ณเรศการแพทย์ Medical & Psychiatic clinic โรคทั่วไป และ ปัญหาทางจิตเวช

ณเรศการแพทย์ Medical & Psychiatic clinic โรคทั่วไป และ ปัญหาทางจิตเวช สุขภาพกาย และ ใจ
ปัญหาทางจิตเวช ภาวะปวดเรื้อรัง เครียด วิตกกังวล นอนไม่หลับ แพนิก ซึมเศร้า สารเสพติด

สุขภาพกายและใจ ให้เราดูแล ทุกปัญหามีทางแก้ เพียงแค่..นึกถึงเรา

https://www.facebook.com/share/p/1FYZ4GfJMF/?mibextid=wwXIfr
02/12/2025

https://www.facebook.com/share/p/1FYZ4GfJMF/?mibextid=wwXIfr

หากเป็นซึมเศร้าแล้ว
ยาคือจุดเริ่มต้นที่ควรเริ่ม

แต่มันไม่ใช่ทุกสิ่ง ต้องแทบจะปรับทุกจุกในชีวิตเลย ให้ทุกอย่างมุ่งสู่การงอกของเซลล์ประสาทกลับมาให้ทำงานได้ด้วยตัวมันเองค่ะ

https://www.facebook.com/share/p/1CnymeB5c3/?mibextid=wwXIfr
25/11/2025

https://www.facebook.com/share/p/1CnymeB5c3/?mibextid=wwXIfr

❤️ หลักการปฐมพยาบาลทางใจสำหรับ #ผู้ประสบภัยน้ำท่วม

1) #รู้สึกปลอดภัย
พาไปอยู่ในพื้นที่ปลอดภัย อบอุ่น แห้ง และให้ผู้ประสบภัยรู้ว่าตอนนี้เขาได้รับการดูแลแล้ว

2) #เชื่อมใจสัมพันธ์
ช่วยให้เขาได้ติดต่อกับครอบครัว คนใกล้ชิด หรือคนในชุมชน เพื่อไม่ให้รู้สึกโดดเดี่ยว

3) #ข้อมูลจำเป็น
ให้ข้อมูลที่ชัดเจนเกี่ยวกับจุดอพยพ ความช่วยเหลือ อาหาร น้ำ ยา และช่องทางติดต่อหน่วยงาน

4) #สงบเย็นผ่อนคลาย
ช่วยตั้งสติ หายใจผ่อนคลาย ลดความตื่นตระหนกจากสถานการณ์ฉุกเฉิน

5) #อยู่อย่างมีหวัง
ให้กำลังใจว่าเหตุการณ์ครั้งนี้จะผ่านไป มีทีมช่วยเหลือ และสภาพแวดล้อมจะค่อยๆ ดีขึ้น

6) #เติมพลังตนเอง
สนับสนุนให้พักผ่อน ดื่มน้ำ ทำกิจวัตรเล็กๆ ที่ช่วยให้รู้สึกว่าควบคุมชีวิตตัวเองได้

รู้สึกปลอดภัย - เชื่อมใจสัมพันธ์ - ข้อมูลจำเป็น - สงบเย็นผ่อนคลาย - อยู่อย่างมีหวัง - เติมพลังตนเอง

#เราจะผ่านวิกฤตครั้งนี้ไปด้วยกัน ❤️

#น้ำท่วมหาดใหญ่ #น้ำท่วมหาดใหญ่68

19/11/2025

คลินิกหยุด
19-23 พ.ย.68
เปิด 24 พ.ย. 13:00น. ครับ

https://www.facebook.com/share/p/17oPPEEA6J/?mibextid=wwXIfr
31/10/2025

https://www.facebook.com/share/p/17oPPEEA6J/?mibextid=wwXIfr

น่ากลัวกว่าผี ก็บุหรี่ไฟฟ้านี่แหละ !
สสส.เตือน 4 บุหรี่ไฟฟ้า มาแนวใหม่ น่ารัก ทันสมัย แต่โทษไม่เบา แถมระบาดหนักในเยาวชน

โดยข้อมูลจาก สสส.เปิดเผยว่า ปัจจุบันบุหรี่ไฟฟ้ามีรูปแบบใหม่ๆ มาเพื่อหลอกล่อให้เยาวชนสนใจ และหันมาสูบบุหรี่ไฟฟ้ามากขึ้น ได้แก่

1.ทอยพอด บุหรี่ไฟฟ้าหน้าตาคล้ายของเล่น หรือตุ๊กตา
2.พอดจมูก สูบผ่านจมูกคล้ายยาดม
3.นิโคตินพาวช์ ถุงซองนิโคตินใช้เหน็บระหว่างเหงือกกับริมฝีปาก
4.พอดเค บุหรี่ไฟฟ้าที่ถูกดัดแปลงใส่น้ำยาผสมเคตามีนหรือยาสลบ ทำให้เมา เคลิ้ม มีผลกระทบต่อสุขภาพรุนแรง เช่น ประสาทหลอน นำไปสู่โรคจิตเภท ทำให้กล้ามเนื้อขาดออกซิเจน อาจหมดสติ และเสียชีวิตได้ นอกจากนี้ สารนิโคตินในบุหรี่ไฟฟ้ามีอันตราย ส่งผลต่อพัฒนาการสมอง เพิ่มความเสี่ยงโรคปอดอักเสบรุนแรง และภาวะซึมเศร้า

จากสถิติยังพบว่า คนไทยสูบบุหรี่ไฟฟ้ามากขึ้นถึง 11 เท่า ในจำนวนนี้เป็นเด็กและเยาวชนกว่า 2.5 แสนคน จึงใช้โอกาสในเทศกาลฮาโลวีนนี้ รณรงค์ “หยุดผีบุหรี่ไฟฟ้า” ในเด็กและเยาวชน เพื่อไม่ให้ระบาดหนักต่อไป

อ่านข่าวต่อ : https://www.ejan.co/news/5240btbrhlyo

23/10/2025

คลินิกหยุด 23 ต.ค.68
เปิด 24 ต.ค.68
13:00น. ครับ

https://www.facebook.com/share/p/17Zk4wMhTw/?mibextid=wwXIfr
21/10/2025

https://www.facebook.com/share/p/17Zk4wMhTw/?mibextid=wwXIfr

#โรควิตกกังวลกับความเจ็บป่วย ( Illness Anxiety Disorder)

~~•*•~~•*•~~•*•~~•*•~~•*•~~•*•~~•*•~~•*•

วันนี้เรามารู้จักอีกโรคหนึ่งทางจิตเวชกันครับ ... นั่นคือโรคกังวลว่าจะเป็นโรค 🙂

ภาวะนี้ เดิมที(ในเกณฑ์การวินิจฉัยฉบับ DSM-IV) เรียกว่าโรค hypochondriasis

ส่วนในการวินิจฉัยทางจิตเวชในปัจจุบัน (DSM-5) ใช้คำว่า illness anxiety disorder ซึ่งในภาษาไทยผมแปลตรงตัวเลยว่า
“โรควิตกกังวลกับความเจ็บป่วย”

> อาการเด่น คือ
ผู้ป่วยจะกังวลหมกมุ่นว่าตัวเองเป็นโรคร้ายแรงอะไรบางอย่าง โดยความกังวลนี้เป็นอย่างรุนแรง ต่อเนื่อง และไม่หายไป แม้แพทย์จะตรวจยืนยันแล้วว่าไม่เป็นอะไรก็ตาม (หรืออาการนั้นอาจหายไปแล้วก็ตาม)

> พบได้บ่อยแค่ไหน?
พบได้ร้อยละ 1-2 ในประชากรทั่วไป
และพบมากถึงร้อยละ 3-8 ของผู้ป่วยในคลินิกหรือโรงพยาบาล

> อาการของโรควิตกกังวลกับความเจ็บป่วย
โรคนี้จะมีอาการเด่น 3 ข้อดังต่อไปนี้

1. ผู้ป่วยจะกังวลและหมกมุ่นว่าตัวเองป่วยหรือกำลังจะป่วยด้วยโรคทางกายที่ร้ายแรงบางอย่าง

2. ผู้ป่วยส่วนใหญ่ไม่ได้มีอาการทางกายที่รุนแรงหรือชัดเจน หรือถ้ามีก็เป็นเพียงอาการเล็กน้อย/ชั่วคราว ที่ไม่ได้บ่งชี้ว่าเป็นโรคที่รุนแรง

3. ความกังวลและหมกมุ่นนี้ไม่หายไป แม้จะไปตรวจ และแพทย์ไม่พบความผิดปกติที่ร้ายแรงก็ตาม ทำให้ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักมีพฤติกรรมไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจซ้ำๆ


จุดสำคัญ ก็คือ
ผู้ที่ป่วยมักจะมีอาการทางกายเพียง *เล็กน้อย*ที่ *พบได้ทั่วไป* หรือคนส่วนใหญ่ก็เป็น
เช่น ปวดหัว แสบลิ้นปี่ ปวดหลัง หรือปวดกล้ามเนื้อ เป็นต้น

แต่ ผู้ป่วยจะมีความกังวล *อย่างมาก* ว่าจะเป็นโรคร้ายแรง
เช่น ปวดหัวก็กลัวว่าจะเป็นเนื้องอกในสมอง หรือแสบท้องก็กังวลว่าจะเป็นมะเร็ง

* แม้ว่าจะได้รับการตรวจอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว *

ผู้ป่วยจึงมักไปตรวจกับแพทย์ แต่ถึงแม้ว่าแพทย์กี่คนๆจะตรวจ และบอกว่าไม่ได้เป็นโรคร้ายแรง หรือตรวจไม่พบความผิดปกติอะไร ผู้ป่วยก็ยังไม่หายกังวล หรือหายก็หายเพียงไม่นาน เมื่อมีอาการอีกก็กลับมากังวลใหม่

ทำให้ผู้ป่วยมักมีพฤติกรรมไปพบแพทย์ซ้ำๆ โดยอาจจะเป็นแพทย์คนเดิมหรือเปลี่ยนแพทย์คนใหม่ไปเรื่อยๆ เพื่อขอตรวจซ้ำๆ

