หมอมีฟ้า

หมอมีฟ้า บทความ โดย พญ.พาพร เน้นความเข้าใจเพื่อเอาไปใช้จริงในชีวิตประจำวัน
บางบทความเคยเผยแพร่มาแล้ว
ใน Page สมาคมจิตแพทย์แห่งประเทศไทย

ขอให้ภัยพิบัตินี้คลี่คลายเร็ววันเป็นกำลังใจให้ทุกท่านที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตครั้งนี้ค่ะ 🙏🏻
27/11/2025

ขอให้ภัยพิบัตินี้คลี่คลายเร็ววัน

เป็นกำลังใจให้ทุกท่านที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตครั้งนี้ค่ะ
🙏🏻

 #ตำนาน 11.11 ปกติเวลามีผู้อ่านแชร์โพสต์จากเพจสมาคมฯ หมอก็จะได้กดดูบ้างค่ะว่า เขาแชร์ไปแล้วพูดว่ายังไงบ้างเมื่อ 11.11.25...
11/11/2025

#ตำนาน 11.11

ปกติเวลามีผู้อ่านแชร์โพสต์จากเพจสมาคมฯ หมอก็จะได้กดดูบ้างค่ะว่า เขาแชร์ไปแล้วพูดว่ายังไงบ้าง

เมื่อ 11.11.2561 มีคนแชร์โพสต์ที่หมอเขียนไป แล้วให้เครดิตด้วยค่ะ
ดีใจแบบบอกไม่ถูกเลย 😂😂

#หมอมีฟ้า

 #สิ่งแวดล้อมเพื่อการนอนให้สบาย สิ่งแวดล้อมของการนอนให้สบาย นั้นเกิดจากองค์ประกอบ 3 อย่าง ทั้งที่เป็นสิ่งแวดล้อมภายนอก แ...
05/11/2025

#สิ่งแวดล้อมเพื่อการนอนให้สบาย

สิ่งแวดล้อมของการนอนให้สบาย นั้นเกิดจากองค์ประกอบ 3 อย่าง ทั้งที่เป็นสิ่งแวดล้อมภายนอก และภายในค่ะ

ได้แก่ ห้องนอนน่านอน + ร่างกายผ่อนคลาย + จิตใจไม่มีกังวล

1) #ห้องนอนน่านอน : เย็น มืด และ เงียบ
ช่วงใกล้เวลานอน อาจเปลี่ยนจากไฟเพดานสว่าง ๆ เป็นไฟสลัวหรือไฟเล็กก่อน เพราะให้เมลาโทนินหลั่งออกมาได้มากขึ้น
และหากใครที่ตื่นเข้าห้องน้ำตอนกลางคืนแล้วหลับต่อยาก ลองใช้ไฟดวงเล็ก ๆ ที่จะติดเวลามีคนเดินผ่าน จะได้ไม่ต้องเปิดไฟเพดานค่ะ


2) #ร่างกายผ่อนคลาย : ตัวเย็น ตัวเบา สมองโล่ง ปลายเท้าอุ่น
2.1 ตัวเย็นในที่นี้ หมายถึง อุณหภูมิแกนกลาง (core body temperature) ที่เย็นพอ
ดังนั้นใครที่ออกกำลังกายตอนเย็น ควรเว้นประมาณ 3 ชั่วโมงก่อนเข้านอน อย่างไรก็ตาม บางคนที่ออกกำลังกายช่วงเย็นแล้วจะนอนหลับยากเสมอ ก็อาจจะต้องเปลี่ยนไปออกตอนเช้าหรือกลางวันแทนค่ะ

2.2 กล้ามเนื้อผ่อนคลาย
ไม่ตึงตัว คนที่ติดมือถือลองเปลี่ยนมาเป็นยืดเหยียดก่อนนอน และนอกจากกล้ามเนื้อตัวแล้ว เมื่อหลับตาก็ผ่อนคลายใบหน้าด้วยค่ะ ลองสังเกตดูว่ากรามเกร็งไหม หัวคิ้วยังตึงรึเปล่า ถ้าไม่แน่ใจให้อมยิ้มน้อย ๆ บอกตัวเองให้มียิ้มน้อย ๆ ในใจ แล้วจะรู้สึกเบาและคลายขึ้นค่ะ

2.3 สมองผ่อนคลาย
ไม่ได้รับสาร ไม่ว่าเนื้อหา ภาพ เสียง จากข่าว จากเรื่องราว จากหนัง จากเกม ฯลฯ
ก่อนนอน 1 ชั่วโมง เป็นช่วงของการปล่อย ไม่ใช่รับ อะไรเพิ่ม
บางอย่างที่เราเพลิดเพลิน สมองอาจต้องประมวลผลเยอะ ไม่ได้ผ่อนคลายค่ะ

2.4 ปลายเท้าอุ่น การใส่ถุงเท้าช่วยได้


3) #จิตใจไร้กังวล

3.1 ไม่ “พยายาม” หลับ เพราะการหลับไม่ใช่สิ่งที่เราสามารถกะเกณฑ์ได้
(เช่นกันกับที่เราไม่สามารถบังคับให้ใครรักเราได้)

3.2 ละวางความ “คาดหวัง” หรือ “คาดเดา” ว่าการนอนคืนนี้จะเป็นอย่างไร
ไม่สงสัย ไม่ลุ้นว่าจะหลับเมื่อไหร่ (กลุ่มที่ได้ยาช่วยนอนจากจิตแพทย์มักจะแอบคิดในแง่นี้ ซึ่งเป็นการสร้างความกดดันไปอีกแบบ)
หากเผลอไปก็ให้รู้สึกตัว แล้วกลับมาอยู่กับร่างกายหรือลมหายใจ ไม่ปล่อยใจให้ไหลไปกับความคิดจนตกอยู่ในความกังวลหรือหงุดหงิด

3.3 เท่าทันความรู้สึกที่เกิดขึ้นในระหว่างวัน
ความรู้สึกลบๆ จึงจะไม่สะสม ตกค้าง เจนอาจส่งผลต่อการนอนหลับ หรือเกิดเป็นอาการอื่น ๆ ได้

จากทั้งหมด จะเห็นได้ว่า สิ่งที่สำคัญ คือ “ความรู้สึกผ่อนคลาย”
ชื่อบทความ จึงเป็นนอนให้สบาย ไม่ใช่นอนให้หลับ(แต่อาจจะฝันเยอะ กัดฟัน ตื่นมาเหนื่อย)


#หมอมีฟ้า

ภาพจาก https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=1241504271353446&id=100064816535612

 #10ปีฟรีแลนซ์เวลาผ่านไปเร็วมาก ชอบช่วงสัมภาษณ์ที่คุณเต๋อ Nawapol Thamrongrattanarit ตอบว่า ตอนนี้ยุ่นน่าจะกำลังกังวลเรื...
03/11/2025

#10ปีฟรีแลนซ์

เวลาผ่านไปเร็วมาก
ชอบช่วงสัมภาษณ์ที่คุณเต๋อ Nawapol Thamrongrattanarit ตอบว่า ตอนนี้ยุ่นน่าจะกำลังกังวลเรื่อง AI disruption และหมออิมอาจจะผันตัวมาเปิดคลินิกความงาม จิ้มหน้าให้ยุ่น 😆

…………………………………..

#ทุกการเลือก_คือการแลก

ตอนแรกไม่กะจะดู ของคุณเต๋อ Nawapol Thamrongrattanarit เพราะตัวอย่างหนัง ทำให้คิดว่าเป็นหนังกุ๊กกิ๊ก
เอาเข้าจริงเป็นหนังที่ดูจบแล้วความรู้สึกไม่จบ มีอะไรหลายอย่างชวนให้ตั้งคำถามและใคร่ครวญ จนต้องเขียนบทความนี้ออกมา

- - - ทุกคนคงรู้พล็อตเรื่องและตัวละครหลักๆ(ที่มีอยู่ไม่กี่คน)กันอยู่แล้วเนอะ
แต่หากใครยังไม่ได้ดู ถัดจากนี้ spoil จ้ะ (ยาวด้วย ขอเตือน) - - -

1) ชีวิตฟรีแลนซ์ มันไม่ได้ชิล สบาย เป็นเจ้านายตัวเอง อย่างที่หลายๆคนวาดภาพหรอกนะ

ไม่มีเวลาเข้างาน-เลิกงานก็จริง แต่มี 'deadline' มาแทน ซึ่งบ่อยครั้งผุดขึ้นมาอย่างกะทันหัน
ไม่มีเจ้านาย มีแต่ลูกค้า ซึ่งสำหรับคนที่ทำงานด้านการบริการ ลูกค้าก็คือพระเจ้า

การไม่รับงานๆหนึ่งอาจหมายถึงโอกาสอื่นๆที่จะหลุดลอยไป
ดังนั้นหากไม่เก๋าจริง ใครจะกล้าปฏิเสธเมื่อไม่อาจแน่ใจได้ว่าเดือนหน้าปฏิทินงานจะแน่น...หรือว่างสักแค่ไหน

ความรับผิดชอบคือ'จุดขาย' และคือ "ค่าใช้จ่าย" ของการนั่งทำงานที่ไหนที่ได้ หัวฟูหน้าสดได้ตามใจอยาก

มันก็เลยเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ ที่ยุ่นต้องทำงานแบบหามรุ่งหามค่ำ ใครจะให้ทำอะไรก็รับไว้หมด
ในเมื่อสังคมปัจจุบัน เงินคือตัวกลางในการแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการ

การเป็นฟรีแลนซ์ จะทำให้เรามีอิสระมากกว่าการเป็นมนุษย์เงินเดือนจริงๆหรือ ... หรือเราแค่จะก้าวออกจากเล้าไปเข้ากรงเท่านั้น?
อิสระที่แท้จริงคืออะไร?

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

2) ชีวิตมิติเดียว : คุณค่าของตัวตนแปรผันตรงกับผลงาน

แม้ยุ่นจะรู้สึกว่าเขามีความสุขกับชีวิตแบบนี้ดี แต่ดูเหมือนว่าชีวิตจะไม่ได้เห็นด้วยกับเขานัก

และผื่นคัน ก็คือวิธีที่ชีวิตใช้เป็นสัญญาณเรียกร้องขอความสมดุลให้กับร่างกายที่จิตใจของเขาอาศัยอยู่

สำหรับยุ่น งานไม่ใช่แค่วิธีการหารายได้เพื่อยังชีพ แต่คือเครื่องยืนยันการมีอยู่ของเขา
ผลงานที่เนี้ยบและทันเวลา คือเกณฑ์พิสูจน์คุณค่าของตัวเอง

ดังนั้นเมื่อ 'ผลงาน' ไม่เป็นไปอย่างที่คิด 'ตัวตน' ก็สั่นคลอน
ชีวิตที่มีมิติเดียวแทบจะพังทลาย เหมือนปราสาททรายที่โดนคลื่นลูกใหม่อย่างเจิดไล่ซัด

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

3) เราอาจจะเคยได้ยินคำกล่าวเกี่ยวกับ ความสัมพันธ์ระหว่าง เวลา - สุขภาพ - เงิน กันมาบ้าง

ตอนเป็นเด็ก เรามีเวลา มีสุขภาพที่ดี - แต่ไม่มีเงิน
พอเป็นผู้ใหญ่ สามารถหาเงินได้ สุขภาพยังดี - ก็ไม่มีเวลา
ครั้นแก่ชรา มีเงินเก็บ มีเวลา - สุขภาพก็ไม่เอื้ออำนวยเสียแล้ว

ยุ่นยังไม่แก่ แต่ร่างกายกำลังพัง
ตลอดทั้งเรื่อง เราแทบไม่เห็นร่อยรอยของความสุขของเขา

ยิ้มบางๆปรากฏเพียงชั่วแวบ ... และมันเป็นตอนที่ยุ่นนั่งเฉยๆ ไม่ได้ทำอะไรเลยนอกจากทอดสายตามองพระอาทิตย์อยู่ริมทะเล
ไม่ใช่ตอนทำงานอย่างเอาเป็นเอาตาย

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

4) เจ๋ - นาฬิกาที่มีชีวิตอีกเรือน และคนๆเดียวที่พอจะเรียกได้ว่าเป็นเพื่อนสนิทของยุ่น

แม้เจ๋จะคอยรับงานให้ จี้เตือนdeadline และตรวจสอบคุณภาพงานของเขาตลอดเวลา จนดูเหมือนว่าชีวิตของคนสองคนนี้คล้ายกันมาก

แต่เมื่อตั้งท้อง เจ๋ก็เตรียมตัวแต่งงานแล้วหยุดทำงานตามที่สามีขอ ในขณะที่ยุ่นโวยวายว่าท้องก็ทำงานได้นี่
เจ๋บอกว่า เธอแค่ไม่ได้ "เลือก" งาน อย่างที่ยุ่นเลือก

ภายใต้ความโมโหของยุ่น มันคือความรู้สึกเคว้งคว้าง โดดเดี่ยว
ชีวิตมิติเดียวของเขาที่ตอนนี้ว่างงาน มันก็ไม่มั่นคงพออยู่แล้ว นี่เขากำลังจะสูญเสียเพื่อนสนิทที่มีอยู่คนเดียวไปอีก

หากเขาต้องการคนช่วยงาน คนอื่นก็คงไม่ต่างกัน
แต่ในแง่มุมของเพื่อน ไม่มีใครแทนที่ใครได้
ดังนั้น มันจึงไม่มี "เจ๋2" อย่างที่อาจจะมี "ยุ่น2" ได้

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

5) ตอนที่ความตายเข้ามาสบตา คือตอนที่ยุ่นได้ทบทวนว่า เขาพลาดอะไรไปบ้าง

หรือพูดอีกอย่าง อะไรกันแน่ที่สำคัญ
คนเรามักจะมองเห็นสิ่งเหล่านั้นก็ต่อเมื่อชีวิตจะปลิดปลิว

หมออิมเคยบอกกับยุ่นว่า คนที่ชอบบอกว่าตัวเองไม่กลัวความตาย มักจะเป็นคนที่ไม่เคยมีใครให้คิดถึง
ยุ่นดูอึ้งไป บางทีมันอาจไปกระแทกความจริงบางอย่างของเขา

เราจะดูแลตัวเองมากขึ้น เมื่อเรารู้ว่าการอยู่ การเจ็บ การตายของเรา มีความสำคัญต่อชีวิตอื่น มีความหมายต่อหัวใจบางดวง

ตลอดเวลากว่า10วันที่ไม่ได้หลับได้นอน สภาพร่างกายของยุ่นไม่ต่างจากภาพคนที่เขาตกแต่ง ... รูปหลังๆมีลายรอยแตกกะเทาะมากขึ้นเรื่อยๆ

ตอนแรกที่ลงไปกองกับพื้น ยุ่นยังคิดว่า ในงานศพ อยากให้มีวงTKมาร้อง ทุกคนไม่ต้องเศร้าไปนะ ความตายเป็นเรื่องธรรมชาติ

ใช่ การตายอาจจะไม่ได้ชวนโศกเศร้าเท่าไหร่ แต่เก้าอี้ว่างมากมายในงานศพนั่นต่างหากที่น่าใจหาย

เมื่อผู้มาร่วมงาน ประกอบด้วย

เจ๋ - มนุษย์คนเดียวที่เรียกได้เต็มปากเต็มคำว่าเป็นเพื่อนสนิท
ไก่ - พนักงาน7-11 สาขาที่ยุ่นไปซื้ออาหารประทังชีวิตบ่อยๆ..คนขายของที่กลายมาเป็นเพื่อนโดยปริยาย
พงศธร - เพื่อนคนนึงที่มาด้วยสีหน้ามึนๆ
แม่ - ผู้มีตัวตนอย่างพร่าเลือน ไม่ต่างจากรูปถ่ายซีดๆถลอกๆใบนั้น
และหมออิม - คนที่ยุ่นจะได้เจอเมื่อมีนัดตรวจโรค

ความสำเร็จนั้นหอมหวาน
แต่มันจะยังน่าไขว่คว้าขนาดนั้นไหม หากได้มาแล้วมองไปไม่เห็นใครเลยที่จะร่วมดีใจไปด้วย?
ถ้าหากเราเป็นอะไรไป แล้วแทบจะไม่มีใครรู้สึกใจหาย?

"นี่เหรอภาพสุดท้าย ... ไม่เห็นสวยเลย"
ยุ่นนอนนิ่ง มองขยะเกลื่อนพื้นห้อง

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

ยุ่นเป็นแค่ตัวอย่างของคนๆหนึ่ง ที่ชีวิตห่างไกลจากคำว่าสมดุล
ใคร ๆ ก็เป็นแบบนี้ได้ ไม่ว่าอาชีพไหน

เราไม่อาจจะได้ทุกอย่าง ในเวลาเดียวกัน
เราไม่อาจจะได้ทุกอย่าง โดยไม่เสียอะไรไป

ทุกการ "เลือก" คือการ "แลก"

ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของยุ่น อาจเป็นตอนที่
เขาเรียนรู้ แล้วจึงเลือกที่จะปฏิเสธพี่เป้งด้วยการบอกว่า

"ผมจะนอน"

#หมอมีฟ้า

เมื่อวาน อ. ประเสริฐ ประกาศหยุดเขียนเพจ หลังจากทำต่อเนื่องมา 10 ปีเต็ม เชื่อว่า หลาย ๆ คนคงรู้สึกใจหายไม่ต่างกัน ไม่ว่าจ...
02/11/2025

เมื่อวาน อ. ประเสริฐ ประกาศหยุดเขียนเพจ หลังจากทำต่อเนื่องมา 10 ปีเต็ม

เชื่อว่า หลาย ๆ คนคงรู้สึกใจหายไม่ต่างกัน

ไม่ว่าจะมีลูกหรือไม่มีลูก แต่ทุกคนที่ได้อ่านบทความของอาจารย์ ล้วนได้รับความรู้ ความเข้าใจ รวมไปถึงแนวทางที่สร้างกำลังใจ

ขอกราบขอบพระคุณอาจารย์ สำหรับการ “สร้างสังคม” ที่ดี ด้วยการสร้างเด็กที่มั่นคง ค่ะ
มันยิ่งใหญ่เกินบรรยายจริง ๆ ค่ะ

ครอบครัว ที่มีความสุข มันประเมินค่าไม่ได้

หมอมั่นใจเหลือเกินว่า ถ้าไม่มีเพจของอาจารย์ จะมีพ่อ แม่ และลูก ที่ทุกข์กว่านี้ จะมีเคสมาถึงมือจิตแพทย์เด็ก และจิตแพทย์ทั่วไปมากกว่านี้

นอกจากเรื่องการเลี้ยงลูก หมอเองดูหนังสนุกขึ้นมาก เพราะบทวิเคราะห์อันลึกซึ้งของอาจารย์ค่ะ

ขอบพระคุณอ.ประเสริฐ จากหัวใจ
สำหรับการถ่ายทอด ความทุ่มเท และการเป็นตัวอย่างที่ดี ทั้งในฐานะหมอและมนุษย์คนหนึ่งค่ะ 🙏🏻♥️


พญ. พาพร

#หนังสือแนะนำ

ทุกคำถามที่คนไข้โรคซึมเศร้าสงสัยและคนใกล้ชิดอยากรู้ รวมถึงแง่มุมต่าง ๆ เกี่ยวกับธรรมชาติของโรคและกระบวนการรักษา

หนังสือเล่มนี้มีคำตอบให้คุณค่ะ

ข้อมูลครบครัน ถ้อยคำกระชับด้วยภาษาที่รื่นหู ชัดเจน และเข้าใจง่าย
ตามสไตล์ อ.ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์

ฉบับปรับปรุงนี้ เป็นการพิมพ์ครั้งที่ 6 ซึ่งห่างจากครั้งที่ 1-5 หลายปี
แค่อ่านคำนำ (อ่านได้ในเพจอาจารย์) ก็ได้เนื้อหาที่มีประโยชน์มาก ๆ แล้วค่ะ

แนะนำอย่างไม่ลังเล

#หมอมีฟ้า

เมื่อวานหมอเห็นโพสต์นี้แล้ว แว้บแรกก็ขำก๊ากเหมือนคนส่วนใหญ่ค่ะแต่วูบถัดไปก็มีความตะเตือนไตตามมาอยากเล่าให้ฟัง ดังนี้ค่ะ ...
01/11/2025

เมื่อวานหมอเห็นโพสต์นี้แล้ว แว้บแรกก็ขำก๊ากเหมือนคนส่วนใหญ่ค่ะ
แต่วูบถัดไปก็มีความตะเตือนไตตามมา
อยากเล่าให้ฟัง ดังนี้ค่ะ

(3) หมอหน้าสด
- เป็นความจริงที่ว่า ใครแต่งหน้าก็มักจะดูดีขึ้นทั้งนั้น ความเจริญหูเจริญตา น่ามอง เป็นส่วนหนึ่งของ first impression ที่ปฏิเสธไม่ได้

- ในบางอาชีพ การแต่งหน้าเป็นความจำเป็นพื้นฐานอย่างหนึ่ง เช่น แอร์โฮสเตส

- ส่วนโรงพยาบาลเอกชน เคยได้ยินมาว่า บางแห่ง พยาบาลก็ต้องแต่งหน้าเช่นกัน ส่วนแพทย์นั้น ไม่เคยได้ยินกฎนี้ที่ไหน

- หมอคนไหนจะแต่งหน้า ก็เป็นเพราะเจ้าตัวอยากแต่งเอง ไม่ว่าจะเพราะทนหน้าสดตัวเองไม่ไหว โดยไม่ต้องมีใคร feedback 😂 หรือเพราะเคยโดนคนไข้ทักว่าป่วย ก็ตาม

- ดังนั้น ต้นทุนการมาทำงานของหมอผู้หญิงโดยเฉลี่ย จึงสูงกว่าหมอผู้ชาย ไม่ใช่แค่ค่ารถค่าน้ำมันเท่านั้น แต่อย่างน้อยหมอผู้หญิงก็ต้องทาครีมกันแดด (+ใช้เครื่องสำอาง) บ้าง
ในขณะที่ “หมอผู้ชายอะ ใส่เสื้อเชิ้ตขาวเหมือนกันทั้งอาทิตย์ คนไข้ยังไม่รู้เลย” หมอยังจำน้ำเสียงในคำพูดของรุ่นพี่ผู้หญิงได้ดี
… มันจึงค่อนข้างจะห่อเหี่ยวใจ เวลาที่หมอแต่งหน้าแต่งตัว เดินทางออกจากบ้าน เพื่อมาพบว่าคนไข้เทรวดทีละหลาย ๆ คน 🥺

(2.1) เคยได้ยินอาจารย์ท่านหนึ่ง เล่าให้อาจารย์อีกท่านฟังว่า ว่าโดนคนไข้ ทักว่า
“เป็นฝรั่งเหรอยังไง ทำผมซะทอง … เลยตอบไปว่า เปล่าค่ะ มันแก่ค่ะ !“

… ได้ยินแล้วสยองมากค่ะ ถ้าปล่อยผมหงอกตามธรรมชาติ จะ .. จะไม่โดนว่า รึเปล่าคะ … หรือคนไข้จะมองว่าหมอไม่ดูแลตัวเอง ปล่อยเนื้อปล่อยตัว 😅

เชื่อมโยงไปถึงข้อ 2

(2) แก่เกินไป

- ขอข้ามไปข้อ 1 เลยได้ไหมนะคะ มันสะท้อนใจ สะเทือนใจ 🥲 อะ ฮึบๆ

- ประเด็นความสูงวัยนี้ น่าจะมาจากหลาย ๆ มุมมองและเหตุผล
อย่างตัวคุณแม่ของหมอเอง หากต้องเลือกหมออาวุโสมากๆ กับหมอที่จบมาไม่นาน แกจะเลือกหมอที่เด็กกว่าค่ะ
ซึ่งเหตุผล คือ “หมอแก่ๆ ความรู้ไม่ up to date เหมือนหมอเด็กๆ” (สาย guideline อาจจะถูกใจสิ่งนี้)

- ในขณะที่บางคน ให้ความสำคัญกับประสบการณ์การตรวจคนไข้จริงมากกว่า ดังนั้นหมอที่ยังละอ่อน ก็ย่อมอ่อนประสบการณ์กว่า

- อีกอย่างนึง อาจจะขึ้นกับว่า คนไข้หาหมอแผนกไหน เช่น ถ้าหาหมอผิวหนัง/หมอความงาม ยิ่งหมออาวุโสมาก แต่กลับดูเด็กมากเท่าไหร่ ยิ่งเพิ่มความมั่นใจให้คนไข้โดยไม่ต้องอาศัยถ้อยคำ


(1) ดูเด็กเกินไป

ข้อสังเกตเบื้องต้น : “ดู”เด็ก อาจจะไม่เด็กเท่าที่คนไข้คิด (สิ่งนี้จะมีผลต่อคนไข้กลุ่มที่ให้ความสำคัญกับประสบการณ์การตรวจ)

เรื่องจริงที่เคยเจอ
😳 ตอนอายุ 30 +|- สมัยที่หมอยังเดินออกไปรับคนไข้ ไปเชิญเข้าห้องตรวจด้วยตัวเอง
• คนไข้ใหม่บางคนผงะ ทำท่าเหมือนจะถอยออกจากห้อง แต่กลับลำไม่ทันแล้ว จำใจตรวจ ,
บางคนเดินเข้ามาในห้องแล้ว นั่งลง แล้วพบว่าไม่มีใครอีกแล้วในห้องตรวจ ถึงร้องว่า อ้าว นี่หมอเหรอ เมื่อกี๊นึกว่าเจ้าหน้าที่
• เคยได้ยินรุ่นพี่บ่นกับพยาบาลว่า “นี่ผมอายุจะ 40 แล้วนะ คนไข้ยังบ่นว่าผมเด็กอีก” จำได้ว่าตอนนั้นฟังแล้วท้อใจหน่อยๆ

🥲 ความจริงวันนี้
• รู้ตัวอีกที ก็มองใกล้ไม่ชัดเสียแล้ว
• แทบไม่มีเพื่อนโพสต์ภูมิใจว่าตรวจเคสยากสำเร็จ มีแต่ดีใจที่คนไข้ทายอายุผิด

เป็นกำลังใจให้ น้อง ๆ ที่ท้อใจว่าเด็กไปแล้วคนไข้บางคนไม่ค่อยเชื่อถือนะคะ … โชคดีที่ปัญหานี้จะหายไปเองโดยที่เราไม่ต้องทำอะไรเลยค่ะ 🫠

#หมอมีฟ้า

(ต่อจากโพสต์ที่แล้ว)การใช้ยา จะแบ่งเป็นช่วงหลัก ๆ 2 ช่วง ดังนี้ค่ะ หายก่อน — คงที่ดีนานพอ — ค่อยวางแผนร่วมกันเรื่องการหย...
29/10/2025

(ต่อจากโพสต์ที่แล้ว)

การใช้ยา จะแบ่งเป็นช่วงหลัก ๆ 2 ช่วง ดังนี้ค่ะ

หายก่อน — คงที่ดีนานพอ — ค่อยวางแผนร่วมกันเรื่องการหยุดยา

ถ้าสมมติเป็นระยะทางเท่ากับมาราธอน ยังไม่ต้องนึกถึงปีศาจกิโลที่ 35 ถ้ายังวิ่งไม่ถึง 10 กิโลแรกเลยด้วยซ้ำ

ถ้าเป็นการเลี้ยงเด็กสักคน ยังไม่ต้องกังวลเรื่องการเข้ามหาวิทยาลัย ถ้าเขาเพิ่งจะเดินได้ค่ะ

รู้ข้อมูลไว้ เพื่อที่จะได้รู้ว่า เราอยู่ถึงตรงไหนของเส้นทางค่ะ

#หมอมีฟ้า

#โรคซึมเศร้า_ต้องกินยานานแค่ไหน
(รวมถึง โรควิตกกังวล โรคแพนิค โรคย้ำคิดย้ำทำ ฯลฯ ที่ใช้ยาต้านเศร้าในการรักษาเช่นเดียวกัน)


บางคนมาหาหมอตอนจุดที่อาการหนักที่สุด
แต่บางคนก็มาตอนที่ดีขึ้นแล้ว แต่ทำยังไงก็ไม่หายเป็นปกติ (เพราะจริง ๆ แล้วเป็นกรณีที่มีความจำเป็นต้องใช้ยาช่วย)

เป้าหมายที่เราต้องการ คือ หายสนิท
เนื่องจากโรคซึมเศร้าเป็นโรคที่หายได้ เราจึงไม่คาดหวังแค่เพียง ดีขึ้นมาก

จากภาพ
🔸 "response" คือ อาการ #ดีขึ้น เริ่มมีการตอบสนองต่อยา

ต่อมา ดีขึ้นอีก จนถึง จุดที่ 🔸 #หาย ไม่มีอาการของโรคหลงเหลือ ("remission")
กลับไปสู่ baseline เดิม … คือ “เข้าที่เข้าทาง”

จนกระทั่ง 🔸 #หายดี คือ ไม่มีอาการของโรคเลยอย่างต่อเนื่องอย่างน้อย 6 เดือน … อาจกล่าวได้ว่า เข้าที่เข้าทาง จน “คงเส้นคงวา” แล้ว
.... เปรียบเทียบกับ คนเลิกเหล้าเลิกบุหรี่ ถ้าหยุดไป 1-2 สัปดาห์
หากบอกว่า "เลิก" ได้แล้ว ก็คงจะไม่มีใครเชื่อ จะบอกว่าเลิกได้ ต้อง "หยุดมาต่อเนื่อง" 1 ปี


#หายแล้ว_ยังต้องกินยาป้องกันต่ออีก_เพราะอะไร?

เพราะหากเคยมีโรคซึมเศร้า ครั้งที่ 1 >>> ก็จะมีความเสี่ยงในการมีโรคครั้งที่ 2 มากกว่าคนที่ไม่เคยมีโรคนี้เลย

หากเคยมีโรคซึมเศร้า ครั้งที่ 2 >>> ก็จะมีความเสี่ยงในการมีโรคครั้งที่ 3 มากขึ้น

หากเคยมีโรคซึมเศร้า ครั้งที่ 3 >>> ……

คือ ถ้าเคยมีอาการหลาย ๆ ครั้ง โอกาสเป็นซ้ำก็ยิ่งมากขึ้นเรื่อย ๆ
และรักษายากกว่าครั้งแรก ๆ

ดังนั้น การป้องกัน จึงเป็นเรื่องสำคัญ และง่ายกว่าการรักษา


ซึ่งสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดที่ทำให้อาการกำเริบคือ
❌ #การหยุดยาก่อนเวลาที่เหมาะสม ❌

หลายคนคิดว่า ดีขึ้นมากแล้ว ต่อไปน่าจะจัดการเองได้ โดยไม่ต้องทานยา
หรือ เท่านี้ก็ดีกว่าตอนก่อนรักษามากแล้ว

แม้จะไม่ทุกคน แต่ส่วนมาก อาการจะกำเริบ

จึงเป็นเรื่องที่น่าเสียดายว่า เดินหน้ามาจนใกล้หายแล้ว กลับต้องถอยหลัง แม้ว่าอาจจะไม่ได้เริ่มนับ 1 ใหม่ ก็ตาม

✅ ดังนั้นเมื่ออาการดีขึ้น จึงยังต้องทานยาต่อ
และสังเกตอาการ แล้วพบแพทย์ตามนัดอย่างสม่ำเสมอ
เพื่อให้คุณหมอประเมินว่าจึงจุดที่หายดีแล้วหรือยัง

✅ และเมื่อหายแล้ว จะทานยาป้องกันอีกนานเท่าไหร่ จึงจะเหมาะสมสำหรับเรา

ระยะป้องกันอาการกำเริบ
ไม่เท่ากันในแต่ละบุคคล โดยจะยาวนานแค่ไหนขึ้นกับปัจจัยต่าง ๆ

ที่สำคัญ ได้แก่

* จำนวนครั้งที่เคยมีอาการ (ครั้งนี้เป็นการป่วยครั้งที่เท่าไหร่)

* ความรุนแรงของอาการ

* ระยะเวลาที่มีอาการก่อนมาพบแพทย์และเริ่มต้นการรักษา

* ระยะเวลาที่ใช้ในการรักษาจนกระทั่งไม่มีอาการ

* ระยะห่างระหว่างอาการครั้งนี้กับครั้งที่แล้ว (หากไม่ใช่การป่วยครั้งแรก)

* สถานการณ์ชีวิต ในแต่ละช่วงเวลา

* ประวัติพันธุกรรมในครอบครัว : โรคทางจิตเวช , การฆ่าตัวตายสำเร็จ

* ปัจจัยอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ของแต่ละบุคคล


+ + + #สรุประยะเวลาการรักษา + + +

(( เมื่อคำนึงถึง ระยะเวลาที่มีอาการก่อนเริ่มรักษา เป็นหลัก เพียงอย่างเดียว ))

⭐️ หากคนไข้มีอาการมาไม่ถึง 6 เดือนก่อนมาพบแพทย์

จากเริ่มต้นจนอาการหาย หรือ ระยะรักษา นั้น ส่วนใหญ่ใช้เวลา 3-4 เดือน

ส่วนระยะป้องกันอาการกำเริบ ส่วนใหญ่ใช้เวลา 6-12 เดือน
(นับจาก #จุดที่หาย ไม่ใช่จุดที่เริ่มพบแพทย์ นะคะ เพราะหลายคน จากจุดที่เริ่มรักษา ถึงจุดที่หายดี ก็กินเวลาร่วมปีแล้ว)

ตามคำแนะนำใน guideline และจากประสบการณ์ของหมอ ก็มักจะเพียงพอ


🌟 อย่างไรก็ตาม หากบางคนมีอาการมาหลายปี (บางคนเป็นมา 5 ปี 10 ปี ถึงได้มาพบหมอครั้งแรก)

ก็ย่อมจะใช้เวลานานกว่านี้ อาจจะเป็นหลักปี ไม่ใช่หลักเดือนแบบคนที่มาพบแพทย์เร็ว ตรงไปตรงมา


หากใครกำลังอยู่ในกระบวนการรักษา และอยากทราบเกี่ยวกับแผนการรักษาของตนเอง
สนับสนุนให้พูดคุยซักถามจิตแพทย์ประจำตัวได้เลยค่ะ


#หมอมีฟ้า

เดี๋๋ยวนี้จะเห็นมีการเตือนกันใน social media ว่าอย่าหยุดยาเองนะ เคยทำมาแล้วอาการแย่ลงกว่าเดิมการไม่หยุดยาเองนี้สำคัญ แต่...
29/10/2025

เดี๋๋ยวนี้จะเห็นมีการเตือนกันใน social media ว่า
อย่าหยุดยาเองนะ เคยทำมาแล้วอาการแย่ลงกว่าเดิม

การไม่หยุดยาเองนี้สำคัญ แต่ ‼️

อีกอย่างที่สำคัญไม่แพ้กัน คือ การเข้าใจเหตุผลว่า
เพราะ #ยังไม่ถึงเวลาที่เหมาะสม นะคะ

ไม่ใช่ เพราะยาเป็นอันตราย … ซึ่งทำให้บางคนเข้าใจผิดไปอีกทาง ว่างั้นไม่ควรเริ่มรักษา (อ่านต่อได้ในโพสต์)

หากจะมีอะไรสักอย่างที่เป็นอันตรายจริงๆ

ก็คงเป็น #โรคซึมเศร้าที่ยังไม่หายดี และ #ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับโรคซึมเศร้า ค่ะ


#หมอมีฟ้า

“อย่าหยุดยาจิตเวชเองนะ !”

เพราะมันอันตราย…เหรอ ??

#ความเข้าใจผิดติดอันดับ


เชื่อว่าคนส่วนใหญ่เคยได้ยินคำเตือนที่ว่า อย่าหยุดยาจิตเวชเอง

หากเป็นคนไข้ที่รับการรักษาอยู่แล้ว ก็จะทราบเหตุผลจากการให้ข้อมูลของแพทย์ผู้รักษา

แต่คนจำนวนไม่น้อยที่ได้ยินแบบนี้
ฟังแล้วเข้าใจผิด คิดไปเองว่า เพราะยามัน “อันตราย” จึงหยุดสุ่มสี่สุ่มหน้าไม่ได้

ดังนั้น เมื่อถึงเวลาที่เจ็บป่วยด้วยโรคทางใจ บางคนก็เลยไม่กล้าพบจิตแพทย์
เพราะกลัวการทานยา ด้วยเข้าใจผิดว่า ไม่อยากเริ่ม เดี๋ยวจะหยุดไม่ได้
ซึ่งเป็นการเสียโอกาสอย่างมาก

เหตุผลที่แท้จริง คือ

คนไข้ไม่สามารถประเมินอาการด้วยตนเอง และวางแผนการรักษาเองได้ (เช่นเดียวกันกับโรคอื่น ๆ)

ดังนั้น คนที่หยุดเอง เพราะรู้สึกว่าดีขึ้นแล้ว คิดเองว่าอาจจะไม่ต้องกินยา หรือเพราะเหตุอื่น ๆ
… #อาการก็มักจะกลับมา_เนื่องจากยังไม่ถึงเวลาที่ควรจะหยุดยานั่นเอง …

แต่หากคนไข้ไปพบแพทย์ตามนัดสม่ำเสมอ หมอก็จะประเมินให้อยู่แล้วว่า
หลังจากไม่มีอาการแล้ว จะต้องกินยาต่อเนื่องอีกนานแค่ไหนเพื่อป้องกันอาการกำเริบ ซึ่งต้องอาศัยหลายปัจจัย

😅 การเข้าใจผิดว่า หยุดเองไม่ได้เพราะยามีอันตราย ดังนั้นอย่าได้เริ่มรักษาเลย
ก็เหมือนคิด(ไปเอง)ว่า ถ้าใส่เฝือก แล้วจะเอาออกไม่ได้ ดังนั้นอย่าใส่เลย (อ่าว แล้วกระดูกที่หักล่ะ?!?) 😅

หลายคนทนทรมานกับอาการอยู่นาน ประสิทธิภาพในการทำงานย่ำแย่ ความสัมพันธ์สั่นคลอน เพราะไม่ทราบข้อมูลที่ถูกต้อง
กว่าจะตัดสินใจพบแพทย์ อาการก็หนักซะแล้ว (รักษาหายได้เหมือนกัน แต่ย่อมยากและนานกว่า อาการที่น้อยและเป็นมาไม่นาน)

เจอแบบนี้แล้ว หมอรู้สึกเสียดาย ที่คนไข้เสียโอกาสในการรักษาเร็วกว่านี้จริง ๆ ค่ะ

#หมอมีฟ้า

อยากให้ทุกคนหาข้อมูลจากแหล่งที่เชื่อถือได้ มากกว่าเพียงฟังประสบการณ์หรืออ่านความคิดเห็นของคนอื่น

 #ธรรมชาติของใจเมื่อเผชิญการสูญเสีย (1) หลาย ๆ คน อาจจะยังไม่เคยสูญเสียบุคคลใกล้ชิดผู้เป็นที่รักเมื่อ 9 ปีก่อน การเสด็จส...
27/10/2025

#ธรรมชาติของใจเมื่อเผชิญการสูญเสีย (1)

หลาย ๆ คน อาจจะยังไม่เคยสูญเสียบุคคลใกล้ชิดผู้เป็นที่รัก

เมื่อ 9 ปีก่อน การเสด็จสวรรคตของในหลวง รัชกาลที่๙ เป็นเหตุการณ์หนึ่งซึ่งอาจเป็นครั้งแรกที่หลายคนได้สัมผัสว่า การสูญเสีย นั้นเป็นอย่างไร
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .

จิตแพทย์ชาวสวิส Elisabeth Kübler-Ross ผู้ได้คลุกคลีกับผู้ป่วยระยะสุดท้ายจำนวนมาก
ได้อธิบายไว้ว่า ความโศกเศร้า(grief) จากการสูญเสีย(loss) นั้น ประกอบด้วย 5 ระยะ (stages)

ทั้งนี้​ทั้ง​นั้น

⚠️ แต่ละระยะ ไม่จำเป็นต้องเรียงตามลำดับ และ อาจเกิดสลับไปสลับมาได้

⚠️ และ คนแต่ละคน อาจจะไม่ได้พบกันทุกระยะ


ว่ากันว่า ในตอนหลัง Kübler-Ross รู้สึกพลาดเหมือนกันที่ใช้คำว่า 5 stages of grief
เพราะคำว่า "ระยะ" นั้นชวนให้เข้าใจผิดว่า จะต้องเกิดขึ้นทุกอย่างตามนี้ เรียงตามลำดับ
ซึ่งจริง ๆ แล้วไม่ใช่ ... เพราะจริงๆมันคือ สภาพจิตใจ / ความรู้สึกนึกคิด / ประสบการณ์ ในช่วงการสูญเสีย มากกว่า

โดยการสูญเสียนั้น ไม่ได้หมายถึงเฉพาะการตายจากของคนสำคัญเพียงอย่างเดียว
อาจรวมถึงเหตุการณ์อื่นๆ ที่สะเทือนใจมากๆ ก็ได้ หรือ การสูญเสียอื่นๆ
เช่น
การตายของสัตว์เลี้ยง , การหย่าร้าง , การตรวจพบโรคร้าย(ไม่ว่าของตัวเองหรือคนรัก) , การแท้งลูก, การตกงาน , การถูกปฏิเสธ(เพื่อนเลิกคบ) เป็นต้น
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .

เอาล่ะ มาดูว่าสภาพจิตใจทั้ง 5 ประการ เมื่อต้องประสบกับความสูญเสียตามที่ Kübler-Ross พูดไว้นั้นนั้น มีอะไรได้บ้าง

😦 ช็อก และ ปฏิเสธความจริง (denial) : รู้สึกชาๆ ไม่อยากจะเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง
// หา ... วันก่อนแม่ยังดีๆอยู่เลย วันนี้ทรุดหนักขนาดนี้ได้ยังไง

😡 โกรธ (anger) : โกรธตัวเอง โกรธคนที่ตาย(เพราะรู้สึกว่าถูกทอดทิ้ง ชีวิตผิดไปจากแผนที่เคยคิด) โกรธคนอื่น(แพทย์นี่โดนบ่อยเลยค่ะ 😅/ใครก็ตาม) โกรธโชคชะตา มักรู้สึกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ยุติธรรม
// ทำไมต้องเป็นเรา Why me? ทั้ง ๆ ที่ฉันกินคลีน ออกกำลังกาย , นี่หมอวินิจฉัยช้าไปใช่ไหม !?! , ถ้าวันนั้น เรา… เขาจะไม่ตายใช่หรือเปล่า

🥺 ต่อรอง (bargaining) : พยายามคิดว่ามีหนทางอะไรบ้างที่จะแก้ไขสถานการณ์ได้ ซึ่งบางครั้ง​ก็เป็นหนทางที่ไม่มีทางเป็นไปได้​ หรือเหมือนการหวังปาฏิหาริย์ … อาจเรียกได้ว่าเป็นช่วงซื้อเวลาทำใจ
// ข้างบ้านบอกว่ามีหมอสมุนไพรดี บางทีอาจจะช่วยพ่อได้มากกว่าหมอแผนปัจจุบัน หรือ มีความคิดในเชิงแฟนตาซีว่า ถ้าหากชีวิต คือสิ่งที่สามารถมอบให้กันได้ อยากจะเจ็บป่วยแทน อยากจะตายแทน


🥀 เศร้าเสียใจ (depression) : อาจจะรู้สึกว่างเปล่า อาลัยอาวรณ์ เคว้งคว้าง บางคนร้องไห้ บางคนไม่ร้องแต่ซึม ไม่ค่อยพูดคุย
และอาการทางกายจะชัดเจนมากขึ้น เช่น กินไม่ได้ นอนไม่หลับ สมาธิไม่ดี อ่อนเพลีย ไม่มีแรงทำอะไร เป็นต้น

🌿 ยอมรับ (acceptance) : มองเห็นว่าความสูญเสียที่เกิดขึ้น ว่าเป็นความจริงของชีวิตที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ด้วยใจที่สงบ เป็นกลางมากขึ้น … แต่อาจจะยังเสียใจ แต่ดำเนินชีวิตต่อไปได้ตามสมควร


ช่วงสัปดาห์แรก ๆ ของการเสด็จสวรรคตของรัชกาลที่ ๙

คนไข้ที่มาตรวจติดตามหลายๆคน พูดเหมือนกันว่าคืนแรกนอนไม่หลับ (น่าจะเป็นกันแทบทุกคน หมอๆก็ด้วย)

ส่วนตัวหมอเอง 3 วันแรก นอกจากความรู้สึกเสียใจแล้ว ก็รู้สึกหนักอึ้ง
ในขณะเดียวกันกับที่ ว่างโหวงในใจ ไม่มั่นคง เหมือนโลกเงียบไป ... แต่อีกใจก็สบายใจที่พระองค์ไม่ต้องเหนื่อยแล้ว

หมอตื่นมาพร้อมคำถามว่า นี่มันเรื่องจริงเหรอ?! .. แม้จะรู้ตัวว่าไม่ได้กำลังฝันอยู่
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .

*️⃣ ในความเป็นจริง นอกจาก 5 อย่างดังกล่าว ยังมีความรู้สึกอื่นๆ ที่เกิดขึ้นได้บ่อยๆ
เช่น
ความรู้สึกผิดในบางสิ่งที่เคยได้ทำ
รู้สึกเสียดายในบางอย่างที่ไม่ได้ทำ
คิดกลัวอนาคตที่ไม่เหมือนเดิม รู้สึกว่าจะอยู่ไม่ได้
คิดถึงความตายของตัวเอง เป็นต้น

✔️ ความรู้สึกอื่นๆ นี้ รวมไปถึงความรู้สึกด้านบวกด้วย
โดยส่วนใหญ่จะเป็นความโล่งใจที่ผู้ตายพ้นจากความเจ็บปวดทรมาน
ความคิดถึงช่วงเวลาดีดีที่เคยมีร่วมกัน

แม้ว่าจะยอมรับได้แล้ว แต่ในบางครั้งก็อาจกลับมาเศร้าอีกได้ ดังที่ได้กล่าวไปข้างต้นว่า ความโศกเศร้า(grief) จากการสูญเสีย(loss) นั้น ไม่ได้เรียงระยะ 1 ถึง 5

และภาวะหนึ่งที่มีชื่อเรียก ก็ได้แก่ anniversary grief หรือ ความเศร้าในช่วงครบรอบการสูญเสีย
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .

สิ่งสำคัญประการหนึ่ง ที่ต้องทราบและพึงระลึกไว้ ก็คือ

การฟื้นตัวของจิตใจต้องอาศัยเวลา และประสบการณ์การสูญเสียนั้น เป็นเรื่องส่วนบุคคล จึงมีความแตกต่างกันได้มาก ไม่ว่าในแง่การแสดงออก ระยะเวลา
ไม่มีเกณฑ์ตายตัวว่า ควรจะแสดงออกแบบไหนหรือยาวนานเท่าใด (*)

มีหลายปัจจัยที่มีส่วนเกี่ยวข้อง เช่น บุคลิกภาพ ประสบการณ์ชีวิต ลักษณะของการสูญเสียนั้นๆ เป็นต้น

ดังนั้น เราจึงไม่อาจและไม่ควรเอาธรรมชาติของตัวเองเป็นเกณฑ์อ้างอิงว่า ปฏิกิริยาจากการสูญเสียของใคร ควรจะเป็นอย่างไร

⭕️ อย่างไรก็ตาม หากปฏิกิริยาต่อการสูญเสียนั้น ส่งผลต่อการใช้ชีวิตเป็นอย่างมาก (ดูเสียศูนย์ชัดเจน ดูพัง) ดูเปลี่ยนไปเป็นคนละคน
ควรให้จิตแพทย์ช่วยประเมินนะคะ เพราะมีความเสี่ยงที่จะเป็นอาการของโรคซึมเศร้าค่ะ


#หมอมีฟ้า

(ต่อจากโพสต์ที่แล้ว)ข่าวดีคือ ความคิดฆ่าตัวตาย เป็นอาการ 1 ในอาการ ที่จะหายไปหรือเบาลงไปมากหลังจากเริ่มยาต้านเศร้าไปประม...
10/09/2025

(ต่อจากโพสต์ที่แล้ว)

ข่าวดีคือ ความคิดฆ่าตัวตาย เป็นอาการ 1 ในอาการ ที่จะหายไปหรือเบาลงไปมากหลังจากเริ่มยาต้านเศร้าไปประมาณสองสัปดาห์

#ความคิดฆ่าตัวตาย


+ คนที่ฆ่าตัวตายสำเร็จจำนวนมากมีโรคซึมเศร้า แต่โรคซึมเศร้าไม่ใช่สาเหตุเดียวของการฆ่าตัวตาย

+ ผู้ป่วยโรคซึมเศร้า ไม่ได้มีความคิดฆ่าตัวตายทุกคน และคนที่มีความคิดฆ่าตัวตายก็ไม่ได้แปลว่ามีโรคซึมเศร้าแน่ ๆ

+ จากประสบการณ์ของหมอ ผู้ที่มาปรึกษาที่มีความคิดเกี่ยวกับการตาย มักจะมีความคิดว่าไม่อยากอยู่ ไม่รู้จะอยู่ไปทำไม(ที่ยังอยู่ก็เพราะยังไม่ตาย) / อยากหายไป / หรืออยากให้เกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง ... เป็นความคิดฆ่าตัวตายทางอ้อม (passive suicidal idea) เสียมากกว่า

+ แต่ก็มีบ้าง ที่มีความคิดอยากฆ่าตัวตาย นึกถึงวิธีการต่าง ๆ ... ซึ่งความรู้สึกที่คนกลุ่มนี้เผชิญ ก่อนจะมาถึงจุดที่มีความคิดนี้ คือ #ความเหน็ดเหนื่อย ท้อแท้และสิ้นหวัง ... ไม่เห็นทางออก รู้สึกว่าตัวเองไร้ค่า

+ เมื่อได้พูดคุยทำความเข้าใจ เราจะพบว่า เขามีความรู้สึกสองจิตสองใจ
เนื่องจากจริง ๆ แล้วไม่ได้มีใครอยากตายเพราะอยากตาย
แต่เพราะคน ๆ นั้นไม่อยากจะเผชิญความรู้สึกเจ็บปวดแบบที่ผ่านมาอีก
รู้สึกเหนื่อยล้ากับการพยายามที่ไม่เป็นผล
รู้สึกมืดมน มองไม่เห็นทางออก

+ ดังนั้น หากคน ๆ หนึ่งหลุดจากสภาวะที่เหนื่อยล้าและเจ็บปวดจนท้อแท้สิ้นหวัง ความคิดฆ่าตัวตายก็จะหายไป …
การตระหนักและแยกตนเองออกจากความคิดนี้ได้
นับเป็นก้าวสำคัญก้าวแรก ๆ ของการรักษา ...

+ ซึ่งความคิดฆ่าตัวตาย เป็นอาการที่จะหายไปหรือเบาลงไปมาก หลังจากเริ่มยาต้านเศร้าไปประมาณ 2 สัปดาห์

+ โดยจะแวบเข้ามาในหัวถี่น้อยลง อาจจะมาเฉพาะตอนที่เครียดหรือผิดหวังมาก ๆ ไม่ได้วนเวียนบ่อย ๆ เหมือนเดิม

และจากตอนแรกจะมีเรื่องราวหรือเหตุผลมาสนับสนุนจนดูมีน้ำหนัก เมื่อได้ทานยา ผู้ป่วยจะรู้สึก ‘อิน’ น้อยลง หลุดจากห้วงความคิดนี้ได้ไวขึ้น

และต่อมาอาจจะเป็นแค่ความคิดที่เป็นเหมือนคำบ่นในหัว ไม่ได้มีความรู้สึกร่วมอะไร จนหายไปในทีสุด สอดคล้องกับอาการด้านอื่น ๆ ที่มักจะดีขึ้นไปในทางเดียวกัน

+ “แต่ก่อนไม่เคยเข้าใจคนที่ฆ่าตัวตายเลยนะ ว่าทำไมถึงทำ ตอนนี้รู้สึกว่าเข้าใจเค้า” เป็นคำพูดจากคนไข้หลาย ๆ ท่าน
บางคนบอกหมอในตอนที่เขาดีขึ้นมากหรือหายแล้ว ส่วนบางคนก็ใช้บรรยายสภาวะจิตใจในการพบกันครั้งแรก (ซึ่งเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาเลือกจะพบแพทย์ เพราะสังเกตได้ว่าไม่ปกติ และกลัวว่าวันหนึ่งจะสติหลุดแล้วทำจริง ๆ)

+ อาจารย์จิตแพทย์ท่านหนึ่งเคยสอนว่า “ถ้าหมอยังไม่เคยมีคนไข้ฆ่าตัวตายสำเร็จ แปลว่าหมอยังเป็นจิตแพทย์มาไม่นานพอ”

… แม้ว่าเราจะพยายามเต็มที่ที่สุด ไม่ว่าในฐานะคนใกล้ชิดหรือบุคลากรทางการแพทย์ แต่บางครั้งการฆ่าตัวตายก็อาจจะยังเกิดขึ้นได้ มันไม่ใช่ความผิดของใครคนใดคนหนึ่ง

+ มีคนไข้รายหนึ่งที่หมอได้พบ 2-3 ครั้ง ก่อนที่เธอจะย้ายไปต่างจังหวัด

ในการพบกันครั้งสุดท้าย คนไข้ยังอินกับความคิดนี้มาก หมอไม่สามารถกระตุ้นให้เธอเกิดการฉุกคิดในมุมอื่นอย่างที่ปกติช่วยคนอื่นได้แม้ว่าจะใช้เวลานานมากพอสมควร จึงทิ้งท้ายว่า

“มันเหมือนว่า คุณกำลังเห็นโลกเป็นสีขาวดำ ตอนนี้คุณเห็นแบบนั้นจริงจริง … แต่หมออยากให้คุณรู้ว่า จริง ๆ แล้วโลกเป็นสีนะคะ มันมีสีสัน หมออยากให้คุณรักษาต่อไป(เมื่อย้ายไปต่างจังหวัด) แล้วคุณจะมองเห็นสีสันนั้นอีกครั้ง”


#หมอมีฟ้า

ขอแสดงความเสียใจกับคุณเฌอปรางและครอบครัวด้วยค่ะ

ในช่วงที่อาการรุนแรง ความคิดไม่อยากอยู่จะสมเหตุสมผลในความรู้สึกคนไข้แต่เมื่อผ่านพ้นช่วงนั้นไปแล้ว ทุกคนล้วนแปลกใจกับที่เ...
10/09/2025

ในช่วงที่อาการรุนแรง ความคิดไม่อยากอยู่จะสมเหตุสมผลในความรู้สึกคนไข้

แต่เมื่อผ่านพ้นช่วงนั้นไปแล้ว ทุกคนล้วนแปลกใจกับที่เคยอินกับความรู้สึกนึกคิดนั้น

หลายครั้งที่ผู้ป่วยโรคซึมเศร้าฆ่าตัวตายหลังจากหยุดยาตามคำแนะนำของญาติหรือแพทย์สาขาอื่นด้วยเหตุผลว่าผู้ป่วยคิดไปเอง

ล่าสุดสตรีอายุ 40 ปีแขวนคอตายในบ้านหลังจากญาติสั่งหยุดยาต้านอารมณ์เศร้า เธอเคยมีน้องชายคนหนึ่งแขวนคอตายกับลูกบิดประตูตอนอายุ 15 ปี ที่คนส่วนใหญ่ไม่ทราบคือโรคซึมเศร้าถ่ายทอดทางพันธุกรรม พฤติกรรมฆ่าตัวตายก็เช่นกัน

โรคซึมเศร้าเป็นโรคทางจิตเวช ซึ่งมีความหมายกว้างกว่าปัญหาทางจิตใจ สารเคมีบางตัวในสมองของคนเราเปลี่ยนวิธีคิดของคนได้จริง เด็กชายชั้นมัธยมที่ยืนบนสะพานแม่น้ำกกเชื่อว่าการฆ่าตัวตายเป็นเรื่องสมเหตุผล สารเคมีที่หลั่งออกมาผิดปกตินั้นเองที่สร้างเหตุผลให้เขา สมเหตุผลที่จะกระโดด

“นึกถึงวันนั้น แปลกใจมั้ยทำไมกระโดด” ผมถาม
“แปลกมากเลยครับ ตอนนั้นผมไม่รู้เป็นอะไร มันอยากกระโดดจริงๆ” เด็กตอบ

คำแนะนำสำหรับประชาชนคือความคิดฆ่าตัวตายมิได้อยู่กับผู้ป่วยตลอดเวลา มีมาและมีไป ตอนที่มาเราหาคนอยู่ด้วย พูดอะไรไม่เป็นก็ไม่ต้องพูด รอเวลาให้คลื่นความคิดฆ่าตัวตายผ่านไปก็พอ แล้วพาผู้ป่วยเข้าสู่ระบบรักษาโดยเร็ว ยาต้านอารมณ์เศร้าสามารถหยุด ชะลอ หรือทำให้ความคิดฆ่าตัวตายน้อยลงและหายไปได้อย่างแน่นอน

สำหรับรัฐ โรคนี้มีอยู่จริง รัฐที่มีวิสัยทัศน์สามารถจัดการเรื่องนี้ได้

ที่อยู่

Bangkok

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ หมอมีฟ้าผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

แชร์

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram

ประเภท