สุขภาพดี

สุขภาพดี Good Health Facebook Fanpage เพจสุขภาพดี

More info please contact :

E-mail : mooanuthep@gmail.com

"มันเทศ” คุณค่าเพียบ เผย “สีม่วง” สารต้านอนุมูลอิสระสูงกว่าผลไม้ตระกูลเบอร์รีผศ.ดร.เอกราช เกตวัลย์ อาจารย์ประจำสถาบันโภช...
02/01/2017

"มันเทศ” คุณค่าเพียบ เผย “สีม่วง” สารต้านอนุมูลอิสระสูงกว่าผลไม้ตระกูลเบอร์รี

ผศ.ดร.เอกราช เกตวัลย์ อาจารย์ประจำสถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า จากการนำมันเทศ สีส้ม เหลือง ขาว และ ม่วง ไปวิเคราะห์โภชนาการทางอาหาร พบว่าใน 1 หัว มีคาร์โบไฮเดรต ถึง 30 - 40 กรัม และมีโปรตีน 45 กรัม ซึ่งให้คุณค่าทางโภชนาการสูงกว่าข้าวเล็กน้อย ทั้งนี้ ครึ่งหนึ่งเป็นไฟเบอร์ ทำให้กินแล้วอิ่มท้อง พอท้องอิ่มก็ไม่ต้องกินอย่างอื่นเพิ่ม จึงควบคุมอาหารได้ สามารถกินได้มากกว่า 1 หัว โดยไม่เป็นอันตราย เพราะร่างกายจะมีความสามารถเปลี่ยนเป็นวิตามินเอได้ เมื่อแยกคุณค่าทางโภชนาการตามสีของมันเทศ พบว่า สีส้ม เป็นสีที่สร้างโดยธรรมชาติมีสารที่ออกฤทธิ์ทางชีวภาพ มีเบตาแคโรทีน ใกล้เคียงกับแครอท และมีสารต้านอนุมูลอิสระ เพิ่มภูมิคุ้มกันโรคมะเร็ง อีกทั้งมีสารตั้งต้นวิตามินเอ เมื่อกินเข้าไปร่างกายจะเปลี่ยนเป็นวิตามินเอ ช่วยป้องกันโรคตาบอดในเวลากลางคืน เพิ่มภูมิคุ้มกันของร่างกาย ซึ่งมันเทศสีเหลืองก็มีคุณสมบัติเช่นนี้แต่จะน้อยกว่าสีส้ม

“ส่วนสีม่วง มีสารต้านอนุมูลอิสระดีกว่าผลไม้ตระกูลเบอร์รี หากจะหาอาหารเสริมตระกูลเบอร์รี่ สามารถกินมันเทศก็ได้เหมือนกัน ทั้งนี้ ยังลดอาการโรคหัวใจ หลอดเลือด ลดการเกิดอาการลิ่มเลือดในรายที่เป็นโรคหัวใจตีบ เส้นเลือดหัวใจอุดตัน จากเลือดแข็งตัว คุณสมบัติเหล่านี้ทำให้ไม่ต้องหาผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร แถมราคาสบายกระเป๋า เรียกว่า มันเทศของเรารูปไม่สวย แต่จูบหอม” ผศ.ดร.เอกราช กล่าว

Cr. http://m.manager.co.th/QOL/detail/9590000130036

5 เมนูอาหารไทยเปี่ยมด้วยแคลเซียม บำรุงกระดูก1.น้ำพริกปลาทูเมนูอาหารแบบเรียบง่ายนี้มีแคลเซียมสูงมาก เพราะส่วนประกอบแต่ละอ...
14/12/2016

5 เมนูอาหารไทยเปี่ยมด้วยแคลเซียม บำรุงกระดูก

1.น้ำพริกปลาทู

เมนูอาหารแบบเรียบง่ายนี้มีแคลเซียมสูงมาก เพราะส่วนประกอบแต่ละอย่างที่อยู่ในน้ำพริกนั้นมีแคลเซียมอยู่แทบทั้งสิ้น แถมยังมีสารอาหารอื่น ๆ ที่สำคัญอีกด้วย โดยในแต่ละส่วนผสมของเมนูนี้มีปริมาณแคลเซียมดังนี้

- กะปิ : มีปริมาณแคลเซียม 1,556 มิลลิกรัม ต่อกะปิ 100 กรัม
- พริกขี้หนู : มีปริมาณแคลเซียม 4 มิลลิกรัมต่อพริก 100 กรัม
- กระเทียม : มีปริมาณแคลเซียม 5 มิลลิกรัมต่อกระเทียม 100 กรัม
- กุ้งแห้ง : มีปริมาณแคลเซียม 2,305 มิลลิกรัมต่อกุ้งแห้ง 100 กรัม
- หอมแดง : มีปริมาณแคลเซียม 16 มิลลิกรัมต่อหอมแดง 100 กรัม
- ปลาทูทอด : มีปริมาณแคลเซียม 136 มิลลิกรัมต่อปลาทู 100 กรัม

2.ยำถั่วพู

ถั่วพูเป็นอาหารที่มีปริมาณแคลเซียมสูงมากพอตัว ถือเป็นอาหารชั้นยอดของในตระกูลถั่วทั้งหมด นอกจากนี้ก็ยังมีส่วนผสมอื่น ๆ เช่นกุ้งสด พริกแห้ง และหอมเจียวที่มีปริมาณแคลเซียมสูงเช่นเดียวกัน ซึ่งปริมาณแคลเซียมของยำถั่วพูมีดังนี้

- ถั่วพู : มีปริมาณแคลเซียม 33 มิลลิกรัมต่อถั่วพู 100 กรัม
- กุ้งสด : มีปริมาณแคลเซียม 63 มิลลิกรัมต่อกุ้งสด 100 กรัม
- พริกแห้ง : มีปริมาณแคลเซียม 59 มิลลิกรัมต่อพริกแห้ง 100 กรัม
- หอมแดงเจียว : มีปริมาณแคลเซียม 16 มิลลิกรัมต่อหอมแดง 100 กรัม

3.น้ำพริกกุ้งเสียบ

น้ำพริกกุ้งเสียบเป็นอาหารประจำภาคใต้ที่แค่เพียงกุ้งเสียบอย่างเดียวก็มีปริมาณแคลเซียมสูงอยู่แล้ว ยิ่งนำมาผสมกับกะปิย่างไฟหอม ๆ ที่เปี่ยมไปด้วยแคลเซียมแล้ว ยิ่งทำให้น้ำพริกกุ้งเสียบนี้กลายเ­ป็นเมนูเสริมแคลเซียมที่ดีอีกเมนูหนึ่ง

- กุ้งเสียบ : มีปริมาณแคลเซียม 2,305 มิลลิกรัมต่อกุ้งเสียบ 100 กรัม
- กะปิ : มีปริมาณแคลเซียม 1,556 มิลลิกรัมต่อกะปิ 100 กรัม
- พริกขี้หนู : มีปริมาณแคลเซียม 4 มิลลิกรัมต่อพริก 100 กรัม

4.แกงส้มดอกแค

ดอกแคหนึ่งในสมุนไพรที่เราใช้กันมานานก็ถือเป็นอาหารอีกชนิดหนึ­­­่งที่มีแคลเซียมสูง ยิ่งนำมาทำเป็นแกงส้มรวมกับส่วนผสมอื่น ๆ ก็ยิ่งทำให้ได้รับแคลเซียมมากขึ้นกว่าเดิม ซึ่งในเมนูนี้ก็ไม่ได้มีแค่ดอกแคเท่านั้นมีแคลเซียมสูง แต่ยังมีพริกแห้ง หอมแดง ปลาช่อนและกะปิ ที่ถือว่ามีแคลเซียมสูงไม่แพ้กัน

- ดอกแค : มีปริมาณแคลเซียม 395 มิลลิกรัมต่อดอกแค 100 กรัม
- พริกแห้ง : มีปริมาณแคลเซียม 59 มิลลิกรัมต่อพริกแห้ง 100 กรัม
- หอมแดง : มีปริมาณแคลเซียม 16 มิลลิกรัมต่อหอมแดง 100 กรัม
- กะปิ : มีปริมาณแคลเซียม 1,556 มิลลิกรัม ต่อกะปิ 100 กรัม
- ปลาช่อน : มีปริมาณแคลเซียม 31 มิลลิกรัมต่อปลาช่อน 100 กรัม

5.แกงจืดตำลึง

เมนูพื้น ๆ ง่าย ๆ แต่มีปริมาณแคลเซียมสูง เพราะนอกจากตำลึงจะมีไฟเบอร์แล้วก็ยังมีวิตามินซีและฟอสฟอรัส ที่สำคัญปริมาณแคลเซียมก็สูงเช่นกัน

- ผักตำลึง : มีปริมาณแคลเซียม 126 มิลลิกรัมต่อตำลึง 100 กรัม
- เต้าหู้ : มีปริมาณแคลเซียม 250 มิลลิกรัมต่อเต้าหู้ 100 กรัม

Cr. http://health.kapook.com/view113568.html

ประโยชน์ของ "อั้งคัก" สีแดง ในเย็นตาโฟ เต้าหู้ยี้ และหมูแดงRed Yeast Rice หรือข้าวแดงหมักที่ชาวจีนเรียกว่า “อั้งคัก” ซึ่...
19/11/2016

ประโยชน์ของ "อั้งคัก" สีแดง ในเย็นตาโฟ เต้าหู้ยี้ และหมูแดง

Red Yeast Rice หรือข้าวแดงหมักที่ชาวจีนเรียกว่า “อั้งคัก” ซึ่งก็คือข้าวที่ผ่านการหมักด้วยเชื้อราสายพันธุ์ Monascus spp. ที่สามารถสร้างสารให้สีทำให้ข้าวทั้งเมล็ดเปลี่ยนเป็นสีแดงเข้ม จึงนิยมเอามาใส่สีแดงในเย็นตาโฟ เต้าหู้ยี้ และหมูแดง

ใน Red Yeast Rice มีสาร Monacolinsซึ่งมีคุณสมบัติในการยับยั้งไม่ให้เอนไซม์เอชเอ็มจี-โคเอรีดักเทส (HMG-CoA reductase) ออกฤทธิ์และสังเคราะห์คอเลสเตอรอลในตับ จึงเหมาะสำหรับกลุ่มผู้มีภาวะคอเลสเตอรอลสูง ไตรกลีเซอไรด์สูง สามารถลด LDL-cholesterol และ VLDLcholesterol ซึ่งเป็นไขมันที่ทำให้เกิดความเสี่ยงต่อหลอดเลือดอุดตันได้ ในขณะที่สามารถเพิ่ม HDL-cholesterol ซึ่งเป็นไขมันอีกกลุ่มที่มีบทบาทในการช่วยทำความสะอาดหลอดเลือดได้ด้วย สอดคล้องกับมุมมองของการแพทย์องค์รวม กระบวนการหมัก Red Yeast Rice เป็นกระบวนการที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับระบบตับและม้าม สีแดงจะเป็นสารอาหารที่มีความสำคัญกับระบบธาตุลม (การไหลเวียน)และระบบธาตุไฟ (การเผาผลาญ) ในกายของมนุษย์มากกว่า ส่งผลให้เลือดลมไหลเวียนดีกระชุ่มกระชวย

การวิจัยที่ออกมายืนยันว่า สาร Monascolin I ที่พบใน “อั้งคัก” เมื่อกินเข้าไปแล้วสามารถเปลี่ยนแปลงไปยับยั้งเอนไซม์ HMG-CoA reductase จึงเป็นเรื่องที่สอดคล้องกันโดยไม่น่าเชื่อและการที่ภูมิปัญญาของคนจีนนำเอาเนื้อหมูที่กินแล้วไขมันขึ้นมาหมักปรุงรสกับ “อั้งคัก” ได้ออกมาเป็นอาหารที่กินแก้กัน ทำให้ไขมันไม่ขึ้นจากการรับประทานหมูมากจนเกินไปนัก จึงนับเป็นความชาญฉลาดโดยแท้

Cr. แพทย์หญิงกอบกาญจน์ ไพบูลย์ศิลป แพทย์ธรรมชาติบำบัด

ผักผลไม้ปนเปื้อนยาฆ่าแมลง และวิธีการล้างที่ถูกต้องโดยมหาวิทยาลัยมหิดลhttps://youtu.be/VDQXwV-YU-4
16/11/2016

ผักผลไม้ปนเปื้อนยาฆ่าแมลง และวิธีการล้างที่ถูกต้อง

โดยมหาวิทยาลัยมหิดล

https://youtu.be/VDQXwV-YU-4

การปนเปื้อนสารพิษและยาฆ่าแมลงต่างๆในผัก และ วิธีการล้างสารพิษเพื่อลดความเสี่ยงและการสะสมของสารพิษ ซึ่งเป็นส่วนที่ก่อให้เกิดโรครุนแรงต่างๆได้

สูตรสมุนไพรแก้อาการหอบหืด ตัวยาประกอบด้วย   ขิงแก่   หัวหอมแดง   กระเทียม    มะนาว และน้ำผึ้ง                 วิธีทำ เริ...
09/11/2016

สูตรสมุนไพรแก้อาการหอบหืด

ตัวยาประกอบด้วย ขิงแก่ หัวหอมแดง กระเทียม มะนาว และน้ำผึ้ง

วิธีทำ เริ่มจากนำเหง้าขิงมาปอกล้างให้สะอาด หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วตำคั้นเอาแต่น้ำ หัวหอมและกระเทียม ก็ทำแบบเดียวกัน ใช้น้ำคั้นจากขิงและหอมแดงอย่างละ 2 ช้อนโต๊ะ ผสมน้ำคั้นกระเทียม 1 ช้อนชา น้ำมะนาว 1 ช้อนชา แล้วเติมน้ำผึ้งพอหวาน

วิธีใช้ ให้จิบกินยาที่ปรุงนี้วันละ 3 เวลา คือหลังอาหารเช้า เย็น และก่อนนอน ช่วงที่อากาศเย็นหรือมีอาการหอบหืดกำเริบมาก อาจใช้วิธีจิบกินบ่อยๆ ก็ได้

ตามตำราแพทย์แผนไทย ขิง หอม กระเทียม มีรสเผ็ดร้อน มีสรรพคุณย่อยสลายส่วนเกินที่ตกค้างในร่างกายและช่วยขยายทางเดินหายใจทำให้หายใจได้สะดวกขึ้น มะนาวนั้นช่วยลดและกัดเสมหะ ส่วนน้ำผึ้งมีคุณสมบัติซึมซาบช่วยพาตัวยาเข้าไปยังบริเวณร่างกายที่มีปัญหา

Cr. มูลนิธิสุขภาพไทย
http://www.thaihof.org/main/article/detail/2191

เช็ก 5 สัญญาณ เตือนว่าโรคเบาหวานกำลังมาเยือน  พฤติกรรมต่างๆ ที่เราปฏิบัติกันอยู่ทุกวันนั้น เราอาจเคยชินจนไม่รู้ว่าอาจจะม...
31/10/2016

เช็ก 5 สัญญาณ เตือนว่าโรคเบาหวานกำลังมาเยือน

พฤติกรรมต่างๆ ที่เราปฏิบัติกันอยู่ทุกวันนั้น เราอาจเคยชินจนไม่รู้ว่าอาจจะมีโรคร้ายนั้นแอบแฝงมาหรือไม่ 5 สัญญาณเตือนภัยให้คุณรู้ว่า คุณเสี่ยงจะเป็นเบาหวานหรือไม่

1. กลิ่นปาก

ถือเป็นหนึ่งในสัญญาณบอกโรคได้อย่างกว้างๆ ไม่ว่าจะเป็นโรคตับ ไซนัส การทำงานผิดปกติของระบบทางเดินอาหาร (กรดไหลย้อน) โรคทางช่องปาก รวมถึงโรคเบาหวาน เป็นต้น เกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่สะสมในช่องปากมากกว่าปกติ


2. หิวน้ำบ่อย

เนื่องจากกลไกปัสสาวะตามปกติจะมีการดึงเอาน้ำ และน้ำตาลส่วนเกินออกไปจากร่างกายด้วย ทำให้ผู้ป่วยหิวน้ำบ่อยมากขึ้นได้


3. มดขึ้นปัสสาวะและปัสสาวะบ่อย

พบได้มากในผู้ป่วยที่มีระดับน้ำตาลในเลือดสูงเกิน 200 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ เนื่องจากร่างกายจะดึงเอาน้ำตาลส่วนเกินออกมาพร้อมกับปัสสาวะ ซึ่งหากมีระดับน้ำตาลมากก็จะทำให้เกิดปัสสาวะบ่อย ทำให้มีอาการหิวน้ำบ่อยตามมา กรณีมดขึ้นปัสสาวะก็มีโอกาสเกิดขึ้นได้เช่นกัน หากเป็นตามกรณีดังกล่าว ควรเข้ารับการตรวจเลือกและตรวจสุขภาพในทันที


4. น้ำหนักตัวลดโดยไม่มีสาเหตุ

การรับประทานอาหารเท่าเดิม แต่น้ำหนักลดลง หรือเพิ่มปริมาณอาหาร ถ้าน้ำหนักยังคงลดลงควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจ


5. อาการคันตามตัว

เนื่องจากเหงื่อที่ถูกผลิตออกมามีปริมาณของน้ำตาลที่ค่อนข้างสูง คนที่เป็นเบาหวานส่วนใหญ่จึงมีเชื้อราในร่มผ้าเยอะ เช่น กลากเกลื้อนเกิดขึ้นตรงบริเวณที่มีความอับชื้นได้


ลองสำรวจตัวเองกันดูว่าคุณตกอยู่ใน 5 สัญญาณนี้หรือไม่ หากเป็นควรรีบปรึกษาแพทย์ เพื่อรักษาแต่เนิ่น อีกทั้งเพื่อสุขภาพของตัวคุณเองด้วย

Cr. http://www.manager.co.th/GoodHealth/ViewNews.aspx?NewsID=9580000128372

5 สมุนไพร รักษาเบาหวาน ลดน้ำตาลในเลือด    1.  สายน้ำผึ้งสายน้ำผึ้ง เป็นไม้เถาเลื้อย ดอกกลิ่นหอม  มีสรรพคุณที่มีประโยชน์ต...
28/10/2016

5 สมุนไพร รักษาเบาหวาน ลดน้ำตาลในเลือด

1. สายน้ำผึ้ง

สายน้ำผึ้ง เป็นไม้เถาเลื้อย ดอกกลิ่นหอม มีสรรพคุณที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพหลายอย่าง ปกติทั่วไปปลูกไว้เพื่อได้กลิ่นหอมจากดอกที่หอมยามเช้า บานได้มากกว่า 1 วัน วันแรกดอกจะบานเป็นสีขาว วันต่อมาจะเปลี่ยนเป็นสีเหลือง และมีผลทรงกลมสีดำ ดอกสายน้ำผึ้งรวมถึงส่วนอื่นๆของต้นสายน้ำผึ้งมีสรรพคุณสมุนไพรทางยาได้
ดอก - รสหวานเย็น คั้นหรือใช้ดอกแห้งชงดื่มแทนชา เจริญอาหาร เป็นยาอายุวัฒนะ ขับปัสสาวะ แก้ไข้ แก้ปวดหลัง แก้ความดันโลหิตสูง ลดคอเลสเตอรอล
ต้น - รสขมหวาน ชงแทนชาหรือต้มดื่ม แก้บิด ท้องเสีย แก้ตับอักเสบ แก้ปวดเมื่อยตามข้อ ขับปัสสาวะ แก้ปากนกกระจอก แก้อาการมึนงง ตำพอก แก้แผลฝีหนอง แก้ไข้ แก้ปวดหลัง แก้ความดันโลหิตสูง

2. มะระขี้นก

มะระขี้นก เป็น ผักพื้นบ้านของไทย ที่คนไทยนิยมนำยอดอ่อนและผลอ่อนมาปรุงเป็นอาหารโดยนำมาลวกเป็น ผักจิ้ม ช่วยลดน้ำตาลในเลือด อันเป็นสาเหตุของเบาหวาน และสามารถชะลอการเกิดต้อกระจกซึ่งเป็นอาการแทรกซ้อนของโรคเบาหวานได้
รูปแบบวิธีทานที่ให้ผลลดน้ำตาลในเลือดก็ไม่ซับซ้อน คือสามารถใช้ได้ทั้งน้ำคั้น ชงเป็นชา หรือกินในรูปแบบของผงตากแห้งก็ได้

3. ตำลึง

ตำลึงเป็น ผัก ที่นิยมนำยอดมาลวกหรือนึ่ง นอกจากเป็นอาหารแล้วตำลึงยังเป็นยาพื้นบ้านใช้สำหรับเบาหวาน ทั้งราก เถา ใบ ใช้ได้หมด มีสูตรตำรับหลากหลาย และในตำราอายุรเวทก็มีการใช้กับโรคเบาหวานมานาน ตัวอย่างเช่นชาวเบงกอลในอินเดียนิยมใช้ตำลึงสำหรับแก้โรคเบาหวาน

4. ผักเชียงดา
ผักเชียงดา เป็นพืชผักไม้เลื้อย ทางภาคเหนือ เถาสีเขียว ทุกส่วนมีน้ำยางสีขาวเหมือนน้ำนม ใบ เดี่ยว รูปกลมรี ท้องใบเขียวแก่กว่าหลังใบ ใบออกตรงข้อเป็นคู่ๆ�ยอดอ่อนและใบอ่อนของผักเชียงดา นำมากินเป็นผัก มีรสขมอ่อนๆ และมีสารต้านอนุมูลอิสระสูงมาก และยังเป็นผักที่หมอยาพื้นบ้านใช้เป็นผักเพิ่มกำลังในการทำงานหนักและใช้เป็นยารักษาเบาหวาน ลดน้ำตาลในเลือด

5. หัวปลี

หัวปลี ที่เป็นส่วนดอกของต้นกล้วย ใบหัวปลีนั้นมีธาตุเหล็ก ช่วยบำรุงเลือด แก้โลหิตจางโดยที่ยังคงลดน้ำตาลในเลือดได้ รวมถึงยังสามารถแก้โรคเกี่ยวกับลำไส้ได้เป็นอย่างดี

Cr. www.samunpri.com

4 สมุนไพร บรรเทาอาการโรคซึมเศร้า 1.  กล้วยหอมกล้วยหอมจะช่วยลดอาการซึมเศร้าได้เนื่องจากในกล้วยหอมมีสาร ทริปโตแฟน (Tryptop...
23/10/2016

4 สมุนไพร บรรเทาอาการโรคซึมเศร้า

1. กล้วยหอม

กล้วยหอมจะช่วยลดอาการซึมเศร้าได้เนื่องจากในกล้วยหอมมีสาร ทริปโตแฟน (Tryptophan) อันเป็นกรดอะมิโนชนิดหนึ่ง ซึ่งร่างกายสามารถเปลี่ยนให้เป็นสารเซโรโทนิน (Serotonin) ที่จะทำให้ผ่อนคลาย มีความสุข หายจากความกังวลทั้งปวง

การกินกล้วยหอมยังลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหลอดเลือดสมอง จึงช่วยป้องกันการเป็นโรคที่เกี่ยวกับสมองได้ด้วย ในกล้วยหอมยังถือเป็นแหล่งรวมวิตามินบีที่สูงมาก ซึ่งวิตามินบีนี้จะช่วยในการทำงานของระบบประสาท และทำให้การทำงานของสมองได้สมดุล
นอกจากนี้กล้วยหอมยังช่วยในการกระตุ้นความตื่นตัวให้กับสมอง ช่วยให้สมองทำงานได้เต็มที่ ดังนั้นถ้าสามารถกินเป็นอาหารเช้าด้วยจะดีมาก และถ้ากินในช่วงกลางวันหรือบ่ายก็จะทำให้รู้สึกสดชื่นกระปี้กระเปร่า

2. ฟักทอง

ผลวิจัยจากคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดลพบว่า ฟักทองเพิ่มระดับของ serotonin และ norepinephrine ซึ่งเป็นสารสื่อประสาทในสมอง รวมถึงเพิ่มระดับของสารสื่อประสาท brain-derived neurotrophic factor, phosphorylated extracellular signal-regulated kinase และ estrogen receptor-beta ช่วยให้สามารถลดจากภาวะซึมเศร้าให้กลับสู่ค่าปกติ แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของฟักทองและเบต้าแคโรทีนสารสำคัญในฟักทองในการรักษาภาวะซึมเศร้า

3. ดีบัว

ด้วยสรรพคุณ กล่อมประสาท ปรับสมดุล ช่วยให้นอนหลับ คือ “ดีบัว” ซึ่งได้จากฝักของบัวหลวง เมื่อแกะเมล็ดออกมาจะพบใบเลี้ยง 2 ซีก ต้นอ่อนสีเขียวเข้มที่แทรกอยู่ระหว่างใบเลี้ยง ก็คือส่วนที่เราเรียกกันว่า ดีบัว นั่นเอง ดีบัวมีฤทธิ์เย็น รสขม ประกอบด้วยสารดีเมทิลโคคลอยูรีน (demethylcoclaurine) มีฤทธิ์คลายกล้ามเนื้อเรียบ สารเมทิลโครีเพลลีน (methyl corypalline) มีฤทธิ์ขยายหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจ และสารนีเฟอร์รีน (neferine) มีฤทธิ์ลดความดันโลหิต และต้านการเต้นของหัวใจที่ผิดปกติ

4. มะเฟือง

จากข้อมูลของนักโภชนาศาสตร์ได้ระบุว่า มะเฟืองอุดมไปด้วยวิตามิน A, B1, B2และวิตามินC แคลเซียมและฟอสฟอรัส ซึ่งมีประโยชน์ต่อร่างกาย นอกจากนั้นยังมีฤทธิ์กล่อมประสาท สามารถระงับความฟุ้งซ่านได้ หากรับประทานในปริมาณที่เหมาะสมก็จะทำให้นอนหลับสบายและไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ ยกเว้นผู้มีปัญหาเรื่องไต

7 สมุนไพรปรับสมดุลภูมิคุ้มกันของร่างกาย1. มังคุด พบได้ทางภาคตะวันออกและภาคใต้ของประเทศไทย สารสกัดจากมังคุดเรียกว่า แซนโธ...
12/10/2016

7 สมุนไพรปรับสมดุลภูมิคุ้มกันของร่างกาย

1. มังคุด

พบได้ทางภาคตะวันออกและภาคใต้ของประเทศไทย สารสกัดจากมังคุดเรียกว่า แซนโธน (xanthone) ที่มีชื่อเรียกจำเพาะว่า mangostin มีประโยชน์ทางการแพทย์นานับประการโดยเฉพาะในเรื่องการปรับ สมดุลภูมิคุ้มกันของร่างกาย โดยการเพิ่มจำนวนเม็ดเลือดขาว ยับยั้งการเติบโตของเซลล์มะเร็ง มีฤทธิ์เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ (Anti-oxidant) นอกจากนั้นยังมีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อโรคต่างๆ ได้อีกด้วย

2. เจียวกู้หลาน หรือ ปัญจขันธ์

เป็นไม้เลื้อยตามดินขึ้นตลอดปีพบได้ทางตอนใต้ของจีน ภาคเหนือและภาคกลางของไทย ใน 1 ก้าน จะมี 5 ใบ ซึ่งบางทีก็เรียกว่า โสม 5 ใบ เพราะให้คุณประโยชน์ได้เท่าหรือมากกว่า โสม มีสารประกอบ ที่เรียกว่า จีพีโนไซด์ Gypenoside ซึ่งจะคล้ายกับ จิงเจโนไซด์ Gingenoside ที่พบในโสม ปกติจะ ชงดื่มเหมือนชาจากใบที่ตากแห้ง มีรสชาติดีหวานเล็กน้อยไม่ฝาด เจียวกู้หลาน หรือปัญจขันธ์ ให้คุณประโยชน์มากมาย อาทิ เช่น ต้านอนุมูลอิสระ ยับยั้งการ เติบโตของเซลล์มะเร็ง เพิ่มภูมิคุ้มกัน ลดระดับน้ำตาลในเลือด ช่วยให้หลับสบาย

3. มะรุม

มีคุณค่าทางโภชนาการสูงสุด มีการกล่าวกันว่า เป็นพืชที่รักษาได้ทุกโรค ทุกส่วนของต้นมะรุม (ตั้งแต่ราก ไปจนถึง ดอกและฝัก) ล้วนมีประโยชน์ทางยาและคุณค่าทางอาหารมากมาย ใบมะรุม มีโปรตีนสูงกว่านมสด 2 เท่า มีแคลเซี่ยมมากกว่านมสด 3 เท่า มีวิตามิน เอ มากกว่า แครอท 3 เท่า มีโปตัสเซียมมากกว่ากล้วย 3 เท่า สารสกัดจากมะรุมมีฤทธิ์ในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ความดันโลหิต เพิ่มภูมิคุ้มกัน ป้องกันมะเร็ง ลดอาการอักเสบของข้อและกระดูก รักษาโรคตาเกือบทุกชนิด รักษาโรคลำไส้อักเสบ บำรุงและรักษาโรคระบบทางเดินหายใจ และเป็นยาปฏิชีวนะได้อีกด้วย

4. ใบบัวบก

ใบบัวบก เป็นพืชสมุนไพรที่อยู่ในแถบเอเซีย ในประเทศไทยสามารถพบได้ทั่วไปในที่ชื้นและทุกภาค ของประเทศ แพทย์แผนโบราณเชื่อว่าใบบัวบกเป็นยาเย็น จึงใช้น้ำใบบัวบกดื่มแก้ช้ำใน แก้อ่อนเพลีย เมื่อล้า บำรุงธาตุ บำรุงหัวใจ บำรุงสมอง บำรุงสายตา ขับปัสสาวะ แก้ไข้ แก้อักเสบ ช่วยในการลดการ อักเสบและรักษาบาดแผลให้หายเร็วขึ้น ข้อดีของใบบัวบกมีมากกว่า 80 ข้อ ใบบัวบกมีสารสำคัญ หลายอย่าง เช่น ไตรเตอพินอยด์ (เอเชียติโคไซด์) บราโมไซด์ บรามิโนไซด์ กรดมาดิแคสโค วิตามินบี 1, 2, 6 วิตามินเอ วิตามินเค กรดอมิโน ( แอสพาเรด, กลูตาเมต, ซีรีน, ทริโอนีน, อลานีน, ไลซีน, ฮิสทิดีน) แมกเนเซียม แคลเซียม และโซเดียม

5. งาดำ

เพราะงาดำมีคุณประโยชน์มากมายมหาศาล แพทย์แผนจีนได้มีการใช้ น้ำมันงา ในการรักษาบาดแผลและ บำรุงผิวพรรณ โลกยุคปัจจุบัน ได้มีการสกัดสารสำคัญจากงาดำ มีชื่อว่า เซซามิน (sesamin) ซึ่งมีฤทธิ์ในการลดการอักเสบ ป้องกันการเสื่อมของเซลล์ประสาท ควบคุมระดับไขมันในเลือดให้อยู่ ในระดับปกติ มีฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระสูงมากจึงช่วยยับยั้งการเสื่อสลายของเซลล์ ทำให้ดูอ่อนเยาว์ รวมถึงการยับยั้งการสลายของเนื้อเยื่อกระดูกอ่อนที่หุ้มข้อต่างๆ ซึ่งเป็นประโยชน์มากในคนที่มีปัญหาโรคปวดข้อ หรือข้อเสื่อม

6. ฝรั่ง

เป็นผลไม้ที่มีต้นกำเนิดมาจากทวีปอเมริกาใต้และกระจายไปยังที่ต่างๆ ทั่วโลกโดยนักเดินเรือชาวสเปน สารสกัดจากฝรั่ง อยู่ในกลุ่ม ฟลาโวนอยด์ (avoniod) ได้แก่ เคอเซติน (quercetin) อะวิคูลาวิน (aviculavin) และ กวาจาเวอริน (guajaverin) สารสกัดจากฝรั่งมีฤทธิ์ในการลดการบีบตัวและ การหดเกร็งของลำไส้ ลดอาการปวดประจำเดือน มีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อแบคทีเรีย มีฤทธิ์ในการต้านการอักเสบ ต้านอนุมูลอิสระ ต้านมะเร็ง ป้องกันการเกิดโรคหัวใจ กระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดแดง และ ยับยั้งอาการไทรอยด์เป็นพิษ

7. ถั่วเหลือง

มีคุณประโยชน์มากมายจนได้ชื่อว่า "มหัศจรรย์แห่งเมล็ดพืช" ที่อุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการ สารสกัดจากโปรตีนถั่วเหลือง มีโปรตีน 50 % ไม่มีโคเรสเตอรอล มีวิตามินหลายชนิด นอกจากนั้น ยังมีสาร ไอโซฟลาโวน (Isoflavone) ที่เป็น Phytoestrogen มีคุณสมบัติคล้ายฮอร์โมนเพศหญิง (Estrogen) ซึ่งช่วยซ่อมแซมเนื้อเยื่อและกระดูกในสตรีที่หมดประจำเดือน จนบางครั้งมีการเรียก ถั่วเหลืองว่า "ถั่วคืนสาว" มีกรดไขมันที่ไม่อิ่มตัวสูงถึง 80% ซึ่งช่วยในเรื่องการบำรุงผิวพรรณและ ความกระจ่างใส นอกจากนั้นยังมีสาร ซาโปนิน (Saponin) ที่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริมภูมิคุ้มกันและ ต้านมะเร็ง สารไอโซฟลาโวนที่ว่านี้ ได้แก่ diazein, genistein และ glycetein

ภูมิคุ้มกัน (Immunity) เป็นระบบที่จำเป็นสำหรับร่างกายมนุษย์ในการ ที่จะปกป้องร่างกายจากสิ่งต่างๆ ที่จะเข้ามาทำร้ายทั้งจากภายในและ ภายนอกร่างกาย อาทิเช่น เชื้อโรค มลพิษ สารก่อให้เกิดภูมิแพ้ สารเคมี หรือ ยาบางชนิด สิ่งเหล่านี้เมื่อเข้ามาสู่ในร่างกายคนเราแล้วร่างกายก็จะมีปฏิกิริยาตอบโต้เพื่อกำจัดหรือทำลายให้หมดไป

จากการศึกษาพบว่าโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ที่คนเรา เป็นอยู่นั้น ล้วนแต่เกิดมาจาการที่ ระบบภูมิคุ้มกันของคนเราบกพร่อง หรือ ถูกทำลายในระยะเวลาที่ยาวสั้นไม่เท่ากัน และบ่อยครั้งที่เมื่อเป็น โรคหนึ่ง แล้วก็จะมีอีกโรคหนึ่งตามมาทั้งนี้ก็เพราะว่าอวัยวะและระบบต่างๆ ของร่างกายมีการทำงานที่ต้องประสานงานกันทั้งหมด ถ้าหากมี ส่วนใดส่วนหนึ่ง บกพร่องหรือถูกทำลายก็จะมีผลเกี่ยวเนื่องทำให้ อวัยวะหรือระบบอื่นๆ มีปัญหาตามไปด้วย

อันตรายที่มากับ"ถั่วลิสง"พูดถึงความสุ่มเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็ง มองไปรอบตัวแทบทุกอย่างที่จับอีกหนึ่งในสาเหตุของมะเร็งคือ อ...
27/09/2016

อันตรายที่มากับ"ถั่วลิสง"

พูดถึงความสุ่มเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็ง มองไปรอบตัวแทบทุกอย่างที่จับ
อีกหนึ่งในสาเหตุของมะเร็งคือ อะฟลาทอกซิน มักจะมีการปนเปื้อนในอาหารแห้ง เช่น พริกป่น กระเทียม หอม กุ้งแห้ง ถั่วลิสงที่เก็บรักษาไม่ดี สารพิษนี้มาจากเชื้อรา เป็นสารก่อมะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งตับ

วิธีการหลีกเลี่ยง ผศ.ดร.ปรัญรัชต์ ธนวิยุทธ์ภัคดี อาจารย์สถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล บอกว่า ยากพอสมควร กรณีถ้าเห็นเป็นเชื้อราดำๆ ทิ้งได้เลย อย่าเสียดายเอาไปล้างน้ำแล้วใช้ต่อ เพราะ "อะฟลาทอกซินไม่มีสี" ไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่าได้ และยังทนความร้อนได้ถึง 260 องศา นั่นคือแม้เอามาหุงต้มหรือปรุงอาหาร ก็ไม่ทำให้สารพิษนี้หายไปได้

ฉะนั้น ถ้าเป็น "ถั่วป่น" ก็ควรทำเอง หรือถ้าซื้อก็ซื้อพอแค่ใช้ และต้องวางใจในแหล่งที่มาของถั่ว

ถ้าเป็น "หอม/กระเทียม" ควรเก็บในที่โปร่ง ส่วน "พริกแห้ง" ให้ใส่ถุงมัดปากให้สนิท อาจจะเก็บไว้ในตู้เย็น และเมื่อหยิบมาใช้แล้วต้องรีบเก็บเข้าตู้เย็นทันที ป้องกันความชื้นซึ่งเป็นสาเหตุให้เกิดเชื้อรา ส่วนประเด็นถั่วป่นในก๋วยเตี๋ยวต้มยำ เอาเป็นว่า พิจารณากันเป็นร้านๆ ไปก็แล้วกัน ผศ. ดร.ปรัญรัชต์ ธนวิยุทธ์ภัคดี กล่าวสรุปในตอนท้าย

Cr. http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1472626259

ดื่มกาแฟอย่างไร ให้เป็นยารักษาโรคอัลไซเมอร์ และโรคพาร์คินสัน วันนี้สังคมไทยได้ก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุไปเรียบร้อยแล้วแ...
21/09/2016

ดื่มกาแฟอย่างไร ให้เป็นยารักษาโรคอัลไซเมอร์ และโรคพาร์คินสัน

วันนี้สังคมไทยได้ก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุไปเรียบร้อยแล้วและโรคประจำของสังคมผู้สูงอายุทั่วโลกก็คือโรคอัลไซเมอร์ (Alzheimer"s disease) ซึ่งเป็นโรคภาวะสมองเสื่อมที่พบมากที่สุดถึงร้อยละ 50-75 รองลงมาคือโรคพาร์คินสัน (Parkinson"s disease) มีผลวิจัยการดื่มกาแฟเพื่อรักษาโรค

1. ดื่มกาแฟวันละ 3-5 ถ้วย ลดความเสี่ยงเป็นโรคอัลไซเมอร์

ในฟินแลนด์มีการศึกษาวิจัยเชิงวิเคราะห์แบบไปข้างหน้าระยะยาวที่เรียกว่า โคฮอร์ต (cohort study) ผลจากการวิเคราะห์พบว่า ผู้ที่ดื่มกาแฟตั้งแต่มีอายุช่วงวัยกลางคนจนเข้าสู่วัยสูงอายุ มีแนวโน้มป่วยเป็นโรคความจำเสื่อมน้อยกว่าคนที่ไม่ดื่มกาแฟ มีความเสี่ยงเป็นโรคอัลไซเมอร์ลดลงประมาณร้อยละ 65

2. ดื่มกาแฟวันละ 1-3 ถ้วยป้องกันการเป็นโรคพาร์คินสัน

มีการศึกษาระยะยาวแบบโคฮอร์ตเป็นเวลา 10 ปีในสหรัฐอเมริกา เพื่อศึกษาการดื่มกาแฟกับความเสี่ยงเกิดโรคพาร์คินสัน มีอาสาสมัครชายหญิงรวมถึง 135,916 คน พบว่าฤทธิ์ของกาเฟอีนมีผลทำให้ระดับสารสื่อประสาทโดพามีน (dopamine) ในสมองเพิ่มขึ้น ทำให้สมองตื่นตัวป้องกันการเป็นโรคพาร์คินสันได้ทั้งในหญิงและชาย

3. ควรดื่มกาแฟสดแบบกรอง จึงจะเกิดประโยชน์ทางยาสูงสุด

โดยทั่วไปแล้ว กาแฟ 150 ซีซีจากเครื่องต้มทำกาแฟไม่มีกระดาษกรองจะมีกาเฟอีนสูงที่สุดถึง 115 มิลลิกรัม ในขณะที่กาแฟกรองมีกาเฟอีน 80 ม.ก.และกาแฟสำเร็จรูป 65 ม.ก. ตามลำดับ การดื่มกาแฟชนิดอื่นจะเกิดโทษมากกว่าคุณ

ผลเสียต่อสุขภาพของผู้เสพติดคาเฟอีนในกาแฟ คือ ความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด ความดันโลหิตสูง การสูญเสียความหนาแน่นของมวลกระดูก เช่น การเกิดภาวะกระดูกสะโพกหักซึ่งพบบ่อยในผู้หญิงสูงอายุ ซึ่งถือว่ากาแฟนั้นมีทั้งให้คุณและให้โทษ

ดังนั้น ข้อห้ามของการดื่มกาแฟคือ เด็ก สตรีมีครรภ์ ผู้ป่วยโรคหัวใจ เบาหวาน ความดันโลหิตสูงไม่ควรดื่มกาแฟเลยเพราะมีโทษมาก รวมถึงไม่ควรดื่มกาแฟพร้อมกับการรับประทานอาหารและยาเสริมธาตุเหล็ก สังกะสี แคลเซียม หรือยาแก้ปวดแก้ไข้ เนื่องจากจะไปขวางกระบวนการดูดซึมของร่างกาย

Cr. http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1429172667

ออกกำลังกายมากแค่ไหนจึงจะมีประโยชน์ต่อหัวใจการออกกำลังกายที่จะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อหัวใจและปอด คือ ออกกำลังกายมากพอที่จะ...
16/09/2016

ออกกำลังกายมากแค่ไหนจึงจะมีประโยชน์ต่อหัวใจ

การออกกำลังกายที่จะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อหัวใจและปอด คือ ออกกำลังกายมากพอที่จะทำให้หัวใจเต้น(หรือชีพจร)มีค่าระหว่าง 60-80% ของอัตราการเต้นสูงสุดของหัวใจของบุคคลนั้นๆ ซึ่งอัตราการเต้นสูงสุดของหัวใจ เท่ากับ 220-อายุ(ปี)

ตัวอย่าง เช่น คนอายุ 50 ปี มีอัตราการเต้นสูงสุดของหัวใจ เท่ากับ 220-50 = 170 ครั้งต่อนาที ดังนั้นการออกกำลังกายที่จะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อหัวใจ คือ ออกกำลังกายแล้วหัวใจเต้นได้ 60-80% ของ 170 ครั้งต่อนาที เทียบเท่ากับ ระหว่าง 119-136 ครั้งต่อนาที

แต่เพื่อความสะดวก ผู้ออกกำลังกายสามารถใช้การสังเกตุความรู้สึกเหนื่อยจากการออกกำลังกายแทนการจับชีพจรได้

1. ออกกำลังกายระดับหนัก

หมายถึง ออกกำลังกายจนรู้สึกเหนื่อยมากโดยหายใจแรงและเร็ว หรือหอบขณะออกแรง/ออกกำลังกายไม่สามารถคุยกับคนข้างเคียงได้จนจบประโยค

2. ออกกำลังกายระดับปานกลาง

หมายถึง การออกกำลังกายหรือออกแรงจนทำให้รู้สึกค่อนข้างเหนื่อยหรือเหนื่อยกว่าปกติพอควรโดยหายใจเร็วกว่าปกติเล็กน้อย หรือหายใจกระชั้นขึ้นไม่ถึงกับหอบ หรือขณะออกกำลังกายหรือออกแรง ยังสามารถพูดคุยกับคนข้างเคียงได้จนจบประโยคและรู้เรื่อง

3. ออกกำลังกายในระดับน้อย

หมายถึง การออกกำลังกายหรือออกแรงน้อย ไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยมากกว่าปกติ

การออกกำลังกายแบบแอโรบิค คือการออกกำลังกายที่มีการใช้พลังงานโดยอาศัยออกซิเจนในร่างกายโดยลักษณะจะเป็นการออกกำลังกายที่ไม่รุนแรงมากแต่มีความต่อเนื่องเช่นเดินวิ่งเหยาะๆ ถีบจักรยาน กระโดดเชือก หรือ เต้นแอโรบิก เป็นต้น ถือว่าเป็นการออกกำลังกายที่ช่วยส่งเสริมสุขภาพหัวใจให้แข็งแรง

แนวทางการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพหัวใจ

ออกกำลังกายระดับปานกลางนาน 30 นาทีต่อวัน สัปดาห์ละ 5 วัน
หรือออกกำลังกายระดับหนักนาน 20 นาทีต่อวัน สัปดาห์ละ 3 วัน

ส่วนการออกกำลังกายอีกประเภทคือแบบแอนแอโรบิค คือการออกกำลังกายแบบรุนแรงในลักษณะต้องกลั้นหายใจ เช่นการวิ่งระยะสั้น ยกน้ำหนัก เทนนิส เป็นต้น ซึ่งเป็นการออกกำลังกายเพื่อมุ่งเสริมสร้างกล้ามเนื้อมากกว่าสุขภาพหัวใจ

Cr. เภสัชกรหญิง กิตติมา วัฒนากมลกุล
ภาควิชาสรีรวิทยา คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
Physical Activity Guidelines 2007 - American College of Sports Medicine and the American Heart Association

ที่อยู่

Phra Nakhon

เบอร์โทรศัพท์

+66825545262

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ สุขภาพดีผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ การปฏิบัติ

ส่งข้อความของคุณถึง สุขภาพดี:

แชร์

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram