เวิร์คช็อปซาเทียร์โมเดล โดย Morning Mind Clinic

เวิร์คช็อปซาเทียร์โมเดล โดย Morning Mind Clinic คอร์สworkshop จิตวิทยาพัฒนาตนเอง ตามแนวSatirโมเดล

02/12/2025

เมื่อเกิด "ภาวะหมดไฟ" หรือ "Burnout" จะทำอย่างไรดี ?

ภาวะหมดไฟนี้มักเกิดขึ้นในกลุ่มคนวัยทำงานเป็นส่วนใหญ่ และเราจะมีวิธีสังเกตอย่างไร ว่าเราแค่เบื่องานที่ทำอยู่ หรือเกิดภาวะหมดไฟกันแน่ ?

พร้อมมาฟังแนวคิดจาก “นพ.ศิระ กิตติวัฒนโชติ” จิตแพทย์และประธานบริหารเครือ "Morning Mind" โรงพยาบาลและคลินิกเฉพาะทางด้านจิตเวช ที่จะมาแชร์แนวคิดทำอย่างไรถึงกลับมามีไฟอีกครั้ง รับฟังคำตอบไปพร้อมกัน!

29/11/2025
มาแล้วค่าา… workshop Satir model ของปีนี้ ที่หลายๆท่านถามถึง… วันที่ 26-27 ตุลาคม 2567 ที่ห้องประชุมสมเด็จเจ้าพระยา เช่น...
14/08/2024

มาแล้วค่าา… workshop Satir model ของปีนี้ ที่หลายๆท่านถามถึง… วันที่ 26-27 ตุลาคม 2567 ที่ห้องประชุมสมเด็จเจ้าพระยา เช่นเดิมค่ะปีนี้เราได้รับเกียรติจาก อ.ศิริวรรณ และอ.ภุชงค์ มาเป็นวิทยากร… รุ่นนี้เป็นรุ่นที่3 แล้วค่ะที่ Morning Mind Clinic ได้จัด workshop นี้ขึ้นมา มาเรียนรู้เพื่อเข้าใจตัวเอง เข้าใจความรัก เข้าใจความสุข และเติบโตไปด้วยกันนะคะ… ค่าสมัคร 5,900 บาท สมัครก่อน 15กย.67 4,900 บาท รับจำนวน 30 ท่านค่ะ สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ 090-995-5161 ค่ะ

12/10/2023

“คนอกหักที่มาพบจิตแพทย์ส่วนหนึ่งอยู่ในขั้นที่อยากตายแล้ว อาจมีคนไปเรียกมาจากยอดตึก หรือกินยาเกินขนาดฆ่าตัวตาย อีกส่วนหนึ่งมาด้วยความซึมเศร้า นอนไม่หลับ ใจดิ่งๆ เบื้องหลังคำว่าอกหัก คือความผิดหวัง มนุษย์ทุกคนต้องการความมั่นคง ชอบให้อะไรเหมือนเดิม เพราะสมองไม่ได้อยากปรับอะไรเยอะ มันจะพยายามใช้วงจรเดิม พอวันหนึ่งเจอสามีนอกใจ เจอแฟนบอกเลิก เมื่ออะไรบางอย่างในชีวิตหายไป ชีวิตเลยไม่เหมือนเดิม ความสูญเสียสร้างความทรมาน ทำให้ข้างในไม่มั่นคง บางคนทนรับความรู้สึกนั้นได้ลำบาก เพราะไม่รู้เลยว่าชีวิตที่ไม่มีอีกคนจะดำเนินต่อไปยังไง

“จิตแพทย์ชื่อ อลิซาเบธ คูเบลอร์ รอสส์ (Elizabeth Kubler-Ross) แบ่งขั้นตอนการรับมือความสูญเสียของคนป่วยและความตายไว้ 5 ขั้นตอน ซึ่งเทียบเคียงกับความสูญเสียความสัมพันธ์ได้ เพราะเป็นความสูญเสียเหมือนกัน แต่ละคนเริ่มต้นจากขั้นตอนไหนก็ได้ และอาจไปๆ กลับๆ ก็ได้ ขั้นตอนที่ 1 คือ ถ้ายังยอมรับความจริงไม่ได้ หลายคนจะปฏิเสธความจริงก่อน ด้วยความคิดว่า ‘สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่เรื่องจริงหรอก’ ถ้าบางคู่เคยรักๆ เลิกๆ บ่อย ครั้งล่าสุดอีกฝ่ายจะเอาจริงแล้ว แต่ฝ่ายถูกบอกเลิกคิดว่า ‘หนนี้เดี๋ยวเขาคงกลับมาแหละ’ เชื่อไม่ลงว่าจะเป็นความสูญเสีย

“ขั้นตอนที่ 2 พอปฏิเสธความจริงไปสักพักแล้วไม่เวิร์ค สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ความโกรธ อาจเป็นความคิดว่า ‘ทำไมถึงเป็นแบบนี้!’ แล้วมองหาคนผิด บางครั้งก็โทษอีกฝั่ง โกรธที่เขาทิ้งไป เขามีคนอื่นหรือเปล่า เขาไม่รักจริงนี่หว่า แต่บางครั้งก็ย้อนมาโทษตัวเอง โกรธที่ตัวเองทำตัวแย่ ตำหนิว่าตัวเองเป็นต้นเหตุของความสูญเสียเขาไป พอคำตำหนิดังขึ้นๆ สุดท้ายบางคนเลยอยากลงโทษตัวเอง ทั้งทำร้ายตัวเอง ไปจนถึงทำบางอย่างให้ตัวเองเสียชีวิต สาเหตุที่เขาทำแบบนั้นก็เพื่อหยุดความรู้สึกผิดในใจ

“ขั้นตอนที่ 3 คือการพยายามต่อรองกับทุกอย่าง บางคนต่อรองกับคนรัก กลับไปดีลให้ความสัมพันธ์ไม่ยุติ โอเค เลิกกันก็ได้ แต่ขอให้ไม่หายไปเลยได้ไหม ลดระดับจากแฟนไปเป็นคนคุยก็ได้ หรือบางคนไปลองสายมู ต่อรองกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ มีอะไรที่เช่าบูชาแล้วน่าจะช่วยได้ก็หามา หรือบางคนไปดูดวง พอแยกกันแล้วไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคิดยังไง เลยอยากรู้ว่าเขาจะกลับมาไหม เป็นเนื้อคู่อยู่ไหม สารพัดศาสตร์เลย โหราศาสตร์ ไพ่ยิปซี ฯลฯ เพราะสิ่งที่หมอดูให้ได้คือความหวัง ว่าอะไรๆ จะกลับมาเหมือนเดิม

“ขั้นตอนที่ 4 หลังจากต่อรองยังไงก็ไม่กลับมา ข้างในก็เริ่มซึมเศร้าละ ท้อแท้ สิ้นหวัง ท้อถอย รู้สึกว่าตัวเองไร้ค่า ไร้ความหมาย พอเราเอามนุษย์คนหนึ่งเป็นความหมายของชีวิต ต่อให้ใครมาบอกว่าตัวเราดีแค่ไหน มันฟังไม่ขึ้นหรอก เพราะถ้าตัวเราดีจริง ทำไมเขาถึงทิ้งไปล่ะ บางคนถึงขนาดกินไม่ได้นอนไม่หลับ แต่อาจไม่ได้ป่วยเป็นโรคจิตเวชก็ได้ เพราะมีเหตุชัดเจน เป็นความเศร้าตามท้องเรื่อง แต่ยังไงกินยารักษาโรคซึมเศร้าก็ช่วยได้นะครับ เพราะการกินยาโฟกัสที่การทำงานของสมอง ก็ช่วยลดอารมณ์เศร้าได้

“ขั้นตอนที่ 5 คือการยอมรับความจริงได้แล้ว โอเค เราไม่ได้เป็นคนรักกันแล้ว เขาไม่ได้ต้องการเราแล้ว แต่การยอมรับความจริงได้อาจไม่คงอยู่ถาวร ตอนนี้ยอมรับได้ อยู่ๆ ขั้นตอนอื่นอาจกลับมาอีก กลับไปเศร้า กลับไปหวัง ต่อรอง ถ้าคำสมัยนี้ก็เรียกว่า ‘มูฟออนเป็นวงกลม’ เอาเข้าจริงเรายังไม่ได้ไปไหนเลย ยังรักเขาอยู่เลยว่ะ ถ้าความรักนั้นคือปรารถนาดีกับเขา อยากเห็นเขามีความสุข รักอยู่ไกลๆ แค่นี้ก็มีความสุขแล้ว ความรักแบบนี้ไม่ทำให้เฮิร์ตก็ดีไป แต่ปัญหาคือเราไปคาดหวังว่าเขาต้องรักตอบด้วย

“งานของจิตแพทย์ไม่ใช่การร่วมวางแผนว่า ‘ทำยังไงให้เขากลับมา’ หน้าที่ของผมคือเริ่มจากความเห็นอกเห็นใจ ฟังเรื่องราวของเขา แล้วถามว่า ‘ตอนนี้คุณต้องการอะไร’ ถ้าเขาต้องการรอ สิ่งสำคัญคือ คุณรอด้วยอารมณ์แบบไหน รอแบบมีความสุขหรือเปล่า เหมือนคนลุ้นหวย หรือรอด้วยความกระวนกระวาย เหมือนเป็นนักโทษรอวันอภัยโทษ ถ้ารอแล้วเป็นพลังงานลบ คุณต้องมาทบทวนตัวเอง แต่ถ้ารอด้วยความเต็มใจ มันบอกไม่ได้หรอกว่าการรอนั้นลมๆ แล้งๆ หรือเปล่า เพราะอนาคตก็ไม่แน่นอน คู่ที่รีเทิร์นใช่ว่าจะไม่มี แต่คุณเปลี่ยนใจได้เสมอนะ ฝั่งเขาไม่ได้ขอให้รอสักหน่อย

“การเลิกกันของบางคนเชื่อมโยงกับสิ่งที่ตกค้างในสมองด้วย เช่น ตอนเด็กเคยมีประสบการณ์ถูกทอดทิ้ง ต้องอยู่คนเดียว เหงามาก วงจรนั้นเลยกลับมาทำงานอีกครั้งจนเกิดความทรมาน ผมต้องสื่อสารกับเขาว่า ‘คุณต้องตระหนักว่าตัวเองไม่ใช่เด็กคนนั้นแล้ว แต่เป็นผู้ใหญ่ที่มีทางเลือกอื่นในชีวิต’ หรืออย่างคำว่า ‘รอเขากลับมา’ ก็ไม่ตรงกับการใช้ชีวิตนะ เพราะเวลามีแต่เดินทางไปข้างหน้า เราเลิกกันเมื่อสามเดือนก่อน แน่นอนว่าชีวิตไม่มีทางย้อนกลับไปที่จุดนั้น ถ้าพูดให้ถูกต้องคือ ‘รอไปเจอเขาในโอกาสหน้าๆ’

“สมัยก่อนไม่มีคำว่า ‘มูฟออน’ ผมเพิ่งได้ยินในสมัยนี้ ถือเป็นคำที่ดีนะ มันคือการมองว่าชีวิตมีอดีต ปัจจุบัน และอนาคต เราต้องยอมรับปัจจุบันให้ได้ว่าความสัมพันธ์จบลงแล้ว เพื่อก้าวไปยังอนาคตข้างหน้า และไม่ถอยหลังกลับไปอดีตด้วย เพราะกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว การมูฟออนของบางคนคือยืดหยัดด้วยตัวเอง บางคนมูฟออนไปมีความสัมพันธ์กับคนใหม่ หรือมีความสัมพันธ์กับตัวเองในแบบใหม่ สิ่งนี้อาจจะเป็น Better Version ของคุณ เช่นบางคนกลายเป็นสวยกว่าเดิม สตรองกว่าเดิมอีก

“อาจารย์ของผมเคยสอนถึงเรื่องอกหักไว้ว่า ‘เรื่องนี้ไม่มีทางลัด’ เมื่อคุณผิดหวังกับอะไรสักอย่าง ยังไงก็ต้องใช้เวลา ซึ่งแต่ละคนยืนหยุ่นได้ไม่เท่ากัน บางคนเพิ่งอกหักครั้งแรก บางคนอกหักมาหลายครั้ง ประสบการณ์ชีวิตก็ต่างกัน หรือต่อให้เขาอกหักหลายครั้ง แต่รู้สึกพิเศษกับคนนี้ ก็อาจใช้เวลาทำใจนานได้เช่นกัน ค่าเฉลี่ยที่มนุษย์จะค่อยๆ ปรับตัวและเปลี่ยนแปลงตัวเองคือประมาณ 3 เดือน มีตัวเลขทางสถิติว่าระบบประสาทค่อยๆ ฟอร์มวงจรใหม่ขึ้นมา เทียบกับคนโบราณที่ไว้ทุกข์ 100 วันก็ได้

“ผมมองว่าปัญหาที่เกิดขึ้นกับหลายคน คือเราอยากหายเศร้าเร็วๆ อยากทิ้งความทุกข์ไปทันที ความคิดแบบนั้นยิ่งทำให้เราไม่ยอมรับ ยิ่งเร่งให้เร็ว เราจะยิ่งเกลียดตัวเองที่ทำไม่สำเร็จ ยิ่งเรารู้สึกแย่ เราจะยิ่งเกลียดตัวเองที่ชีวิตแย่ ทำให้พลังงานลบสูงขึ้น สิ่งที่เราทำได้คือค่อยๆ ยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น ทั้งยอมรับโลกภายนอก ความจริงตอนนี้คือเขาไม่อยู่แล้ว เราไม่ใช่ที่ต้องการแล้ว รวมทั้งยอมรับโลกภายในด้วยว่า เราผิดหวังว่ะ เรารักเขามาก เราหวังกับเขาไว้เยอะ เราพลาด มันเจ็บจริง ทุกข์จริง

“แต่เราลืมคนเก่าไม่ได้หรอกครับ การทำงานของสมองมนุษย์ไม่ใช่ลบอะไรทิ้ง ถ้าอยากเปลี่ยนต้องหาข้อมูลเซฟทับไปต่างหาก เรายังจะจำได้ทั้งความทรงจำบวกและลบ อยู่ที่มันจะถูกดึงกลับมาบ่อยแค่ไหน ถ้าตั้งใจคิดก็คิดได้แหละ ดังนั้นถ้าเราตั้งใจจะลืมใคร โอกาสทำสำเร็จน้อยมาก แต่คำว่าเซฟทับไม่ได้หมายถึงมีคนใหม่เท่านั้น แต่คือวิถีชีวิตแบบใหม่ บางคนดูแลตัวเองด้วยการออกกำลังกาย บางคนมุ่งมั่นทำกิจกรรมช่วยเหลือสังคม ฯลฯ ความรู้สึกว่าตัวเองไร้ค่าจะเปลี่ยนเป็นรู้สึกว่าตัวเองมีค่า จนถึงวันที่เรากลับมาเข้มแข็งอีกครั้ง”


ผศ.นพ.ภุชงค์ เหล่ารุจิสวัสดิ์ ภาควิชาจิตเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

[1/4]

เปิดรับสมัครแล้วค่ะ!! ครั้งที่ 2 Workshop จิตวิทยาเพื่อการพัฒนาตนเองโดยใช้ Satir model รับจำนวนจำกัด 30 คนค่ะ ราคา Early...
09/09/2023

เปิดรับสมัครแล้วค่ะ!! ครั้งที่ 2
Workshop จิตวิทยาเพื่อการพัฒนาตนเองโดยใช้ Satir model รับจำนวนจำกัด 30 คนค่ะ
ราคา Early Bird(สมัครภายในกันยายนนี้) 4,900 บาท
สนใจโทร 090-9955161

31/03/2023
 #ความเชื่อพื้นฐานของซาเทียร์(Satir’s beliefs)• ทุกคนสามารถเชื่อมโยงกันได้ผ่านพลังงานชีวิตสากล (All people are connected...
15/03/2023

#ความเชื่อพื้นฐานของซาเทียร์(Satir’s beliefs)

• ทุกคนสามารถเชื่อมโยงกันได้ผ่านพลังงานชีวิตสากล (All people are connected through a universal life energy.)

• แท้จริงแล้วทุกคนมีธาตุแท้ที่ดีงามและมีพลังชีวิตที่เป็นพลังงานบวกซ่อนอยู่ในแก่นแท้ของจิตใจ

• มนุษย์ทุกคนมีประสบการณ์ในชีวิตด้วยกระบวนการแบบเดียวกัน คือผ่านความรู้สึก ความคิด การกระทำ ความคาดหวัง ความปรารถนาลึกๆในใจ และจิตวิญญาณที่เชื่อมโยงผูกพันกับผู้อื่น (feeling, thinking, doing, expecting, yearning, and connecting spiritually)

• ทุกคนมีทรัพยากรซ่อนอยู่ภายในที่มากเพียงพอจะสามารถดึงมาใช้รับมือกับปัญหาได้ เพียงแต่อาจยังไม่ค้นพบขุมทรัพย์เหล่านั้นของตนเองหรืออาจจะมองสิ่งที่ตนมีในแง่ลบ

• ตัวปัญหาที่แท้จริงแล้วคือวิธีการรับมือ(coping stances)ของผู้คน ปัญหาไม่ได้อยู่ที่บุคคลหรือสถานการณ์ ซึ่งถ้าเราสามารถจะเปลี่ยนแปลงวิธีการรับมือเหล่านี้ได้ก็จะทำให้สถานการณ์คลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น

• การรักษาควรจะมุ่งไปที่ความเชื่อว่าทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นได้ ถึงแม้จะแก้ไขสิ่งแวดล้อมภายนอกไม่ได้แต่เราก็ยังสามารถเปลี่ยนแปลงภายในได้ และการที่คนนั้นสัมผัสเข้าถึงพลังแห่งชีวิตของตนจะทำให้รักษาเยียวยาโดยธรรมชาติเป็นไปได้ด้วยดี (utilize Life Energy to facilitate the natural healing process)

• ถึงแม้เราจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขสิ่งที่เกิดในอดีตไม่ได้แต่เราสามารถที่จะเลือกเปลี่ยนผลกระทบของอดีตที่มีต่อเราในปัจจุบันได้ ทำให้เราได้เลือกอยู่ในแง่มุมด้านบวกของชีวิตมากกว่าจะอยู่ด้านลบ

• แท้ที่จริงแล้วทุกคนได้รับมือกับปัญหาของตนโดยวิธีการที่ดีที่สุดเท่าที่เขาจะมีปัญญาทำได้แล้วในขณะนั้น ถึงแม้ว่าจะดูเป็นพฤติกรรมที่แย่หรือเลวร้ายแค่ไหน (People always do the best they can at any given time. Even destructive or otherwise negative behaviors serve to indicate the best coping possible at that time.)

ที่อยู่

Bangkok

เบอร์โทรศัพท์

+66909955161

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ เวิร์คช็อปซาเทียร์โมเดล โดย Morning Mind Clinicผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ การปฏิบัติ

ส่งข้อความของคุณถึง เวิร์คช็อปซาเทียร์โมเดล โดย Morning Mind Clinic:

แชร์

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram