Salubrity Cernitin เหมาะกับโรคต่างๆ เช่น เบาหวาน
มะเร็ง ระบบเลือด อัมพฤก ไมเกรน
และโรคอื่นๆ

💗 วันแม่แห่งชาติปีนี้ อย่าลืม ส่งมอบสิ่งดีๆให้กับคนที่เรา รัก 💕 ด้วยนะค่ะ ..   ขอพระองค์ทรงพระเจริญ 🙏🙏🙏
12/08/2018

💗 วันแม่แห่งชาติปีนี้ อย่าลืม ส่งมอบสิ่งดีๆ
ให้กับคนที่เรา รัก 💕 ด้วยนะค่ะ ..
ขอพระองค์ทรงพระเจริญ 🙏🙏🙏

ในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ ๒๕๖๑ ขอส่งคำอวยพรให้๑ ร้อยความสุข๑ พันสดชื่น๑ หมื่นสมหวัง๑ แสนพลัง๑ ล้านความสำเร็จจงเป็นของคุณและคร...
01/01/2018

ในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ ๒๕๖๑ ขอส่งคำอวยพรให้

๑ ร้อยความสุข
๑ พันสดชื่น
๑ หมื่นสมหวัง
๑ แสนพลัง
๑ ล้านความสำเร็จ
จงเป็นของคุณและ
ครอบครัวตลอดไป
👴👵👦👧🙋🙆

☺😊😀😁😘😚

อ.พนมปรีดี ฟอกไตมา 4 ปี อาทิตย์ละสองครั้งที่โรงพยาบาลทานเซอร์นิตินไป 1 ชุด  ตอนนี้ไปสอน รร.ได้แล้วค่ะ ที่อำเภอร่องคำ จัง...
25/12/2017

อ.พนมปรีดี ฟอกไตมา 4 ปี อาทิตย์ละสองครั้งที่โรงพยาบาล
ทานเซอร์นิตินไป 1 ชุด ตอนนี้ไปสอน รร.ได้แล้วค่ะ ที่อำเภอร่องคำ จังหวัดกาฬสินธุ์

♻️♻️♻️♻️♻️♻️♻️

สนใจติดต่อผู้เชี่ยวชาญฟรี คลิ๊ก 👇👇👇
>> m.me/CernitinCuresalubrity

หรือโทร 065-6133988

24/12/2017
รายการสั่งซื้อสินค้าของวันที่ 21 ธันวาคม 2560ขอบคุณ ลูกค้าที่อุดหนุนนะคะ 😄😄😄หากมีข้อสอบถามเพิ่มเติม inbox เข้ามาหรือโทร ...
23/12/2017

รายการสั่งซื้อสินค้าของวันที่ 21 ธันวาคม 2560
ขอบคุณ ลูกค้าที่อุดหนุนนะคะ 😄😄😄

หากมีข้อสอบถามเพิ่มเติม inbox เข้ามาหรือโทร 065 6133 988

�ตามหาคนที่มี "ไขมันในเลือดสูง"�� จะรู้ได้อย่างไรว่าเรามีไขมันอุดตันในหลอดเลือดสูงจนเป็นอันตราย? #อาการของคนที่มีไขมันใน...
23/12/2017

�ตามหาคนที่มี "ไขมันในเลือดสูง"�

� จะรู้ได้อย่างไรว่าเรามีไขมันอุดตันในหลอดเลือดสูงจนเป็นอันตราย?

#อาการของคนที่มีไขมันในเลือดสูง

1) รู้สึกเมื่อยเนื้อ เมื่อยตัวตามส่วนต่างๆ ปวดเวลาลุกขึ้นยืน หรือขยับ แสดงว่าเริ่มอุดตันแล้ว เพราะเลือดไหลไปเลี้ยงส่วนที่อุดตันไม่เพียงพอ ทำให้รู้สึกเมื่อยตลอดเวลา

2) อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย จากการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น เพลียตอนบ่ายๆ เป็นประจำ หรือวูบระหว่างขับรถ เพราะเลือดไหลเวียนไม่ดี หัวใจและสมองขาดเลือด

3) เจ็บหน้าอก หรือปวดหัวเป็นระยะๆ อาจเข้าขั้นอุดตันรุนแรง หากรู้สึกแบบนี้ควรรีบพบแพทย์ทันที เพราะเป็นอันตรายถึงชีวิตเฉียบพลันได้

