nananatte อ่าน เขียน เรียนรู้ ลงมือ แล้วเติบโตไปด้วยกัน😄📚🌿

มหาวิทยาลัยสำหรับผู้เกษียณอายุ อ่านบทความนี้แล้วนึกถึงมังงะเรื่อง Ocean Rush ที่คุณยายไปสมัครเรียนนิเทศ เพื่อถ่ายหนังด้ว...
30/11/2025

มหาวิทยาลัยสำหรับผู้เกษียณอายุ อ่านบทความนี้แล้วนึกถึงมังงะเรื่อง Ocean Rush ที่คุณยายไปสมัครเรียนนิเทศ เพื่อถ่ายหนังด้วยตัวเอง และพบเจอนักศึกษาหนุ่มสาวที่มีไฟอยากสร้างหนัง ความแตกต่างของ generation จุดอ่อนจุดแข็งของคุณยายที่เป็นแม่บ้านสามีเสียชีวิต กับเด็กๆ นศ.ที่ถ้าไม่แต่งตัวลุค uniqlo ก็แต่งตัว unique สุดไปตามสไตล์แฟชั่นของตัวเอง... บทความสนุก และมังงะ(มีแปลไทยแล้ว) ก็สนุกค่ะ❤️

ปัจจุบันนี้คนทั่วโลกมีอายุยืนกว่าตอนช่วงปี 1950 มากถึง 20 ปี หลายประเทศในโลกเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุไปเรียบร้อยแล้ว ประเทศไทยของเราก็เช่นกัน คำถามที่สำคัญจึงเป็นเรื่องที่ว่าเราจะใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพได้อย่างไรในช่วงบั้นปลายที่ดูเหมือนจะยืนยาวขึ้นเรื่อยๆ
คำตอบหนึ่งที่เราเห็นจากประเทศสหรัฐอเมริกาคือชุมชนผู้เกษียณอายุในมหาวิทยาลัยหรือ University Retirement Communities (URCs) นับตั้งแต่ทศวรรษ 1990 เป็นต้นมา มีชุมชนเหล่านี้อย่างน้อย 86 แห่งเปิดขึ้นทั่วสหรัฐอเมริกา ตั้งแต่นิวยอร์กไปจนถึงแอริโซนา ชุมชนสำหรับการเรียนรู้ตลอดชีวิตเหล่านี้เปิดโอกาสให้ผู้เกษียณอายุได้เข้าเรียน พบปะพูดคุยกับนักศึกษา และสร้างมิตรภาพกับผู้เกษียณอายุคนอื่นๆ ในชุมชนที่ออกแบบมาเพื่อพวกเขาโดยเฉพาะ
แบรด บรีดดิง ผู้ร่วมก่อตั้งและหุ้นส่วนผู้จัดการของ myLifeSite เว็บไซต์ที่มุ่งเน้นการให้ข้อมูลเกี่ยวกับการใช้ชีวิตในวัยสูงอายุให้สัมภาษณ์กับ Kiplinger.com ว่า “นี่เป็นกระแสที่เติบโตอย่างต่อเนื่องในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา และได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในระยะหลัง สิ่งสำคัญที่ทำให้คนหันมาสนใจคือสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้ของช่วงวัยที่ต่างกันและโอกาสในการเรียนรู้ตลอดชีวิตที่มหาวิทยาลัย”
ตัวอย่างชุมชนผู้เกษียณอายุในมหาวิทยาลัยที่น่าสนใจคือ บ้านพักผู้สูงอายุมิราเบลลา (Mirabella) สำหรับผู้ที่มีอายุ 62 ปีขึ้นไป ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของมหาวิทยาลัยแห่งรัฐแอริโซนา (Arizona State University) ผู้อยู่อาศัยที่นี่จะได้รับบัตรประจำตัวนักศึกษามหาวิทยาลัยทำให้สามารถเข้าเรียนแบบไม่ได้รับหน่วยกิตได้เกือบทุกวิชาและได้รับสิทธิ์ให้ใช้อาคารต่างๆ ของมหาวิทยาลัยได้ เลือกไปรับประทานอาหารที่ร้านอาหารในมหาวิทยาลัยได้สี่แห่ง ใช้บริการห้องสมุดมหาวิทยาลัยทั้งห้าแห่งได้ และสามารถไปออกกำลังที่ศูนย์ออกกำลังกายและสระว่ายน้ำของชุมชนได้ นอกจากนี้ยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ ได้แก่ สตูดิโอศิลปะ ช็อปงานไม้ สวนและพื้นที่กลางแจ้งมากมาย รวมถึงมีการดูแลจากเจ้าหน้าที่ ไม่ว่าจะในกรณีที่ผู้สูงอายุช่วยเหลือตนเองได้หรือไม่ก็ตาม ส่วนบ้านพักนั้นมีตั้งแต่อพาร์ตเมนต์แบบหนึ่งห้องนอนถึงสองห้องนอนให้เลือกในตึกสูง 20 ชั้น โดยปัจจุบันมิราเบลลามีสมาชิก 373 คนเลยทีเดียว
ซินดี้ อดัมส์ วัย 76 ปี อดีตผู้บริหารระดับภูมิภาคของสภากาชาดอเมริกัน ซึ่งย้ายเข้ามาอยู่ในอพาร์ตเมนต์ขนาดสองห้องนอนที่มิราเบลลากับบิล อดัมส์ สามีวัย 78 ปีเมื่อฤดูใบไม้ร่วงที่ผ่านมาให้สัมภาษณ์กับ New York Times บอกเล่าประสบการณ์ของเธอว่า “ฉันลงเรียนภาษาสเปนเทอมที่แล้ว มีฉันกับวัยรุ่นอีก 12 คนอายุ 18-19 ปี ฉันคิดว่า ‘โอ้ จะเป็นยังไงนะ’ แต่ทุกคนเป็นมิตร ให้เกียรติ และมีส่วนร่วมกับฉันมาก” แสดงให้เห็นถึงบรรยากาศถ้อยทีถ้อยอาศัยที่ส่งเสริมการเรียนรู้ของคนที่ช่วงวัยต่างกัน ซึ่งเป็นลักษณะพิเศษที่ชุมชนผู้เกษียณอายุที่อื่นนั้นให้ไม่ได้
นอกจากเรียนแล้ว เหล่าผู้สูงอายุยังไปเป็นอาสาสมัครในตำแหน่งต่างๆ ได้ ไม่ว่าจะเป็นผู้ช่วยสอนและผู้ช่วยห้องปฏิบัติการ เป็นกรรมการวิทยานิพนธ์ เข้าร่วมโครงการเพื่อนทางจดหมายของมหาวิทยาลัยที่จับคู่พวกเขากับนักศึกษามหาวิทยาลัย ช่วยนักศึกษาต่างชาติฝึกฝนทักษะภาษาอังกฤษ หรือทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาอย่างไม่เป็นทางการเพื่อถ่ายทอดประสบการณ์ในชีวิตให้กับเหล่านักศึกษารุ่นลูกรุ่นหลานอีกด้วย เรียกได้ว่าเป็นสถานการณ์แบบวิน-วินทั้งสองฝ่าย
ชุมชนเกษียณอายุของมหาวิทยาลัยโดนใจคนรุ่นเบบี้บูมเมอร์ ซึ่งเกิดระหว่างปี พ.ศ. 2489 ถึง พ.ศ. 2507 (หรือระหว่าง ค.ศ. 1946 ถึง 1964) เพราะพวกเขาเป็นหนึ่งในกลุ่มประชากรที่มีระดับการศึกษาดีที่สุดและยังชอบเข้าสังคมมากที่สุดอีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้น คนรุ่นเบบี้บูมเมอร์ยังถือครองความมั่งคั่งมากกว่าคนรุ่นอื่น ดังนั้นพวกเขาจึงไม่มีปัญหากับค่าธรรมเนียมแรกเข้าของมิราเบลลาที่เริ่มต้นที่ 490,600 ดอลลาร์สหรัฐ บวกกับค่าธรรมเนียมรายเดือนที่เริ่มต้นที่ 5,541 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งทำให้เราเกิดคำถามว่าหากเป็นคนในช่วงวัยอื่น เช่น เจ็นเอ็กซ์หรือมิลเลนเนี่ยลนั้น เมื่อถึงเวลาเกษียณ เราจะสามารถแบกรับค่าใช้จ่ายในระดับนี้ได้หรือไม่
ไม่แน่ว่าในอนาคต ชุมชนผู้เกษียณอายุในมหาวิทยาลัยอาจมีมากขึ้นเรื่อยๆ ทั่วสหรัฐอเมริกาซึ่งน่าจะทำให้ราคานั้นถูกลง หรือมีชุมชนผู้เกษียณอายุในลักษณะคล้ายกันออกมาเป็นตัวเลือกอีกมากมาย และเมื่อเรากลับมามองที่ประเทศไทย ดูจากมหาวิทยาลัยของเราที่กระจายอยู่ตามเมืองต่างๆ แล้ว หากมีโครงการแบบเดียวกันในประเทศไทยที่ราคาเป็นมิตรก็คงจะดีไม่น้อยเลย

เนื้อหาโดย ปอ เปรมสำราญ

อ้างอิง

https://www.instagram.com/p/DQMi5TXDr-C/?img_index=1
https://www.kiplinger.com/retirement/happy-retirement/is-a-university-retirement-community-right-for-you
https://www.nytimes.com/2025/10/20/realestate/why-are-more-retirees-going-back-to-college.html

แก้ fixed minset วิธีที่ 2 : เติมคำว่า "แค่ยัง"เวลาเจอ fixed mindset ที่เกี่ยวข้องกับความสามารถของตัวเอง เราจะใช้วิธีของ...
27/11/2025

แก้ fixed minset วิธีที่ 2 : เติมคำว่า "แค่ยัง"
เวลาเจอ fixed mindset ที่เกี่ยวข้องกับความสามารถของตัวเอง เราจะใช้วิธีของ Steve Chandler นักเขียนและโค้ชระดับตำนาน

วิธีการคือ เติมคำว่า "แค่ยัง" ลงไปในประโยค

จาก: "ฉันทำ shorts ไม่ได้หรอก"
เป็น: "ฉันแค่ยังทำ shorts ไม่เป็น"

จาก: "ฉันพูดต่อหน้ากล้องไม่ได้หรอก"
เป็น: "ฉันแค่ยังพูดต่อหน้ากล้องไม่ได้"

จาก: "ฉันเขียนนิยายช้า ให้เขียนจบใน 3 เดือน ฉันทำไม่ได้หรอก"
เป็น: "ฉันแค่ยังเขียนนิยายให้จบใน 3 เดือนไม่ได้"

จากความเชื่อเดิมที่เราเคยฟันธงตัดสินตัวเองไปแล้ว เหมือนปิดประตูใส่ตัวเองแบบดัง ปัง!
พอเติมคำว่า "แค่ยัง" ลงไป ก็เกิดช่องว่างของความเป็นไปได้ขึ้นมาทันที

จากคนที่คิดว่า "เป็นตายร้ายดีก็ตัด shorts ไม่ได้" ก็จะเปลี่ยนเป็น "อ๋อ... ฉันแค่ยังไม่เข้าใจว่าคนดู shorts เขาชอบดูอะไร ถ้าฉันเข้าใจ ฉันก็ตัดได้เหมือนกันแหละ"

คำว่า “แค่ยัง” ทำหน้าที่เหมือนเปิดหน้าต่างให้ลมพัดพาความเป็นไปได้ใหม่ๆ เข้ามา ทำให้เรามองเห็นสิ่งที่เราไม่เคยเห็น มองเส้นทางอื่นๆ วิธีการอื่นๆ ที่เรายังไม่เคยลอง

แค่เติมคำว่า “แค่ยัง” ลงไปใน fixed mindset ของตัวเอง มันก็ลอกคราบสิ่งที่เราเคยเชื่ออย่างเหนียวแน่นว่า 'นั่นคือ Fact' ออกไป แล้วก็ทำให้เรามองเห็นว่า... ที่จริงมันไม่ใช่อะไรเลย ก็เป็นเพียง 'ความคิดเห็นหนึ่ง' ที่เรามีต่อตัวเองเท่านั้น ไม่ใช่ Fact ที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้สักหน่อย

พอมองเห็นตัวเองในจุดที่ไม่เคยมองเห็นได้มาก่อน ความรู้สึกของเราย่อมเปลี่ยนไป ความเป็นไปได้ใหม่ๆ ก็จะเกิดขึ้นมา การลงมือทำ-การตอบสนองของเราจึงต่างออกไป

พอเราตอบสนองไม่เหมือนเดิม สถานการณ์ที่เผชิญอยู่จึงเปลี่ยนแปลง
ก็เป็นเช่นนั้นแหล่ะค่ะ ^ ^

เดี๋ยวโพสต์หน้ามาต่อวิธีจัดการ fixed mindset วิธีที่ 3 กันค่ะ

ณัฐ อยู่ดีดี
27.11.2025

#อยู่ดีดีlivewell



FB nananatte
IG
Youtube
Goodreads nananatte

ที่พยายามสู้อยู่ จริงๆ เราควรหยุดไปตั้งนานแล้วรึเปล่านะ?ใครกำลังปวดหัว เจอสถานการณ์ยาก EP นี้บอกวิธีมองปัญหาที่เราเจออยู...
22/11/2025

ที่พยายามสู้อยู่ จริงๆ เราควรหยุดไปตั้งนานแล้วรึเปล่านะ?
ใครกำลังปวดหัว เจอสถานการณ์ยาก EP นี้บอกวิธีมองปัญหาที่เราเจออยู่ และแนะวิธีเลยว่าให้ตัดสินใจแบบไหน
ใครชอบงานตรงๆ ชัดๆ แบบ Seth Godin EP นี้เป็นแนวคิดจาก The Dip ค่ะ❤️

https://youtu.be/tWjYNpMrFRc?si=fyictPj5CgaRP536

หลังจากมองเห็น Fixed Mindset ได้แล้ว ก็มาต่อกันที่วิธีทำให้ Fixed Mindset ตัวเองหายไปกันดีกว่า ^ ^--วิธีที่ 1: สำหรับ Fi...
20/11/2025

หลังจากมองเห็น Fixed Mindset ได้แล้ว
ก็มาต่อกันที่วิธีทำให้ Fixed Mindset ตัวเองหายไปกันดีกว่า ^ ^

--

วิธีที่ 1: สำหรับ Fixed Mindset ที่ไม่ฝังรากลึก

สำหรับ fixed mindset ที่ไม่ได้ฝังรากหรือแผ่กิ่งก้านสาขามากนัก แค่เรามองให้เห็นว่าเราสมาทานสิ่งนี้อยู่ แค่ “เห็น” ก็สามารถสลาย fixed mindset นั้นได้แล้ว โดยที่เราไม่ต้องทำอะไรพิเศษเพิ่มเติมเลย

เพราะ fixed mindset แบบนี้มักเกิดขึ้นในอดีต
สมัยที่เรายังมีความไร้เดียงสา ขาดความรู้ ความเข้าใจ และประสบการณ์
เจออะไรครั้งแรก หรือโดนอิทธิพลซ้ำ ๆ เข้าหน่อย ก็เชื่อง่ายมาก

แต่พอเวลาผ่านไป 10 ปี 20 ปี 30 ปี
พอเรากลับมามองมันอีกครั้ง เรามักจะร้องว่า…

“โอ้ มันไม่จริงแล้วนี่นา”

แล้ว fixed mindset นั้นก็หายไปเอง
เพราะวุฒิภาวะและประสบการณ์ชีวิตของเราโตเพิ่มขึ้นนั่นเองค่ะ

--

ตัวอย่าง: “ฉันไม่ชอบสีชมพู เพราะคนอย่างฉันไม่เหมาะกับสีชมพูหรอก”

ความเชื่อนี้เกิดขึ้นตอนเราอยู่ประถมค่ะ
เพราะมีคุณพี่สาวเป็น “เลดี้สีชมพู” แบบสุด ๆ
ส่วนเราคือยัยแว่นหน้านิ่งสายดาร์ก ไร้ความเลดี้โดยสิ้นเชิง

ก็เลยคิดว่า…
“ถ้าใช้ของสีชมพูเหมือนพี่สาว ฉันต้องกลายเป็นคนแบ๊วๆ แบบนั้นแน่ ไม่เอาดีกว่า!!!”

ก็เลยกลายเป็นเด็กที่โตมาแบบไม่มีข้าวของสีชมพูเลยค่ะ
ซานริโอ้ก็เลือกแต่แบดแบดซึมารุ กบเคโระ หรือโปชัคโกะ
ขนาดเซเลอร์มูนก็ยังชอบพลูโตกับแซทเทิร์น (แต่เราชอบ Black Lady นะ 555)

แล้วพอเข้ามหาวิทยาลัย สีประจำมหาวิทยาลัยดันเป็นสีชมพู!
เสื้อกิจกรรมทุกอย่างเป็นชมพูหมด
เสื้อผ้าสีชมพูก็เลยงอกขึ้นมาในตู้แบบไม่ตั้งใจ

ใส่ไปใส่มา…
“เอ... สีชมพูก็ไม่ได้แย่นี่”

ต่อมาเห็นหนุ่มๆ ดาราเกาหลีใส่สีชมพู แล้วดูละมุนมากค่ะ
พอไปเรียนและทำงานในกรุงเทพก็เห็นว่าสีชมพูก็มีตั้งหลายเฉด มันก็มีเฉดที่เรารู้สึกว่า 'สวยดีนะ' อยู่เหมือนกัน

แล้วพอมาเจอ Sentimental Circus เราก็ชอบมากกกกก จนงงตัวเองว่า น้องเค้าก็เป็นสีชมพูนี่? ชอบได้ไง

สุดท้ายก็มองเห็น fixed mindset เรื่องสีชมพูแต่เก่าก่อนของตัวเองเรื่อยมา และก็คิดตกแล้วว่า

“สีชมพูก็ดีออก แล้วฉันตั้งแง่กับมันทำไมตั้งหลายทศวรรษเนี่ย”

--

นี่คือตัวอย่างเลยค่ะว่า
แค่เห็น fixed mindset บางทีมันก็สลายตัวเองได้ โดยไม่ต้องแก้ไขหรือลงมือทำอะไรเลย

และเรื่องสีชมพูนี่ก็เป็นตัวอย่างอีกเช่นกันว่า
fixed mindset ไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องใหญ่เสมอไป
มันอาจเป็นแค่เรื่องไร้สาระ สนุกๆ ในชีวิตประจำวันด้วยซ้ำ

ยิ่งเราฝึกมอง fixed mindset ในเรื่องเล็กน้อยบ่อยเท่าไหร่
สายตาเรายิ่งแหลมคมขึ้นเท่านั้น

พอถึงเวลาต้องมอง fixed mindset ในเรื่องใหญ่จริงจัง
เราก็จะพร้อมมากขึ้น มองขาดขึ้น เพราะได้ฝึกฝนตัวเองมาแล้วไง

เดี๋ยวโพสต์หน้ามาต่อวิธีจัดการ fixed mindset แบบที่ 2 กับ 3 นะคะ

ณัฐ อยู่ดีดี
20.11.2025

#อยู่ดีดีlivewell



FB nananatte
IG
Youtube
Goodreads nananatte

ยังอยู่กับ Fixed Mindset ค่ะ มาดูตัวอย่างต่อกันคุณมีความคิดยังไงกับ 'ความเป็นผู้นำ' บ้างคะ?คนเป็นผู้นำต้อง Bold, Tough, ...
13/11/2025

ยังอยู่กับ Fixed Mindset ค่ะ มาดูตัวอย่างต่อกัน
คุณมีความคิดยังไงกับ 'ความเป็นผู้นำ' บ้างคะ?

คนเป็นผู้นำต้อง Bold, Tough, full of Masculine energy

ต้องมี energy แบบ High Achiever
ขยัน ตัดสินใจไว Productivity ระดับ Maximize เท่านั้นถึงจะเรียกว่าผู้นำ... รึเปล่า?

พอมองดูผู้คนเหล่านั้นแล้ว
หันมามองดูตัวเองแล้วก็... คอตก

'เออ เราคงเป็นผู้นำไม่ได้หรอก
ก็ฉันไม่ได้มีคุณสมบัติแบบนั้นเลยนี่นา' แล้วก็ถอนใจ

บรรทัดข้างบนนี้คือ Fixed Mindset ค่ะ

--

จริงเหรอที่คนจะเป็นผู้นำได้ต้องเป็นสายอัลฟ่าเท่านั้น?
ต้องเป็นคนแบบ แองเจลิน่า โจลี่ กันเลยใช่ไหมถึงจะสมใจความเป็นผู้นำในอุดมคติเรา?

ถ้าอย่างงั้น แล้วท่านติช นัท ฮันห์ หรือคุณเจน กูดออล คืออะไรล่ะ?

ทั้งคู่เป็นผู้นำแน่นอน แต่ใส เย็น อบอ้อมอารี
เวลาอ่านงาน หรือดูสัมภาษณ์ก็เหมือนหลุดไปอยู่ในชั้นบรรยากาศอื่นที่เวลาเดินช้าลง มีแต่ชั่วขณะเวลานี้เท่านั้น

แต่ทั้งคู่ก็เต็มไปด้วยพลัง ความหนักแน่นที่อ่อนโยนลื่นไหล ไม่เห็นมีความรู้สึก Bold and Masculine แบบ Typical ผู้นำแบบที่เราเชื่อฝังหัวเลยสักนิด

งั้นก็แล้วทำไมเราถึงมองท่านติช นัท ฮันห์ กับคุณเจน กูดออล เป็นผู้นำล่ะ?
อ๋อ เพราะทั้งคู่มี mission และใช้เวลาตลอดชีวิตขับเคลื่อน mission นั้นนั่นเอง

--

กลับมามองความเป็นผู้นำในตัวเราอีกครั้ง
ไม่ต้องเป็นสาย doing doing doing ที่ tough ตลอดเวลาก็ได้

ภาวะผู้นำไม่ใช่เรื่องของตำแหน่ง หรือการใช้อำนาจ
แต่มันคือการใช้ชีวิตให้ซื่อตรงกับ mission ของตัวเอง

mission ของเราคืออะไร?
แล้ววันนี้เราทำหรือยัง?

ภาวะผู้นำมันเริ่มจากจุดเล็กๆ แบบนี้ก็ได้
ไม่ต้องรอเป็นฮิตเลอร์ไปถล่มโลก
หรือเป็น โดนัลด์ ทรัมป์ หรือ อีลอน มัสก์ ที่ขยับตัวที ก็เหวี่ยงผู้คนไปมาทางนู้นทีนี้ที แล้วคนอื่นก็ต้องคอยวิ่งตามก็ได้

เริ่มจากจุดที่เรายืนอยู่
ทุกครั้งที่เราลงมือทำ ถึงจะเป็นแค่ก้าวเล็กๆ
ก็ทำให้ภาวะผู้นำในตัวเราผลิบานและเติบโตแล้ว

--

มองให้เห็น Fixed Mindset
challenge มัน
แล้ว Fixed Mindset ก็จะกลายเป็น Growth Mindset ได้แล้วล่ะค่ะ

ณัฐ อยู่ดีดี
13.11.2025

#อยู่ดีดีlivewell



FB nananatte
IG
Youtube
Goodreads nananatte

สารพัด fixed mindset ในการทำธุรกิจ กับ alex harmoziคุณเบนซ์สรุปเข้าใจง่ายจังเลย ^ ^
11/11/2025

สารพัด fixed mindset ในการทำธุรกิจ กับ alex harmozi
คุณเบนซ์สรุปเข้าใจง่ายจังเลย ^ ^

21 ความจริงเกี่ยวกับ ธุรกิจ ที่เจ้าของทุกคนต้องกล้ายอมรับ
(สำหรับคนที่กำลังรู้สึกว่าธุรกิจตัน หรือกำลังจะเริ่มธุรกิจดูอันนี้ก่อน)
เมื่อวานนี้ผมดูคลิปของ Alex Hormozi “Your Business Is NOT What You Think It Is”
40 นาทีที่เหมือนเอาค้อนเหล็กมาทุบ มายาคติ ที่เราใช้ทำธุรกิจเลย
เขาพูดในสิ่งที่เจ้าของธุรกิจส่วนใหญ่ ไม่อยากยอมรับ
แต่พอเข้าใจ…คุณจะมองธุรกิจตัวเองไม่เหมือนเดิมอีกเลย
และนี่คือ [21] ความจริงของเกมที่ชื่อว่า ธุรกิจ #อ่านจบปุ๊ปเก่งขึ้นปั๊ป
[1] ธุรกิจไม่ได้พังเพราะมันตัน แต่มันพังเพราะเราทำสิ่งผิด
เรามักโทษตลาด โทษคนอื่น โทษคู่แข่ง
แต่จริง ๆ แล้ว เราแค่เลือกแก้ปัญหาผิด
ถ้าเรายังเลือกวิธีการเดิมๆในการทำให้ธุรกิจไปต่อ นั้นแปลว่าเราแก้ปัญหาผิดเรื่องแล้ว เวลาธุรกิจโตขึ้นเราต้องแก้เรื่องใหม่ๆ
สิ่งที่พาเราให้มี 1 ล้านแรก จะไม่พาเราไปถึง 10 ล้าน
และ 10 ล้านก็จะไม่พอเราไปถึง 30 ล้าน ต้องแก้ปัญหาให้ถูกที่
[2] Gym ไม่ได้ขายกล้าม มันขาย การตลาด
Alex Hormozi เคยเจ๊งกับธุรกิจยิมยับๆเปิดกี่ทีก็ไปไม่รอดตอน อายุ 25 เพราะคิดว่าคนซื้อเพราะอยากแข็งแรงขึ้น
แต่จริงๆคนซื้อเพราะ เขาอยาก รู้สึกดี กับตัวเองตั้งแต่ก่อนเริ่ม
ยิมที่อยู่ได้ ไม่ใช่ยิมที่คนรัก แต่คือยิมที่ให้ความรู้สึกให้คนอยากรักตัวเอง
[3] Supplement อาหารเสริม ไม่ได้ขายสารอาหาร แต่มันขาย “แบรนด์และศรัทธา”
ลูกค้าไม่ได้ซื้อสูตรที่ดีที่สุด
เขาซื้อสิ่งที่ “เขาอยากเชื่อ” ว่าดีที่สุด
ถ้าสินค้าของเรายังไม่มีรสชาติของแบรนด์
ต่อให้ส่วนผสมเทพแค่ไหน มันก็แค่แป้งราคาแพง ที่คนไม่ยอมเสียเงิน
[4] Software ไม่ได้ขายคำพูด แต่มันขาย “สิ่งที่ Functionทำงานได้จริง”
Alex Hormozi สร้าง Software ชื่อ ALAN ขึ้นมาด้วย mindset ว่า
“ปิดการขายให้เก่งก็พอ”(เหมือนตอนทำ gym)
และเขาขายเก่งจริง รายได้พุ่งถึง 1.7 ล้านดอลลาร์ต่อเดือนใน 6 เดือนแรก แต่หลังจากนั้น ทุกอย่างพังหมด
เพราะทีม Dev ที่จ้าง Outsource มาเขียนโค้ดไว้แย่จนซ่อมไม่ไหว
ธุรกิจ Software ไม่ใช่ธุรกิจที่ต้องขายเยอะมากแต่ต้องทำให้ระบบ ทำงานได้จริงๆแบบที่ขายไว้
[5] Cleaning ไม่ได้ขายความสะอาด แต่มันขาย “คนที่ไว้ใจได้”
ลูกค้าของ Alex Hormozi คนหนึ่งเริ่มจากการทำความสะอาด Airbnb ของตัวเอง
จนกลายเป็นบริษัท Cleaning Service เต็มตัว
ตอนแรกเขาคิดว่าปัญหาคือ ยอดขายไม่พอ
แต่จริง ๆ แล้วมันคือ คนไม่ดีพอ
ไม่มีใครชอบงานล้างห้อง แต่ทุกคนอยากให้บ้านสะอาด
ปัญหาคือไม่มี แรงงานที่ไว้ใจได้
เขาเลยเปลี่ยนจาก Funnel หาลูกค้า ไปเป็น Funnel หาคนมาทำงาน
รับสมัคร-สัมภาษณ์-ฝึกอบรม เหมือนระบบขาย
รายได้โตจาก 30,000 ไป 150,000 ดอลลาร์ต่อเดือนในปีเดียว”
[6] Consulting ไม่ได้ขายความรู้ แต่มันขาย “ทีมที่เก่งกว่าคุณ”
บริษัทที่ให้คำปรึกษาส่วนใหญ่ตันเพราะเจ้าของอยากเป็นพระเอก
แต่บริษัทอย่าง McKinsey หรือ Bain โตได้
เพราะเขาไม่ได้ขายชื่อเสียงของ CEO
เขาขาย “ระบบฝึกคนเก่ง” ที่ผลิตคนรุ่นใหม่ขึ้นมาทุกเดือน
ถ้าอยากขยายบริษัท อย่าถามว่า “ฉันจะเก่งขึ้นยังไง”
แต่ถามว่า “ฉันจะสร้างทีมที่ฉลาดกว่าฉันได้ยังไง”
[7] Investing การลงทุนไม่ได้อยู่ที่ดีลเยอะ อยู่ที่ถูกดีล
Alex Hormozi ทำ 22 ดีลใน 2 ปีครึ่ง
แต่มีเพียง 4 ดีลที่สร้างผลตอบแทนกว่า 90% ของทั้งหมด
เขาบอกว่า
“เกมการลงทุนไม่ได้วัดที่คุณพูดคำว่า YES ได้เร็วแค่ไหน
แต่วัดที่คุณพูดคำว่า NO ได้ไวแค่ไหน อย่าเสียเวลากับอะไรที่ไม่ใช่
[8] ทุก โอกาสใหม่ๆ ที่ดูง่ายกว่า คือ หญิงในชุดแดง
ทุกครั้งที่เราทำธุรกิจแล้วรู้สึกว่ายาก จะมีสิ่งล่อใจใหม่ ๆ โผล่มา
Platform ใหม่ๆ, ไอเดียใหม่, โปรเจกต์ใหม่
แต่ความจริงคือ มันแค่ปัญหาแบบเดิม ในร่างใหม่ที่คุณยังไม่เจ็บ
Alex Hormozi เรียกสิ่งนี้ว่า “Woman in the Red Dress”
“เธอดูดีเพราะคุณยังไม่รู้ว่าเธอบ้าและประสาทกินแค่ไหน”
ส่วนใหญ่คนชอบคิดว่าเรื่องใหม่ๆจะไม่มีปัญหาเหมือนเรื่องเก่า
[9] ความยากคือสัญญาณของการเติบโต ไม่ใช่สัญญาณให้หนี
ธุรกิจที่ดีจะยากขึ้นทุกครั้งที่โต
ตอนเริ่มเราแก้ปัญหายอดขาย
แต่พอโต เราต้องแก้ปัญหาคน
และพอใหญ่ขึ้น เราต้องแก้ปัญหาตัวเอง
ทุก Level มีบอสคนใหม่เสมอ
จะผ่านไปได้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับว่า “เรายังกล้าสู้กับความยากไหม”
[10] ธุรกิจไม่เคยตัน เราแค่ยังไม่รู้วิธี Scale มัน
คำว่า “ตัน” แปลว่า “ฉันยังไม่เข้าใจระบบของมันดีพอ”
อย่าบอกว่า “ธุรกิจนี้โตไม่ได้” ถ้ายังไม่มีระบบให้คนอื่นทำแทนคุณ
เพราะถ้ามันพังตอนคุณไม่อยู่ นั่นไม่ใช่ธุรกิจ แต่มันคือ “Job"(งาน)
[11] Product ที่ดีไม่ใช่สิ่งที่ขายได้ครั้งเดียว แต่มันคือสิ่งที่ลูกค้าซื้อซ้ำโดยไม่ต้องมาเตือน
ถ้าคนซื้อครั้งเดียวแล้วหายไป เราแค่โฆษณาของบ้านๆให้คนอื่นรู้จัก
ของดีไม่ต้องตะโกน เพราะลูกค้าจะตะโกนแทนคุณเอง
[12] ถ้าไม่มีศรัทธาในธุรกิจของเรา เราจะหนีทุกครั้งที่มันเจ็บ
คนที่ทำเพื่อเงิน จะหนีเพราะมันยากไป
แต่คนที่ทำเพราะมันคือสิ่งที่ “เขาเชื่อ”
จะอยู่ต่อ แม้ว่าจะต้องเจ็บสัก 100 ครั้ง
ธุรกิจคือศาสนาเล็ก ๆ ของคนที่เชื่อในบางสิ่งมากพอที่จะสู้กับมันจนตาย
[13] คนที่โตไวที่สุด คือคนที่ ยอมรับความจริงได้มากที่สุด
ธุรกิจพังเพราะเจ้าของโกหกตัวเอง
บอกว่าลูกค้าไม่เข้าใจ ทั้งที่จริงคือ เรายังไม่เข้าใจลูกค้า
[14] ความล้มเหลวไม่ใช่บทลงโทษ แต่มันคือ “ภาษีแห่งความไม่รู้”
ทุกความพลาด เหมือนกับค่าเทอมที่ต้องจ่าย
เจ็บได้ แต่อย่าเจ็บฟรีเด็ดขาด
เพราะข้อมูลจากความผิดพลาดของคุณ
คือ Data ที่ไม่มีใครในตลาดมี
[15] อย่ารีบ Pivot ก่อนเข้าใจปัญหาจริง
ทุกธุรกิจมี Big Hairy Problem(ปัญหาพันกัน) ของมันเอง
ถ้ายังไม่รู้ว่าปัญหานั้นคืออะไร อย่าเพิ่งเปลี่ยนเกม
เพราะถ้ายังไม่เข้าใจเกมนี้ดีพอ เกมหน้า เราจะแพ้ด้วยเหตุผลเดิม
[16] ความเก่งไม่ใช่การสร้างเร็ว แต่มันคือ การรู้ว่าอะไรจะพัง
เจ้าของธุรกิจที่ฉลาดที่สุดไม่ใช่คนที่ทำทุกอย่างได้
แต่คือคนที่รู้ว่า อะไรจะพัง เมื่อไหร่ และต้องเตรียมอะไรไว้ก่อน
[17] ถ้ายังกลัว แปลว่ายังมีข้อมูลไม่มากพอ
Fear comes from not knowing what will happen next ยิ่งมีข้อมูลมากเท่าไหร่เรายิ่งไม่กลัว อนาคต
[18] ธุรกิจคือการเล่นกับ “ความไม่รู้” อย่างมีวินัย
เจ้าของธุรกิจไม่ต้องรู้ทุกอย่าง
แต่ต้องรู้ว่า รู้อะไร และ ไม่รู้อะไร
แล้วสร้างระบบหาคำตอบให้เร็วกว่าใคร
[19] คนที่รอดไม่ใช่คนเริ่มต้นเก่ง แต่คือคนที่ ไม่หนีตอนมันเริ่มยาก
ธุรกิจส่วนใหญ่ไม่ได้ตายเพราะไปต่อไม่ได้
แต่มันตายเพราะเจ้าของ เบื่อก่อนถึงจุดที่มันเริ่มดี
[20] อย่าพูดว่า “มันตันแล้ว” ให้พูดว่า “ยังไม่รู้วิธี”
คำว่า “ตัน” ปิดประตูของเราเลย
แต่คำว่า “ยังไม่รู้” เปิดทุกโอกาส
ธุรกิจโตได้เสมอ ถ้าเจ้าของยังอยากเรียนรู้
[21] ก่อนจะเริ่มธุรกิจใหม่. จงถามคนในวงการนั้นว่า
“อะไรคือปัญหาที่โคตรยากที่สุดในธุรกิจนี้?”
นั้นคือความจริงของธุรกิจนั้นที่เราต้องเจอ
---------------------------------
#สรุปแบบลงดาบ
ธุรกิจของคุณอาจไม่ได้พังเพราะมันยาก
แต่มันพังเพราะคุณหนีจากสิ่งที่ยากที่สุดของมัน
Every business is just a system built around one hard problem.
The moment you avoid that problem you stop growing - Alex Hormozi
เบ้นเข้าใจประโยคนี้เมื่อ 5-6 ปีก่อน ตอนที่ธุรกิจตัวเองเริ่มพัง
ไม่ใช่เพราะลูกค้าไม่ซื้อ ไม่ใช่เพราะทีมไม่ดี เรามีลูกค้า เรามีทีมที่ดี
แต่เพราะผมเอง เลือกแก้ปัญหาผิด มาหลายเดือน
ผมพยายามเริ่มใหม่หลายครั้ง เปลี่ยน product เปลี่ยนกลยุทธ์
จนสุดท้ายรู้ว่า สิ่งที่ต้องเปลี่ยนไม่ใช่ กลยุทธ์
แต่มันคือ มุมมองของผมที่มีต่อธุรกิจมันเองมันผิด มันยังไม่ถึงจุด ที่ต้องเปลี่ยน และเราก็ อดทนไม่พอที่จะยอมรับมันว่า
"สิ่งที่เราคิดอยู่ทั้งหมดมันผิดทาง"
ธุรกิจไม่ใช่สนามของ Passion มันไม่ใช่แค่ทำสิ่งที่รักแล้วจะชนะเลย มันต้องเจอเรื่องที่เราไม่รู้อีกเยอะเลย และต้องศึกษาให้มันผ่านไป
คนที่ชนะในเกมนี้ ไม่ใช่คนที่เริ่มใหม่เร็วที่สุด
แต่คือคนที่ กล้าทนอยู่กับการที่เราผิดพลาด ไม่ได้เรื่อง ได้นานที่สุด
ผมหวังว่าเรื่องนี้มันจะช่วยสร้างวันของคุณ

คำถาม: ทำยังไงถึงจะมองเห็น Fixed Mindset?พอมาพิจารณาทีละสเต็ปที่ตัวเองทำ ก็ตอบได้ว่า เราจะเห็น fixed mindset ได้เมื่อเกิ...
06/11/2025

คำถาม: ทำยังไงถึงจะมองเห็น Fixed Mindset?
พอมาพิจารณาทีละสเต็ปที่ตัวเองทำ ก็ตอบได้ว่า เราจะเห็น fixed mindset ได้เมื่อเกิดการตระหนักรู้ค่ะ (self-awareness)

ขั้นที่ 1 มองเห็นความคิดตัวเองให้ได้ก่อนเลย
แล้วจะพบว่า เราไม่ใช่ความคิดของเรา และภายในหัวเรามีความคิดอยู่เยอะชะมัด

ขั้นที่ 2 อยู่กับปัจจุบันสุดๆ ณ ขณะนั้น
แล้วจะเห็นว่าความคิดของเรามัน slow motion ลงจนช้าลงมาก (ไม่ก็ฝึกสติมาแข็งแรงดีแล้ว สติคมชัดก็เลยจับความคิดได้ไวขึ้น)

ขั้นที่ 3 พอเห็นความคิดชัดๆ จะเห็นเลยว่าความคิดไม่ได้มาในรูปก้อนๆ เดียว
แต่เหมือนโซ่ที่ร้อยต่อกัน ไม่ก็เป็นชั้นบางๆ โปร่งแสงหลายชั้นเหลื่อมทับกันไว้
(คือไม่ใช่ object เดียวอ่ะ แต่มีหลาย objects มาประกอบร่างกัน เราถึงมองเห็นมันเป็น 1 ความคิด)

พอเรามองความคิดแบบแยกส่วนแบบนี้ได้
ก็จะเห็นเองว่า 'โซ่ข้อไหน' หรือ 'ชั้นบางๆ ตรงไหน' ที่เป็น 'สิ่งที่ไม่ใช่ความจริง' แต่เป็นสิ่งที่เราคิดไปเอง

ไอ้นี่แหล่ะ fixed mindset ค่ะ

--

มาดูตัวอย่างแบบชัดๆ ค่ะ
อันนี้เป็น fixed mindset ชิ้นใหญ่ชิ้นแรกที่ณัฐเคยเห็น ก็เลยจำได้เป็นอย่างดี

--

ฤดูร้อนปี 2007 ระหว่างเดินเที่ยวคนเดียวในกรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้
ณัฐอยู่นอกเขตที่นักท่องเที่ยวชอบไปกันแล้ว กำลังกางแผนที่กระดาษหันซ้ายหันขวา แขนก็หนีบ Lonely Planet ติดตัวไว้ (ยุคนั้นยังไม่มี Google Maps)

เป้าหมายวันนั้นคือ เราจะไปดูบ้านเก่าของอดีตประธานาธิบดี เค้าเปิดบ้านให้เยี่ยมชมเป็นพิพิธภัณฑ์ค่ะ

หน้าร้อนที่เกาหลี ท้องฟ้าสวย แต่แดดแรงไม่ต่างจากเมืองไทย
เราไต่ขึ้นเนิน เนินแล้วเนินเล่า เลี้ยวไปเลี้ยวมา
ในที่สุดก็แน่ใจว่า... “ฉันหลงทางอยู่สินะ”

แล้วมันก็ผุดขึ้นมาในใจอย่างชัดเจนเลยว่า 'เราไม่ใช่คนชอบเที่ยว'

วินาทีนั้น ภาพพฤติกรรมที่ผ่านมาของตัวเองก็ flashback ขึ้นมาหมด
มองเห็นว่าตัวเองทุกสุดสัปดาห์ต้องจับรถบัส แล้วไปตระเวนจังหวัดโน้นนี้ของเกาหลีไม่หยุดหย่อน
เพื่อนๆ ทุกคนก็รู้โดยทั่วกันว่า ถ้าเสาร์อาทิตย์ไม่มีแผนไปไหน มากับเรารับรองได้คนจัดทริปให้แน่นอน...
ก่อนที่จะมาหลงทางเดินวนๆ อยู่ตรงนี้ ก็ใช้ชีวิตในโซลมา 2 สัปดาห์แล้ว

เราเคยเชื่อมาตลอดว่าตัวเองเป็นคนชอบท่องเที่ยวค่ะ
แต่วินาทีนั้น ภาพทุกอย่างมันซ้อนทับกันเป็นชั้นๆ แบบชัดมากเลยว่า..ใช่ เราชอบธรรมชาติ ชอบศิลปะ
แต่เราไม่ชอบการเดินทางเลยต่างหาก
เราชอบอยู่บ้าน รักความสบาย ที่มาแบกเป้ตรากตรำนี่ต่างหากที่ไม่ใช่เราเลย

ถ้าอย่างงั้น ก็แล้วทำไมที่ผ่านมาเราถึงเชื่อว่าตัวเองเป็นคนชอบเที่ยวล่ะ?

คำตอบก็ชัดอยู่ทนโท่ในเสี้ยววินาทีนั้นเลยว่า เราโตมากับสโลแกน Amazing Thailand
รัฐบาลปลูกฝังค่านิยมรักการท่องเที่ยวมาให้เราตั้งแต่เด็กแล้ว

ไหนจะภาพจำจากรายการโทรทัศน์ นิตยสาร ละครที่ถ่ายทำในต่างประเทศ และ pantip สะสมยอดเข้าไปอีก

ทุกสื่อก็เห็นพ้องต้องกันว่า "คนที่ไปเที่ยวนี่ดีจังเลย"
เราก็เลยหล่อหลอมตัวเองมา รับความเชื่อว่า "ไปเที่ยว = สนุกจัง ไปเที่ยว = เท่จังเลย" มาติดตั้งในตนเองโดยไม่รู้ตัว (สมาทานโดยไม่รู้ตัว)

ก็ใช้ชีวิตโดยยืม passion รักการท่องเที่ยวจากคนอื่นแบบนั้นอยู่หลายปีค่ะ

นั่นคือครั้งแรกที่ณัฐ 'เห็น' Fixed Mindset ของตัวเองชัดๆ ก็เลยจำได้ดี
เพราะทันทีที่มองเห็น
ภาพในหัวที่เยอะมากๆ นั้น มันจัดเรียงข้อมูลเสร็จสรรพในตัวเองสุดๆ
แล้วมันก็กระจ่างชัดเจนแก่ใจมากว่า 'หล่อนเป็นคนติดบ้าน' จ้ะ

--

หรืออย่างตอนนี้ ถ้าให้ณัฐมองความเชื่อเรื่องการท่องเที่ยวของตัวเอง
ข้อสรุปที่ได้ว่า 'ณัฐไม่ได้ชอบเที่ยว' เป็นข้อสรุปในหน้าร้อนปี 2007
ซึ่งเรายังเด็ก ยังมองอะไรเป็นขาว-ดำ ถูก-ผิด มี-ไม่มี ถึงได้สรุปว่าตัวเองไม่ชอบเที่ยว

แต่เราวันนี้ไม่ได้มองแบบนั้นค่ะ
เรามองว่าแต่ละคนมีพฤติกรรมการท่องเที่ยวแตกต่างกัน
เราอาจไม่ได้เป็นนักท่องเที่ยวขาลุย
ก็เป็นแค่คนติดบ้านคนหนึ่ง ที่ปีนึงถ้าได้ชมศิลปะสักที หรือเดินเล่นรับพลังจากป่าสักหนก็พอใจแล้ว
ที่เหลือขออย่าให้ได้เดินทางเลย ปล่อยฉันอยู่บ้านเถอะ

ดังนั้น fixed mindset ที่ถูกสำรวจแล้ว ก็อาจแค่อัพเกรดเป็น fixed mindset เวอร์ชั่นใหม่ก็ได้นะ
สาระสำคัญคือ เรามองเห็นตัวเราในปัจจุบัน และแยกแยะได้ไหมว่าตรงไหนคือการตีความ ความคิดเห็น ไม่ใช่ความจริง

เราคิดว่าแบบนั้นนะคะ

--

หรือวิธีที่ 2 ให้สังเกตเวลามีคนทักเราในจุดที่เรามองไม่เห็นตัวเอง

อย่างล่าสุด มีคนขอให้ณัฐตัดวิดิโอให้ ณัฐก็ตกใจมา เพราะเราไม่ได้มองตัวเองเป็น Video Editor เราก็ตัดได้แต่คลิปง่ายๆ อย่างที่ทุกคนเห็น

แต่พี่เค้าก็ว่า "อื้ม แค่นี้ก็พอแล้วล่ะ"

เจ้าหลานชายตัวน้อยก็เพิ่งมาเยี่ยมหาณัฐที่เชียงใหม่ แล้วก็ถามว่าณัฐเป็น youtuber เหรอ? (ตาปุ๊งปิ๊งเป็นประกาย)

เราจะตอบเด็ก 4 ขวบว่ายังไงดีล่ะ...
ก็ได้แต่ตอบไปว่า "ค่า เป็น youtuber ค่ะ ^ 0 ^ "

ว่าแล้วก็หยิบไมค์กับขาตั้งมือถือหลายไซส์มาให้หลานเล่น หลานชอบมากกกกกกกกกกกกก
แล้วดิฉันก็เลยกลายเป็น youtuber เพราะคุณหลาน verify & approve ดิฉันแล้วค่ะ

คือเราไม่ได้มองเห็นตัวเองว่าเป็นอย่างคุณ Peanut Butter หรือ Kyutae Oppa ก็เลยไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็น youtuber

สิบปีที่ทำคอนเทนต์หลายๆ แบบมา ก็ไม่เคยมองว่าตัวเองเป็น Content Creator

พอได้หยิบคำพูดของคนอื่นมาสำรวจตัวเองดู ก็เป็นอีกจุดเริ่มต้นเหมือนกันว่าณัฐมี fixed mindset อะไรอยู่ ถึงไม่ได้มองว่าตัวเองเป็น Content Creator หรือ Youtuber แต่นั่นก็ต้องสำรวจต่อไปค่ะ

ก็เลยเจอว่า มองหา fixed mindset ของตัวเองด้วยวิธีนี้ก็ได้เหมือนกันสินะ

--

จุดที่อยากฝากก็คือ ปกติเราจะเห็นหนังสือพัฒนาตัวเองกับพวกสัมมนา พูดแต่เรื่อง growth mindset
ซึ่ง... คนเราไม่ได้มี growth mindset ได้ด้วยการอยากมี growth mindset ค่ะ

แต่เราจะมี growth mindset ได้เพราะเริ่มจากเห็น fixed mindset ที่ตัวเองมีต่างหาก
'โซ่ข้อไหน' ที่เรามองข้ามไป
'ชั้นโปรงแสงชั้นไหน' ที่ซ้อนทับวิธีคิดของเราอยู่ แล้วเรามองไม่เห็น

มันต้องเริ่มจากมองให้เห็นจุดที่เป็น fixed mindset ของเราก่อนต่างหาก ถึงจะเคลียร์มันออกไปได้

และ fixed mindset จะเป็นเรื่องอะไรก็ได้ !
ได้ทุกเรื่องตั้งแต่เรื่องไร้สาระไปจนถึงเรื่องจริงจัง

พอไปยึดติดกับหนังสือพัฒนาตัวเองและการสัมมนาจัดในโรงแรมหรู คนก็ได้กระทำการยกคำว่า growth mindset ขึ้นไปไว้บนหิ้งแล้วเรียบร้อย = =;;;;

ไม่ค่ะ
fixed mindset จะเป็นกับเรื่องบ้าบอไร้สาระแค่ไหนก็ได้
เพราะเรามองเห็น fixed mindset ในเรื่องเล็กๆ ในชีวิตประจำวันพวกนี้ได้ไง เราถึงมองเห็น fixed mindset ในเรื่องจริงจังของตัวเองได้ด้วย

เราเองก็ยังมี fixed mindset รอให้สำรวจอีกมากมายค่ะ

เล่าจื๊อเองก็บอกไว้ว่า อยากได้ความรู้ ให้เติม
อยากได้ปัญญา ให้ตัดออก (จากเต้าเต๋อจิงบทที่ 48 ขออนุญาตแปลว่าปัญญาละกัน จะได้เข้าใจง่ายเนอะ)

ดังนั้น ถ้าอยากได้ growth mindset คุณจะไม่ได้มาด้วยการเติม
แต่ได้มาด้วยการตัดบางอย่างออกไปค่ะ

ขอบคุณคุณ สำหรับคำถามดีๆ ข้อนี้
ณัฐเองก็ได้ทบทวนตัวเองเยอะเลยเพื่อมาตอบคำถามนี้ค่ะ ^ ^

ณัฐ อยู่ดีดี
6.11.2025

ป.ล. รูปนี้ถ่ายที่พิพิธภัณฑ์ศิลปะฟ้าล้านนา จ.เชียงใหม่ค่ะ ^ ^

#อยู่ดีดีlivewell



FB nananatte
IG
Youtube
Goodreads nananatte

Reshelf แหล่งซื้อ-ขายหนังสือมือสองมาใหม่ค่ะPlatform ปล่อยหนังสือสำหรับหนอนชาวไทย ส่วนใหญ่เป็นสภาพบ้าน ไม่ใช่ร้านปล่อย (แ...
01/11/2025

Reshelf แหล่งซื้อ-ขายหนังสือมือสองมาใหม่ค่ะ
Platform ปล่อยหนังสือสำหรับหนอนชาวไทย ส่วนใหญ่เป็นสภาพบ้าน ไม่ใช่ร้านปล่อย (แต่ reshelf ก็เพิ่งเปิด มาดูยาวๆ กันไปอีกที)

ปลายปีแล้ว มาเคลียร์ชั้นหนังสือ และจัดสรรกองดองต่อไปค่ะ😆

WHAT'S UP: ปล่อยหนังสือเก่า เติมหนังสือใหม่ที่ไหนดี? รู้จัก ‘reshelf’ พื้นที่ซื้อขายหนังสือออนไลน์น้องใหม่
ไม่ว่าคุณจะเป็นคนที่ ‘อ่านหนังสือจบแล้วอยากส่งต่อ’ หรือ ‘อยากได้หนังสือมือสองเล่มที่ถูกใจ’ สามารถมาเจอกันได้ที่ ‘reshelf’ แพลตฟอร์มซื้อขายหนังสือออนไลน์น้องใหม่ ที่พาคนซื้อและคนขายมาเจอกัน
หนึ่งในเรื่องน่าหนักใจสำหรับคนรักหนังสือ คงเป็นต้องหักห้ามใจไม่ให้ซื้อหนังสือเติมเข้าชั้นบ่อยๆ เพราะเท่าที่มีก็ล้นจนไม่รู้จะล้นยังไง แม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าเราต้องยั้งตัวเองบ้าง แต่ก็ใช่ว่าจะทำได้ง่ายๆ เพราะหันไปทางไหนก็มีแต่เล่มที่อยากได้เต็มไปหมด กว่าจะรู้ตัวอีกทีหนังสือก็แทบจะเป็นเจ้าของห้องไปเสียแล้ว สวนทางกับเงินในกระเป๋าเงินที่ฟีบลงทุกวัน
แล้วคนที่เข้าใจปัญหานี้ดี คงเป็นใครไม่ได้นอกจากคนรักหนังสือเหมือนกัน อย่าง จีน่า—จิระชญา เศวตวาณิชกุล นักอ่านที่เคยประสบเหตุการณ์เหล่านี้ เธอจึงสร้าง reshelf เว็บไซต์สำหรับนักอ่านที่อยากปล่อยหนังสือที่รัก และตามหาหนังสือที่ชอบ โดยมีเป้าหมายไม่ใช่เพียงเพื่อเป็นตลาดกลางแลกเปลี่ยนสินค้าเท่านั้น แต่ยังตั้งใจเป็นพื้นที่สำหรับคนรักหนังสือได้มาแบ่งปันความชอบของตัวเองด้วย
วิธีการใช้ก็ไม่ยาก เพียงแค่สมัครสมาชิก และกรอกข้อมูลให้ครบถ้วน เท่านี้ก็สามารถเลือกซื้อและวางขายหนังสือได้เลย นอกจากนี้บนเว็บไซต์ก็มีฟิลเตอร์สำหรับการค้นหา ครอบคลุมทั้งหมวดหมู่หนังสือ ภาษา ราคา และสถานะสินค้า เพื่อให้เราหาหนังสือที่ตรงใจได้ง่ายๆ
แม้จะเพิ่งเปิดตัวเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา แต่ปัจจุบันเว็บไซต์มีนักอ่านเป็นสมาชิกไปแล้วมากกว่า 5,000 คน และสามารถส่งต่อหนังสือได้อีกกว่า 500 เล่ม สำหรับใครที่อยากเป็นส่วนหนึ่งของคอมมูนิตี้และเป็นกำลังใจให้กับทีมพัฒนา สามารถเข้าร่วมที่ www.reshelf.xyz ได้เลยนะ

#หนังสือ

มังงะ slice of life สุดจะฮีลใจ ใคร 30+ โดยเฉพาะคนทำงานสายศิลป์ ควรมีติดบ้านอย่างยิ่ง8 เล่มเองก็จบแล้ว งื้อออ... มันดีมาก...
01/11/2025

มังงะ slice of life สุดจะฮีลใจ ใคร 30+ โดยเฉพาะคนทำงานสายศิลป์ ควรมีติดบ้านอย่างยิ่ง
8 เล่มเองก็จบแล้ว งื้อออ... มันดีมาก ยังไม่อยากให้จบเลย

ป.ล. นี่ยังไม่ได้อ่านเล่ม 8 ไม่รู้เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้นถึงจบไวขนาดนี้

ที่อยู่

Chiang Mai

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ nananatteผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

แชร์

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram