ดนตรีบำบัดอย่างง่าย by Mayrin

ดนตรีบำบัดอย่างง่าย by Mayrin A medical music therapist with a master's degree and certification in NMT no. 5344 A Trained Music Therapist, Thailand

วันนี้มีคนมาถามครูเมพอดีว่าอยากเรียนดนตรีบำบัด แนะนำที่ไหน หลักสูตรนี้เลยค่ะ คุ้มค่าแก่ชีวิตและความฝันแน่นอน
19/11/2025

วันนี้มีคนมาถามครูเมพอดีว่าอยากเรียนดนตรีบำบัด แนะนำที่ไหน หลักสูตรนี้เลยค่ะ คุ้มค่าแก่ชีวิตและความฝันแน่นอน

🎶✨ เปิดรับสมัครนักศึกษาใหม่!
หลักสูตรศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาดนตรีบำบัด (M.A. in Music Therapy)
บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยขอนแก่น

🎓 เรียนรู้ศาสตร์แห่ง “ดนตรีที่ดูแลมนุษย์ด้วยหัวใจ”
ผสานศิลปะ ดนตรี และจิตวิทยา เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้คนในทุกช่วงวัย
พร้อมเปิดโอกาสให้นักศึกษานำความรู้ไปประยุกต์ใช้ในการบำบัด ฟื้นฟู และสร้างสุขภาวะทางใจ 🌈

📅 รับสมัครตั้งแต่ 1 ธันวาคม 2568 – 31 มกราคม 2569อ
💰 มีทุนการศึกษาและทุนวิจัยสนับสนุน
🎼 เปิดรับผู้ที่สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี (หรือเทียบเท่า) ที่มีพื้นฐานด้านดนตรี
สนใจสมัคร link ในคอมเมนต์
สอบถามเพิ่มเติม
📞 โทร. 088-062-0133
📩 musictherapykku@gmail.com

Facebook: Master of Arts Program in Music Therapy, Khon Kaen University

#ดนตรีบำบัด #เรียนต่อมข #บัณฑิตวิทยาลัยมข #ดนตรีบำบัดมข #เรียนดนตรีเพื่อคนอื่น #ศิลปะเพื่อการบำบัด

เส้นแบ่งระหว่าง “ความฝืน” กับ “ความพยายาม”ในขณะที่โลกกำหนดให้ความเพียร “พยายาม” มุ่งมานะ เป็นคุณสมบัติที่ดี แต่กลับกำหนด...
13/11/2025

เส้นแบ่งระหว่าง “ความฝืน” กับ “ความพยายาม”

ในขณะที่โลกกำหนดให้
ความเพียร “พยายาม” มุ่งมานะ เป็นคุณสมบัติที่ดี
แต่กลับกำหนดให้ “ฝืน” ถูกตีความหมายว่าเป็นลบ
ทั้ง ๆ ที่คุณลักษณะของทั้งสองพฤติกรรมนั้น
เหมือนกันจนแทบจะแยกออกจากกันไม่ได้

ทั้ง “พยายาม” และ “ฝืน”
ใช้กำลังอย่างมากนะ
ใช้ความอดทน ใช้ความหวัง
ใช้ทั้งแรงกาย และแรงใจ
ในน้ำหนักที่ไม่ได้ต่างกันเลย

แล้วทำไมการ “ฝืน” ถูกมองว่าแย่
ในขณะที่ความ “พยายาม”
กลับเป็นที่สิ่งที่ถูกส่งเสริมว่า ค ว ร ทำ

บางที “ฝืน” อาจเป็นแค่
“ความพยายามที่เหนื่อยล้า”
เพียงเพราะพบว่าผลที่คาดหวัง
ไม่สัมพันธ์กับแรงที่ลงไป

บางคนอาจถูกหลอกให้
“พยายาม” ทั้ง ๆ ที่ “ใจกำลังฝืน”
ในขณะที่การ “ฝืนใจ” ของบาคน
อาจหมายถึงเขากำลังพยายามอยู่

นกที่พยายามจะว่ายน้ำ
ปลาที่พยายามจะบิน
เรื่องนี้ผิดที่ตรงไหนนะ ?

ทำไมการเกิดเป็นปลาแล้ว
นึกอยากจะบินถึงกลายเป็นเรื่องตลก!!!
เพราะปลาไม่คู่ควร หรือเพราะจริง ๆ แล้ว
ไม่ใช่เรื่องธรรมชาติของปลาที่จะบินได้
ซึ่งนั่นก็จริง….แต่….เราอาจกำลังดูถูกสติปัญญา
ของ “ปลาบางตัว” อยู่หรือเปล่านะ?

อาจจะใช่ ที่การบินขึ้นไปบนฟ้า
สำหรับปลานั้นไม่ใช่เรื่องปรกติ
แต่ถ้าหากมีปลาสักตัวหนึ่ง
“ฝืน” ธรรมชาตินั้นแล้วบินได้ขึ้นมาล่ะ?

ถ้ามันบินขึ้นจากน้ำแล้วตาย
เราคงบอกว่ามันกำลัง “ฝืน”
แต่ถ้ามันบินขึ้นมาแล้ว “รอด”
นั่นแหละ ความพยายาม

เห้ย!!! มันเป็นแบบนี้จริง ๆ หรือ ?
ฝืนอาจเป็นจุด break point
ของความพยายามรูปแบบหนึ่งก็ได้

“ฝืน” และ “พยายาม”
ตัดกันแค่สิ่งที่ทำนั้นมัน “ล้มเหลว”
หรือ “ประสบความสำเร็จ” เท่านั้นหรือ?
แล้วระหว่างทางล่ะ? ระหว่างทางจะเรียกมันว่าอะไร

จำเป็นแค่ไหนที่ทุกการฝืนจะนำสู่ความ “ล้มเหลว”
หรือทุกการพยายามจะนำสู่ความ “สำเร็จ”

เหนื่อย……. เชื่อเถอะ
ทั้ง พยายาม และ ฝืน
เป็นสิ่งที่นำพาความเหน็ดเหนื่อย
มาให้เราทั้งสิ้นอย่างแน่นอน

จุดตัดอาจไม่ได้อยู่ที่ว่า
เราเรียกการลงมือทำนั้นว่าอะไร
“พยายาม” หรือ “ฝืน”
แต่มันอยู่ที่ว่าเรา “ตั้งจิต” แบบไหน
กับการลงแรงลงใจ “เพื่อสิ่งนั้น”
มันมีค่าแค่ไหน กับการที่เราจะฝืนและพยายาม
ไปตลอดเส้นทางเพื่อให้ได้มันมา

และเชื่อเถอะ มันจะมีทั้งวันที่เรารู้สึกว่า “เราฝืน”
และวันที่เรารู้สึกว่ากำลัง “พยายาม” อยู่นั่นแหละ

จุดตัดดมันอยู่ที่ไหนรู้ไหมเพื่อน?
อยู่ที่เรา “ยอมแพ้แล้วหรือยัง”?

เธอทั้งหลาย….
“การยอมแพ้” ไ ม่ เ ท่ า กั บ “ความล้มเหลว”
การยอมแพ้ เป็นแค่ “ระยะทำใจ” ของการ “ยอมรับ”

เราแค่ต้องยอมรับว่าเรามาไกลได้เท่านี้
เราได้ใช้ทั้งความ “ฝืน” และ ความ “พยายาม”
ทั้งหมดของเราแล้ว แต่สิ่งนั้นแค่ไม่เป็น “ดั่งหวัง”

แต่เรามีสิทธิ์ที่จะหวังนะเพื่อน ไม่สิ…..!!!
“เราอยู่ได้ด้วยความหวัง” ต่างหาก

แล้วจะรออะไรล่ะ??? ในเมื่อหวังแล้ว
ก็ “ฝืน” มันให้เต็มที่ไปเลย!!!!
พยายามให้จนสุดขีดความสามารถ
และยอมรับกับทุกผลลัพธ์ที่ได้มา
มันอาจหน้าตาไม่เหมือนอย่างที่เราหวังก็ได้

แต่อย่างน้อยเราก็ได้ทำมันอย่างเต็มที่ไม่ใช่เหรอ
จริง ๆ แล้วแก “ได้มันมาแล้ว” นะรู้ไหม
แต่ผลลัพธ์มันแค่หน้าตา “ไม่เหมือนอย่างที่แกหวัง”
ก็เท่านั้นเอง เพราะสิ่งที่แกได้มา
คือแกคนที่ดีขึ้นกว่าเมื่อวานเว้ย!!!!

#ดนตรีบำบัด

เรียนเชิญทุกท่านค่ะ
05/11/2025

เรียนเชิญทุกท่านค่ะ

🎵✨ อบรมเชิงปฏิบัติการ “ดนตรีบำบัด: การดูแลมนุษย์ด้วยหัวใจ” ✨🎶

เตรียมพบกับการเรียนรู้เชิงลึกจาก Professor Dr. Amelia Oldfield
นักดนตรีบำบัดชั้นนำระดับโลก พร้อมทีมนักดนตรีบำบัดไทยจากสาขาดนตรีบำบัด 🎻💙

🎯 เนื้อหาครอบคลุมทั้ง
- ดนตรีบำบัดในผู้สูงอายุ ผู้ป่วยระยะท้าย ผู้ป่วยเวชศาสตร์ฟื้นฟู และผู้ที่มีความต้องการพิเศษ
- เทคนิคและกระบวนการดนตรีบำบัดที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้จริง
- การฝึกปฏิบัติและแลกเปลี่ยนประสบการณ์จากผู้เชี่ยวชาญโดยตรง

📅 วันที่ 29–30 พฤศจิกายน 2568
📍 ณ ห้องประชุม 1 ชั้น 4 บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยขอนแก่น
⏰ เวลา 09.00 – 17.00 น.

💰 ค่าลงทะเบียนเพียง 2,000 บาท เท่านั้น!
🟡 สำรองที่นั่งได้แล้ววันนี้ผ่าน QR Code ในภาพหรือ link ในคอมเมนต์
📩 สอบถามเพิ่มเติม: โทร. 085-595-2615
หรือ Email: Pongbou@kku.ac.th

มาร่วม “เรียนรู้ดนตรีบำบัด” ที่จะเปิดหัวใจของคุณให้เข้าใจมนุษย์ยิ่งขึ้น 💛

#ดนตรีบำบัด #อบรมบัณฑิตวิทยาลัยมข

Music Therapy and Grief and Mourning ดนตรีบำบัดในความโศกเศร้า และ การไว้ทุกข์การใช้ “ดนตรี” ดูแลใจในภาวะ โศกเศร้า โดยอิง...
25/10/2025

Music Therapy and Grief and Mourning
ดนตรีบำบัดในความโศกเศร้า และ การไว้ทุกข์

การใช้ “ดนตรี” ดูแลใจในภาวะ โศกเศร้า โดยอิงจากหลักการดนตรีบำบัด

🖤 ตามหลักการ

อย่างที่ทราบกันดีแล้วว่าดนตรีเป็นเครื่องมือที่สามารถช่วยให้เกิดความเชื่อมโยงทางความรู้สึก ทั้งภายในตนเอง และจากบุคคลสู่บุคคล กระตุ้นให้เกิดการระลึกถึงเหตุการณ์ที่กระทบใจทั้งดีและไม่ดี (conneting with memories) ดนตรียังกระตุ้นให้เกิดการปลอดปล่อยทางอารมณ์ขั้นสูงได้ (emotional expression) ด้วยกลไกของวิทยาศาสตร์ และจิตวิทยาดนตรี

การได้ปลอดปล่อยความรู้สึกทางใจ บวกกับผลกระทบทางประสาทวิทยาสามารถทำให้ฐานกายผ่อนคลายลงได้และช่วยลดความตึงเครียดของร่างกายลงได้มาก

ดนตรีเป็นอีกหนึ่ง “ภาษา” อันเป็นเครื่องมือที่มาสามารถเพิ่มระดับความสนิทสนม และ การเห็นองเห็นใจกันระหว่างบุคคลได้ ผ่านการฟังเรื่องราวในบทเพลง จากองค์ประกอบทางดนตรีที่ถูกร้อยเรียงขึ้นมาแทนคำพูด และความรู้สึก ที่บางครั้งไม่สามารถหา “คำ” มาทดแทนได้เพียงพอ

ดนตรียังสามารถเป็นเครื่องมือเชื่อมโยงทางจิตใจและจิตวิญญาณได้ มาตั้งแต่โบราณกาล การได้ทำกิจกรรมดนตรีร่วมกัน อยู่ในพื้นที่ ที่มีดนตรีเป็นสื่อกลางทำให้เกิด Hoding space และนั่นคือช่วงเวลาของการแบ่งปันความรู้สึกและการปลอมประโลม

Dr. Alan D. Wolfelt กล่าวไว้ดีมากว่า เป้าหมายของการข้ามผ่านความสูญเสียนั้นคือการ รู้สึก (feel) และ เผชิญหน้ากับประสบการณ์ (experience) กับความเจ็บปวด (Pain) ก่อนที่เราจะสามารถข้ามผ่านไปยังขั้นตอนของการเยียวยาได้

“The goal is to feel and experience the pain before we can move onto the next stages of healing”

โดยเสนอแนวทางการข้ามผ่านความเจ็บปวดจากการสูญเสียนี้ไว้ 6 ขั้นตอน คือ

1. ยอมรับความเป็นจริงของ “ความตาย” คือการเข้าใจธรรมชาติว่า เรานั้นต้องตายทุกคน

2.โอบรับความเจ็บปวดและความสูญเสียนั้นไว้ โดยไม่ผักไส ไม่จำเป็นต้องรีบสดใส ไม่มีความจำเป็นใด ๆ ที่ต้องเร่งกระบวรการเผชิญหน้ากับความเจ็บปวดนี้ แต่เป็นการอยู่และรับรู้กับมันไป

3. รำลึกถึงบุคคลผู้ล่วงลับ ด้วยการทบทวนเรื่องราวผ่านความคิด ผ่านสื่อกลาง

4. ค่อย ๆ ก่อสร้างตัวตนใหม่ของตนเองว่าต้องอยู่โดยไม่มีบุคคลที่รักนี้อีกต่อไปแล้ว

5. ค้นหาความหมายของการสูญเสีย และของคนที่รัก ว่าการมีอยู่ของเขานั้นมีค่ากับเราอย่างไร

6. เปิดรับการสนับสนุนจากผู้อื่น หรือสร้างสภาพแวดล้อมแห่งการเยียวยา

🖤 จากประสบการณ์

การเลือกปฏิสัมพันธ์กับเพลงที่มี “ความหมายกับความรู้สึกของเรา” เป็นช่วงเวลาที่ช่วยให้เกิดการ ทบทวน ปลอดปล่อย โอบกอด ทุกความคิดและความรู้สึก ซึ่งเป็นหนึ่งในกระบวนการข้ามผ่านความสูญเสีย

เพลงบางเพลงอาจ “แทนใจเรา” พูดแทนเรา รู้สึกได้เหมือนเรา บอกเราให้เข้าใจบางอย่างได้ด้วยวิธีง่าย ๆ โอบกอดความรู้สึกเราไว้ และในขณะนั้นเองที่การเยีวยาได้เกิดขึ้น

การได้ ฟัง เล่น และ ร้อง เพลงเหล่านั้น คือวิธีที่ดนตรีกำลังช่วยเยียวยาเรา
สำหรับนักดนตรี หรือผู้ที่มีทักษะทางดนตรีอีกระดับ การได้ แต่งเพลง ก็เป็นวิธีการปลอดเปลื้องความโศกนี้ได้เช่นเดียวกัน

ในดนตรีบำบัด การบันทึกเสียงร้องเพลงของผู้ป่วยและครอบครัว หรือคนที่รักเก็บไว้ โดยไม่จำเป็นต้องแต่งเพลงขึ้นมาใหม่ ก็ถือเป็นของชำร่วยแทนใจให้กับคนข้างหลังได้เช่นกัน

🎹 สำหรับนักดนตรีบำบัด

ดนตรีบำบัดไม่ได้อยู่ในเพียง “ความรื่นเริง” แต่เราอยู่ในทุกความรู้สึก รวมทั้งความโศกเศร้า ดังนั้นแล้วเรายังทำงานของเราต่อไปได้ตามปรกติ

ในทางกลับกัน นี่กลับเป็นโอกาสที่เราจะใช้ความสามารถและความเชี่ยวชาญนี้ของเรา กับอาวุธที่ทรงพลังอย่างดนตรี เพื่อเยียวยาคนหมู่มากผ่านความรู้ความสามารถของเรา

หากไปเจอคนไข้ที่ไม่อิน ก็ไม่ต้องตกใจ หรือพยายามพาเขาเข้าสู่สภาวะตามเหตุการณ์สังคม ให้ปฏิบัติตามแนวทางทางคลินิกที่เรามี ตามกฎระเบียบ สังคมและวัฒนธรรมที่เอื้อให้เราทำ เพราะดนตรีอยู่ในทุกความรู้สึก อยู่ได้ทุกเหตุการณ์ของชีวิต รวมทั้งในการรักษา

🖤 สะท้อนความตาย

จริง ๆ แล้วความตายเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา เพราะความตายไม่ได้มีแบบเดียว
ความตายทางใจ นำไปสู่ความตายทางสังคม และนำไปสู่ความตายทางจิตวิญญาณได้
ดังนั้นแม้ว่าเราจะยังไม่เผชิญความตายทางกายของตนเอง ก็ขอให้เราพึงตระหนักไว้ว่า เรานั้นต่าง “ต้องตายจากตัวตนของเราตลอดเวลา” ที่คือการตายก่อนตาย นี่คือการตายในขณะมีลมหายใจ

จริง ๆ ความตายคือธรรมชาติ เราตายจากตัวตนเดิม ๆ เพื่อเป็นคนใหม่ จึงทำให้เราต้องตายจากสังคมเดิม ๆ จิตใจเดิม ๆ หรือตายจากกลุ่มคนเดิม ๆ ไปด้วย

การตายเป็นสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ชีวิตมนุษย์นั้นเคลื่อนไหว ดังนั้นนี่คือธรรมชาติที่เราต้องเข้าใจและรับทราบ ว่าไม่มีอะไรคงเดิมตลอดได้ไป และมีแต่สิ่งที่ตายแล้วเท่านั้นที่จะไม่พบกับความเปลี่ยนแปลง

🤍 ขอน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณตราบนิรันดร์ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง

ข้าพระพุทธเจ้าตัวแทนจากกลุ่ม The Cadence Music Therapy

Always on my mind 🤍🤍น้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณตราบนิรันดร์ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปี...
25/10/2025

Always on my mind 🤍🤍

น้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณตราบนิรันดร์ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง

ใครสนใจไปกันนะคะ
24/10/2025

ใครสนใจไปกันนะคะ

สมาคมดนตรีบำบัดประเทศไทย ร่วมกับโครงการ Sound of Hope และหลักสูตรศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาดนตรีบำบัด มหาวิทยาลัยขอนแก่น สาขาวิชาดนตรีบำบัด วิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล และ หลักสูตรศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาดนตรีบำบัด จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ขอเชิญร่วมกิจกรรมเสวนาและเวิร์กช็อป
“IMPROVISE FOR HOPE: A Dialogue and Workshop – On Music for Recovery”
เวทีแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และประสบการณ์ด้านดนตรีบำบัดเพื่อการเยียวยาและสร้างพลังใจ ผ่านการด้นสดทางดนตรี (Musical Improvisation)



🕐 วันเวลาและสถานที่จัดงาน

📅 วันพุธที่ 29 ตุลาคม 2568
⏰ เวลา 13.00 – 16.30 น.
📍 โรงเรียนดนตรีและศิลปะปิยภัชช์
ดูแผนที่: https://maps.app.goo.gl/7sEESWicyEPCsFRf9?g_st=ipc



กิจกรรมหลัก

SESSION 1 : A Dialogue of Hope
แลกเปลี่ยนประสบการณ์ระหว่างนักดนตรีจิตอาสาจากเมียนมา และสมาคมดนตรีบำบัดประเทศไทย เพื่อสร้างเครือข่ายความร่วมมือทางดนตรีเพื่อการเยียวยา

SESSION 2 : Improvisation in Action
เวิร์กช็อปการประยุกต์ใช้เทคนิคการด้นสดทางดนตรี (Musical Improvisation) กับชุมชนผู้ประสบภัยและผู้คนในพื้นที่เปราะบาง



ลงทะเบียนเข้าร่วมงานผ่าน QR Code บนโปสเตอร์
ภายในวันที่ 26 ตุลาคม 2568 เวลา 17.00 น.
รับจำนวนจำกัดเพียง 10 ท่าน!

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ทาง inbox เพจสมาคมฯ



#ดนตรีบำบัด #สมาคมดนตรีบำบัดประเทศไทย

“ความพอใจในตนเองและวิถีสู่ความมั่งคั่ง”LIFE FEST 40+ Session การเงินโดยโคชหนุ่มก่อนไป content ขอชื่นชม vibe ของโคชหนุ่มก...
19/10/2025

“ความพอใจในตนเองและวิถีสู่ความมั่งคั่ง”

LIFE FEST 40+ Session การเงินโดยโคชหนุ่ม
ก่อนไป content ขอชื่นชม vibe ของโคชหนุ่มก่อน โคชหนุ่มคือ คนที่เต็มแล้วจึงให้ คนที่กล้าที่จะถูกเกลียด คนที่มี self-actualization แล้วไป transcendence คนที่มี Ikigai แล้ว คนที่มองโลกตามจริง ทำประโยชน์แก่ตนเองโดยไม่เอาเปรียบผู้อื่น

💰 สรุปสิ่งที่ได้แบบดิบ ๆ (พร้อมสไลด์ที่โคชหนุ่มแจกใต้โพสต์)

- การเกษียณ “แต่ละที่” ของแต่ “ละคน” ใช้เงินไม่เท่ากัน อย่าเอาตัวเลขของใครมาเป็นของตนเอง เช่น ถ้าเราวางแผนเกษียณที่จะอยู่ต่างจังหวัด เราก็ต้องใช้พื้นฐานของความน่าจะเป็นในการใช้ชีวิตในจังหวัดนั้นเป็นตัวคำนวณจำนวนมูลค่าสินทรัพย์ที่เราจะเกษียณ ไม่ใช่เอาตัวเลขคนเกษียณที่กรุงเทพ หรือ กรุงปารีส มาวัด

- ให้ทำรายการทรัพย์สิน - หนี้สินออกมาให้ชัดเจน ไม่ใช่ก้มหน้าก้มตาหาเงินไปเรื่อยโดยไม่รู้จุดหมาย (Mayrin’ reflection: หาแต่เงิน โดยไม่รู้ว่าจะต้องมีเท่าไหร่แล้วจึงจะ “พอใจ” กับ “กิเลส” ของตัวเอง จนลืมใช้ชีวิตในปัจจุบัน เช่น ถ้าเรารู้ว่า ความพอใจของเราคือ เตี๋ยวเนื้อชามละ 80 บาท ไม่ใช่ เตี๋ยวทองส…..ชามละ 280 ก็สามารถทำให้เรารู้ว่าเราจะเลือกเอา “เวลา” ไปแลก “เงิน” มาซื้อมันแค่ไหน)

- “เงิน” ต้อง “ให้ตัวเองก่อนเสมอ” ซึ่งเงินที่ว่าให้ตัวเองนั้นคือเงินที่ตัดออกเพื่อสร้างสินทรัพย์ อย่างน้อย 10%

- อัตราการส่วนผ่อนชำระหนี้ต่อรายได้ไม่ควรเกิน 40%

- บิล fix rate ไม่ใช่หนี้ เช่น บัตรเครดิตที่รูดซื้อของแล้วจ่ายเต็ม ดังนั้นบัตรเครดิตที่จ่ายเต็มไม่ใช่หนี้ แต่ดอกเบี้ยที่ค้างจ่ายคือหนี้

- การมีเงินสำรอง 6 เดือน สำหรับเงินฉุกเฉินไม่ได้ทำให้รวย แต่มีความเพียงพอสำหรับการตั้งสติ ทำให้ไม่สะดุด

- Check ว่าแต่ละปีรวยขึ้นหรือจนลง แบ่งตารางเป็นสองช่อง โดยซ้ายคือหนี้สิน ขวาคือทรัพย์สิน แล้วเอามาหักลบ = “ความมั่งคั่งสุทธิ” และเมื่อคำนวณแล้วส่วนต่างต้องใหญ่ขึ้น คือทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน

- ความเสี่ยงมี 2 แบบ คือสิ่งที่ไม่แน่นอน (ควบคุมไม่ได้) กับความผิดพลาดจากความไม่รู้ (ควบคุมได้)

- การวางแผนทางการเงินคือมองไปข้างหน้าและถอยมาในปัจจุบันว่าต้องทำอย่างไรเพื่อไปถึงเป้า

- มองไปที่ “สภาพคร่อง” ให้มองที่ยอดติดลบว่ามีเท่าไหร่ทำสัดส่วนนี้ให้เล็กลงเรื่อย ๆ ผ่านการทำรายรับจ่ายล่วงหน้า 3 เดือน

- ไม่ต้องรอให้หนี้เสียก็สามารถปรับหนี้ได้ โดยเอาตัวเลขหนี้ทั้งกระดานมาตั้งก่อนแล้ว

- ทำการเจรจาต่อรองกับธนาคารหรือเจ้าหนี้

- เงินคงเหลืออย่าทะลึ่งกิน! ให้สะสมแล้วปิดหนี้ตัวใดตัวหนึ่งไป

- ประกันชีวิตไม่จำเป็นถ้าไม่มีคนข้างหลัง

- การมีที่อยู่อาศัยของตัวเองเป็นเรื่องที่ดีในวัยเกษียณ = ทำบ้านของตัวเองรอไว้ เพราะการเช่าในช่วงวัยเกษียณที่ร่างกายเริ่มช่วยเหลือตัวเองได้น้อยแล้วเป็นเรื่องลำบากและค่าใช้จ่ายสูง อย่าหวังให้ลูกหลานมาดูแล

- “ทำงานที่ทำให้ทำเงินได้มากกว่า 1 ครั้ง” เช่น สื่อการสอนที่เป็น digital ที่ทำให้เกิดทรัพย์สิน innovation ได้ส่วนแบ่งทางธุรกิจจากทรัพย์สินทางปัญญา

- ในวัย 40+ ถ้ามวลเงินใหญ่ขึ้น ไม่ต้องไปเสี่ยงแบบเด็ก ๆ

- อย่าลงทุนในสิ่งที่ไม่รู้ ไม่ว่าจะอายุเท่าไหร่ คำถามที่อันตรายที่สุดืคือ “การถามว่ามีเงินอยู่ก้อนหนึ่งเอาไปทำอะไรดี” (ไม่มีความรู้ =เสี่ยง!!!!)

- Highly understanding highly return

💰 Mayrin’ reflection: ทั้งหมดทั้งมวลสะท้อนได้ว่า “การชัดเจนกับชีวิตตนเองเป็นหนทางนำสู่อิสระภาพทางการเงิน” การรู้เท่าทันกิเลสตัวเองว่ามากน้อยแค่ไหน ต้องดูแลใคร ดูแลผลลัพธ์ในชีวิตตัวเองแบบไหน อยากอยู่แบบไหน อยากตายแบบไหน นำไปสู่ “อิสรภาพทางการเงินโดยแท้” ไม่ใช่ “รวย” เพราะคำว่ารวยเป็นนามธรรม เป็นความพอใจส่วนบุคคลซึ่งวัดกันยากมาก และรวยมักถูกเปรียบจากปริมาณทรัพย์สินนั่นคือ “มูลค่า” ไม่ใช่ “คุณค่า” แต่ “อิสระภาพ” กลับเป็นสิ่งที่วัดกันง่ายกว่า และอิสระภาพคือ “คุณค่า”

💰 มองโลกตามจริง มนุษย์ต้องการทั้ง “มูลค่าจากทรัพย์สิน” และ “คุณค่าจากอิสระภาพ” นั่นแหละ เพื่อให้เรามีชีวิตอยู่ได้อย่างผาสุขที่สุด ความผาสุขนำไปสู่คุณความดี ในขณะที่ความทุกข์นำมาแต่ภัย และเมื่อทั้งสองอย่างนั้นรวมตัวกันจึงเรียกว่าความมั่งคั่ง (Wealth) คือ “การเป็นอิสระจากการกังวลเรื่องทรัพย์สิน”

💰 ตัวอย่างของความไม่ผาสุขจากความทุกข์ทางกาย ในประเทศโลกที่อาหารขาดแคลน ปัจจัยพื้นฐานไม่ถูกเติมเต็ม ความ “ทุกข์ทางกาย” คงนำไปสู่ความสุขทางใจได้ยาก ผู้คนจึงไม่สามารถที่จะมีนำ้ใจ เห็นอกเห็นใจกันได้โดยง่าย การแก่งแย่ง การเอาตัวรอดจึงเป็น “ความจำเป็น” ในขณะที่ประเทศที่อุดมสมบูรณ์นั้นต่างออกไป
แต่…เดี๋ยวก่อน!!!! เราไม่อาจตัดสินได้ว่าความขาดแคลนทางกายนั้น นำไปสู่ความขาดแคลนทางใจได้เสมอไป เพราะในขณะที่ประเทศที่ข้าวปลาอุดมสมบูรณ์ ในน้ำมีปลา ในนามีข้าวเช่นนี้ ก็ยังเห็นได้ว่า “ความพอใจ” ของมนุษย์นั้นอ่อนไหวได้มากเหลือเกิน

💰 ความคิดเห็นส่วนตัวจึงคิดว่า “ความมั่งคั่ง” = “ความพอใจ”

เราจะพอใจได้เราต้องรู้เท่ากันกิเลสของตนเอง “เราต้องรู้จักตัวเอง” เราต้อง “พอใจในความเป็นตัวเอง” ไม่ไปเอาความสำเร็จของคนอื่นมาเป็นมาตรฐานความสำเร็จของตนเอง เราต้องไม่ลืมว่าคนเรามีที่มาต่างกันจุดตั้งต้นต่างกัน คุณสมบัติต่างกัน รูปร่างหน้าตา สติปัญญา เศรษฐานะ โอกาส โชคชะตา จึงทำให้เรามีความสามารถในการเรียนรู้ การเข้าถึงทรัพยากร และความสามารถในการยกระดับจิตต่างกัน เช่นนั้นแล้ว ความพอใจของเขาจะเหมือนของเราได้อย่างไร

แน่นอนว่า เราสามารถมีคนอื่นเป็น “แรงบันดาลใจ” และเป็น “แบบอย่าง” ให้กับเราได้ ความพอใจของเราเหมือนแบบที่เขามีได้ ทว่าเราต้องเปิดใจที่จะเรียนรู้วิถีและวิธีของเขา รวมไปถึงเข้าใจชีวิตโดยพื้นฐานและทรัพย์ยากรที่เขามีมาตั้งแต่ต้น เพื่อให้เราเข้าใจอย่างถ่องแท้โดยไม่ถูกครอบงำด้วยความ “อิจฉาริษยา” เพราะเปรียบเทียบ ปลาในน้ำ กับ นกบนฟ้า

แต่หากเป็นปลาแล้วอยากบินหรือนกแล้วอยากว่ายน้ำในสมัยนี้ ก็ไม่ใช่เรื่องยาก แต่ขอให้เรา “ตระหนัก” ว่าเราย่อมต้อง “พยายาม” มากกว่าในการที่จะหนีต้นกำเนิดของตนเองไปทำสิ่งที่ไม่มีมาแต่แรกเริ่ม

สุดท้ายย้อนกลับมาที่ “การรู้จักตัวเองอย่างท่องแท้ ทันกิเลสอย่างทั่วถึง” เพื่อไม่ให้เราตกเป็นทาสของความสำเร็จคนอื่น ทิ้งชีวิตของตัวเองไป copy การใช้ชีวิตของคนอื่น “อิจฉาปลาที่อยู่ในน้ำทั้ง ๆ ที่ตัวเองบินได้”

ไม่ต้องบินให้สูงอย่างใครเขา
จงว่ายเอาเท่าที่เราจะว่ายไหว
จะเป็นนก หรือ เป็นปลา ล้วนพาไป
จงพอใจ ในทุกแบบที่เราเป็น

#ไม่ต้องบินให้สูงอย่างใครเขา
#ดนตรีบำบัด
#โคชหนุ่ม #คุณครูพี่เม

“เทคนิคการฝึกเป็นคนเก่ง” นั้นไม่มีอะไรตายตัวหรอกค่ะ เพราะคำว่า “เก่ง” ไม่เคยมีมาตรฐานที่แท้จริงอยู่เลย แท้จริงแล้วบทความ...
13/10/2025

“เทคนิคการฝึกเป็นคนเก่ง”
นั้นไม่มีอะไรตายตัวหรอกค่ะ
เพราะคำว่า “เก่ง” ไม่เคยมีมาตรฐานที่แท้จริงอยู่เลย

แท้จริงแล้วบทความนี้จะพูดถึง
เรื่องที่เหนือไปกว่าความเก่ง
นั้นคือ “ความเป็นมนุษย์”
(โปรยหัวหลอกลูกค้าแล้ว 1🫣)

ในยุคที่มีหลายคนมองหาความ “เป็นคนที่ดีขึ้น”
หา “ความรู้สึกความพอใจในตัวเอง” ที่มากขึ้น
จากการแข่งขันทางสังคมที่สูงลิ่ว
คงมีคนจำนวนไม่น้อยที่ตกหลุ่มของคำว่า “เก่ง”

เอาล่ะ แล้วเราจะเก่งขึ้นได้อย่างไร
ไม่ได้โปรยหัวหลอกอย่างเดียวนะคะ
ในนี้มี "ความจริงของการเป็นคนเก่ง" ซ่อนอยู่ 😃

(อยากเข้าใจอ่านให้ครบ อยากเห็นจุดจบเลื่อนไป #ล่างสุด)

ปรัญญาเพื่อการพัฒนา “การเป็นมนุษย์”
(ภาคขยายจาก Therapist’ insight)

Wisdom | Intelligence | Intuition
ปรีชาญาณ | เชาว์ปัญญา | ปัญญาญาณ

3 สิ่งนี้ไม่เหมือนกันเลยค่ะ
แม้จะแปลออกมาเป็นภาษาไทยแล้วดูคล้ายกัน
แต่หากนำมากล่าวในมิติของปรัชญามนุษย์วิทยา
และเพื่อการเติบโตภายในในแล้ว เราอาจจะต้องมาคุยกันใหม่

🧠➕💙
Wisdom ปรีชาญาณ ความฉลาดของหัวและใจ

เป็นความฉลาดที่มาจาก “หัว” และความฉลาดทาง “ใจ”
เป็นสิ่งที่สามารถเรียนรู้กันได้ ผ่านการศึกษา
ทั้งในโรงเรียน และจากประสบการณ์ ชีวิต
ด้วย learning และ education ในหลายรูปแบบ
จากทั้งตนเอง และผู้อื่น

เอาไปปรึกษา chatbot นาง study ให้ว่า
เป็นความรอบรู้ลึกซึ้งที่เกิดจากประสบการณ์
และการใคร่ครวญ (insight) รวมถึงคุณธรรม
และความตระหนักในจริยธรรม

(ปรัชญาของ มหาวิทยาลัมหิดล “wisdom of the land”)

🧠➕💙➕😇
Intelligence เชาว์ปัญญา การเติบโตของจิตสำนึกที่อยู่ภายใน

เชาว์ปัญญาเป็นสื่งที่ถูกศึกษาว่ามีมาแต่เกิดได้
บวกกับประสบการณ์ที่ได้รับการจากเลี้ยงดู
และสภาพแวดล้อมที่เติบโตมา

เชาว์ปัญญา ถูกแทนด้วยคำอื่น ๆ ได้ เช่น
สติปัญญา อำนาจในการเข้าใจ ความเฉลียวฉลาด ความรู้คิด
เป็นความสามารถทางปัญญาในระดับจิตใจ ในการรับรู้
วิเคราะห์ เรียนรู้ และแก้ปัญหา (cognitive ability)

เป็นความสามารถทางจิตใจ (mental ability)
ที่สามารถใช้ในการเรียนรู้ (learning)
มีและใช้เหตุผล แก้ไขปัญญา ปรับตัวกับสถานการณ์
และสภาพแวดล้อมที่พบเจอและเป็นความสามารถที่จะ
handle abstract concepts ไปสู่ความสามารถ
ในการดึงเอา WIsdom (ปรีชาญาณ) มาใช้
ในการจัดการกับประสบการณ์ที่เจอ

หนังสือ “Intelligence เชาว์ปัญญา”
โดยนักปรัชญา OSHO กล่าวไว้ว่า

“เชาว์ปัญญาเป็นการเติบโตของจิตสำนึกที่อยู่ภายใน
มันไม่ใช่เรื่องความรู้ แต่มันเป็นเรื่องความสามารถ
ที่จะ “สงบนิ่งได้” คนมีเชาว์ปัญญาจะไม่ทำอะไร
โดยใช้ประสบการณ์จากอดีตเค้าจะอยู่กับปัจจุบันเท่านั้น

เค้าจะไม่ตอบโต้ (React) เขาเพียงแค่ตอบสนอง (Response)
ด้วยเหตุนี้เขาจึงเป็นคนที่ยากที่จะคาดการณ์ได้ล่วงหน้า
ไม่มีใครเดาได้ว่าเขาจะทำอะไรต่อไป”

😇 การหลอมรวมของ wisdom และ intelligence

การศึกษาในโรงเรียนรูปแบบที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน
เป็นสิงที่ทำลายเชาว์ปัญญาของมนุษย์ได้โดยง่าย
เมื่อการศึกษากลายเป็นการ “แข่งขัน”

แข่งขันตั้งแต่การตอบคำถามให้ถูกในชั้นเรียน
ไปจนถึงการแข่งขันตอบคำถามให้ถูกในสังคม
ทว่า ถูก ที่ว่านี้ มีมาตรฐานที่หลากหลายเหลือเกิน
และหลายครั้งมัน “ขัดกับเชาว์ปัญญา” อยางสิ้นเชิง

การศึกษาเรียนโรงเรียน ถูกนำมาใช้วัดค่า
วัดระดับหรือแม้แต่ “ข่มแหงกันทางสังคม”
นั่นเป็นการด้อยค่าเชาว์ปัญญาความเป็นมนุษย์
ของกันและกันนทางอ้อมหรือไม่?
ใครเรียนสูงกว่า ใครเรียนมากกว่า คนนั้นชนะ?

การศึกษาในโรงเรียนนั้นหวังยกระดับความเป็นอยู่ที่ดี
ของมวลมนุษย์ โดยหวังว่าผู้รอบรู้นั้น
จะเป็นผู้นำพาความเจริญมาสู่มวลมนุษย์ได้มากกว่า
และก็เป็นเช่นนนั้นจริง หากแต่มันยังขาด “การยกระดับจิตใจ”
ที่โรงเรียนและการศึกษาอาจไม่เพียงพอ

การศึกษาในโรงเรียน ยังเป็นสิ่งจำเป็น
มันเป็นสิ่งเพิ่ม “ความรู้” หรือ “Knowledge”
ซึ่งนั่นช่วยเพิ่มทรัพยากรให้กับ wIsdom ของเรา

เชาว์ปัญญา (intelligence) ที่แท้จริงนั้น คือ
“การเชื่อใจในการดำรงค์อยู่ของตนเอง”

เชาว์ปัญญาที่แท้จริงคือปัญญาที่มาจากใจ
ไม่ใช่เรื่องการรอบรู้แต่เป็นเรื่องของอารมณ์ความรู้สึก
มัน “ไม่ใช่ความคิด” มันเป็น “ความรู้สึก”
มันไม่ใช่สิ่งที่เป็นเหตุผลแต่มันเป็นเรื่อง “ความรักความเมตตา”
ซึ่งเป็นสื่งที่พัฒนาได้ผ่านการยกระดับมโนธรรมในจิตใจ

📚การขีดเส้นแบ่งโดยอัตโนมัติจากระดับ Intelligence

การรู้ (Knowing) vs ความรู้ (Knowledge)

หลายสิ่งลายอย่างอยู่เหนือการเข้าถึง
ของหัวสมองหรือ knowledge
และเพื่อที่จะเปิดโอกาสให้เกิด Intelligence
หรือ knowing ที่แท้จริง
เราต้องรู้จักที่จะวางหัวสมองลงบ้าง
และนั่นคือความสามารถที่จะมี
“วิจารณญาณที่ยืดหยุ่น” ที่เรียกว่า “เชาว์ปัญญา”

การเป็นผู้ความรู้ (Knowledge) และ Intelligence เพียงอย่างเดียว
อาจเหนี่ยวนำภาวะ “หลงตัวเอง” ได้

การที่คนมีจิตสำนึกรู้ว่าฉันเป็นผู้ที่มี Intelligence สูง
จิตสำนึกนี้สามารถสร้างปัญหาให้กับตัวเราเองได้
ปัญหาที่ว่านี้ก็คือมันเป็นจุดกำเนิดของสิ่งที่เรียกว่า “อัตา” (Ego)

😊 วิธีแก้อาการ “หลงตัวเอง”

“จงรู้ตัวให้มากขึ้น” (Knowing) คือ ความรอบรู้ที่มาจากใจ

การมีชีวิตนี้คือ เชาว์ปัญญาอยู่แล้ว
เรามีมาแต่เกิดมีมาโดยธรรมชาติ
เราจึงเรียนรู้ทีจะลุกขึ้นเดินได้เองโดยไม่ต้องมีใครบอกให้ทำ
นี่คือเชาว์ปัญญาระดับต่ำที่สุดของมนุษย์
ทว่าระดับต่ำนี้ ยังพาให้เราเดินไปดูดอกไม้ ลำธาร
และออกไปสู่โลกกว้างได้มากแค่ไหน

หาก intelligence ของเราเสียหาย
การเจริญภาวนา (medictation)
คือ สิ่งที่ใช้เยียวยาความเสียหายนั้น
และมันคงไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่ Meditation นั้น
มีรากศัพย์เดียวกับคำว่า Medicine และคำนั้นก็คือ "Medicinal"

ภาวนาไม่ขึ้นอยู่กับศาสนาใด ภาวนาเป็นสภาวะหนึ่ง
ที่มนุษย์ทุกคนพึงไปถึงและกระทำได้

🧠➕💙➕😇 ➕📚
Intuition ปัญญาญาณ
ความมั่นคงที่แท้จริงของ wisdom และ intelligence

ทั้ง wisdom และ intelligence เป็นสิ่งที่เข้าใจได้ไม่ยาก
และพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน
เพื่อให้เรา “เป็นมนุษย์ที่มีคุณภาพขึ้น”
แต่ Intuition (ปัญญาญาณ)
อันเป็นความแข็งแกร่งที่สุดของมนุษย์
มักไม่ค่อยถูกพูดถึง นั่นเพราะมันอยู่เหนือ
การศึกษา และการรู้คิด
เพราะ Intuition นั้น “ไม่ต้องการการคิด”

Intuition ปัญญาญาณ หรือ ญาณทัศนะ
เป็นสิ่งที่เรามีอยู่แล้วในตัว
เป็นสิ่งมักไม่ได้พูดถึงนักในการศึกษาที่แข่งขั้นกันด้วย
ความรู้ (Knowledge) หรือการ วัดระดับปัญญา (wisdom)
และ ปรีชาญาณ (intelligence)

และเราต้องไม่สับสนระหว่าง
“ปรีชาญาณ” (wisdom)
“เชาว์ปัญญา” (Intelligence)
“ปัญญาญาณ” (Intuition)

ปรีชาญาณ เป็นส่วนหนึ่งของ เชาว์ปัญญา
ในขณะที่ ปัญญาญาณ นั้น เป็นผลจากการตกผลึกของ
ประสบการณ์ที่ประกอบไปด้วย
สัญชาตญาณ (instinct) ปรีชาญาณ และ เชาว์ปัญญา

สัญชาตญาณ (instinct) ที่ขาดปรีชาญาณ และ เชาว์ปัญญา
จะทำให้เราเป็นมนุษย์ที่บ้าคลั่ง แก่งแย่ง ฆ่าฟัน ริษยา และทำลาย
นั่นเพื่อความอยู่รอด และนั่นเป็นธรรมชาติของสัตว์เช่นเดียวกัน

“ปัญญาญาณ” (Intuition) เป็นอาการที่เราเกิด
การรับรู้หรือเข้าใจอย่างทันทีโดย “ไม่อาศัยตรรกะ”
เช่น ความรู้สึกภายใน (gut feeling) หรือการรับรู้
เหนือโลกแห่งเหตุผล ซึ่งคือ insights ของแต่ละคน

ปรัชญา Osho แยกแนวความคิดนี้อย่างชัดเจน
ปรีชาญาณ (wisdom) เป็นผลผลิตจากการคิดของสมอง
เชาว์ปัญญา (Intelligence) เป็นการคิดที่ขึ้นอยู่กับระดับจิตใจ
สัญชาตญาณ (instinct) เป็นธรรมชาติส่วนที่อยู่ลึกลงไป และ
ปัญญาญาณ (Intuition) คือ “การรู้แจ้งที่สูงกว่า ปรีชาญาณ (wisdom)”
แต่ก็ต้องอาศัย เชาว์ปัญญา (Intelligence)

โอโชจึงแนะนำว่า เป้าหมายหนึ่งของมนุษย์คือ
ต้องพึ่งพาอาศัย “ญาณรับรู้ภายใน” เพื่อการตัดสินใจ
อย่างชาญฉลาดและครอบคลุมกว่าการพึ่งพาตรรกะเพียงอย่างเดียว

#ล่างสุด "ความจริงของการเป็นคนเก่ง”

สรุปว่าการ “การเป็นคนเก่ง” นั้น ไม่ได้พึ่งพาอาศัย
หัวสมองเพียงมิติเดียว
แต่การพัฒนา หัวคิด ไปพร้อมกับ หัวใจ
โดยไม่ละทิ้ง สัญชาตญาณ
ทำให้เราเกิด “ปัญญาญาณ” ที่เหมาะกับตัวเราเอง
โดยไม่ตั้งอยู่บนมาตรฐาน “คนเก่ง” ของคนใคร

และไม่ต้องไป copy ความเก่งของใคร
ที่ไม่เหมาะกับสภาพแวดล้อมของชีวิตเรา
แต่ได้เป็น “คนเก่งของตัวเอง” ด้วยตัวเอง
มีชีวิตรอด มีคุณค่า มีความหมาย ในแบบของตัวเอง

ถ้าวันนี้เรายังหายใจ เรายังเดินต่อไปแม้เจ็บปวด
ยังมีคำถามที่ตอบไม่ได้ ยังพายามที่จะเป็นคนที่ดีกว่าเดิม
ให้รู้ไว้ว่านี่คือ “ปัญญาญาณ” โดยธรรมชาติแล้ว

ไม่ต้องพยายามที่จะเติบโต (เพราะใครบอกให้เราทำ)
เพราะเราเติบโตเป็นธรรมชาติอยู่แล้ว โดยไม่ต้องพยายามเลย

หน้าที่เราแค่ “รับรู้” การเติบโตนั้นก็พอ
และนี่คือการปรับ Insight หรือ ภายในของตัวเราอย่างสมบูรณ์


Beyond The Therapeutic Relationship“Music Intimacy” and “Self-Disclosure”เหนือกว่าสัมพันธภาพเชิงการรักษาคือ สายสัมพันธ์ท...
11/10/2025

Beyond The Therapeutic Relationship
“Music Intimacy” and “Self-Disclosure”

เหนือกว่าสัมพันธภาพเชิงการรักษา
คือ สายสัมพันธ์ที่ส่งผ่านดนตรี กับพื้นที่เปิดใจ

Music intimacy ถูกนิยามขึ้นใหม่ผ่านการศึกษาปริญญาเอกของ Dr. Laura Medcalf ขณะศึกษาอยู่ที่ The University of Melbourne, Melbourne, Australia ในช่วงปี 2016 เป็นที่น่าเสียดายที่เจ้าตัวระบุว่าเป็น Unpublished doctoral thesis

“Music intimacy” หรือ สายสัมพันธ์ทางดนตรี (เมรินแปลออกมาเอง) กำลังกล่าวถึงการปฏิสัมพันธ์อันลึกซึ้งที่ปะปนไปด้วยการเปิดเผยตัวตนผ่านกระบวนการสร้างสรรค์ทางดนตรี ระหว่างนักดนตรีบำบัดและผู้รับบริการ

ทั้งยังสะท้อนให้เห็นถึง “ความเปราะบาง” และ “ความท้าทาย” ที่ซ่อนอยู่ในประสบการณ์ทางดนตรีที่ถูกสร้างขึ้นร่วมกันนั้นด้วย

Music Intimacy เป็นการทับซ้อนกันหลายความรู้สึกผ่านช่วงเวลาของดนตรี เป็นช่วงเวลาที่นักบำบัดรู้สึกถึงการเชื่อมโยงอย่างลึกซึ้งทางอารมณ์ กับผู้รับบริการผ่านเสียงดนตรี ซึ่งในขณะเดียวกันก็ทำให้เกิด ความรู้สึกเปราะบาง และตระหนักถึงความจำเป็นของการรักษาขอบเขตระหว่างกันไปด้วย (คือต้องมีสตินะ)

ซึ่งการศึกษาระบุว่าเป็นประสบการณ์ที่ “เปี่ยมพลัง” (powerful moment)
ทั้งด้านที่ “ท้าทาย” และ “งดงาม”

ด้านที่ท้าทาย คือ ความรู้สึกเข้มข้นทางอารมณ์ (intense) ความเปราะบาง (vulnerability) หรือแม้แต่ความรู้สึกผูกพันลึกซึ้งคล้ายความรัก (loving feeling)

ด้านที่งดงาม คือ ช่วงเวลาที่รู้สึกเหมือน “เวลาหยุดนิ่ง” หรือ “เกิดความมหัศจรรย์บางอย่าง” ผ่านเสียงดนตรี

ทว่าความคิดเห็นแบบ conventional perspectives ของนักบำบัดบางกลุ่มก็เลือกที่จะ “จัดการขอบเขต” หรือ Boundaries อย่างรอบคอบ ยืดหยุ่น สอดคล้องกับสถานการณ์ที่ซับซ้อนของแต่ละช่วงเวลา โดยอาศัย “ปัญญาญาณ” (intuition) ประสบการณ์ และการสะท้อนตนเองเป็นที่ตั้ง

เริ่มขนลุกละไหม? ไปกันต่อค่ะ 😆

โดยการบำบัดดนตรีบำบัดปกติ Therapeutic Relationship จะถือเป็นพื้นฐานของการบำบัดอยู่แล้ว ซึ่งระดับของขอบเขตการปฏิสัมพันธ์เพื่อการบำบัดนี้ นักบำบัดแต่ละคนจะมีการ set ระดับ Boundaries ของตนเองต่างกันออกไป

ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง แต่ปัจจัยหลัก ๆ แน่ ๆ คือ ความเป็นปัจเจกบุคคล ของตัวนักบำบัดเอง ที่จะมีเกณฑ์ในการเลือก set Boundaries กับผู้รับบริการ ในรูปแบบที่เหมาะสมกับเป้าหมายการบำบัด ซึ่ง “Self-Disclosure” หรือ “การเปิดเผยตนเอง”
ก็เป็นคุณลักษณะหนึ่งที่บ่งบอกถึงการ set Boundaries เช่นกัน

“การเปิดเผยตนเอง” ของนักบำบัด คือการแบ่งปันบางส่วนของเรื่องราวชีวิตตนเองกับผู้รับการบำบัด เพื่อสร้างความไว้วางใจและความเข้าใจร่วมกัน ซึ่งงานวิจัยของ Hill และ Knox พบว่า การเปิดเผยตนเองของผู้บำบัดในบางกรณี สามารถช่วยสร้างความไว้วางใจ และทำให้ผู้บำบัดดู “เป็นมนุษย์จริง ๆ” มากขึ้นและช่วยส่งเสริมความสัมพันธ์ในการบำบัดได้

แต่ก็มีคนค้านนะ ว่าการเปิดเผยเรื่องส่วนตัวนั้นเหมาะสมหรือจำเป็นหรือไม่อย่างไร แต่หลายการศึกษาพบว่า “ความจริงใจ” และ “ความกล้าที่จะเปิดใจ” ของนักบำบัด อาจเป็น “สะพานแห่งความไว้วางใจ” ที่ทำให้ความสัมพันธ์ในการบำบัดลึกซึ้งยิ่งขึ้น

เอาล่ะ เกี่ยงกันยังไม่จบ 😅

เพราะบางฝ่ายมองว่าเป็นการ “ละเมิดขอบเขต” ของนักบำบัดเอง (ตัวเองละเมิดตัวเองงี้) แต่บางฝ่ายกลับมองว่าเป็นเทคนิคที่ช่วยลดช่องว่าง ระหว่างนักบำบัดกับผู้รับบริการ และทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างกันนั้นอบอุ่นและจริงใจมากขึ้น (ไหม?)

จากประสบการณ์ของคุณครูพี่เม 💬

ครูไม่ปิดกั้นเรื่อง Self-Disclosure ด้วยพื้นเดิมเป็นคนตรงไปตรงมาอยู่แล้ว (การกล่าวถึงอุปนิสัยส่วนตัวของตนเองแบบนี้ก็ Self-Disclosure แล้วค่ะ)

ครูเมเลือกที่จะพิจารณาผู้รับบริการเป็นรายบุคคลไป ด้วยเรารับผู้ป่วยที่มีโรคหลากหลาย ทั้ง dx. โดยเฉพาะกลุ่มคนไข้จิตเวช ที่เราต้องเคร่งครัดเรื่อง Boundaries เป็นพิเศษ

ดังนั้นในการแสดงออกของตัวตนในฐานะนักบำบัดของครูมันจึงไม่มีอะไรตายตัว แต่ก็ต้องไม่สูญเสียความเป็นตัวเอง ในขณะเดียวกัน “การถูกคาดหวัง” ว่าเรานั้น “เป็นที่พึ่งได้เสมอ” หรือนักบำบัด “ควร” เป็นเช่นนั้นเช่นนี้ เป็นคนดีศรีสังคม ใจเย็น เข้าอกเข้าใจ ให้ความช่วยเหลือ เสียสละ ก็เป็นอีกประเด็นหนึ่งที่นักบำบัด (สายจิตบำบัดเช่นนี้) ถูก stereotype (เหมารวม) อยู่ไม่น้อย การแบกรับความคาดหวังนี้ เป็นอีกเรื่องที่อาจจะต้องมาทำความเข้าใจและตกลงกันใหม่เนอะ

ขอให้เพลิดเพลินกับบทความนี้ก่อน และขอทิ้งประเด็นเรื่อง “การถูกคาดหวังในตัวตนของนักบำบัด” ไปด้วยเพลงท่อนนี้นะจ๊ะ 🎶

“อย่าฝากความหวังที่ฉันจนเกินไป เพราะฉันไม่ได้มีทุกอย่าง…..”

#ดนตรีบำบัด

#คุณครูพี่เม

“ตัวตนภายในของนักบำบัด”The Therapist’s InsightDear Creative Arts Therapist,ทรัพยากรที่สำคัญของเรา และเป็นองค์ประกอบการรั...
04/10/2025

“ตัวตนภายในของนักบำบัด”
The Therapist’s Insight

Dear Creative Arts Therapist,

ทรัพยากรที่สำคัญของเรา และเป็นองค์ประกอบการรักษา
ที่สำคัญของการบำบัด คือ “ตัวเราเอง” ทั้งภายนอกและภายใน

เราปฏิเสธไม่ได้ว่าภาพลักษณ์ภายนอกสำคัญ
แต่ที่สำคัญกว่าคือ “ภายใน” (insight = deep understanding)



🌿 สำคัญอย่างไร

เพราะหลักการสำคัญของกลุ่ม psychotherapy
(ในที่นี้ของ focus Creative Arts Therapist)
คือ therapeutic relationship
หรือ สัมพันธภาพที่มีผลต่อการรักษา
อันจะทบต่อ therapeutic alliance
หรือการให้ความร่วมมือในการรักษาของผู้ป่วย

การรักษาภายในของตัวเองให้ปกติสุข
สมบูรณ์พูนพร้อม และสะอาดสะอ้านอยู่เสมอ
เป็นสิ่งจำเป็น เน้นว่า “จำเป็น”



ทุกคำพูด (words) สายตา สีหน้า (affect)
ท่าทาง (posture) ที่ออกมา
มันสะท้อน insights ทั้งหมด

เราคงไม่สนุกถ้าต้องเป็นนักแสดง
ที่ต้องสวมบทที่ไม่ใช่ตัวตนของเราตลอดเวลา
(ยกเว้นจะชอบแสดงอ่ะนะ 😄)

การตรงไปตรงมาจากภายใน
ทำให้เราใช้ชีวิตง่าย
และไม่จำเป็นต้องคิดถึงการสร้างภาพลักษณ์ที่น่าเชื่อถือ
ที่อบอุ่นใจ ที่ไว้ใจได้
เพราะทุกอย่างนั้นจะแผ่ออกมาเองจาก insights



และเชื่อไหม… ตัวตนภายในเป็นสิ่งที่สัมผัสกันได้
เพราะมันคือสัญชาตญาณโดยธรรมชาติของมนุษย์
ไม่จำเป็นต้องเป็นนักบำบัด หรือผู้มีญาณพิเศษ
แต่นี่คือญาณขั้นพื้นฐานของสิ่งมีชีวิต

เพราะจิตใจเป็นสิ่งรับรู้กันได้
มันเป็นพลังงานที่ไม่มีทางปิดบังกันได้มิดชิด



✨ในการบำบัด

การถูกเคารพในฐานะ therapist เป็นสิ่งจำเป็น
แต่แน่นอนว่าเราจะคาดหวังให้ทุกคนบนโลก
คิดและรู้สึกแบบนั้นกับเรานั้น “เป็นไปไม่ได้”
เราก็เช่นกัน
(Transference and Countertransference)

แต่อย่างน้อยกับคนไข้ หรือผู้เข้ารับบริการของเรา
เราควรมีคุณสมบัติของคนที่เขาจะ “เชื่อถือ”
เพื่อนำพาเขาออกไปสู่ปัญหา

การรักษาตัวตนปกติในการใช้ชีวิตประจำวัน
กับการอยู่ในห้องบำบัด ไม่ใช่เรื่องง่าย
(สำหรับมือใหม่ หรือคนที่ไม่ได้มี insights ของนักบำบัด)

และถึงแม้จะเป็นนักบำบัดประสบการณ์สูง
มันก็ใช้พลังกายและจิตมากเหมือนกัน
ในการสนใจตัวเองและคนไข้
ไปพร้อม ๆ กันตลอดเวลาในห้องบำบัด



🌱 ตัวตนของเราเกิดขึ้นจากที่ใด

การใช้ชีวิต (lived)
ประสบการณ์ชีวิต (experience)
เป็นสิ่งที่ shape insight และตัวตนเราขึ้นมาได้

รูปแบบความเชื่อ core belief
ทัศนคติ คุณธรรมในใจ จริยธรรม ความฉลาด
ปัญญา ความชอบ ความพอใจ
บาดแผลในใจ ปมชีวิต สุขภาพ และอื่น ๆ

ทั้งหมดนั้นล้วนผสมออกมาเป็น “เรา”
จากภายใน ตรงออกสู่ภายนอก



🎵 ตัวตนภายในและดนตรีบำบัด

สำหรับนักดนตรีบำบัด
เรายังมีอีกเรื่องที่เราต้องแบ่งสมาธิเราไปสนใจ
นั่นคือ “ดนตรี” 🎶

นี่คือเหตุผลว่าทำไม
ทักษะทางดนตรีที่แข็งแรง
ทำให้เราเป็นทั้งนักดนตรี และนักบำบัดที่ยอดเยี่ยมขึ้นได้

เพราะดนตรีบำบัดไม่ใช่อย่างใดอย่างหนึ่ง
แต่มันคือ “ตัวคุณ” (นักบำบัด)
และ “ดนตรี” ที่ต้องผสมรวมไปด้วยกัน

อย่าปล่อยให้ทักษะดนตรีไม่ถึงพร้อม
และอย่าปล่อยให้ตัวตนภายในบิดเบี้ยว



แน่นอนว่า…เรายังมีสิ่งที่ทำไม่ได้ดี และวันแย่ ๆ
ที่ insight อาจเหนื่อยล้า แตกสลาย
แต่…พวกเรามีกฎจริยธรรมที่อนุญาตให้เราอ่อนแออยู่แล้วนี่ 💗
คือ “บำบัดเมื่อพร้อม” ถ้าไม่พร้อมก็พักก่อน

เราไม่ใช่ super hero
แต่เราคือศาลาริมน้ำและต้นไม้ใหญ่ 🌳
คนไข้ผ่านมาแล้วต้องออกไป
เพื่อเปิดพื้นที่ให้คนใหม่ ๆ ได้เข้ามาใช้งานบ้าง
และบางครั้งก็ต้องปล่อยพื้นที่ว่าง ๆ
ให้ต้นไม้สายน้ำได้พัก
ได้ทำความสะอาดศาลาริมน้ำของเราบ้าง



💬 โพสต์หน้ามาต่อกันเรื่อง self-disclosure
การเปิดเผยตัวตนภายในการบำบัด

📚 Music Therapists’ Insights Regarding a Shift in Practice Orientation:
A Clinical Retrospective Self-Study
โดย Susan C. Gardstrom และ Marie Reddy Ward

มีหลายประเด็นเลยที่พูดเหมือนที่ครูเม “เล่าให้ฟัง” 😊

📎 Reference ใน comment



#นักบำบัดใจ #ดนตรีบำบัด #ตัวตนภายใน #จิตบำบัด

ที่อยู่

Bangkok
10400

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ ดนตรีบำบัดอย่างง่าย by Mayrinผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

แชร์

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram

ประเภท