กลุ่มเสี่ยงของโรคหลอดเลือดอุดตัน 2 กลุ่มใหญ่คือ ผู้สูงอายุ และผู้มีน้ำหนักเกิน เพราะ สองกลุ่มนี้มีประสิทธิภาพของระบบเผาผลาญพลังงานลดลง ทำให้ไขมันสะสมได้ง่ายขึ้น จึงต้องคอยสังเกตและระวังเป็นพิเศษ

� ศาสตราจารย์ L.Samochowice และ J.Wojcicki จากสถาบันแพทย์ Szczecin ประเทศโปแลนด์ ได้ทำการทดสอบ เกี่ยวกับการลดไขมันในเลือดและการเกาะตัวของลิ่มเลือด พบว่าหลังจากทาน Cernitin 2 สัปดาห์ พบว่า ระดับไขมันในเลือดลดลง และลดการเป็นลิ่มเลือดได้ถึง 82%

� ดังนั้นผู้ที่อายุเกิน 30 ปีขึ้นไป ผู้ที่ทานอาหารที่มีความเสี่ยงสูงๆ หรือ ไม่ค่อยออกกำลังกาย ควรรับประทาน Cernitin วันละอย่างน้อย 2 เม็ด เพื่อป้องกันการมีไขมันในเลือด

1 กระปุกมี 50 เม็ด ทานได้ 50 วัน
ราคา 2000 บาท สนใจสั่งซื้อคลิ๊ก
>> m.me/CernitinCuresalubrity
_____________

เรายินดีให้คำแนะนำปรึกษาฟรี

#ติดต่อเราและผู้เชี่ยวชาญฟรี

คลิ๊ก >> m.me/CernitinCuresalubrity
หรือโทร 065 613 3988

ไขมันในเลือดสูงควบคุมได้ แค่กินให้เป็นอาหารที่เหมาะกับคนเป็นโรคไขมันในเลือดสูง           1. ผลิตภัณฑ์จากนมที่ไม่มีไขมัน ...
23/12/2017

ไขมันในเลือดสูงควบคุมได้ แค่กินให้เป็น

อาหารที่เหมาะกับคนเป็นโรคไขมันในเลือดสูง

1. ผลิตภัณฑ์จากนมที่ไม่มีไขมัน อย่างเช่น นมพร่องหรือขาดมันเนย โยเกิร์ตไม่มีไขมัน เป็นต้น
2. เนื้อปลา และเนื้อสัตว์ที่ไม่ติดมัน
3. ถั่วชนิดต่าง ๆ
4. ธัญพืชที่ไม่ผ่านการขัดสี เช่น ข้าวกล้อง ข้าวโอ๊ต เป็นต้น
5. ผักสดชนิดต่าง ๆ โดยเฉพาะกระเทียมและข้าวโพด
6. ผลไม้ไม่มีรสหวานจัด หรือสุกมากเกินไป
7. หลีกเลี่ยงการใช้ไขมันจากสัตว์ และหันมาใช้ไขมันจากพืช เช่น น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมันมะกอก น้ำมันข้าวโพด น้ำมันรำข้าว ในการประกอบอาหารแทน แต่ควรหลีกเลี่ยงน้ำมันปาล์ม และน้ำมันมะพร้าว เพราะอาจจะทำให้ระดับคอเลสเตอรอลที่ไม่ดีสูงขึ้น และส่งผลให้หลอดเลือดตีบแข็งได้
8. อาหารประเภทต้ม ต้มยำ แกงส้ม ยำ นึ่ง อบ ย่าง แต่ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีกะทิเป็นส่วนประกอบ
9. ไขมันจากปลาทะเล อย่างเช่นน้ำมันตับปลา ปลาแซลมอน เพราะไขมันจากเนื้อปลานั้นจะช่วยทำให้ไตรกลีเซอไรด์น้อยลง และลดการจับตัวของเกล็ดเลือดอีกด้วย
10. อาหารที่มีไฟเบอร์หรือมีกากใยสูง เพราะอาหารเหล่านี้จะช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในร่างกายได้

