10/10/2025
https://www.facebook.com/share/17Rkg9yhmJ/?mibextid=wwXIfr
บทความนี้อยากให้ผู้ปกครองทุกคนอ่านค่ะ เป็นเรื่องใกล้ตัว ที่อยากให้ทำความเข้าใจ
เพราะเดี๋ยวนี้มีเคสที่พ่อแม่ ผู้ปกครองพาเด็กมาปรึกษาหมอในเรื่องปัญหาการใช้งานอุปกรณ์หน้าจอ เช่น สมาร์ทโฟน แท็บเล็ต การใช้งานอินเตอร์เน็ตต่างๆ พบมากขึ้นเรื่อยๆ
เคสเหล่านี้เป็นเคสที่รักษาไม่ง่ายเลย เพราะปัญหามักจะสะสมเรื้อรังบานปลาย (ปวดหัวกันไปทั้งพ่อแม่ ผู้ปกครอง เด็กๆ รวมทั้งหมอเองด้วย)
ไม่ว่าจะเป็นเล่นเกม โซเชียลมีเดีย YouTube TikTok เป็นต้น (เช่น ติดหน้าจอมาก จนไม่ทำกิจกรรมอื่น แยกตัว นอนดึก บางคนไม่ทำการบ้าน งานค้าง ไม่ทำกิจวัตรประจำวัน ทะเลาะกับพ่อแม่ มีปัญหาอารมณ์ หงุดหงิด ก้าวร้าว ฯลฯ)
มีปัญหาทั้งเรื่องการเรียน ความสัมพันธ์ภายในบ้าน ความรับผิดชอบ การดูแลตัวเอง การใช้งานไม่เหมาะสม ถูกมิจฉาชีพในออนไลน์หลอก (เหมือนข่าวเด็กผู้หญิงอายุ 8 ขวบที่เพื่อนในอินเตอร์เน็ตบอกให้ส่งรูปโป๊ไปให้ โชคดีที่พ่อมาเห็นก่อน)
เด็กที่หลงไปเล่นพนันออนไลน์ เด็กที่เสียเงินไปกับเกมเป็นจำนวนหลายหมื่นเพราะดูไม่เท่าทัน) ติดเกมจนขดมยเงินพ่อแม่ โกหกต่างๆ นาๆ ถ้าปล่อยทิ้งไว้บางทีกลายเป็นปัญหาที่ต่อเนื่องไปในอนาคต ฯลฯ
เห็นแล้วรู้สึกเป็นห่วงเด็กๆ และครอบครัวเป็นอย่างยิ่ง
ส่วนใหญ่พบว่าปัญหาที่เกิดขึ้นมา มีสาเหตุจาก สิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะการเลี้ยงดูของผู้ปกครอง ที่สะสมบ่มเพาะกันมานาน ทั้งตั้งใจและไม่ตั้งใจ
วันนี้หมอจึงอยากเขียนบทความ โดยรวบรวมปัญหาที่มักจะพบในครอบครัว ตามประสบการณ์ของหมอที่ได้คุยกับหลายครอบครัวที่มีปัญหาเรื่องนี้
คุยไปคุยมาก็เหมือนกรอเทปกลับไปกลับมา เกือบทุกครอบครัวก็มีที่มาของปัญหาคล้ายๆ กัน
ถ้าหากเข้าใจและรู้ที่มาและแก้ตั้งแต่ต้น คิดว่าน่าจะเป็นการป้องกันก่อนที่ปัญหาจะเกิดขึ้น
10 สิ่งที่หมอมักจะพบในครอบครัวที่เด็กๆ เกิดปัญหาในการใช้งานอุปกรณ์หน้าจอต่างๆ
1. ผู้ปกครองซื้อสมาร์ทโฟน แท็บเล็ต ที่ต่ออินเทอร์เน็ตได้โดยไม่ได้วางแผนตั้งกติกาก่อน(พอซื้อให้เด็กแล้ว เด็กก็บอกว่าเขาเป็นเจ้าของ จะใช้ยังไงก็ได้ตามสบาย พ่อแม่ไม่มีสิทธิ์บังคับ ตรงนี้ป้องกันได้ด้วยการตกลงอย่างเป็นลายลักษณ์อักษร มีการเขียนสัญญาการใช้งานที่ชัดเจน ซึ่งหมอเคยเขียนบทความรายละเอียดไว้หลายปีก่อน ไปหาอ่านกันได้ แต่ถ้าหาไม่เจอเดี๋ยวจะเอามาแปะให้ในคอมเมนท์) หรือตั้งแล้วแต่ไม่ใช้กติกาจริงจัง ขึ้นลงเปลี่ยนไปตามอารมณ์พ่อแม่
2. ผู้ปกครองไม่ปลูกฝังทักษะในเรื่องระเบียบวินัย การควบคุมตัวเอง การจัดระเบียบชีวิต ให้รู้ว่าต้องทำอะไรก่อนหลัง ให้เด็กก่อนจะซื้ออุปกรณ์ให้
3. ผู้ปกครองไม่มีเวลาให้เด็ก สัมพันธภาพพื้นฐานไม่ดี เช่น ช่วงเด็กเล็กๆ ให้ญาติเลี้ยงเป็นส่วนใหญ่ พ่อแม่ทำงานมาก พอจะมาสอนทีหลัง เด็กไม่สนิท ทำให้ไม่เชื่อฟัง มีแนวโน้มต่อต้านได้ง่าย
4. ผู้ปกครองมีภาวะ เครียด กังวล ซึมเศร้า ปัญหาการจัดการอารมณ์ ฯลฯ ทำให้เวลาสอนเด็กทำไม่ได้ดี ขึ้นลงตามอารมณ์ เช่น บางทีใช้การบังคับด้วยอารมณ์รุนแรง บางทีก็ยอมหรือปล่อยเล่นตามใจเด็ก มีปัญหาการตัดสินใจต่างๆที่ไม่แน่นอน ส่งผลต่อการพูดคุย สื่อสารกับเด็ก จะไม่ชัดเจน ทำให้เด็กไม่เชื่อฟัง เด็กสับสน ผู้ใหญ่ก็สับสน
5. ผู้ปกครองเองไม่ทำตัวเป็นตัวอย่างที่ดีในการใช้งานให้เด็กเห็น เช่น พ่อแม่ก็ติดอุปกรณ์หน้าจอมาก มีงานวิจัยที่บอกว่าผู้ปกครองที่ใช้หน้าจอมาก เด็กก็จะใช้มากไปด้วย
6. เด็กมีภาวะบางอย่างที่ทำให้เกิดปัญหาการใช้งานได้ง่าย
-ควบคุมตัวเองในการใช้งานได้ไม่ดี บังคับตัวเองไม่ได้ เช่น สมาธิสั้น(เด็กจะมีปัญหาไม่รู้จักวางแผน จัดระเบียบชีวิตก่อนหลัง ผลัดวันประกันพรุ่ง ไม่รักษาเวลา ควบคุมตัวเองไม่ดีฯลฯ)
-เด็กที่มีความเครียด มีปัญหาครอบครัว ปัญหาสุขภาพจิต (ใช้การเล่นอินเทอร์เน็ตเพื่อช่วยให้สบายใจ หนีจากโลกความเป็นจริง)
-เด็กที่มีปัญหาปฏิสัมพันธ์ทางสังคม ไม่ค่อยมีเพื่อนในชีวิตจริง ทำให้ไปหาเพื่อนในโลกออนไลน์แทน
7. ผู้ปกครองที่กลัวเด็กจะโกรธ โมโห ถ้าไปตั้งกติกาอะไร เด็กกลุ่มนี้ชอบใช้เสียงดัง โวยวาย พ่อแม่ห่วงเด็กจะหงุดหงิด เลยกลายเป็นปล่อยให้เล่น เด็กก็จะจำไว้ว่า ถ้ายิ่งเสียงดังยิ่งโวยวาย พ่อแม่ก็จะยอมตาม แบบนี้ก็จะยิ่งเสียงดัง โวยวาย และพ่อแม่ต้องยอมไปเรื่อยๆ (บางทีจะพบในผู้ปกครองที่มีความรู้สึกผิดในบางเรื่องกับลูก เพราะรู้สึกผิดก็เลยคิดว่าไม่อยากไปบังคับหรือห้ามอะไรมาก)
8. ผู้ปกครองที่ไม่รู้เท่าทันหรือขาดความรู้ความตระหนักในเรื่องการจัดการควบคุมการใช้งานอินเทอร์เน็ต
ยกตัวอย่าง ผู้ปกครองคนหนึ่งบอกว่าลูกเล่นมือถือ เกม ยูทูบ จนไม่นอน แต่ถามรายละเอียด พ่อแม่ก็ไม่ได้ไปปิดสัญญาณ WIFI บ้านตอนกลางคืน ไม่ได้ควบคุมเรื่องของซิมอินเทอร์เน็ต ลูกจึงเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้ตลอด แถมให้เงินลูกไปเติมเกมโดยไม่จำกัด ตรงนี้จะมีปัญหามากกว่าพ่อแม่ที่รู้เท่าทันและมีการวางแผน
พ่อแม่ที่รู้เท่าทันและวางแผนรอบคอบ ถ้าให้ลูกใช้ซิม ซิมก็จะต่ออินเทอร์เน็ตไม่ได้ หรือถ้าต่อได้ก็จะจำกัดปริมาณการใช้งาน หรือมีเวลาเก็บมือถือ เช่น หลังสามทุ่มต้องเอามือถือมาฝากที่พ่อแม่ ถ้าจะใช้ต้องต่อจาก WIFI เท่านั้น และพ่อแม่จะเป็นเปิดปิด WIFI ทำตามเวลาที่กำหนด กล่องปล่อยสัญญาณต้องอยู่ในห้องนอนพ่อแม่ ที่ลูกเข้าถึงไม่ได้ และไม่ให้เงินไปเติมเกมโดยไม่ควบคุมดูแล
มีกติกาการใช้งาน คือ ต้องเรียนออนไลน์ ทำการบ้านเสร็จแล้ว จึงจะเล่นได้ แต่ก็ต้องนอนเวลากี่โมงๆ ตามนี้ นอกจากนั้นพ่อแม่ที่รู้จักแอพพลิเคชั่นต่างๆ ที่ใช้จำกัดการเข้าถึงอินเตอร์เน็ตเช่น Google family link หรือ Screentime ก็จะสามารถป้องกันปัญหาการใช้งานได้ตั้งแต่เนิ่นๆ (แต่พ่อแม่ส่วนใหญ่เท่าที่หมอเคยคุยด้วยไม่ค่อยรู้จักโปรแกรมแอพพลิเคชั่นเหล่านี้ค่ะ)
9. ผู้ปกครองที่ใช้อุปกรณ์หน้าจอเป็นเครื่องมือเลี้ยงเด็ก เช่น ผู้ปกครองทำงานยุ่งมาก เลยเปิดจอให้เด็กเล่นและดู เพื่อให้ตัวเองทำงานง่ายขึ้น หรือเป็นการตัดรำคาญเวลาเด็กงอแง ถ้าทำแบบนั้นก็จะต้องทำต่อไปเรื่อยๆ กลายเป็นปัญหาทีหลัง
10. ผู้ปกครองที่มีปัญหาระหว่างผู้ปกครองด้วยกันเอง ขัดแย้งในเรื่องต่างๆ ทะเลาะกันบ่อยๆ ตรงนี้เด็กอาจไม่ชอบบรรยากาศเครียดๆ ในบ้านก็เลยไปเล่นอินเทอร์เน็ตเพื่อผ่อนคลาย หนีจากบรรยากาศแย่ๆ แถมผู้ปกครองบางคนอาจทะเลาะกันในเรื่องวิธีการเลี้ยงลูก การควบคุมการใช้งานอุปกรณ์หน้าจอ เช่น พ่อไม่มีเวลาจะไม่มายุ่งเรื่องการเลี้ยงลูก ส่วนแม่มีระเบียบมาก ยายเป็นคนตามใจ ตรงนี้ทำให้ปรับพฤติกรรมเด็กยาก การดูแลเด็กต้องเป็นทีมเดียวกัน แม้จะมีความเห็นไม่ตรงกันและขอให้หาจุดกึ่งกลางที่ทำให้พูดคุยกับเด็กได้เหมือนกัน จะทำให้ปรับพฤติกรรมเด็กได้ง่ายกว่า
หวังว่าบทความนี้จะเป็นการป้องกันปัญหาตั้งแต่ต้น ตัดไฟเสียตั้งแต่ต้นลม เพราะส่วนใหญ่เวลาที่มาหาหมอมักเป็นจุดที่ไฟลามทุ่งไปแล้ว
ความเสียหายที่ผ่านมาที่เกิดขึ้นก็ต้องใช้เวลาเยียวยานานเลย กว่าจะกลับไปดีเหมือนเดิม และรักษาไม่ง่ายด้วยค่ะ
ให้กำลังใจผู้ใหญ่และเด็กๆ ทุกคน
#หมอมินบานเย็น