Famliy Brain เหมาะสำหรับ เด็กสมาธิสั้น LD นักเรีย?

พัฒนาการในเด็ก ส่งผลสำคัญอย่างไรในอนาคตการได้เห็นเด็กๆ เติบโตไปตามพัฒนาการที่ควรจะเป็น ถือเป็นเรื่องที่ผู้ปกครองทุกคนควร...
14/11/2021

พัฒนาการในเด็ก ส่งผลสำคัญอย่างไรในอนาคต
การได้เห็นเด็กๆ เติบโตไปตามพัฒนาการที่ควรจะเป็น ถือเป็นเรื่องที่ผู้ปกครองทุกคนควรจะให้ความสำคัญ และส่งเสริมในทิศทางที่เหมาะสม

พัฒนาการในเด็กคืออะไร และมีความสำคัญอย่างไร
เราต้องทำความเข้าใจถึงความหมายของคำว่า “พัฒนาการ” กันก่อน ซึ่งคำว่า พัฒนาการ (Development) ในที่นี้ หมายถึง กระบวนการเปลี่ยนแปลงในด้านการทำหน้าที่และวุฒิภาวะของอวัยวะในร่างกาย และตัวบุคคล ทำให้สามารถทำสิ่งที่ยากและซับซ้อนขึ้นได้ โดยมีการเพิ่มทักษะใหม่ๆ และความสามารถในการปรับตัว เพื่อให้บุคคลนั้น สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ ซึ่งพัฒนาการของเด็ก จะประกอบด้วย

พัฒนาการด้านการเคลื่อนไหว
พัฒนาการด้านกล้ามเนื้อมัดเล็กและสติปัญญา
พัฒนาการด้านการเข้าใจและการใช้ภาษา
พัฒนาการด้านการช่วยเหลือตนเองและสังคม
โดยการเพิ่มความสามารถในแต่ละช่วงวัยนั้นจะต้องมีความพร้อมของวุฒิภาวะของบุคคลและการสนับสนุนจากสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะพัฒนาการในวัยทารกจะต้องมีความพร้อมจากตัวทารกเองและได้รับการส่งเสริมจากมารดาและครอบครัวเพื่อให้เด็กมีพัฒนาการที่เหมาะสมตามช่วงวัย

20/10/2021
เชื้อไวรัสโคโรนามาถึงบ้านเราแล้วอยากให้ทุกคนเฝ้าระวังกันนะคะหากมีอาการที่เข้าข่าย ให้รีบไปพบแพทย์และหมั่นใส่หน้ากากและล้...
25/01/2020

เชื้อไวรัสโคโรนามาถึงบ้านเราแล้ว
อยากให้ทุกคนเฝ้าระวังกันนะคะ
หากมีอาการที่เข้าข่าย ให้รีบไปพบแพทย์
และหมั่นใส่หน้ากากและล้างมือกันบ่อยๆ นะคะ

แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการเด็กและวัยรุ่น เตือนพ่อแม่ให้ความสำคัญกับฝุ่น PM 2.5 เพราะทำลายสมองส่วนหน้า (Forebrain) ของ...
22/01/2020

แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการเด็กและวัยรุ่น เตือนพ่อแม่ให้ความสำคัญกับฝุ่น PM 2.5 เพราะทำลายสมองส่วนหน้า (Forebrain) ของลูก ทำให้เกิด “ภาวะโรคซึมเศร้าและบกพร่องทางพัฒนาการ”

ในทางการแพทย์ภัยจากฝุ่น PM 2.5 อันตรายมากกว่าที่พ่อแม่เห็น

- ความเสี่ยงต่อการบกพร่องทางความคิด ทำให้ IQ ลดลง การพัฒนาการช้ากว่าปกติ

- ความผิดปกติทางด้านพัฒนาการทางสติปัญญา เช่น มีสติปัญญาด้อยลง ปัญหาการได้ยินและการพูด รวมทั้งยังมีผลทำให้เกิดภาวะสมาธิสั้น และภาวะออทิซึม

- โรคทางจิตเวช มีงานวิจัยที่ยืนยันว่าการสัมผัสกับมลพิษทางอากาศตั้งแต่วัยเยาว์ มีส่วนทำให้เกิดปัญหาสุขภาพจิตเมื่อย่างเข้าสู่วัยรุ่น อย่างเช่นโรคซึมเศร้าและโรควิตกกังวล

ฝากเตือนพ่อแม่ท่านๆอื่นๆ กันด้วยนะคะ หากคุณพ่อคุณแม่ท่านใดมีวิธีปกป้องลูกรักจาก PM2.5 แบบไหนบ้าง มาแชร์กันใต้โพสนี้ได้เลยนะคะ

ทานบ่อยๆไม่ดีนะคะ😘😘
19/01/2020

ทานบ่อยๆไม่ดีนะคะ😘😘

ความหวังดีที่เรามีให้ลูก...อาจกำลังทำร้ายลูกอยู่ !!ให้ลูกเรียนพิเศษจะได้เกรดดีๆ เรียนภาษา เรียนดนตรี เรียนว่ายน้ำจะได้มี...
17/01/2020

ความหวังดีที่เรามีให้ลูก...อาจกำลังทำร้ายลูกอยู่ !!
ให้ลูกเรียนพิเศษจะได้เกรดดีๆ เรียนภาษา เรียนดนตรี เรียนว่ายน้ำจะได้มีความสามารถ จะได้สู้คนอื่นได้
ทั้งหมดนี้เคยถามเขาไหมครับ
ว่าเขามีความสุขที่จะทำรึเปล่า ?
สรุปแล้ว สิ่งที่เราทำ เป็นความสุข ของลูกจริงไหม?
หรือเป็นความสุขของคุณพ่อคุณแม่อย่างเรา?
หรือเรากำลังขโมย "ความสุข" ของลูกอยู่?
เพราะ พัฒนาการช่วงวัยของเด็กวัยอนุบาลหรือช่วงประถมต้น คือ "การเล่น "
การเล่น สามารถช่วยให้ลูกได้สร้างทักษะต่างๆ ทั้งทางร่างกาย จิตใจ และสมอง เช่น ฝึกกล้ามเนื้อ ฝึกการเรียนรู้ ฝึกความคิดสร้างสรรค์ ฝึกการแก้ปัญหา ฝึกรับมือกับการควบคุมอารมณ์ เมื่อผ่านสิ่งเหล่านี้ได้ เรื่องราวจะถูกบันทึกไว้เป็นประสบการณ์ เป็นความภูมิใจในตัวเอง ค้นพบความชอบ-ความถนัดและความสุข
การ "ให้โอกาส" เขาเติบโตตามธรรมชาติ เราเพียงแต่ทำหน้าที่ผู้ประคองให้ลูกได้พัฒนาไปตามวัยเท่านั้นก็เพียงพอ แล้วลูกจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีดี มีทักษะ และที่สำคัญคือ "ความสุข"

โลกของเด็ก ลูก ๆ ต้องการอะไรจากพ่อแม่ยาวหน่อยแต่ก็ได้ข้อคิดในการเลี้ยงลูกเยอะเลยค่ะลูก ๆ ต้องการอะไรจากพ่อแม่บนเส้นทางแห...
23/12/2019

โลกของเด็ก ลูก ๆ ต้องการอะไรจากพ่อแม่
ยาวหน่อยแต่ก็ได้ข้อคิดในการเลี้ยงลูกเยอะเลยค่ะ

ลูก ๆ ต้องการอะไรจากพ่อแม่
บนเส้นทางแห่งการเจริญเติบโตของเด็กๆ มาสู่ความเป็นผู้ใหญ่นั้นเป็นความยากลำบากที่ต้องเสี่ยงต่อการสูญเสียมากมาย และในขณะที่พ่อแม่บอกกับตัวเองว่า ได้พยายามอย่างดีที่สุดแล้วในการอบรมเลี้ยงดู และมอบให้ทุกอย่างที่ลูกปรารถนา พ่อแม่ต้องทำงานเหน็ดเหนื่อยทุ่มไปทั้งแรงกายแรงใจก็เพื่อจะให้ลูกมีชีวิตที่อยู่ดีกินดี มีความเจริญรุ่งเรือง แต่ทำไมเมื่อเหลียวกลับมา พ่อแม่มากมายกลับพบว่านอกจากลูก ๆ จะมิได้เป็นอย่างที่เขาคาดคิดหรือมุ่งหวังแล้ว ลูก ๆ ยังไม่ตระหนักถึงความยากลำบากความทุกข์ ความห่วงกังวลตลอดจนความรักของพ่อแม่ และที่มากกว่านั้นก็คือ เขาต่างก็สูญเสียลูก ๆ ไปจากโลกที่เขาวาดฝันไว้ให้

และมากแค่ไหนที่ลูก ๆ อยากจะบอกพ่อแม่ถึงสิ่งที่เขาต้องการ ซึ่งมักจะสวนทางกลับสิ่งที่พ่อแม่หยิบยื่นมาให้

“....บ้านเรือนใหญ่โตข้าวของมากมายพรั่งพร้อม ความสะดวกสบายพ่อแม่หาไว้ให้ ทำไมลูกไม่พอใจ?”

“...ใช่...มันใหญ่โต ข้าวของมากมาย คนใช้ก็แยะ แต่บ้านที่มีพ่อแม่จะเรียกว่าบ้านได้อย่างไร?”

ทำไม? อย่างไร? จึงจะเข้าใจตามต้องการของลูก และให้ลูกเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีสุขภาพกายสุขภาพใจแข็งแรงสมบูรณ์? และต่อไปนี้คือข้อแนะนำสำหรับพ่อแม่

1. พยายามมองให้เห็นอย่างที่เด็ก ๆ เห็น
ในความเป็นผู้ใหญ่นั้น เราต่างผ่านขั้นตอนของความเป็นเด็ก คิดอย่างเด็ก ๆ และเห็นอย่างเด็ก ๆ แต่ทำไมเมื่อเราเป็นผู้ใหญ่ เราจึงกลับลืมความทรงจำความคิดเมื่อวัยเด็ก ๆ นั้นไปได้?

จากวารสารโรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่งเด็กชายได้เขียนความทรงจำของเขาว่า “ตอนที่ผมเริ่มเข้าอนุบาลไม่นาน ผมสร้างเครื่องบินจากเศษไม่ตอกตะปูต่อเข้าด้วยกัน และนำกลับบ้านเพื่อไปอวดแม่ด้วยความภูมิใจ แต่แม่กลับส่งเสียงดุว่า ‘เอาเศษไม้เก่า ๆ มาไว้รกบ้านทำไม?’ ผมจึงตอบไปว่า ‘นั่นไม่ใช่เศษไม้ และไม่ได้ทำให้บ้านรก! มันเป็นเครื่องบินลำใหม่ของผม!’

“...ใช่ ...ผมรู้สึกเสียใจ และเจ็บปวดที่แม่ไม่ได้มองเห็นอย่างที่ผมเห็น! แม่ไม่เข้าใจ!”

พ่อแม่เป็นจำนวนมากมักจะมองข้ามหรือปฏิเสธที่จะรับฟังให้ความเข้าใจกับความรู้สึกที่แทเจรองของลูก ๆ ด้วยเหตุผลที่ถูกหยิบยกมาเข้าข้างตนเองมากมาย “ไม่มีเวลา! กำลังยุ่ง! เด็กมันวุ่นวาย! เด็กไม่คิดอะไรมาก!”

ความจริงก็คือ เด็กคิดและเด็กเจ็บปวด!

เพราะฉะนั้น ถ้าพ่อแม่ผู้ใหญ่อยากจะเข้าใจ อยากจะรับรู้ความรู้สึกที่แท้จริงของลูก ๆ ของเด็ก ๆ ก็จงเริ่มที่การให้เวลาที่จะรับฟังเด็ก ๆ ให้มากขึ้น ระแวดระวังกับคำพูดหรือความรู้สึกนึกคิดที่เขาแสดงออกมาทั้งทางบวกและทางลบ และพยายามสอนเด็กให้สามารถ เผชิญกับความรู้สึกนึกคึกคิดของเขาเอง

จิตแพทย์เด็กท่านหนึ่งกล่าวว่า “เด็ก ๆ ต้องการให้เราเข้าใจความรู้สึกของเขามากเหลือเกิน แต่น่าเสียดายที่เขาไม่ได้รับความเข้าใจจากพ่อแม่ ซึ่งการที่พ่อแม่ผู้ใหญ่ไม่เข้าใจเราใจร้ายหรือมีความรู้สึก แต่เป็นเพราะส่วนใหญ่พ่อแม่ไม่มีความสามารถเพียงพอที่จะให้ลูก ๆ รู้ว่าพ่อแม่รู้สึกอย่างไร นั้นเป็นเพราะไม่เคยมีใครสอนให้เขาถ่ายทอดความเข้าใจอันนี้ออกไป นอกจากนั้นก็คือพ่อแม่เป็นจำนวนมากไม่ได้เรียนรู้ในการที่จะให้ความสำคัญกับการฟังเรื่องที่ลูก ๆ พยายามจะบอกเขา!”

ต่อไปนี้เป็นเทคนิคง่าย ๆ ที่ผู้ใหญ่สามารถนำไปใช้ตอบโต้กับเด็ก ๆ ได้

ก. เมื่อตุ้มบอกคุณว่าเขากลัวความมืด คุณฟังอย่างตั้งใจและระมัดระวัง

ข. คุณพยายามเรียบเรียงข้อมูลในความคิดให้เข้าใจว่า ตุ้มกำลังระบายความรู้สึกอะไรกับคุณ

ค. อย่าปัดความกลัวนั้นออกไป อย่าพูดว่า “อย่ากลัวไม่มีอะไรในความมืด!” การปฏิเสธที่จะรับรู้ความรู้สึกและให้ความมั่นใจด้วยวิธีนี้ เด็ก ๆ จะรู้สึกว่าผู้ใหญ่กำลังตำหนิเขาว่าไร้สาระ เขาอาจหยุดพูดหยุดแสดงรู้สึก แต่ความกลัวจะคงอยู่ในใจเขา!

คุณควรจะพูดว่า

“ตุ้มกำลังบอกแม่ว่าตุ้มกลัวความมืด และแม่รู้ว่าตุ้มกลัวความมืด ตุ้มกำลังบอกแม่ว่าตุ้มกลัวความมืด...” พูดประโยคที่คุณเรียบเรียงใหม่อย่างนี้หลาย ๆ ครั้ง

กระบวนการที่เกิดขึ้นอย่างนี้ก็คือ แม่ได้สื่อสารกลับไปให้ตุ้มรู้ว่า แม่รู้ว่าตุ้มพูดอะไร แม่รับรู้ถึงความรู้สึกของตุ้ม แม่เข้าใจเห็นใจและรู้ว่าตุ้มรู้สึกอย่างไรกับความมืด การพูดแสดงความเข้าใจและรับรู้อย่างจริงจังหนักแน่นทำให้เด็กเกิดความรู้สึกมั่นใจในตัวเอง เขาไม่รู้สึกว่าตัวเองเหลวไหลไร้สาระ ซึ่งเทคนิคนี้ พ่อแม่สามารถนำไปใช้ได้นับตั้งแต่เด็ก ๆ เริ่มพูดได้ แต่จำไว้ว่า อย่าใช้คำพูดล้อเลียนประโยคเดียวกับที่ตุ้มพูด ซึ่งจะกลายเป็นเสียงสะท้อนกลับ ที่ไร้สาระ เทคนิคนี้อาจต้องใช้เวลาในการฝึกหัดสำหรับพ่อแม่เมื่อเวลาผ่านไป คุณจะพบว่าลูก ๆ ของคุณมีความไว้วางใจและเปิดเผยความลับกับคุณมากขึ้น

2. เป็นตัวอย่างที่ดีของลูก ๆ
พ่อแม่สมัยนี้อาจไม่มีเวลาที่จะอบรมปลูกฝังเกี่ยวกับศาสนาให้ลูก ๆ มากนักแต่สังคมไทยยังโชคดีที่เด็ก ๆ ส่วนใหญ่เติบโตขึ้นมาในสิ่งแวดล้อมของบรรยากาศแบบคนพุทธ นับตั้งแต่วัดวาเหลืองอร่ามเต็มเมืองมองไปทางไหนก็จะพบสัญลักษณ์ของศาสนาพุทธ ตลอดจนพิธีการทางศาสนาซึ่งอย่างน้อยก็เป็นโครงสร้างหรือกรอบประเพณีที่ดีสำหรับชีวิต และสิ่งที่มากับกรอบประเพณีทางศาสนาคือ ความเมตตากรุณา ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ความมีใจอาทรต่อความทุกข์สุขของผู้อื่นตลอดจนความจริงใจซื่อสัตย์ต่อตนเองและผู้อื่น

เด็ก ๆ ไม่ได้เกิดขึ้นมาด้วยสามัญสำนึกทางศิลธรรมว่าอะไรเป็นความผิดความถูกเพราะฉะนั้นถ้าขาดกรอบประเพณีเหล่านี้ขึ้นมาช่วย สังคมไทยคงอยู่ต่อไปไม่ได้ ขณะเดียวกันถ้าเราจะไปกำหนดหรือบับบังคับเรียกร้องให้เด็ก ๆ มีพฤติกรรมด้านหนึ่งด้านใดนั้น มักจะเป็นความพยายามที่เด็กต่อต้านและทำไปในทางตรงกันข้าม

เพราะฉะนั้นถ้าคุณต้องการให้ลูก ๆ อยู่ในกรอบประเพณีที่ดีงามในความคิดของคุณพ่อแม่ก็ต้องประพฤติตนเป็นตัวอย่างที่ดี ๆ กับลูก ๆ ถ้าคุณคิดว่าเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องสำหรับลูกสาวที่จะมีแฟนระหว่างศึกษาอยู่ในมหาวิทยาลัย คุณควรบอกให้ลูกรู้ว่า แต่อย่าข่มขู่ดุว่าอย่างไม่มีเหตุผลอธิบายให้ลูกรู้ว่าทำไมคุณต้องคิดเช่นนั้น ค้นหาว่าลูกรู้สึกอย่างไรเรื่องนี้ด้วยเทคนิคกับในข้อหนึ่ง ซึ่งก็เป็นธรรมชาติของเด็กอีกเช่นกันที่จะต่อต้านความเชื่อของพ่อแม่ซึ่งเติบโตขึ้นมาคนละยุคคนละสมัย โดยเฉพาะขณะที่พ่อแม่ห้ามปรามพฤติกรรมทางเพศของลูก ๆ แต่ถ้าพ่อแม่เองยังวุ่นวายหรือเกี่ยวข้องกับเพศตรงข้ามที่ไม่ใช่คู่สมรสของตน โอกาสที่ลูกจะไม่เชื่อฟัง หรือเพิกเฉยกับคำสั่งสอนของพ่อแม่จะมีมากขึ้น เพราะฉะนั้นการจะให้ลูก ๆ เชื่อฟังอยู่ในโอวาท พ่อแม่ต้องประพฤติตนเป็นตัวอย่างที่ดีให้ได้ก่อน

3. ให้มีส่วนร่วมในการตัดสินใจ
พวกเราทุกคนที่เป็นพ่อแม่ผู้ปกครอง หรือผู้ใหญ่กันแล้ว คงจำได้ในสมัยที่เราเป็นเด็กเราถูกพ่อแม่บีบบังคับในการตัดสินใจ และถ้าเราไม่ทำตามที่เขาต้องการ เขาจะมีปฏิกิริยาต่อต้าน หรือปฏิเสธ ซึ่งเปรียบเสมือนการลงโทษทำให้เรารู้สึกท้อแท้คับข้องใจ และทำให้เกิดความรู้สึกเป็นศัตรูอยู่เงียบ ๆ ซึ่งมาถึงทุกวันนี้การจะได้ชื่อว่าเป็นพ่อแม่ หรือผู้ปกครองที่มีประสิทธิภาพจิตแพทย์ได้แนะวิธี “ไม่แพ้” ให้ในการแก้ไขปัญหาครอบครัว

“คุณควรปรึกษาปัญหากับลูก ๆ ของคุณตัวอย่างเช่น อ้อยปฏิเสธที่จะทำความสะอาดห้องนอนในแต่ละวัน เธอแสดงความรู้สึกว่ามาตราฐานในการทำความสะอาดเป็นของคุณแม่ ฉะนั้นคุณแม่ควรจะทำ ควรบอกให้อ้อยรู้ว่าคุณรู้สึกว่าเป็นเรื่องไม่ยุติธรรมที่อ้อยจะคาดหวังให้คุณทำความสะอาดห้องเธอด้วย เพราะฉะนั้นแม่ลูกจะต้องพูดตกลงกันพบกันครึ่งทาง ซึ่งต่างฝ่ายต่างยอมรับกันได้นั่นหมายความว่า อ้อยอยากทำความสะอาดห้องนอนเธอเอง อย่างเป็นเรื่องเป็นราวอาทิตย์ละครั้ง ซึ่งการตัดสินใจครั้งนี้ไม่มีใครแพ้ และอ้อยไม่รู้สึกว่าถูกแม่ขู่บังคับเพราะฉะนั้นเธอย่อมมีความสนใจที่จะทำให้การตัดสินใจเป็นไปตามนั้น ผลลัพธ์ก็คือ ปัญหาที่ได้รับการแก้ไข และความสัมพันธ์ระหว่างแม่ลูกดีขึ้น”

วิธีการหรือขั้นตอนดังกล่าวมองดูอาจจะเป็นการยากสำหรับครอบครัวไทยทั่ว ๆ ไป แต่จะใช้ได้ดีสำหรับพ่อแม่ที่มีการศึกษาและต้องการจะฝึกลูก ๆ ให้เป็นคนมีเหตุผล และรู้จักตัดสินใจ และเป็นการที่ดีที่จะเรียนรู้กันตั้งแต่บัดนี้ เพราะเด็ก ๆ ทุกคนไม่มีใครชอบการข่มขู่บังคับ และบ่อยครั้งที่เด็กๆ รู้ว่าพ่อแม่พูดถูกทำถูก แต่วิธีการที่พ่อแม่ใช้กับลูกคือ ข่มขู่บังคับทำให้เกิดปฏิกิริยาต่อต้านอยากเอาชนะ ยิ่งถ้าพ่อแม่ถืออำนาจ ว่าฉันเป็นพ่อเป็นแม่จะต้องถูก ลูกจะต้องเชื่อฟัง ต่างฝ่ายต่างจะดึงดันกลายเป็นความบาดหมางทางจิตใจ และเพราะนิสัยไร้เหตุผลไปด้วยกันทั้งสองฝ่าย เพราะฉะนั้นจะต้องเว้นช่องว่าไว้นิดหนึ่ง เพื่อมิให้ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเป็นผู้แพ้หรือเสียหน้า แต่จงหันมาตกลงกันอย่างผู้ใหญ่ถ้าพ่อแม่อยากให้ลูกได้เป็นผู้ใหญ่ที่มีเหตุผล ก็จงวางตน และปฎิบัติตนให้สมกับเป็นผู้ใหญ่ และให้โอกาสลูกเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีเหตุผลด้วยพ่อแม่ต้องระมัดระวังที่จะไม่ใช้อารมณ์ไม่ปล่อยให้อารมณ์หงุดหงิดหมั่นไส้ขวางหูขวางตา มาเป็นปัจจัยยุยงให้ต้องเอาชนะลูก ๆ! ถ้าพ่อแม่ชอบใช้อารมณ์ ชอบใช้การบังคับขู่เข็ญ ลูก ๆ ก็จะลอกเลียนแบบอย่างจากพ่อแม่เช่นกัน

4. สร้างเขาขึ้นไม่ใช่กดเขาลง

สังคมไทยประกอบด้วยผู้คนที่มีความ “พิการ” (handicap) ในการติดต่อสื่อสารมากไม่มีความสามารถในการจะแสดงออกซึ่งความรู้สึกและอารมณ์อย่างตรง ๆ การอบรมเลี้ยงดูที่สร้างรูปแบบทางความคิดว่า การแสดงออกซึ่งมีความในใจหรือความรู้เป็นความอ่อนแอ หรือแม้แต่การจะกล่าวชมใครออกไปก็เกรงว่าจะทำให้เขาได้ใจหรือเหลิง หรือหากจะแสดงความยินดีชื่นชมกับใครออกไปกลายเป็นการทำเพื่อมารยาท และเป็นการแสแสร้งมากกว่าความจริงกลายเป็นความสับสนใจไม่รู้ว่าเมื่อไรควรจะพูดตรง ๆ จริงใจ เมื่อไรควรแสแสร้งทำไปตามมารยาท เมื่อผู้ใหญ่เองยังสับสนกับความรู้สึกจริง ๆของตน จึงไม่ต้องแปลกใจที่เด็ก ๆ ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไรอย่างไรควรจะแสดงความจริงใจออกมา

การเสริมสร้างความมั่นใจให้กับเด็กๆ เป็นการปูทางให้เขาเติบโตขึ้นอย่างมีสุขภาพจิตดี พ่อแม่เป็นจำนวนมาก “ถนัด!” หรือ “เก่ง!” ในการจับผิดลูก ๆ พยายามหยิบยกเอาข้อบกพร่องความผิดพลาดของเด็กขึ้นมาพูด “แกมันโง่!” “เซ่อ!” “ขี้หลงขี้ลืม!” “หน้าตาไม่เป็นสัปปะรด!” “ ขี้เกียจ!” “ขี้เหร่!” ฯลฯ คำพูดในทางลบประเภทนี้บางครั้งผู้พูดเพียงต้องการยั่วเย้าล้อเลียนด้วยความเอ็นดู หรือพูดไปโดยไม่เจตนา แต่พื้นฐานทางจิตใจของเด็กแต่ละคน “รับได้” ไม่เท่ากัน ในบางคนคำพูดเหล่านี้ไม่มีผลกระทบกระเทือนทางจิตใจแต่อย่างใด แต่ในอีกหลาย ๆ คน เด็กอาจรับไว้เป็นปมด้อย เป็นความรู้สึกเจ็บปวด มีความเชื่อคล้อยตามว่าเขาเป็นคนอย่างนั้นจริง ๆ ทำให้เด็กเกิดความคลาดกลัวไม่มั่นใจในตนเอง

ถ้าพ่อแม่จะลองย้อนไปนึกถึงตัวเองสมัยเมื่อเป็นเด็ก เวลาไม่มีใครมาพูดตำหนิหรือล้อเลียนปมด้อย เราจะรู้สึกหงอยเหงาห่อเหี่ยวใจเกิดความโศกเศร้าเสียใจไม่ภูมิใจในตนเองแต่ทันใดที่มีคนชมว่าเราเก่ง! เราสวย! เรารู้สึกหน้าบาน โลกสว่างไสว แล้วตัวเราสูงขึ้นหลายนิ้ว! ถ้าคิดได้จำได้อย่างนั้นก็จงนึกถึงลูกเถอะว่าเขาจะรู้สึกอย่างไรที่พ่อแม่ไม่เคยชมไม่เคยพูดถึงเขาในทางบวก หรือเอาแต่แคะไค้ความไม่ดีของเขามาตอกย้ำให้ช้ำใจ เด็กจะรู้สึกตัวลีบเล็กลงเรื่อย ๆ

คุณคงไม่อยากให้ลูกรู้สึกข่มถูกกดให้เล็กลงเรื่อย ๆ ลองวิธีนี้บ้างซิคะ ยื่นกระดาษเปล่า ๆ ให้ลูก ๆ ของคุณเรียงลำดับข้อดีเกี่ยวกับคุณพ่อคุณแม่ อะไรที่ลูกชอบเกี่ยวกับพ่อแม่ และคุณเองก็เขียนเรียงลำดับอะไรบ้างที่คุณชอบเกี่ยวกับลูก ๆ ของคุณทีละคน หลังจากนั้นก็ผลัดกันอ่านดัง ๆ และถกเถียงพูดคุยถึงเรื่องราวที่เขียนไว้ เป็นการสดงออกถึงความระแวดระไว ข้อสังเกตที่คุณเห็นเป็นสิ่งดีของลูก ๆ คำพูดและบรรยากาศของความเข้าใจในกันและกัน ความภาคภูมิใจในกันเหล่านี้ ส่วนใหญ่มันหายไปกับความเร่งรีบของชีวิตครอบครัว จนเราลืมจะให้กำลังใจกันและกัน จำไว้ว่าความมั่นใจในตัวเด็ก ๆ เกิดขึ้นจากคำชมของพ่อแม่ผู้ปกครองครูอาจารย์ และผู้ใหญ่ทุกคน!

5. ช่วยลูกของคุณให้รู้สึกดีและดูดี

โดยปกติแล้วอะไรที่เรารู้สึกข้างในเกี่ยวกับตัวเราได้รับอิทธิพลจากการที่คนอื่น ๆ เขาคิดและเห็นเกี่ยวกับตัวเรา!

ลูก ๆ ของคุณอาจมองดูน่ารักน่าเอ็นดูอ้วนกลมผมหยักศกเป็นที่ภูมิใจของคุณ แต่ถ้าเขาหรือเธอคิดว่าตัวเองไม่สวย เธอก็จะรู้สึกไม่สวยไปด้วย และถ้าลูกของคุณรู้สึกว่าตัวเองธรรมดาและไม่สวย ก็ไม่มีประโยชน์อะไรจะไปพร่ำพูดถึงคุณสมบัติภายในที่มีค่ามากมายกว่าความสวยงามของร่างกาย!

ทุก ๆ วันของชีวิตวัยเด็ก ลูก ๆ ของคุณต้องผจญคำติชมที่มีแนวโน้มแต่จะให้เขาแย่ลงทุก ๆ วัน ลูกของคุณต้องพบกับเด็กวัยเดียวกันที่จะพากันหยิบยกเอาส่วนที่ไม่ดีของกันและกันมาพูด เช่น “จมูกเธอแบน ผิวเธอดำ เธออ้วนเตี้ย หน้าเธอมีสิวเยอะ!” เด็กน้อยคนที่จะพูดว่า “เธอมีจิตใจดี!” เพราะฉะนั้นจงนึกถึงหน้าและสภาพของเด็ก ๆ ที่จะต้องถูกให้รู้สึกว่า “เขาแย่จริง ๆ!”

ด้วยเหตุนี้จึงเป็นเรื่องสำคัญที่พ่อแม่จะต้องหมั่นชมว่า ลูกของคุณดูดี! ลูกสาวเล็ก ๆ จะเบิกบานเป็นดอกไม้แย้มกลีบเมื่อคุณพ่อของเธอเชมว่าสวย! ลูกชายจะวางท่าภาคภูมิเมื่อคุณแม่ชมว่าเขาหล่อ!

และบางทีลูกของคุณอาจมีปัญหาเกี่ยวกับน้ำหนักตัวซึ่งปกติพ่อแม่มักจะเป็นคนสุดท้ายที่สังเกตเห็น ซึ่งแทนที่คุณจะปัดไปว่า “โอ...ไม่เป็นไรหรอกอ้วนนิดหน่อยเอง!” คุณควรจะแสดงความเข้าใจและห่วงกังวลในความรู้สึกของลูกด้วยคำพูดที่ว่า “การลดน้ำหนักไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับเด็ก ๆ แต่ทำไมไม่ลองทำดูล่ะลูก!”

6. เข้าใจความรู้สึกเกี่ยวกับบทบาทของลูก ๆ

คุณแม่สมัยใหม่มากมายจะคำนึงถึงความต้องการและสถานการณ์ต่าง ๆ ของลูกสาวมากกว่าที่จะระแวดระไว ถึงความเป็นไปของลูกชาย ใจของแม่มักจะติดตามลูกชายเล็ก ๆ ไปโรงเรียนเล่นกับเพื่อน ไปดูฟุตบอล กลับบ้านช่วยแม่ทำอะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ! เท่านั้นเอง คือความก้าวหน้าของลูกชายที่แม่รับรู้ด้วยความพึงพอใจ

แล้ววันหนึ่ง ลูกก็โตขึ้นเป็นหนุ่มใหญ่ในสายตาของแม่ แม่ส่วนใหญ่เริ่มเกรงใจไม่อยากถามไถ่ล่วงเข้าไปสู่ความเป็นส่วนตัวของลูกชายโดยไม่ทันได้คิดว่าจริง ๆ แล้วภายในร่างของชายหนุ่มยังมีโลกของเด็กชายแอบแฝงอยู่หลายส่วน โลกที่เต็มไปด้วยความสับสนขัดแย้ง ความวิตก กระวนกระวายความเหงา และความปรารถนาที่จะมีที่พึ่ง เขายังไม่พร้อมจะก้าวไปสู่โลกของผู้ชาย ของความเป็นผู้ใหญ่ บางครั้งความอัดอั้นตันใจ ความคับข้องใจ ความตระหนกตกใจของเด็กชายไหลทะลายกำแพงของชายหนุ่มออกมาเป็นน้ำตา แล้วใคร ๆ ก็บอกกับเขาว่า “ โตเป็นหนุ่มใหญ่แล้วเขาไม่ร้องไห้กันหรอก!”

แน่นอน...เรารู้ว่าเราเห็นลูกชายเราเป็นอย่างไร แต่คนอื่นล่ะเขาคิดอย่างไรกับลูกเรา?! และดูเหมือนว่าในโลกปัจจุบันลูกสาวเราจะดำเนินชีวิตทุกอย่างไปได้ด้วยดี แต่คนที่กำลังสับสนต้องการเวลาความอดทนและความเข้าอกเข้าใจจากเราคือ ลูกชาย!

7. อย่ากลัวที่พูดว่าเสียใจหรือกล่าวคำขอโทษ

ลูกของเราจะวัดพฤติกรรมและกิริยามารยาทของเขาจากอะไรที่พ่อแม่แสดงออกมาเด็ก ๆ ทุกคนต้องการพ่อแม่ผู้ปกครองที่เขาสามารถชื่นชมยินดี แต่พ่อแม่ที่สมบูรณ์แบบนั้นไม่ใช่ว่าจะมีอยู่หรือเป็นอย่างที่เขาคิด บางครั้งเด็กเล็ก ๆ จะรู้สึกสบายใจขึ้นที่รู้ว่าคุณแม่กำลังอารมณ์เสียขว้างสิ่งของหรือแตะตีหมาแมวไปบ้างเพื่อระบายความไม่สบายใจ

แต่พ่อแม่ได้แสดงกิริยาที่ไม่สุภาพ อันเป็นกิริยาที่ไม่ปรารถนาจะให้ลูกเอาเป็นแบบอย่างก็ควรจะพูดอธิบายแสดงความรู้สึกนี้ให้ลูก ๆทราบ เช่นพูดว่า “แม่ขอโทษที่แสดงกิริยาไม่สุภาพแบบนั้น แม่กำลังโมโห”

พฤติกรรมไม่สุภาพดังกล่าวจะไม่มีผลกระทบกระเทือนมาก หรือลดความกระทบกระเทือนต่อสุขภาพจิตของเด็ก ๆ ลงถ้าพ่อแม่มีเหตุผลให้ลูกเข้าใจ

8. ทำให้ลูกคุณรู้สึกว่าเขา/เธอเป็นเด็กพิเศษ

การพยายามทำให้ครอบครัวมีความสุข หรืออยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขนั้น ในขณะที่พ่อแม่ผู้ปกครองต่างพยายามสร้างความใกล้ชิดในกลุ่มลูก ๆ พี่ ๆ น้อง ๆ นั้น เรามักจะลืมไปว่าเด็กแต่ละคนต้องการความสัมพันธ์พิเศษ “ตัวต่อตัว” ของเขากับพ่อหรือแม่ สิ่งที่เด็ก ๆ ต้องการมากที่สุดก็คือพ่อหรือแม่พร้อมจะนั่งลงฟังเขาพูดเป็นการส่วนตัว เด็กต้องการความรู้สึกที่ยืนยัน ว่าเขากับพ่อหรือแม่มีความใกล้ชิด มีความเข้าอกเข้าใจ และสื่อกันได้อย่างแท้จริง เด็กวัยรุ่นจำนวนมากที่มาจากครอบครัวที่มีพี่น้องมากมายมักจะปัญหาเกี่ยวกับอารมณ์เหงา ความไม่สามารถจะเข้ากับใครได้ นั่นเป็นส่วนหนึ่งของสาเหตุที่ว่าเขาเองยังไม่สามารถสื่อกับคนใกล้ชิดที่สุดได้ เขาจึงไม่กล้าไม่มีความรู้สึกที่จะเปิดเผยอะไรกับใคร สาเหตุอีกประการหนึ่งที่พบมากคือ ในครอบครัวใหญ่ที่มีปัญหามากมาย เพราะส่วนใหญ่ได้มองข้ามความสัมพันธ์ “ตัวต่อตัว” ของลูก ๆ กับพ่อแม่ไป

9. อย่าเล่นบทพระเจ้า

ในการเป็นพ่อแม่ผู้ปกครองของลูกของเด็ก ๆ นั้น จำไว้ว่าเราไม่จำเป็นจะต้องเล่นบท “พระเจ้า” “เจ้านาย” และไม่ใช่ทั้งคนใช้ หรือผู้รับใช้ของลูก ๆ ไม่ต้องกลัวที่จะแสดงอารมณ์หรือระบายความรู้สึกที่คุณมีต่อลูกให้เขารับรู้ การแบ่งปันอารมณ์ความรู้สึกทั้งทางบวกทางลบให้ลูก ๆ รับรู้จะช่วยส่งเสริมสนับสนุนให้ลูก ๆ มีความกล้าที่จะแสดงออกความรู้สึก และอารมณ์ให้พ่อแม่รับรู้จักเขามากขึ้นเช่นกัน และแน่นอนที่บ่อย ๆ พ่อแม่อาจรู้สึกขัดตาขัดใจต่อพฤติกรรมดังกล่าวที่ดูจะขัดต่อมาตราฐานการอบรมเลี้ยงดูที่ตนผ่านมาในอดีต แต่การที่พ่อแม่ต้องการให้ลูก ๆ ยอมรับตนในฐานะของ “ปุถุชนคนหนึ่ง” ไม่ใช่พระเจ้าหรือผู้ศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่มีการทำผิดใด ๆ พ่อแม่ต้องเรียนรู้ที่จะยอมรับลูก ๆ ในฐานะของคนคนหนึ่งเช่นกัน

ในการรับรู้หรือรับฟังและยอมรับในการแสดงออกของลูก ๆ พ่อแม่ต้องระวังที่จะไม่ให้เป็นการวกวนหรือโน้มน้าวการตัดสินใจของเขามาอยู่ในการควบคุมของพ่อแม่ เช่นเมื่อลูกบอกว่าเขาคิดจะทำอะไรอย่างไร พ่อแม่จะพูดว่า “...ก็ดี เป็นความคิดที่ดี แต่คงจะดีกว่าถ้าจะทำโดยวิธีนี้!” นั่นคือวิธีที่พ่อแม่ทำ ไม่ใช่วิธีของลูก ด้วยลักษณะวิธีดังกล่าวเท่ากับเป็นการทำลายความภาคภูมิใจในตัวเองของเด็กไป ซึ่งถ้าจะเปลี่ยนลักษณะการไม่ยอมรับเป็นเงียบเสียไม่โต้ตอบฟังเฉย ๆ จะเป็นการแสดงการยอมรับที่ช่วยให้เด็ก ๆ คิดได้ว่าเขาควรจะตัดสินใจทำอะไรอย่างไรต่อไป และด้วยวิธีนี้จะช่วยให้เด็ก ๆ เติบโต

ถึงกระนั้นก็ขอแนะนำผู้ปกครองให้รู้จักใช้คำพูดให้กำลังใจส่งเสริมสนับสนุนให้เด็ก ๆ เผชิญกับปัญหา แต่ไม่ใช่การใช้คำพูดเพื่อใช้บังคับให้ลูก ๆ ทำตามความคิดของพ่อแม่ แต่เป็นคำพูดที่ช่วยให้เด็กกล้าแสดงความคิดเห็น เช่น “ไหนเล่าไปซิ...พ่อกำลังฟัง...อืฮม! ฟังดูน่าสนใจมาก...พ่อรู้สึกว่านี่มันสำคัญมากสำหรับลูกนะ...”

ด้วยวิธีนี้เด็กจะยอมรับปัญหาของเขาเองและพยายามหาทางแก้ไขด้วยตนเอง การฝึกเป็นนักฟังที่ดีเป็นเรื่องจำเป็นในการเรียนรู้ที่จะเข้าใจและสื่อเข้าถึงเด็ก ๆ ขณะเดียวกันแสดงถึงความใส่ใจและสมาธิที่พ่อแม่ตั้งใจจะให้กับลูก ๆ และด้วยวิธีนี้จะดึงให้ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่ลูกเข้ามาใกล้ชิดกันขึ้น ซึ่งอาจจะต้องใช้เวลาในการฝึกฝน แต่ผลที่ตามมาคือ ความเข้าใจที่คุ้มกับความพยายาม

10. สนุกกับการเป็นพ่อแม่

จิตแพทย์ท่านหนึ่งกล่าวว่า “พ่อแม่ส่วนใหญ่เฝ้าวิตกกังวลว่า ลูก ๆ จะเติบโตขึ้นเป็นอย่างไรในอนาคต จนลืมที่จะสนุกกับการเป็นพ่อแม่ในปัจจุบัน!”

ในสังคมและครอบครัวไทยโบราณบริเวณบ้านมักจะมีนอกชานให้พ่อแม่ลูกนั่งคุยกันในยามค่ำหลังอาหาร แม่จะเล่านิทานให้ลูก ๆ ฟัง เป็นการสร้างบรรยากาศความใกล้ชิดในครอบครัวซึ่งต่างออกไปจากสมัยปัจจุบันที่พ่อแม่ต้องทำมาหากิน หาความสะดวกสบายให้ลูกแล้วปล่อยลูกไว้กับตู้ทีวีให้คอยอบรมสั่งสอนแทนและเวลาที่อยู่พร้อมหน้ากันในห้องสี่เหลี่ยมในบ้าน บรรยากาศจะมีความขัดแย้งการถกเถียงใส่อารมณ์เข้าหากัน

ในประเทศออสเตรเลียพ่อแม่ผู้ปกครองเริ่มเรียนรู้การเป็นพ่อแม่แบบกรีกและอิตาเลี่ยนที่มักจะพาลูก ๆ ออกไปนั่งพักผ่อนที่นอกชานยามค่ำคืน ครอบครัวของเราเองก็เช่นกัน คงต้องการแบบนี้กันมากขึ้นเวลาที่พ่อแม่ลูกจะนั่งหยอกล้อพูดคุยกันนาน ๆ หลังอาการเย็น

เวลาแห่งการเป็นพ่อเป็นแม่นั้นมันสั้นนัก เผลอครู่เดียวลูก ๆ ก็โตกันหมดเพราะฉะนั้นจงใช้เวลาที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์ที่สุด เพื่ออนาคตของลูก ๆ เพื่อความฝันของคุณจะได้เป็นจริงและเพื่อตักตวงความสุขของการเป็นพ่อแม่ให้เต็มที่ก่อนที่เวลาเหล่านั้นจะหมดไปและโปรดจำไว้ว่าอะไรที่คุณทำวันนี้อาจเปลียนวิถีชีวิตของลูก ๆ คุณได้!

สวัสดีเช้าวันพุธค่ะ
04/12/2019

สวัสดีเช้าวันพุธค่ะ

03/12/2019

เลี้ยงลูกให้ไกลมือถือ👍👍

ข้อคิดดีๆ จาก "รอยตะปู"เด็กน้อยคนหนึ่งอารมณ์ไม่ค่อยจะดี  พ่อของเขาจึงให้ตะปูกับเขา 1 ถุงและบอกเขาว่า ทุกครั้งที่ลูกรู้สึ...
03/12/2019

ข้อคิดดีๆ จาก "รอยตะปู"

เด็กน้อยคนหนึ่งอารมณ์ไม่ค่อยจะดี พ่อของเขาจึงให้ตะปูกับเขา 1 ถุงและบอกเขาว่า ทุกครั้งที่ลูกรู้สึกไม่ดี โมโห หรือโกรธใครก็ตาม ให้ตอกตะปู 1 ตัวลงไปที่รั้วหลังบ้านก็แล้วกัน วันแรกผ่านไปเด็กน้อยตอกตะปูเข้าไปที่รั้วถึง 37 ตัว วันที่ 2 และ วันที่ 3 และแต่ละวันที่ผ่านไป ผ่านไปจำนวนตะปูก็ค่อยๆลดลง ลดลงๆ เพราะเด็กน้อยรู้สึกว่า การรู้จักควบคุมตัวเองให้สงบ ง่ายกว่าการตอกตะปูตั้งเยอะ

แล้ววันหนึ่ง หลังจากที่เขาสามารถ ควบคุมตัวเองได้ดีขึ้น ใจเย็นมากขึ้น เขาเดินไปหาพ่อเพื่อบอกว่า เขาคิดว่าเขาไม่จำเป็นที่ต้องตอกตะปูอีกแล้ว เพราะเขาได้เปลี่ยนไปแล้ว เขาสามารถควบคุมตัวเองได้ดีขึ้น ไม่มุทะลุเหมือนแต่ก่อนแล้ว

พ่อยิ้มแล้วบอกลูกชายว่า ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ ลองพิสูจน์ให้พ่อดู ทุกๆครั้งที่ลูกสามารถควบคุมอารมณ์ฉุนเฉียวของตัวเองได้ให้ถอนตะปูออกจากรั้วหลังบ้านที่ละ 1 ตัว วันแล้ววันเล่า เด็กชายก็ค่อยๆถอนตะปูออกทีละตัว ๆ จนในที่สุด วันหนึ่งตะปูทั้งหมดก็ถูกถอนออกเด็กชายดีใจมากรีบวิ่งไปบอกพ่อของเขาว่า ผมทำได้แล้วครับในที่สุดผมก็ทำได้สำเร็จ

พ่อไม่ได้พูดว่าอะไร แต่จูงมือลูกของเขาไปที่รั้วนั้น แล้วบอกลูกทำได้ดีมากทีนี้ลองมองกลับไปที่รั้วสิ เห็นมั๊ยว่ารั้วมันไม่เหมือนเดิมมันไม่เหมือนกับที่มันเคยเป็นก่อนหน้านี้ ลูกจำไว้นะ ว่าเมื่อไหร่ที่เราทำอะไรลงไปด้วยการใช้อารมณ์ สิ่งนั้นมักจะเกิดรอยแผล เหมือนกับการเอามีดไปกรีดหรือแทงใครเข้า ต่อให้ใช้คำว่า..ขอโทษ..สักกี่หนก็ไม่อาจจะลบรอยแผลหรือความเจ็บปวดที่เกิดกับเขาคนนั้นได้ ลูกจงจำคำว่า ..ขอโทษ..ไว้เสมอนะ ไม่ว่าเขาจะยกโทษให้เรา หรือ ไม่ก็ตามนะจำไว้อีกด้วยว่า สิ่งที่มันเกิดขึ้น รอยร้าวที่เกิดขึ้นกับเขาเขาอาจจะไม่มีวันลืมมันได้......ตลอดไป

สิ่งที่สำคัญคือ รู้ทันความโกรธให้เร็วที่สุด ทันทีที่สติรู้ทันว่า เราปล่อยให้ความโกรธครอบงำ อย่างน้อยมันจะหยุดเพ่งโทษคนอื่นวางความยึดมั่นว่าเราถูกลงเป็นจุดเริ่มต้นของการแก้ไขสถานการณ์ดีกว่าปล่อยให้ความยึดว่า ตัวเองถูกเสมอ หรือฐิทิมานะมาทำลายทุกอย่างรวมทั้งชีวิตตัวเราเอง

ขอขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก ไทม์ไลน ์เมนูสุขภาพ

สนับสนุนการนำเสนอข้อมูลโดย อเลอไทด์ (Alertide) อาหารบำรุงสมอง ช่วยในการบำรุงสมอง ช่วยเรื่องความจำ และการเรียนรู้ การสร้างความจำ รักษาความจำ รวมถึงช่วยฟื้นฟูเซลส์สมองที่เสียหาย หรือเสื่อมสภาพให้อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ขึ้น

สนับสนุนโดยผลิตภัณท์อเลอไทด์ ช่วยฟื้นฟูความจำและบำรุงสมองฟื้นฟูและบำรุงระบบประสาทและสมองช่วยเพิ่มความจำและความสามารถในการเรียนรู้ ช่วยให้มีสมาธิในการเรียนการทำงาน ลดภาวะสมาธิสั้น

โรคสมาธิสั้นคืออะไร? แบบทดสอบ ลูกเราเป็นโรคสมาธิสัั้นหรือไม่นะ???ในปัจจุบันพบว่าโรคสมาธิสั้นเกิดจากความบกพร่องของสารเคมี...
03/12/2019

โรคสมาธิสั้นคืออะไร? แบบทดสอบ ลูกเราเป็นโรคสมาธิสัั้นหรือไม่นะ???

ในปัจจุบันพบว่าโรคสมาธิสั้นเกิดจากความบกพร่องของสารเคมีที่สำคัญบางตัวในสมองโดยมีพันธุกรรมเป็นปัจจัยที่สำคัญ ประมาณ 30-40 เปอร์เซ็นต์ของเด็กสมาธิสั้นจะมีคนในครอบครัวคนใดคนหนึ่งมีปัญหาอย่างเดียวกัน ส่วนปัจจัยจากการเลี้ยงดูหรือสิ่งแวดล้อมเป็นเพียงปัจจัยเสริมที่ทำให้อาการหรือความผิดปกติดีขึ้นหรือแย่ลง นอกจากนี้มารดาที่ขาดสารอาหาร ดื่มสุรา สูบบุหรี่ หรือถูกสารพิษบางชนิด เช่น ตะกั่วในระหว่างตั้งครรภ์ มีโอกาสมีลูกเป็นโรคสมาธิสั้นสูง ครานี้เราอยากรุ้ว่าลูกเรากำลังมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคนี้หรือไม่ เรามีแบบทดสอบมาช่วยให้คุณแม่คุณพ่อได้ดูแลกัน

จะรู้ได้อย่างไร ว่าเป็นโรคนี้

การวินิจฉัยโรคซนสมาธิสั้นสามารถทำได้โดยการซักประวัติที่ละเอียด การตรวจร่างกาย การตรวจระบบประสาทและการสังเกตพฤติกรรมของเด็กเป็นหลัก ซึ่งในปัจจุบันยังไม่มีการตรวจเลือดหรือเอ็กซเรย์สมองที่สามารถนำมาใช้ในการวินิจฉัยโรคซนสมาธิสั้น ในบางกรณีแพทย์จำเป็นต้องตรวจอาการอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น การตรวจตา การตรวจการได้ยิน การตรวจคลื่นสมอง การตรวจเชาวน์ปัญญา และความสามารถทางการเรียน เพื่อช่วยวินิจฉัยแยกโรคลมชัก ความบกพร่องทางสายตา การได้ยิน ออกจากโรคซนสมาธิสั้น นอกจากนี้โรคออทิสติก โรคจิตเภท ภาวะการพัฒนาการล่าช้า และโรคจิตเวชอื่นๆ ในเด็ก เช่น โรควิตกกังวล โรคซึมเศร้า ที่มีพฤติกรรมเหมือนโรคซนสมาธิสั้น

จะสังเกตได้อย่างไรว่าเด็กเป็นโรคสมาธิสั้นหรือไม่? อาการที่บ่งชี้ว่าเด็กอาจมีโรคสมาธิสั้น

ได้แก่: -
1. อาการขาดสมาธิ (attention deficit): เด็กจะมีลักษณะวอกแวกง่าย ขาดความตั้งใจในการทำงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งงานที่ต้องใช้ความคิด เด็กมักจะแสดงอาการเหม่อลอยบ่อยๆ ฝันกลางวัน ทำงานไม่เสร็จ ผลงานมักจะไม่เรียบร้อย ตกๆหล่นๆ ดูเหมือนสะเพร่า ขาดความรอบคอบ เด็กมักจะมีลักษณะขี้ลืม ทำของใช้ส่วนตัวหายเป็นประจำ มีลักษณะเหมือนไม่ฟังเวลาพูดด้วย เวลาสั่งให้เด็กทำงานอะไรเด็กมักจะลืมทำ หรือทำครึ่งๆ กลางๆ อาการขาดสมาธินี้มักจะมีต่อเนื่อง ติดตัวจนกระทั่งเป็นผู้ใหญ่

2. อาการซน (hyperactivity): เด็กจะมีลักษณะซน อยู่ไม่สุข ยุกยิกตลอดเวลา นั่งนิ่งๆ ไม่ค่อยได้ ต้องลุกเดิน หรือขยับตัวไปมา ชอบปีนป่าย เล่นเสียงดัง เล่นผาดโผน หรือทำกิจกรรมที่เสี่ยงอันตราย มักประสบอุบัติเหตุบ่อยๆ จากความซน และความไม่ระมัดระวัง พูดมาก พูดไม่หยุด ชอบแกล้งหรือแหย่เด็กอื่น

3. อาการหุนหันพลันแล่น (impulsivity): เด็กจะมีลักษณะวู่วาม ใจร้อน อารมณ์หุนหันพลันแล่น ทำอะไรไปโดยไม่คิดก่อนล่วงหน้าว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นตามมา ขาดความระมัดระวัง เช่น วิ่งข้ามถนนโดยไม่มองรถดีๆ ซุ่มซ่าม ทำข้าวของแตกหักเสียหาย เวลาต้องการอะไรก็จะต้องให้ได้ทันที รอคอยอะไรไม่ได้ เวลาอยู่ในห้องเรียนมักจะพูดโพล่งออกมาโดยไม่ขออนุญาตครูก่อน มักตอบคำถามโดยที่ฟังคำถามยังไม่ทันจบ ชอบพูดแทรกเวลาที่คนอื่นกำลังคุยกันอยู่ หรือกระโดดเข้าร่วมวงเล่นกับเด็กคนอื่นโดยไม่ขอก่อน

แพทย์ใช้อะไรเป็นเกณฑ์ในการวินิจฉัยโรคสมาธิสั้น?

เกณฑ์ในการวินิจฉัยโรคสมาธิสั้นที่แพทย์ใช้กันอย่างแพร่หลายในปัจจุบันคือ เกณฑ์ที่กำหนดขึ้นและประกาศใช้โดยสมาคมจิตแพทย์อเมริกัน (DSM-IV) โดยแบ่งกลุ่มอาการออกเป็นสองกลุ่ม ได้แก่

ก. อาการขาดสมาธิ (attention deficit): โดยเด็กจะมีอาการต่อไปนี้

1. ไม่สามารถทำงานที่ครูหรือพ่อแม่สั่งจนสำเร็จ
2. ไม่มีสมาธิในขณะทำงานหรือเล่น
3. ดูเหมือนไม่ค่อยฟังเวลาพูดด้วย
4. ไม่สามารถตั้งใจฟัง และเก็บรายละเอียดได้ ทำให้ทำงานผิดพลาดบ่อยๆ
5. ไม่ค่อยเป็นระเบียบ
6. มีปัญหาหรือพยายามหลีกเลี่ยงงานที่ต้องใช้ความคิดหรือสมาธิ
7. วอกแวกง่าย
8. ทำของใช้ส่วนตัว หรือของใช้ที่จำเป็นสำหรับงานหรือการเรียน หายอยู่บ่อยๆ
9. ขี้ลืมบ่อยๆ

ข. อาการซน อยู่ไม่นิ่ง (hyperactivity) และอาการหุนหันพลันแล่น วู่วาม (impulsivity) โดยเด็กจะมีอาการต่อไปนี้

1. ยุกยิก อยู่ไม่สุข
2. นั่งไม่ติดที่ ลุกเดินบ่อยๆ ขณะอยู่ที่บ้านหรือในห้องเรียน
3. ชอบวิ่ง หรือปีนป่ายสิ่งต่างๆ
4. พูดมาก พูดไม่หยุด
5. เล่นเสียงดัง
6. ตื่นตัวตลอดเวลา หรือดูตื่นเต้นง่าย
7. ชอบโพล่งคำตอบเวลาครูหรือพ่อแม่ถามโดยที่ยังฟังคำถามไม่จบ
8. รอคอยไม่เป็น
9. ชอบขัดจังหวะหรือสอดแทรกเวลาผู้อื่นกำลังพูดอยู่

หากเด็กคนใดมีลักษณะอาการใน ข้อ ก หรือ ข้อ ข รวมกันมากกว่า 6 อาการขึ้นไป เด็กคนนั้นมีความเป็นไปได้สูงที่จะเป็นโรคสมาธิสั้น

ขอขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก oknation.nationtv

สนับสนุนการนำเสนอข้อมูลโดย Alertide ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารบำรุงสมองและระบบประสาท ลดปัญหาภาวะสมาธิสั้นในเด็ก ช่วยให้เด็กมีสมาธิดีขึ้น นิ่งขึ้น และเรียนดีขึ้น ช่วยในการบำรุงสมอง ช่วยเรื่องความจำ และการเรียนรู้ การสร้างความจำ รักษาความจำ รวมถึงช่วยฟื้นฟูเซลส์สมองที่เสียหาย หรือเสื่อมสภาพให้อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ขึ้น

ที่อยู่

Chachoengsao

เบอร์โทรศัพท์

+66959539323

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ Famliy Brainผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ การปฏิบัติ

ส่งข้อความของคุณถึง Famliy Brain:

แชร์

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram

บำรุงสมอง

🔥บำรุงสมองเพิ่มความรู้ความจำ ด้วยอเลอไทด

⚡เรื่องสมองต้อง"อเลอไทด์" ⚓✔Alertide ✔

ช่วยในการบำรุงสมอง ช่วยเรื่องความจำ และการเรียนรู้ การสร้างความจำ รักษาความจำ รวมถึงช่วยฟื้นฟูเซลล์สมองที่เสียหาย หรือเสื่อมสภาพให้อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์

สรรพคุณ