ผู้ป่วยส่วนหนึ่งนอกจากไปพบแพทย์แล้วอาจหาข้อมูลด้วยตัวเอง เช่น ค้นหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ต ซึ่งผู้ป่วยหลายคนยิ่งอ่าน ก็ยิ่งกังวลมากขึ้น หรือกลัวว่าจะเป็นโรคอื่นๆ (ที่พึ่งอ่านเจอ) มากขึ้น

> การดำเนินโรค

โรควิตกกังวลกับความเจ็บป่วยนี้ส่วนใหญ่จะพบในวัยผู้ใหญ่ ในขณะที่เด็กกับวัยรุ่นแทบจะไม่เป็นเลย
โดยตัวโรคมักเป็นแบบเรื้อรัง ผู้ป่วยจะอาการติดต่อกันหลายปี
โดยมีอาการรุนแรงเป็นพักๆ ในช่วงที่มีความเครียดในชีวิต หรือบังเอิญมีความเจ็บป่วยทางกายเกิดขึ้น

> การรักษา

ยาหลักคือ ยาต้านเศร้า(antidepressant) บวกกับยาตัวช่วย เช่น ยาคลายกังวล จะช่วยให้อาการดีขึ้น
นอกจากนี้การปรับพฤติกรรม และวิธีคิด รวมถึงการทำจิตบำบัดจะช่วยให้ดีขึ้นได้
แต่ดีที่สุดคือใช้ทั้งสองอย่างร่วมกัน

แต่...
ส่วนใหญ่ผู้ป่วยไม่ได้มาพบจิตแพทย์หรอกครับ แต่จะไปวนเวียนอยู่กับแพทย์สาขาอื่นๆ เพราะความกังวลนั้นเป็นความกลัวว่าจะเป็นโรคอะไรสักอย่าง ... ทำให้ผู้ป่วยมักปฏิเสธการพบจิตแพทย์

-------------------------------------------------

คำแนะนำสำหรับแพทย์สาขาอื่นๆ ก็คือ

1. ให้การตรวจรักษาที่เหมาะสม โดยเน้นที่การอธิบายและให้ความรู้ความเข้าใจถึงผลการตรวจ จะช่วยให้ผู้ป่วยกังวลน้อยลง

2. นัดผู้ป่วยมาพบแพทย์เป็นระยะอย่างสม่ำเสมอ ไม่ว่าผู้ป่วยจะมีอาการหรือไม่ก็ตาม
การให้ความมั่นใจว่าแพทย์ติดตามดูอาการอยู่ตลอดจะช่วยให้ผู้ป่วยสบายใจมากขึ้น และไม่เปลี่ยนแพทย์ไปเรื่อยๆ

3. ในขณะเดียวกันการตรวจพิเศษต่างๆ (เช่น เจาะเลือด หรือเอกซเรย์คอมพิวเตอร์) ควรทำเฉพาะเมื่อมีข้อบ่งชี้ทางการแพทย์จริงๆ เท่านั้น ไม่ควรตรวจตามที่ผู้ป่วยต้องการ เพราะมักไม่ช่วยอะไร และผู้ป่วยมักจะขอตรวจเพิ่มไปเรื่อยๆ

~~•*•~~•*•~~•*•~~•*•~~•*•~~•*•~~•*•~~•*•

เครดิตบทความ : หมอคลองหลวง

เครดิตภาพ : https://images.app.goo.gl/XePQgUCt48JSbMHD7

https://www.facebook.com/share/p/1KGjgzjScY/?mibextid=wwXIfr
20/10/2025

https://www.facebook.com/share/p/1KGjgzjScY/?mibextid=wwXIfr

#การจัดการความเครียด

โรคเครียด คือ อะไร ?
(หรือ ทางการแพทย์เรียกว่า ภาวะ "การปรับตัวผิดปกติ")
(Adjustment disorder)
และ แนวทางการดูแลตัวเองเมื่อเครียด

เมื่อเจอภาวะกดดัน ผิดหวัง หรือ เกิดการเปลี่ยนแปลงในชีวิต
เป็นธรรมดาที่จะทำให้รู้สึก เครียด วิตกกังวล สับสน งุนงง หวั่นไหว เซ็ง เบื่อ เศร้า เสียใจ หงุดหงิด ได้เป็นธรรมดา
ซึ่งเรียกว่า "เป็นปฏิกิริยาการปรับตัวปกติ" ของจิตใจ
(Adjustment reaction/ normal reaction)

ในทางตรงข้ามถ้าเจอเรื่องแย่ๆ หนักๆ กดดัน
แต่ไม่รู้สึกอะไรเลย อาจเป็นเรื่องแปลกมากกว่า

เพราะ อะไรจึงเป็นเช่นนั้น

เพราะ มนุษย์ปุถุชนปกติ เมื่อเจอเรื่องแย่ๆ เรื่องกดดัน
ย่อมรู้สึกหนักใจ ทุกข์ใจได้เป็นธรรมดา
อันเนื่องมาจาก เป็นกลไกป้องกันตัวของมนุษย์อย่างหนึ่ง คือ

จิตใจกำลังเตรียมพร้อมรับสถานการณ์ที่กำลังรู้สึกไม่ชอบมาพากล

เพราะ เหตุการณ์เลวร้ายกำลังจะเกิดแล้ว
เหตุการณ์นี้ กำลังจะสั่นสะเทือน คุกคาม ต่อ ความสุข ความสบาย ความมั่นคง ในชีวิตของเราแล้ว >

https://www.facebook.com/share/p/17TvwtbJr1/?mibextid=wwXIfr
16/10/2025

https://www.facebook.com/share/p/17TvwtbJr1/?mibextid=wwXIfr

#โรคไบโพลาร์_BipolarDisorder
#แนวทางและผลการรักษาในระยะยาว

^•~*^•~*^•~*^~•~*^•~*^•~*^•*^~

หากผู้ป่วยไบโพลาร์ยอมรับการรักษา อาการจะดีขึ้นใน 14 วัน
อาจจะมิได้ดีมาก แต่จะดีขึ้นแน่นอน

ทั้งนี้มีเงื่อนไข 2-3 ข้อ คือ

1. ต้องพบจิตแพทย์

2. ได้ยาที่ถูกต้องในขนาดที่สูงพอ

3. กินยาตามคําสั่งแพทย์อย่างเคร่งครัดโดยไม่มีเงื่อนไข
................................................…………..

⭕ 1. #ต้องพบจิตแพทย์

ประเด็นสําคัญของการรักษาโรคทางจิตเวชใด ๆ รวมทั้งโรคไบโพลาร์ มิได้มีเรื่องยาแต่เพียงอย่างเดียว
แต่ยังมีประเด็นเรื่องปฏิสัมพันธ์ ระหว่างผู้ป่วยกับจิตแพทย์ด้วย
การวางตัวของจิตแพทย์เป็นปัจจัยสําคัญที่ทําให้ผู้ป่วยดีขึ้น

⭕ 2. #ได้ยาที่ถูกต้องในขนาดที่สูงพอ

การให้ยาผู้ป่วย แพทย์มี 2 วิธี คือ

วิธีที่หนึ่ง ให้ยาในขนาดน้อยแล้วค่อยๆ เพิ่มยา เพราะถ้าให้ยาในขนาดสูงผู้ป่วยจะทนยาไม่ไหว { มักใช้ในกรณีที่อาการไม่มากนัก รักษาแบบผู้ป่วยนอกได้ }

หรือวิธีที่สอง ให้ยาในขนาดสูงที่ถูกต้องทันที เพื่อให้ผู้ป่วยดีขึ้นและหายเร็วที่สุด { มักใช้ในกรณีที่อาการรุนแรง จนอาจจำเป็นต้องรักษาแบบผู้ป่วยใน }

ขึ้นอยู่กับโรคที่เป็น ยาที่ให้ และประสบการณ์ที่แพทย์​มี

⭕ 3. #กินยาตามคําสั่งแพทย์อย่างเคร่งครัดโดยไม่มีเงื่อนไข

เมื่อเป็นผู้ป่วย สิ่งที่ต้องทําคือกินยา และกินยาให้ครบตามที่จิตแพทย์สั่ง

การกินยาไม่ครบตามขนาด (Dose) ที่ถูกต้องมิได้ช่วยอะไร
การใช้ยาคลายเครียดหรือยานอนหลับไม่มีประโยชน์อะไร {... หากไม่มียาหลัก ซึ่งได้แก่ ยาปรับอารมณ์ }

ที่จิตแพทย์จะให้คือ ยาปรับอารมณ์ (Mood Stabilizer) ในขนาดที่ถูกต้อง
ร่วมกับยาประเภทอื่นๆ ตามที่มีข้อบ่งชี้

ซึ่งผู้ป่วยโรคไบโพลาร์แต่ละคนจะได้รับยาไม่เหมือนกัน

นอกเหนือจากกินยาในขนาดที่ #สูงพอ แล้ว ยังต้องกินยาให้ #นานพอ
..................................................

ภายใน 14 วัน หากอาการดีขึ้น
ขอให้ติดตามการรักษาและนัดหมายกับแพทย์อย่างเคร่งครัด

ผู้ป่วยจะอาการดีขึ้นเรื่อย ๆ อย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งเกือบจะเป็นปกติภายใน 90 วัน

และหากยังไม่ชะล่าใจหยุดยาเสียก่อน หรือใจร้อนเปลี่ยนหมอเสียก่อน

ผู้ป่วยจะดีขึ้นไปอีกเรื่อย ๆ จนกระทั่งเป็นปกติในเวลา 6 เดือน

** แน่นอนว่าโรคทุกโรคย่อมมีข้อยกเว้นสําหรับผู้ป่วยที่มีอาการหนักมากและรุนแรงมาก
แต่ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะตอบสนองยาอย่างดี ตามระยะเวลาที่ว่ามา


🔜 หลังจากดีขึ้นแล้ว ผู้ป่วยยังต้องกินยาไปอีกอย่างน้อย 2 ปี ถึงมีโอกาสหยุดยาได้ตามที่แพทย์เห็นสมควร

หากหยุดยาแล้วกลับเป็น​ซ้ำอีกรอบที่ #สอง จิตแพทย์ส่วนใหญ่จะขอให้ผู้ป่วยกินยาครบ 5 ปี เป็นอย่างน้อย
หากยังไม่ครบ 5 ปี แล้วท่านยังจะเสี่ยงหยุดยาก็เสี่ยงได้

แต่ถ้ากลับมาเป็นซ้ํารอบที่ #สาม จะมีคําตอบอย่างชัดเจนว่า “ท่านต้องกินยาไปตลอดชีวิต หยุดยาไม่ได้”

^•~*^•~*^•~*^~•~*^•~*^•~*^•*^~

เครดิตบทความ : หมอมีฟ้า เรียบเรียง​จาก หนังสือ “โรคไบโพลาร์” โดย นายแพทย์ ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์

เครดิตภาพ : https://images.app.goo.gl/2u8fYx2WqhZDK9bu8

12/10/2025

คลินิกปิด12-13 ต.ค
เปิด 14 ต.ค.68 13:00น ครับ

https://www.facebook.com/share/17Rkg9yhmJ/?mibextid=wwXIfr
10/10/2025

https://www.facebook.com/share/17Rkg9yhmJ/?mibextid=wwXIfr

บทความนี้อยากให้ผู้ปกครองทุกคนอ่านค่ะ เป็นเรื่องใกล้ตัว ที่อยากให้ทำความเข้าใจ

เพราะเดี๋ยวนี้มีเคสที่พ่อแม่ ผู้ปกครองพาเด็กมาปรึกษาหมอในเรื่องปัญหาการใช้งานอุปกรณ์หน้าจอ เช่น สมาร์ทโฟน แท็บเล็ต การใช้งานอินเตอร์เน็ตต่างๆ พบมากขึ้นเรื่อยๆ

เคสเหล่านี้เป็นเคสที่รักษาไม่ง่ายเลย เพราะปัญหามักจะสะสมเรื้อรังบานปลาย (ปวดหัวกันไปทั้งพ่อแม่ ผู้ปกครอง เด็กๆ รวมทั้งหมอเองด้วย)

ไม่ว่าจะเป็นเล่นเกม โซเชียลมีเดีย YouTube TikTok เป็นต้น (เช่น ติดหน้าจอมาก จนไม่ทำกิจกรรมอื่น แยกตัว นอนดึก บางคนไม่ทำการบ้าน งานค้าง ไม่ทำกิจวัตรประจำวัน ทะเลาะกับพ่อแม่ มีปัญหาอารมณ์ หงุดหงิด ก้าวร้าว ฯลฯ)

มีปัญหาทั้งเรื่องการเรียน ความสัมพันธ์ภายในบ้าน ความรับผิดชอบ การดูแลตัวเอง การใช้งานไม่เหมาะสม ถูกมิจฉาชีพในออนไลน์หลอก (เหมือนข่าวเด็กผู้หญิงอายุ 8 ขวบที่เพื่อนในอินเตอร์เน็ตบอกให้ส่งรูปโป๊ไปให้ โชคดีที่พ่อมาเห็นก่อน)

เด็กที่หลงไปเล่นพนันออนไลน์ เด็กที่เสียเงินไปกับเกมเป็นจำนวนหลายหมื่นเพราะดูไม่เท่าทัน) ติดเกมจนขดมยเงินพ่อแม่ โกหกต่างๆ นาๆ ถ้าปล่อยทิ้งไว้บางทีกลายเป็นปัญหาที่ต่อเนื่องไปในอนาคต ฯลฯ

เห็นแล้วรู้สึกเป็นห่วงเด็กๆ และครอบครัวเป็นอย่างยิ่ง


ส่วนใหญ่พบว่าปัญหาที่เกิดขึ้นมา มีสาเหตุจาก สิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะการเลี้ยงดูของผู้ปกครอง ที่สะสมบ่มเพาะกันมานาน ทั้งตั้งใจและไม่ตั้งใจ

วันนี้หมอจึงอยากเขียนบทความ โดยรวบรวมปัญหาที่มักจะพบในครอบครัว ตามประสบการณ์ของหมอที่ได้คุยกับหลายครอบครัวที่มีปัญหาเรื่องนี้

คุยไปคุยมาก็เหมือนกรอเทปกลับไปกลับมา เกือบทุกครอบครัวก็มีที่มาของปัญหาคล้ายๆ กัน

ถ้าหากเข้าใจและรู้ที่มาและแก้ตั้งแต่ต้น คิดว่าน่าจะเป็นการป้องกันก่อนที่ปัญหาจะเกิดขึ้น


10 สิ่งที่หมอมักจะพบในครอบครัวที่เด็กๆ เกิดปัญหาในการใช้งานอุปกรณ์หน้าจอต่างๆ

1. ผู้ปกครองซื้อสมาร์ทโฟน แท็บเล็ต ที่ต่ออินเทอร์เน็ตได้โดยไม่ได้วางแผนตั้งกติกาก่อน(พอซื้อให้เด็กแล้ว เด็กก็บอกว่าเขาเป็นเจ้าของ จะใช้ยังไงก็ได้ตามสบาย พ่อแม่ไม่มีสิทธิ์บังคับ ตรงนี้ป้องกันได้ด้วยการตกลงอย่างเป็นลายลักษณ์อักษร มีการเขียนสัญญาการใช้งานที่ชัดเจน ซึ่งหมอเคยเขียนบทความรายละเอียดไว้หลายปีก่อน ไปหาอ่านกันได้ แต่ถ้าหาไม่เจอเดี๋ยวจะเอามาแปะให้ในคอมเมนท์) หรือตั้งแล้วแต่ไม่ใช้กติกาจริงจัง ขึ้นลงเปลี่ยนไปตามอารมณ์พ่อแม่

2. ผู้ปกครองไม่ปลูกฝังทักษะในเรื่องระเบียบวินัย การควบคุมตัวเอง การจัดระเบียบชีวิต ให้รู้ว่าต้องทำอะไรก่อนหลัง ให้เด็กก่อนจะซื้ออุปกรณ์ให้

3. ผู้ปกครองไม่มีเวลาให้เด็ก สัมพันธภาพพื้นฐานไม่ดี เช่น ช่วงเด็กเล็กๆ ให้ญาติเลี้ยงเป็นส่วนใหญ่ พ่อแม่ทำงานมาก พอจะมาสอนทีหลัง เด็กไม่สนิท ทำให้ไม่เชื่อฟัง มีแนวโน้มต่อต้านได้ง่าย

4. ผู้ปกครองมีภาวะ เครียด กังวล ซึมเศร้า ปัญหาการจัดการอารมณ์ ฯลฯ ทำให้เวลาสอนเด็กทำไม่ได้ดี ขึ้นลงตามอารมณ์ เช่น บางทีใช้การบังคับด้วยอารมณ์รุนแรง บางทีก็ยอมหรือปล่อยเล่นตามใจเด็ก มีปัญหาการตัดสินใจต่างๆที่ไม่แน่นอน ส่งผลต่อการพูดคุย สื่อสารกับเด็ก จะไม่ชัดเจน ทำให้เด็กไม่เชื่อฟัง เด็กสับสน ผู้ใหญ่ก็สับสน

5. ผู้ปกครองเองไม่ทำตัวเป็นตัวอย่างที่ดีในการใช้งานให้เด็กเห็น เช่น พ่อแม่ก็ติดอุปกรณ์หน้าจอมาก มีงานวิจัยที่บอกว่าผู้ปกครองที่ใช้หน้าจอมาก เด็กก็จะใช้มากไปด้วย

6. เด็กมีภาวะบางอย่างที่ทำให้เกิดปัญหาการใช้งานได้ง่าย

-ควบคุมตัวเองในการใช้งานได้ไม่ดี บังคับตัวเองไม่ได้ เช่น สมาธิสั้น(เด็กจะมีปัญหาไม่รู้จักวางแผน จัดระเบียบชีวิตก่อนหลัง ผลัดวันประกันพรุ่ง ไม่รักษาเวลา ควบคุมตัวเองไม่ดีฯลฯ)

-เด็กที่มีความเครียด มีปัญหาครอบครัว ปัญหาสุขภาพจิต (ใช้การเล่นอินเทอร์เน็ตเพื่อช่วยให้สบายใจ หนีจากโลกความเป็นจริง)

-เด็กที่มีปัญหาปฏิสัมพันธ์ทางสังคม ไม่ค่อยมีเพื่อนในชีวิตจริง ทำให้ไปหาเพื่อนในโลกออนไลน์แทน

7. ผู้ปกครองที่กลัวเด็กจะโกรธ โมโห ถ้าไปตั้งกติกาอะไร เด็กกลุ่มนี้ชอบใช้เสียงดัง โวยวาย พ่อแม่ห่วงเด็กจะหงุดหงิด เลยกลายเป็นปล่อยให้เล่น เด็กก็จะจำไว้ว่า ถ้ายิ่งเสียงดังยิ่งโวยวาย พ่อแม่ก็จะยอมตาม แบบนี้ก็จะยิ่งเสียงดัง โวยวาย และพ่อแม่ต้องยอมไปเรื่อยๆ (บางทีจะพบในผู้ปกครองที่มีความรู้สึกผิดในบางเรื่องกับลูก เพราะรู้สึกผิดก็เลยคิดว่าไม่อยากไปบังคับหรือห้ามอะไรมาก)

8. ผู้ปกครองที่ไม่รู้เท่าทันหรือขาดความรู้ความตระหนักในเรื่องการจัดการควบคุมการใช้งานอินเทอร์เน็ต

ยกตัวอย่าง ผู้ปกครองคนหนึ่งบอกว่าลูกเล่นมือถือ เกม ยูทูบ จนไม่นอน แต่ถามรายละเอียด พ่อแม่ก็ไม่ได้ไปปิดสัญญาณ WIFI บ้านตอนกลางคืน ไม่ได้ควบคุมเรื่องของซิมอินเทอร์เน็ต ลูกจึงเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้ตลอด แถมให้เงินลูกไปเติมเกมโดยไม่จำกัด ตรงนี้จะมีปัญหามากกว่าพ่อแม่ที่รู้เท่าทันและมีการวางแผน

พ่อแม่ที่รู้เท่าทันและวางแผนรอบคอบ ถ้าให้ลูกใช้ซิม ซิมก็จะต่ออินเทอร์เน็ตไม่ได้ หรือถ้าต่อได้ก็จะจำกัดปริมาณการใช้งาน หรือมีเวลาเก็บมือถือ เช่น หลังสามทุ่มต้องเอามือถือมาฝากที่พ่อแม่ ถ้าจะใช้ต้องต่อจาก WIFI เท่านั้น และพ่อแม่จะเป็นเปิดปิด WIFI ทำตามเวลาที่กำหนด กล่องปล่อยสัญญาณต้องอยู่ในห้องนอนพ่อแม่ ที่ลูกเข้าถึงไม่ได้ และไม่ให้เงินไปเติมเกมโดยไม่ควบคุมดูแล

มีกติกาการใช้งาน คือ ต้องเรียนออนไลน์ ทำการบ้านเสร็จแล้ว จึงจะเล่นได้ แต่ก็ต้องนอนเวลากี่โมงๆ ตามนี้ นอกจากนั้นพ่อแม่ที่รู้จักแอพพลิเคชั่นต่างๆ ที่ใช้จำกัดการเข้าถึงอินเตอร์เน็ตเช่น Google family link หรือ Screentime ก็จะสามารถป้องกันปัญหาการใช้งานได้ตั้งแต่เนิ่นๆ (แต่พ่อแม่ส่วนใหญ่เท่าที่หมอเคยคุยด้วยไม่ค่อยรู้จักโปรแกรมแอพพลิเคชั่นเหล่านี้ค่ะ)

9. ผู้ปกครองที่ใช้อุปกรณ์หน้าจอเป็นเครื่องมือเลี้ยงเด็ก เช่น ผู้ปกครองทำงานยุ่งมาก เลยเปิดจอให้เด็กเล่นและดู เพื่อให้ตัวเองทำงานง่ายขึ้น หรือเป็นการตัดรำคาญเวลาเด็กงอแง ถ้าทำแบบนั้นก็จะต้องทำต่อไปเรื่อยๆ กลายเป็นปัญหาทีหลัง

10. ผู้ปกครองที่มีปัญหาระหว่างผู้ปกครองด้วยกันเอง ขัดแย้งในเรื่องต่างๆ ทะเลาะกันบ่อยๆ ตรงนี้เด็กอาจไม่ชอบบรรยากาศเครียดๆ ในบ้านก็เลยไปเล่นอินเทอร์เน็ตเพื่อผ่อนคลาย หนีจากบรรยากาศแย่ๆ แถมผู้ปกครองบางคนอาจทะเลาะกันในเรื่องวิธีการเลี้ยงลูก การควบคุมการใช้งานอุปกรณ์หน้าจอ เช่น พ่อไม่มีเวลาจะไม่มายุ่งเรื่องการเลี้ยงลูก ส่วนแม่มีระเบียบมาก ยายเป็นคนตามใจ ตรงนี้ทำให้ปรับพฤติกรรมเด็กยาก การดูแลเด็กต้องเป็นทีมเดียวกัน แม้จะมีความเห็นไม่ตรงกันและขอให้หาจุดกึ่งกลางที่ทำให้พูดคุยกับเด็กได้เหมือนกัน จะทำให้ปรับพฤติกรรมเด็กได้ง่ายกว่า


หวังว่าบทความนี้จะเป็นการป้องกันปัญหาตั้งแต่ต้น ตัดไฟเสียตั้งแต่ต้นลม เพราะส่วนใหญ่เวลาที่มาหาหมอมักเป็นจุดที่ไฟลามทุ่งไปแล้ว

ความเสียหายที่ผ่านมาที่เกิดขึ้นก็ต้องใช้เวลาเยียวยานานเลย กว่าจะกลับไปดีเหมือนเดิม และรักษาไม่ง่ายด้วยค่ะ

ให้กำลังใจผู้ใหญ่และเด็กๆ ทุกคน

#หมอมินบานเย็น

https://www.facebook.com/share/p/1BsiVKXEQc/?mibextid=wwXIfr
09/10/2025

https://www.facebook.com/share/p/1BsiVKXEQc/?mibextid=wwXIfr

10 วิธีช่วยส่งเสริมการมีภาวะ "Self-Esteem" ที่ดี

1. หมั่นรู้จักตนเองอย่างที่เป็น
: คือ รู้จักวิธีคิด รู้จักสิ่งที่มักใส่ใจ
รู้จักจุดแข็ง รู้จักจุดอ่อนในตนเอง
อย่างยอมรับ ไม่ปฏิเสธตนเอง
และ พัฒนาตนเองด้วยความเข้าใจ

2. ฝึกรักตนเองอย่างที่เป็น
: "รัก-ยอมรับ-อ่อนโยน-เข้าใจ-พร้อมเรียนรู้"
คือ คุณสมบัติความรักที่มีคุณภาพช่วยส่งเสริมภาวะ self-esteem ที่ดี
ส่วนไหนที่ได้ทำผิดพลาดไป
การเรียนรู้จากมัน
และ เริ่มทำใหม่ เป็นสิ่งที่ดีที่สุด
โดย
ไม่กล่าวโทษตนเอง
ไม่กล่าวโทษคนอื่น
ไม่หาข้อแก้ตัวให้ตนเอง

3. ใส่ใจให้ความสำคัญกับทุกความสำเร็จในชีวิต แม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อย
: ความสำเร็จเล็กๆที่มีในแต่ละวัน คือ ความสำเร็จที่สำคัญในความเป็นจริง

4. ตั้งจุดหมายที่เป็นไปได้ อยู่ในวิสัยที่เราสามารถทำได้
: สามารถตั้งจุดหมายที่ท้าทายได้ แต่ไม่ใช่ตั้งในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้

5. ล้อมรอบตัวคุณด้วยคนที่สนับสนุนคุณในทางที่ดี และ มีพลังด้านบวกให้กับคุณ
: จิตใจเราจะคล้อยตามสิ่งแวดล้อมที่เราอยู่ด้วย
ลักษณะของคนที่เราเกี่ยวข้อง จะส่งอิทธิพลกับคุณภาพชีวิตและคุณภาพจิตใจของเรา อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

6. หมั่นรับรู้-ใส่ใจ-ให้ความสำคัญกับสิ่งที่เราให้คุณค่า
การรู้จักและเข้าใจ
"ว่าอะไรคือ สิ่งที่มีความหมายต่อใจเราอย่างแท้จริง"
คือ การหาตัวเองเจอ
ยินดีด้วยค่ะ :D

7. ฝึกมองตนเองตามความเป็นจริง
7.1 ฝึกมองเห็นตนเองในด้านดี
มีคำพูดที่สร้างกำลังใจให้ตนเอง
และ ลด-ละ-เลิก คำพูดที่บั่นทอนจิตใจ และ คุณค่าของตนเอง
: ในทุกวันเราย่อมทำสิ่งดีๆ ให้กับตนเองบ้าง ให้กับคนอื่นบ้าง
การจะชมตนเองบ้าง การจะให้กำลังใจตนเองบ้าง
คือ วิตามินใจที่ควรเติมให้ตนเองในทุกวัน

7.2 ฝึกมองเห็นตนเองในด้านที่ควรปรับปรุง
ด้วยใจที่มีความยุติธรรม
ด้วยความเมตตา
ด้วยความเข้าใจ
และ ไม่ด่าทอตนเอง
: ในทุกวันเราย่อมทำสิ่งที่ผิดพลาดได้
การเห็นข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้น ด้วยใจที่เป็นธรรม ด้วยความรักความเมตตา
และ ทำความเข้าใจความผิดพลาดที่เกิดขึ้นว่าเกิดจากอะไร
และ แนวทางการดูแลตนเองที่เหมาะสมคืออะไร
คือ วิตามินชีวิตที่ส่องแสงให้ตนเองได้ในทุกวัน

8. หมั่นดูแลร่างกายและจิตใจอย่างสม่ำเสมอ
: กาย-ใจที่แข็งแรงสดใสได้รับการดูแลที่ดี
เป็นรากแก้วของ self-esteem ที่ดี

9. หมั่นทำสิ่งที่ดี-มีประโยชน์กับตนเองและผู้อื่น
: การลงมือทำสิ่งที่ดี สิ่งเป็นประโยชน์ต่อตนเอง และ ผู้อื่นในแต่ละวัน
เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้เรากลับมาเห็นคุณค่าตนเองง่ายขึ้น


10. ฝึกมองอุปสรรค-ปัญหา เป็นความท้าท้าย เป็นโอกาสที่ดีของชีวิต
: ความสุขทำให้เราสบาย แต่ปัญหาคือความท้าทาย
ทำให้เราแข็งแกร่งขึ้น ฉลาดขึ้น และ เติบโตขึ้น

บทความโดย ผศ.พญ.ทานตะวัน อวิรุทธ์วรกุล

#เข้าใจธรรมชาติชีวิต
#ยิ่งโตยิ่งสุข

---------------------------------------
- สามารถรับฟังเสียงบรรยายได้ทาง
https://www.youtube.com/watch?v=7KQHvBpuf64&t=22s

ที่อยู่

Mae Chan

เวลาทำการ

จันทร์ 13:00 - 20:30
อังคาร 13:00 - 20:30
พุธ 13:00 - 20:30
พฤหัสบดี 13:00 - 20:30
ศุกร์ 13:00 - 20:30
เสาร์ 09:00 - 13:00
อาทิตย์ 09:00 - 13:00

เบอร์โทรศัพท์

0969626249

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ ณเรศการแพทย์ Medical & Psychiatic clinic โรคทั่วไป และ ปัญหาทางจิตเวชผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

แชร์

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram

ประเภท