อาหารที่คนเป็นโรคไขมันในเลือดสูงควรหลีกเลี่ยง

1 . อาหารที่มีไขมันสูง เช่น อาหารทอดต่าง ๆ
2. เนื้อสัตว์ติดมัน หนังเป็ด หนังไก่ ไข่แดง แฮม เบคอน และหมูยอ
3. อาหารทะเลบางชนิด เช่น ปลาหมึก และหอยนางรม
4. ขนมหวานที่มีส่วนประกอบของน้ำตาล กะทิ หรือมะพร้าว เช่น กล้วยบวชชี ขนมหม้อแกง หรือขนมถ้วย เป็นต้น
5. ขนมหรือของว่างที่มีไขมันแฝงอยู่ เช่น ขนมขบเคี้ยว โดนัท เค้ก คุกกี้ ไอศกรีม
6. ไขมันที่ได้จากสัตว์ทุกชนิด เช่น เนย มันหมู มันวัว มันไก่
________________

****เรามีทางออก ปรึกษาก่อนได้นะคะ****
Line ID :
หรือทักแชทได้นะคะ
>> https://m.me/cernitincuresalubrity

กาแฟเย็น ตัวการพาอ้วน เสี่ยงโรคเรื้อรัง คอกาแฟควรระวัง กาแฟกลายเป็นหนึ่งในค่านิยมของคนไทยไปเสียแล้วที่ไม่ว่าจะเดินทางไปท...
22/12/2017

กาแฟเย็น ตัวการพาอ้วน เสี่ยงโรคเรื้อรัง คอกาแฟควรระวัง
กาแฟกลายเป็นหนึ่งในค่านิยมของคนไทยไปเสียแล้วที่ไม่ว่าจะเดินทางไปที่ไหน ย่อมต้องแวะพักเติมพลังด้วยกาแฟสักแก้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งกาแฟเย็นที่ให้พลังงานพร้อมความอร่อยที่ใครหลายคนคาดไม่ถึงว่าทำร้ายสุขภาพของเรามากกว่าที่คิดไว้ซะอีก

เคยสงสัยกันไหมว่า ทำไมกาแฟเย็นถึงกินแล้วอ้วน ทั้งที่เราก็สั่งแบบไม่หวาน ลดนมข้น ไม่ใส่น้ำตาลแล้วก็ตาม แต่ก็ยังทำให้รู้สึกอ้วนขึ้น มีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นอยู่เหมือนเดิม ซึ่งใครที่กำลังมีปัญหาแบบนี้อยู่ละก็ เราขอให้ลองอ่านข้อมูลที่เรานำมาฝากนี้ดู เผื่อว่าจะได้ตัดใจจากกาแฟเย็นได้มากขึ้น

ในกาแฟเย็น 1 แก้วมีอะไรซ่อนอยู่บ้าง

รสชาติที่แท้จริงของกาแฟควรจะมีรสขมนำ แต่ถ้าเมื่อไรที่ดื่มเข้าไปจิบแรกแล้วพบว่ารสชาติกลมกล่อม หอม หวาน มัน ชื่นใจละก็ ขอให้รู้ว่าเราไม่ได้กำลังดื่มแค่กาแฟเพียงอย่างเดียวซะแล้ว จากผลการสำรวจของ สำนักโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข พบว่า สิ่งที่ซ่อนอยู่ในกาแฟเย็น 1 แก้วนั้นมีมากกว่าแค่สารคาเฟอีน เพราะกาแฟเย็นขนาดแก้ว 20 ออนซ์ หรือ 600 มิลลิลิตร มีส่วนประกอบของไขมัน 22.1 กรัม โปรตีน 10.9 กรัม และคาร์โบไฮเดรต 49.4 กรัม ซึ่งให้พลังงานต่อร่างกายสูงกว่า 200 กิโลแคลอรี โดยพลังงานที่ร่างกายได้รับส่วนใหญ่ก็มาจากน้ำตาลที่มาจากนมข้น ครีมเทียม หรือไซรัปแต่งรสชาติในปริมาณที่มากถึง 38 กรัม หรือประมาณ 10 ช้อนชา ดังนั้นลองคิดเล่น ๆ ดูว่า หากเรากินกาแฟเย็นเฉลี่ยวันละ 2 แก้ว นั่นหมายถึง ร่างกายจะได้รับปริมาณน้ำตาลเพิ่มขึ้นอีกเป็นเท่าตัว !

กาแฟเย็น ตัวการพาอ้วน

กาแฟเย็นสูตรไหน ดื่มแล้วทำร้ายสุขภาพมากที่สุด

ความจริงแล้วขึ้นชื่อว่ากาแฟเย็นก็ล้วนแล้วแต่ทำร้ายสุขภาพทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นเมนูกาแฟยอดฮิตที่เขาขายกัน เช่น ลาเต้ มอคค่า เอสเปรสโซ่ และคาปูชิโน่ โดยกาแฟแต่ละสูตรนั้นมีปริมาณน้ำตาลไม่ต่างกันเท่าไรนัก ยกเว้นเมนูที่มีส่วนผสมของช็อกโกแลตและกาแฟที่ดื่มแล้วจะทำให้อ้วนมากกว่าเมนูอื่น ๆ อย่างเช่น มอคค่าเย็น ที่ไม่ได้ให้แค่น้ำตาลอย่างเดียว ซึ่งหากลองเปรียบเทียบปริมาณน้ำตาลในกาแฟแต่ละสูตรจะพบว่า

- ลาเต้เย็นให้พลังงานสูงถึง 288 กิโลแคลอรี มีปริมาณน้ำตาลประมาณ 3-9 ช้อนชา

- คาปูชิโนเย็นให้พลังงานสูงถึง 303 กิโลแคลอรี มีปริมาณน้ำตาลประมาณ 6-9 ช้อนชา

- มอคค่าเย็นให้พลังงานสูงถึง 400 กิโลแคลอรี มีปริมาณน้ำตาลประมาณ 5-9 ช้อนชา แถมยังมีปริมาณน้ำตาลที่มาจากน้ำเชื่อมและผงช็อกโกแลตอีกด้วย

แต่สำหรับกาแฟสูตรอื่นที่นอกเหนือไปจากนี้ เช่น เมนูแฟรปปูชิโน่ ทั้งแบบมีวิปครีมและไม่มีวิปครีมนั้นถือว่าเป็นเมนูกาแฟที่กินแล้วอ้วนที่สุด เพราะให้พลังงานสูงถึง 561 แคลอรี และ 457 แคลอรี ตามลำดับ

น้ำตาลและครีมเทียม กลลวงความอร่อยที่ทำให้เราอ้วน

นอกจากปริมาณน้ำตาลในกาแฟเย็นที่ทำให้เราอ้วนขึ้น สุขภาพแย่ลงแล้ว ยังมีตัวการร้ายที่เราต้องระวังให้ดีก็คือ ครีมเทียม เพราะครีมเทียมมีส่วนประกอบหลักเป็นไขมัน โปรตีน และน้ำตาล โดยส่วนใหญ่ก็สกัดมาจากน้ำมันปาล์มและน้ำมันมะพร้าว จึงมีปริมาณกรดไขมันอิ่มตัวสูงประมาณร้อยละ 20-50 ถือเป็นไขมันทรานส์ที่มีผลให้คอเลสเตอรอลชนิดเลว (LDL) ในเลือดเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ระบบการทำงานของตับผิดปกติ หากเราชงกาแฟด้วยครีมเทียมครั้งละ 2-3 ช้อนขึ้นไปเป็นประจำทุกวัน แน่นอนว่าเรามีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันอุดตันในเส้นเลือด

นอกจากนี้ยังมีกลลวงความอร่อยอีกหนึ่งอย่างที่เราต้องคำนึงถึงด้วยนั่นก็คือ น้ำเชื่อมแต่งรสชาติต่าง ๆ เช่น วานิลลา ฮาเซลนัท มินท์ และคาราเมล ซึ่งก็ถือว่าอยู่ในหมวดหมู่ของน้ำตาลไซรัปเติมรสชาติ ที่ส่งผลให้แคลอรี่ในกาแฟแก้วโปรดของเราเพิ่มขึ้นด้วยเหมือนกัน

กาแฟเย็น ตัวการพาอ้วน

ภัยสุขภาพที่แฝงมากับกาแฟเย็น 1 แก้ว

ตามหลักโภชนาการที่ดีแล้ว ร่างกายของเราควรได้รับพลังงานโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 2,000 กิโลแคลอรีสำหรับผู้หญิง และ 2,500 กิโลแคลอรีสำหรับผู้ชาย ซึ่งการดื่มกาแฟเย็นแม้เพียงแค่แก้วเดียว ก็ทำให้ร่างกายเราได้รับแคลอรี่สูงกว่า 1 ใน 4 ของแคลอรีในอาหารรวม 3 มื้อเสียอีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเราดื่มวันละหลายแก้ว แต่กลับไม่ได้เคลื่อนไหวร่างกายมากนัก ก็ไม่แปลกที่น้ำหนักตัวจะเพิ่มขึ้น ส่วนหนึ่งมาจากการที่ร่างกายได้รับน้ำตาลในปริมาณที่สูงมากทุกวัน จนไม่สามารถเผาผลาญให้หมดในแต่ละวันได้ เกิดการแปรเปลี่ยนสภาพเป็นไขมัน กลายเป็นเซลลูไลท์ใต้ชั้นผิวหนังตามอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกายเรา และยิ่งถ้าเราดื่มกาแฟเย็นเกินกว่า 1 แก้วต่อวันละก็ ร่างกายก็ยิ่งมีความเสี่ยงสูงในการโรคเสื่อมต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้น ได้แก่ โรคอ้วน โรคมะเร็งลำไส้ โรคหัวใจ โรคเบาหวานและความดันโลหิต สาเหตุเพราะน้ำตาลเป็นตัวทำลายความสมดุลของระบบไหลเวียนโลหิตในร่างกายนั่นเอง

เห็นไหมละคะว่า แค่กาแฟเย็นเพียงแก้วเดียวก็มีผลต่อสุขภาพของเราให้แย่ลงได้แล้ว ดังนั้นใครที่ติดกาแฟเย็นมาก ขอแนะนำให้ลองเปลี่ยนมาเป็นกาแฟร้อนดูนะคะ เพราะการกินแบบร้อนจะทำให้เราลดปริมาณน้ำตาลและไขมันได้มากกว่า อีกทั้งยังทำให้เรารับรสกาแฟได้มากขึ้นกว่าเดิมด้วย

ไขมันในร่างกาย มีมากไปเสี่ยงโรคสารพัด   ไขมันที่สะสมในร่างกายเรา ถือเป็นส่วนเกินของร่างกายที่ไม่เพียงแค่ไม่มีประโยชน์แล้...
22/12/2017

ไขมันในร่างกาย มีมากไปเสี่ยงโรคสารพัด
ไขมันที่สะสมในร่างกายเรา ถือเป็นส่วนเกินของร่างกายที่ไม่เพียงแค่ไม่มีประโยชน์แล้ว ยังเป็นตัวการสำคัญขัดขวางการทำงานของอวัยวะต่าง ๆ ภายในร่างกายเราอีกด้วย ดังนั้นผู้ที่ปริมาณไขมันในร่างกายสูงจึงเสี่ยงเป็นโรคต่าง ๆ ง่ายกว่าผู้ที่ควบคุมระดับไขมันในร่างกาย

1.หน้าท้อง

หากร่างกายเรามีไขมันที่สะสมอยู่บริเวณหน้าท้อง จะไปกระตุ้นให้ร่างกายผลิตโปรตีนออกมามากเกินกำหนด ส่งผลให้ไปขัดขวางการไหลเวียนโลหิตที่จะส่งไปยังอวัยวะตับ กล้ามเนื้อ และสมอง ทำให้การทำงานของอวัยวะเหล่านี้ทำงานผิดปกติ หรือช้าลง

2. แขน

ไขมันใต้ผิวหนังสามารถพบได้ทั่วทั้งร่างกาย รวมถึงอวัยวะแขนด้วย ซึ่งไขมันที่สะสมอยู่ตามร่างกายส่วนล่าง เช่น ขา น่อง ต้นขา และบั้นท้าย จะให้ประโยชน์กับร่างกายในเรื่องของการช่วยพยุงน้ำหนักตัวเมื่อร่างกายเคลื่อนไหว หากร่างกายเรามีอวัยวะในส่วนท้องแขนมากไป ก็จะก่อให้เกิดต้นแขนหย่อนยาน และเสียดสีไปกับลำตัวเมื่อมีการเคลื่อนไหว

3. ตับ

ไขมันที่สะสมในอวัยวะตับจะส่งผลกระทบให้ร่างกายผลิตอินซูลินออกมา ซึ่งเสี่ยงให้ร่างกายเป็นโรคเบาหวานได้


ไขมัน

4. ลำไส้

ปกติแล้วในลำไส้ของเราจะมีจุลินทรีย์ที่ชื่อว่า ไมโครไบโอม (Microbiome) มีคุณสมบัติช่วยระบบเผาผลาญทำงานเป็นปกติ แต่จะทำงานช้าลงและทำงานผิดปกติไปจากเดิมหากมีปริมาณไขมันอุดตันในลำไส้

5. ปอด

ปอดเป็นอวัยวะสำคัญที่ทำงานร่วมกับระบบไหลเวียนโลหิต ให้มีออกซิเจนไปหล่อเลี้ยงอวัยวะทุกส่วนในร่างกาย ดังนั้นหากในร่างกายมีไขมันไปเกาะอยู่ที่ปอด ระบบหมุนเวียนเหล่านี้จะทำงานได้ช้าลง ก่อให้เกิดภาวะภูมิแพ้ต่าง ๆ หายใจติดขัด กล้ามเนื้ออกอ่อนแอ

6. สมอง

การที่ร่างกายสะสมไขมันไว้มาก เสี่ยงต่อการเป็นโรคหลอดเลือดสมองตีบตัน (Stroke) เกิดจากการมีไขมันไปเกาะผนังหลอดเลือดด้านในหลอดเลือดสมอง หรือมีลิ่มเลือดขนาดเล็กที่ลิ้นหัวใจและผนังหัวใจ หลุดลอยตามกระแสเลือดไปอุดตันหลอดเลือดในสมอง ส่งผลให้สมองอยู่ในภาวะขาดเลือดไปเลี้ยง เพราะมีการอุดตันของเส้นเลือดที่นำเลือดไปเลี้ยงสมองส่วนต่าง ๆ

สมองจึงขาดเลือด อยู่ในภาวะที่ทำงานไม่ได้ ตาพร่ามัวมองเห็นภาพซ้อน มีอาการชาครึ่งซีก อ่อนแรงและหน้าเบี้ยว หรือมีอาการแขนขาอ่อนแรงร่วมด้วย พูดลำบาก หรือฟังไม่เข้าใจ เวียนศีรษะ การทรงตัวไม่ดี เดินเซ กลืนลำบาก ปวดศีรษะ (บางครั้งจะมีอาการปวดศีรษะรุนแรง) ซึ่งอาจแสดงอาการออกมาอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือหลายอาการพร้อมกัน

7. หัวใจ

ไขมันที่มากเกินไปในร่างกายส่งผลต่ออวัยวะหัวใจ ก่อให้เกิดภาวะต่าง ๆ เช่น คอเลสเตอรอลสูง ความดันโลหิตสูง ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (Sleep apnea) และอาจเสียชีวิตได้ในที่สุด

10 วิธีแก้หนาว เพิ่มความอบอุ่นให้ร่างกายฉับพลันแค่ลงมือทำตามนี้  วิธีแก้หนาวในวันที่สภาพอากาศหนาวจนแทบจะร้องขอชีวิต วันน...
22/12/2017

10 วิธีแก้หนาว เพิ่มความอบอุ่นให้ร่างกายฉับพลันแค่ลงมือทำตามนี้

วิธีแก้หนาวในวันที่สภาพอากาศหนาวจนแทบจะร้องขอชีวิต วันนี้เรามีวิธีทำให้ร่างกายอบอุ่นทันทีมาฝาก

ในวันที่อากาศหนาวฉับพลันมาเยือน บอกตรง ๆ ว่าเสื้อกันหนาวกี่ตัว ๆ ก็เทบเอาไม่อยู่ และหากอากาศจะหนาวอย่างนี้ต่อไปอีก แนะนำให้รีบหาวิธีแก้หนาวเจ๋ง ๆ มารับมือเลยดีกว่า อย่าง 10 วิธีแก้หนาวต่อไปนี้ก็น่าลองอยู่นะ

1. สวมเสื้อผ้าหนา ๆ ถุงมือ-ถุงเท้า ใส่ให้ครบ ช่วยแก้หนาวได้ดีสุด ๆ

2. รับประทานอาหารคลายหนาว โดยกินอาหารให้ครบ 5 หมู่ เน้นอาหารประเภทแป้ง ไขมัน เนื้อสัตว์ และผักผลไม้มากกว่าปกติ

3. พยายามจิบน้ำอุ่นบ่อย ๆ เพื่อป้องกันการขาดน้ำ และน้ำอุ่นยังช่วยให้ร่างกายอบอุ่นขึ้นด้วย

4. ดื่มเครื่องดื่มคลายหนาว ถ้าอยากรู้ว่าควรดื่มอะไรแก้หนาว ลองดูเครื่องดื่มสุขภาพ หนาวนี้ดื่มอะไรให้อุ่นดี ?

5. ปิดหน้าต่าง ประตูทุกบาน หากรู้สึกว่าทนกับลมหนาว ๆ ไม่ไหว

6. กอดใครสักคน การกอดจะช่วยส่งผ่านอุณหภูมิอุ่น ๆ ของร่างกายให้ถึงกัน ทั้งยังช่วยลดความเครียด มอบความรู้สึกดี ๆ อีกด้วย

7. ออกไปตากแดดบ้าง แม้จะต้องโต้ลมหนาว แต่การผึ่งแดดจะช่วยเพิ่มความอบอุ่น และการเคลื่อนไหวร่างกายก็จะช่วยให้เลือดไหลเวียนเพิ่มอุณหภูมิในตัวอีกแรง

8. ออกกำลังกาย ทำให้ร่างกายได้เคลื่อนไหวดีกว่านั่งเฉย ๆ เพราะการออกกำลังกายจะช่วยเพิ่มระบบไหลเวียนเลือด เติมความอบอุ่นให้ร่างกาย

9. อาบน้ำเย็น ทนหนาวแป๊บเดียว เพื่อให้ความหนาวเย็นกระตุ้นให้ร่างกายผลิตไขมันสีน้ำตาลซึ่งเป็นไขมันที่ใช้ในการเผาผลาญพลังงาน โดยเมื่อร่างกายเผาผลาญพลังงานได้มากขึ้นแล้ว ก็จะทำให้ความดันโลหิตและอุณหภูมิในร่างกายของเราสูงขึ้นนั่นเอง

10. เข้าครัวทำกับข้าว การอยู่หน้าเตาทำอาหาร บวกกับการเคลื่อนไหวร่างกายจะช่วยให้หายหนาวได้พอสมควร

อากาศหนาวฉับพลันอย่างไม่ให้มีเวลาตั้งตัวแบบนี้ก็ต้องหาวิธีแก้หนาวได้ทันทีไปสู้กันบ้าง ซึ่งหากสะดวกจะแก้หนาวแบบไหนก็ลองเลือกไปปฏิบัติกันดูนะคะ

"นวดบำบัด" ด้วยตัวเอง ห่างไกลออฟฟิศซินโดรมโดยปกติอาการปวดเมื่อยตามร่างกายที่มักเป็นคงหนี ไม่พ้นอาการปวดเมื่อยจากโรคออฟฟิ...
20/12/2017

"นวดบำบัด" ด้วยตัวเอง ห่างไกลออฟฟิศซินโดรม
โดยปกติอาการปวดเมื่อยตามร่างกายที่มักเป็นคงหนี ไม่พ้นอาการปวดเมื่อยจากโรคออฟฟิศซินโดรม เช่น ปวดคอ ปวดหลัง ปวดข้อมือ ปวดแขน หรือปวดข้อเท้า และอาการปวดศีรษะจากความเครียด ซึ่งเราสามารถ บรรเทาอาการเหล่านี้ได้ด้วยตัวเอง

จุดที่ 1 ใบหน้า
- จุดกึ่งกลางระหว่างคิ้ว ใช้นิ้วที่ถนัดกดเบาๆ 3-5 ครั้ง แล้วคลายออกด้านข้าง
- จุดใต้หัวคิ้ว ใช้ปลายนิ้วที่ถนัดกดคลึงเบาๆ 3-5 ครั้ง

จุดที่ 2 ท้ายทอย
- จุดกึ่งกลางใต้ท้ายทอยตรงรอยบุ๋ม ให้ใช้นิ้วหัวแม่มือกด 3-5 ครั้ง
- จุดสองจุดด้านข้างรอยบุ๋ม ให้ใช้วิธีการประสานมือบริเวณท้ายทอย แล้วใช้นิ้วหัวแม่มือทั้งสองข้างกดจุด พร้อมๆ กัน 3-5 ครั้ง

จุดที่ 3 บริเวณต้นคอ
- ประสานมือบริเวณท้ายทอย ใช้นิ้วหัวแม่มือทั้งสองข้าง กดตามแนวสองข้างของ กระดูกต้นคอ โดยกดไล่จากบริเวณตีนผมลงมาถึงบริเวณบ่า 3-5 ครั้ง

จุดที่ 4 บริเวณบ่า
- ใช้ปลายนิ้วมือขวาบีบไหล่ซ้าย ไล่จากบ่าเข้าหาต้นคอ ใช้ปลายนิ้วมือซ้ายบีบไหล่ขวา ไล่จากบ่าเข้าหาต้นคอ ทำซ้ำ 3-5 ครั้ง
- บ่าด้านหน้า ใช้นิ้วหัวแม่มือกดจุดใต้กระดูกไหปลาร้า จุดต้นแขน และจุดเหนือรักแร้ ของบ่าซ้าย ใช้นิ้วหัวแม่มือซ้ายกดจุดเดียวกันที่บ่าขวา ทำซ้ำ 3-5 ครั้ง
- บ่าด้านหลัง ใช้นิ้วที่ถนัดของมือขวาอ้อมไปกดจุดบนและจุดกลางของกระดูกสะบัก และจุดรักแร้ด้านหลังของบ่าซ้าย ใช้นิ้วที่ถนัดของมือซ้ายกดจุดเดียวกันที่บ่าขวา ทำซ้ำ 3-5 ครั้ง

เราสามารถบรรเทาอาการปวดเมื่อยหลังและสะโพกด้วยตัวเองได้ดังนี้
1.นอนหงายและชันเข่า ข้างหนึ่งขึ้นมา วางตั้ง ขนานไปกับขาอีกข้าง ที่เหยียดตรง
2.ใช้มือข้างตรงข้ามจับเข่าที่ ตั้งขึ้น หายใจเข้า หายใจออก พร้อมกับดึง หัวเข่าให้พับลงมาฝั่งเดียว กับมือที่จับให้แตะถึงพื้น โดยไม่ยกไหล
3.หายใจเข้าออกปกติ 3-5 ครั้งแล้วผ่อนออก ทำสลับอีกข้าง

ใช้นิ้วหัวแม่มือกดจุดแนวแขนด้านหน้า จากเหนือกึ่งกลางข้อมือ (แนวนิ้วกลาง) ไปจนถึงร่องกล้ามเนื้อสามเหลี่ยม

1.เหยียดขาข้างหนึ่งออกและวางขาอีกข้าง วางไว้ระดับเข่า

2.ใช้นิ้วหัวแม่มือซ้อนกันเป็นแนวนอน กดจุดแนวชิดกระดูกหน้าแข้งด้านใน โดยวางนิ้วขนานกับแนวกระดูก

ข้อควร ระมัดระวัง

แม้วิธีการนวดที่กล่าวมาจะเป็นวิธีนวดด้วยตัวเองง่ายๆ แต่ก็มีข้อควรระวังไว้ รวมไปถึงการเข้าร้านนวดแผนไทยต่างๆ เพราะการนวดแม้จะมีประโยชน์แต่ถ้านวดผิด วิธีหรือนวดในขณะที่สภาพร่างกายไม่เหมาะก็จะก่อให้เกิดผลเสียตามมาได้ เช่น

1. หลังรับประทานอาหารอิ่มใหม่ๆ (ควรทิ้งระยะเวลา 30 นาทีเป็นอย่างน้อย)
2. ร่างกายมีอาการอักเสบ ติดเชื้อ หรือมีแผลฟกช้ำมากเกินไป
3. มีไข้ขึ้นสูงเกินกว่า 38 องศาเซลเซียส หรือมีความดันโลหิตสูงเกิน 140/90 มิลลิเมตรปรอท
4. ป่วยเป็นโรคเบาหวาน โรคทางสมอง ฯลฯ
5. ผู้มีข้อต่อหลวม หรือกระดูกพรุน ต้องระมัดระวังในการนวด
6. ไม่ควรนวดบริเวณที่ได้รับการผ่าตัดใหม่ๆ ควรเว้นระยะเวลาประมาณ 1 ปี

18/12/2017

หมายเลข ems วันที่ 18 ธันวาคม 2560

1.ว่าที่ ร.ต.หญิงวิลาศลักษณ์ EL965266735TH
2.คุณยุพิน EL965266744TH
3.คุณอัชรา EL965266758TH
4.คุณศิริวรรณ EL965266761TH
5.คุณวชิราภรณ์ EL965266775TH
6.คุณอาตียะห์ EL965266789TH
7.คุณพรทิพา EL965266792TH
8.คุณกัญทยา EL965266801TH
9.คุณวรวุฒิ EL965266815TH

ขอบคุณลูกค้าทุกท่านนะค่ะ หากมีข้อสงสัยติดต่อได้ทาง inbox
หรือโทร 065-613-3988

ที่อยู่

บริษัท Happy MPM
Phra Nakhon
10120

เบอร์โทรศัพท์

0656133988

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ Salubrityผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

แชร์

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram