคะบำบัด

25/09/2025

ปวดคอบ่า เพราะสะโพกตึง
ฟังแล้วๆ อาจแปลกๆ แต่ไม่มีอะไรที่ผิดปกติ ถ้ามันมาจากร่างกายเรา 🌸
💚 สนใจ “ฟังร่างกาย” ด้วยกัน Line OA:
#โยคะฟังร่างกาย #โยคะเยียวยา #โยคะบำบัด

24/09/2025

อย่าเชื่อความคิด เชื่อร่างกาย
💚 สนใจ “ฟังร่างกาย” ด้วยกัน Line OA:
#โยคะฟังร่างกาย #โยคะเยียวยา #โยคะบำบัด

22/09/2025

ความปลอดภัยคิดเอาไม่ได้
💚 สนใจ “ฟังร่างกาย” ด้วยกัน Line OA:
#โยคะฟังร่างกาย #โยคะเยียวยา #โยคะบำบัด

21/09/2025

การเยียวยาบาดแผลทางใจ… เริ่มต้นด้วยเมตตา

💚 โยคะฟังร่างกาย
ถูกออกแบบมาเพื่อให้คุณค่อยๆ ค้นพบและคลี่คลายอารมณ์ ความคิด ความเชื่อที่ถูกเก็บสะสมอยู่ในร่างกาย เราไม่ได้พูดคุยกันผ่านทางความคิด แต่คือ “เสียงจากร่างกาย“ ที่นี่จะเป็นพื้นที่ที่คุณได้กลับมาเชื่อมต่อกับความจริงของตัวเองผ่านปัญญาญาณของร่างกายค่ะ
💚 สนใจ ““ฟังร่างกาย” ด้วยกัน
Line OA:
#โยคะฟังร่างกาย #โยคะเยียวยา #โยคะบำบัด

ที่อยู่

Bangkok
10250

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ DeEgo Embodiment Yoga : ดีอีโก้ โยคะฟังร่างกายผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

แชร์

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram