Di-offlce โรคฮิตวัยทำงาน

Di-offlce โรคฮิตวัยทำงาน อาการปวดเมื่อย,ช่วยสมองผ่อนคลาย,บำ? Di-OFFlCEโรคฮิตวัยทำงาน,ปวดหลัง,ชามือ,ชาเท้า,ดวงตา

30/09/2019

ปวดแค่ไหน ? ถึงเรียกว่า เป็นออฟฟิศซินโดรม !!
1. ปวดหลัง ปวดไหล่ ปวดคอ อาจจะเริ่มปวดโดยไม่ได้ทำอะไรหนักเป็นพิเศษ และอาจจะเริ่มปวดเรื้อรังนานขึ้นเรื่อยๆ มากกว่า 1-2 สัปดาห์เป็นต้นไป เนื่องจากนั่งทำงานนานๆ โดยไม่ได้ขยับร่างกาย หรือนั่งในท่าเดิมๆ หรือเก้าอี้และโต๊ะอาจไม่อยู่ในลักษณะที่สมดุลกับร่างกาย
2. ปวดศีรษะ หรือปวดหัวไมเกรนบ่อยครั้งขึ้น เนื่องจากความเครียดสะสม ใช้สายตาหนัก นอนน้อย พักผ่อนไม่เพียงพอ และไม่เป็นเวลา
3. มือชา เอ็นอักเสบ นิ้วล็อค จากการพิมพ์งานบนคอมพิวเตอร์ หรือใช้งานเม้าส์กับคอมพิวเตอร์นานเกินไป อาจทำให้กล้ามเนื้อกดทับประสาท เส้นเอ็นอักเสบ หรือเกิดพังผืดบริเวณนิ้ว และมือได้

25/09/2019

พิชิต ออฟฟิศซินโดรมด้วย ?
ดีออฟฟิศ คือ ผลิตภัณท์สำหรับดูแลผู้ที่ทำงานออฟฟิศ ให้ห่างไกลจากโรค ออฟฟิศซินโดรม ช่วยให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผลิตจากสารสกัดจากธรรมชาติร้อยเปอร์เซนต์
สนใจปรึกษาฟรี
โทร. 061 954 5528

19/09/2019

ภาวะแทรกซ้อนของนิ้วล็อค!!!

โดยทั่วไปแล้ว อาการนิ้วล็อคไม่ก่อให้เกิดภาวะแทรก
ซ้อนขึ้นแต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม ผู้ที่เกิดอาการนิ้วล็อค
ก็อาจได้รับภาวะแทรกซ้อนจากการรักษาด้วยการผ่าตัด

แม้การผ่าตัดคือวิธีรักษาอาการนิ้วล็อคที่ปลอดภัย แต่การผ่าตัดศัลยกรรมทุกประเภท ย่อมก่อให้เกิดความเสี่ยงแก่
ผู้ที่ได้รับการรักษา โดยผู้ที่เกิดอาการนิ้วล็อคอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนหลังได้รับการผ่าตัดรักษานิ้วล็อค ดังนี้

ติดเชื้อ
นิ้วแข็งหรือเจ็บ
เกิดแผลเป็น
เส้นประสาทถูกทำลาย หากเส้นประสาทของผู้ป่วยถูกทำลายระหว่างรับการผ่าตัด นิ้วที่เกิดอาการล็อคอาจไม่ดีขึ้นเต็มที่หลังได้รับการรักษา
เอ็นนิ้วงอได้ไม่สุด เรียกว่าภาวะบาวสตริง (Bowstring) ซึ่งเกิดจากเอ็นอยู่ผิดตำแหน่ง
เกิดกลุ่มอาการเจ็บปวดเฉพาะที่แบบซับซ้อน (Complex Regional Pain Syndrome: CRPS) หรือกลุ่มอาการซีอาร์พีเอส ซึ่งทำให้มือของผู้ป่วยปวดและบวมหลังได้รับการผ่าตัด หลังจากนั้นอาการดังกล่าวมักหายไปเองในไม่กี่เดือน ถึงอย่างนั้น กลุ่มอาการซีอาร์พีเอสก็สามารถเป็นปัญหาที่เกิดได้ถาวร

12/09/2019

การรักษานิ้วล็อค!!
ผู้ที่เกิดอาการนิ้วล็อคบางราย อาจมีอาการดีขึ้นโดยไม่
จำเป็นต้องรับการรักษา อย่างไรก็ตาม วิธีรักษาอาการ
นิ้วล็อคนั้นมีหลายวิธี ขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรงของ
อาการที่เกิดขึ้น ดังนี้
การบำบัด อาการนิ้วล็อคสามารถรักษาได้ด้วยวิธีที่นอก
เหนือไปจากการรับประทานยา ดังนี้
พักผ่อน พักมือจากการทำกิจกรรมที่ต้องใช้มือออกแรง
หรือแบกน้ำหนักมาก ๆ ซ้ำ ๆ เป็นเวลานาน โดยเว้นกิจ
กรรมดังกล่าวเพื่อพักการใช้งาน มืออย่างน้อย 3-4 สัปดาห์
ประคบร้อนหรือเย็น ผู้ที่มีอาการนิ้วล็อคบางรายอาจใช้วิธีประคบเย็นที่ฝ่ามือ ซึ่งช่วยให้อาการนิ้วล็อคดีขึ้น นอกจากนี้ การแช่น้ำอุ่นก็บรรเทาอาการให้ทุเลาลง โดยเฉพาะหาก
ทำในช่วงเช้า
ใส่อุปกรณ์สำหรับดามนิ้ว การใส่อุปกรณ์สำหรับดามนิ้ว (Splinting) จะช่วยดามนิ้วให้ตรง ไม่งอหรือเหยียดเกินไป
อีกทั้งช่วยให้นิ้วได้พัก หากเกิดอาการนิ้วล็อคหรือนิ้วแข็ง
ตอนเช้าเป็นประจำ แพทย์จะให้ใส่อุปกรณ์ดังกล่าวดามนิ้ว
ไว้ตลอดคืน เพราะจะช่วยป้องกันไม่ให้นิ้วเกร็งหรืองอเข้า
ไปเองขณะที่ผู้ป่วยหลับ แม้วิธีนี้จะช่วยให้อาการนิ้วล็อคดี
ขึ้นสำหรับผู้ป่วยบางราย แต่การใส่อุปกรณ์สำหรับดามนิ้วก็อาจได้ผลน้อยกว่าการรักษาด้วยวิธีอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากผู้ป่วยต้องการวิธีรักษาที่เห็นผลในระยะยาว
ออกกำลังกายยืดเส้น แพทย์อาจจะแนะนำให้ออกกำลังกายเบา ๆ เพื่อช่วยให้นิ้วเคลื่อนที่ได้ปกติ
การรักษาด้วยยา ผู้ที่เกิดอาการนิ้วล็อคสามารถรับประทานยาที่ต้านอาการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ เช่น ยาไอบูโพรเฟน (Ibuprofen) หรือยานาพรอกเซน (Naproxen) เพื่อบรรเทาอาการปวด แต่ยาดังกล่าวไม่สามารถบรรเทาอาการบวมตรงปลอกหุ้มเอ็นนิ้วได้
การศัลยกรรมและกระบวนการทางการแพทย์อื่น ๆ ผู้ที่เกิดอาการนิ้วล็อครุนแรง หรือวิธีรักษาด้วยยาและการบำบัดใช้ไม่ได้ผล อาการไม่ดีขึ้น อาจต้องได้รับการรักษาด้วยการศัลยกรรมและกระบวนการทางการแพทย์วิธีอื่น ดังนี้
การฉีดสารสเตียรอยด์ การรักษาอาการนิ้วล็อคด้วยวิธีนี้เป็นการฉีดสารคอร์ติโคสเตียรอยด์ (Corticosteroids) ซึ่งช่วยลดอาการบวมอักเสบของเอ็น และช่วยให้เอ็นนิ้วสามารถเคลื่อนไหวได้ตามปกติ โดยแพทย์อาจจะผสมยาชาในการฉีดสารดังกล่าวเพื่อไม่ให้เกิดอาการเจ็บเมื่อทำการรักษา จัดเป็นวิธีรักษาที่พบได้ทั่วไป หลังจากฉีดสารสเตียรอยด์แล้ว แพทย์อาจให้ใส่อุปกรณ์สำหรับดามนิ้ว 2-3 วันเพื่อให้นิ้วได้พัก อาการนิ้วล็อคจะดีขึ้นภายในไม่กี่วันหลังจากรับการรักษา โดยทั่วไปมักอาการดีขึ้นหลังฉีดไปได้หลายสัปดาห์ การฉีดสารสเตียรอยด์เป็นวิธีรักษาที่ได้ผลประมาณ 50-80 เปอร์เซ็นต์ อย่างไรก็ตาม วิธีนี้อาจได้ผลน้อยกว่าหากผู้ที่รับการรักษาป่วยเป็นโรคอื่นร่วมด้วย เช่น เบาหวาน หรือโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ ทั้งนี้ ผู้ที่ได้รับการรักษาบางรายอาจเกิดปัญหาอื่นขึ้นมาหลังได้รับสเตียรอยด์ ซึ่งอาจต้องมารับการฉีดสเตียรอยด์ครั้งที่ 2 อีกครั้งเมื่อปัญหานั้นหายไป แต่ประสิทธิภาพของยาก็จะน้อยกว่าการฉีดครั้งแรก ความเสี่ยงจากการฉีดสเตียรอยด์เพื่อรักษานิ้วล็อคปรากฏเพียงเล็กน้อย โดยผู้ที่รับการรักษาอาจผิวบางหรือสีผิวเปลี่ยนตรงบริเวณที่ฉีดสเตียรอยด์เข้าไป
การผ่าตัด หากการรักษาด้วยวิธีอื่นไม่ได้ผล แพทย์อาจแนะนำให้ผู้ป่วยผ่าตัดเพื่อรักษาอาการนิ้วล็อค โดยศัลยแพทย์จะทำการผ่าตัดส่วนที่ปลอกหุ้มเอ็นของนิ้วเกิดปัญหา และทำให้เอ็นนิ้วกลับมาเคลื่อนไหวได้ปกติ โดยแพทย์จะพิจารณาว่าผู้ป่วยควรได้รับการผ่าตัดจากระดับความรุนแรงของอาการและผลกระทบจากปัญหาสุขภาพอื่น ๆ การผ่าตัดสามารถรักษาอาการนิ้วล็อคได้อย่างมีประสิทธิภาพ น้อยรายที่จะเกิดปัญหาหลังรับการผ่าตัด โดยทั่วไปผู้ป่วยไม่ต้องนอนค้างที่โรงพยาบาล ทั้งนี้ แพทย์จะให้ยาชาก่อนผ่าตัด ทำให้ผู้ป่วยไม่รู้สึกเจ็บแผลผ่าตัดที่มือหลังจากฟื้นขึ้นมา การผ่าตัดรักษานิ้วล็อคประกอบด้วยการผ่าตัดแบบเปิด และการผ่าตัดโดยใช้เครื่องมือพิเศษ ดังนี้
การผ่าตัดแบบเปิด (Open Trigger Finger Release Surgery) แพทย์จะเริ่มฉีดยาชา ที่ฝ่ามือผู้ป่วย และผ่าตามแนวปลอกหุ้มเอ็นที่นิ้วให้เปิดกว้างออก หลังจากผ่าตัดเสร็จแล้ว แพทย์จะเย็บแผลและปิดด้วยผ้าพันแผลให้เรียบร้อย
การผ่าตัดโดยใช้เครื่องมือพิเศษ (Percutaneous Release) แพทย์จะฉีดยาชาที่มือผู้ป่วยเช่นเดียวการผ่าตัดแบบเปิด แต่การผ่าตัดด้วยเครื่องมือพิเศษนี้จะไม่ได้กรีดมีดผ่าตัดลงไปเหมือนวิธีแรก แต่จะสอดเข็มแทงเข้าไปบริเวณโคนนิ้วที่เกิดอาการล็อค และใช้ปลายเข็มสะกิดเอ็นนิ้ว โดยแพทย์อาจจะทำการผ่าตัดพร้อมด้วยเครื่องอัลตราซาวด์ เพื่อดูว่าปลายเข็มที่สอดเข้าไปใต้ผิวหนังนั้นเกี่ยวปลอกหุ้มเอ็นที่ต้องการโดยไม่ไปทำลายเอ็นหรือเส้นประสาทส่วนอื่นหรือไม่ แม้การผ่าตัดด้วยเครื่องมือพิเศษนี้จะไม่ทำให้เกิดรอยแผลเหมือนการผ่าตัดแบบเปิด แต่ถือว่าค่อนข้างเสี่ยงกว่าและอาจได้ผลน้อยกว่า เนื่องจากหลอดเลือดแดงและเส้นประสาทที่สำคัญอยู่ใกล้ปลอกหุ้มเอ็นมาก ทำให้เสี่ยงต่อการได้รับความเสียหายได้ง่าย การผ่าตัดแบบเปิดจึงเป็นวิธีผ่าตัดรักษานิ้วล็อคที่ได้รับเลือกมากกว่า
สำหรับเด็กที่เกิดอาการนิ้วล็อคนั้น จะดีขึ้นเองเมื่อเด็กโตขึ้นโดยไม่ต้องได้รับการรักษา โดยเด็กอาจใส่อุปกรณ์สำหรับดามนิ้วหรือออกกำลังกายมือเพื่อช่วยยืดเส้น การรักษาด้วยการฉีดสเตียรอยด์มักไม่ใช้รักษาอาการนิ้วล็อคที่เกิดในเด็ก แต่หากเด็กจำเป็นต้องได้รับการรักษา แพทย์อาจแนะนำให้ผ่าตัดแทน

06/09/2019

การรักษาออทิสติก!!

แม้อาการออทิสติกจะไม่มียาหรือ วิธีทางการแพทย์
ที่รักษาให้หายขาด แต่เด็กออทิสติกสามารถได้รับ
การดูแลอย่างถูกวิธีจาก พ่อแม่และทีมดูแลเด็กออทิสติก
อันประกอบไปด้วยแพทย์ นักจิตวิทยา นักแก้ไขการพูด
นักกิจกรรมบำบัด และคุณครูสอนเด็กพิเศษ ซึ่งจะช่วย
ให้เด็กสามารถพัฒนา ทักษะการเข้าสังคมและการสื่อสาร
ให้ดีขึ้นและใช้ชีวิตปกติได้ พ่อแม่และทีมดูแลเด็กพิเศษ
ควรร่วมมือกันเพื่อช่วยให้เด็ก สามารถเรียนรู้ได้บ้างใน
เบื้องต้น หลังจากนั้น จึงพัฒนาการเรียนรู้ด้านวิชาการ
ต่อไปโดยขอความร่วมมือจากครู

การรักษาออทิสติกให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และต้อง
ใช้ระยะเวลาในการรักษา นานเท่าไหร่ไม่สามารถระบุ
ได้อย่างแน่ชัด เพราะการรักษาให้ประสบผลสำเร็จนั้น
ขึ้นอยู่กับปัจจัยที่แตกต่างกันไป ของผู้ป่วย เช่น ความ
รุนแรงของโรค ความผิดปกติซ้ำซ้อนที่เกิดกับเด็ก อาการ
เจ็บป่วยทางกายของเด็ก อายุที่เด็กเริ่มเข้ารับการรักษา
รูปแบบการเลี้ยงดู หรือสิ่งแวดล้อมรอบตัวเด็ก เป็นต้น นอกจากนี้ แพทย์ต้องเฝ้าระวังอาการของเด็กร่วมด้วย เนื่องจากเด็กอาจมีความผิดปกติ ด้านพฤติกรรมเพิ่มขึ้น
มาระหว่างรับการรักษา แพทย์จึงต้องปรับวิธีการรักษา
ให้เหมาะสมตลอดช่วงอายุของเด็กอยู่เสมอ

การบำบัดอาการออทิสติก ตั้งแต่กระตุ้นพัฒนาการเด็ก
ปรับพฤติกรรม และเสริมสร้างด้านการเรียนรู้ มีขั้นตอน
ดังนี้

การกระตุ้นพัฒนาการเด็ก การกระตุ้นพัฒนาการของเด็ก
นั้นมีหลายขั้นตอน ประกอบด้วย การกระตุ้นประสาทสัมผัส
ทั้งห้า การจับมือเด็กให้ทำสิ่งต่าง ๆ ด้วยตัวเอง การหันตามเสียงเรียก และการสอนให้รู้จักตัวเองและบุคคลในครอบครัว โดยการกระตุ้นพัฒนาการเด็ก นั้นจะช่วยให้เด็กมีปฏิสัมพันธ์กับบุคคลในครอบครัวเป็นอันดับแรก โดยวิธีกระตุ้นพัฒนาการเด็กต่าง ๆ มีรายละเอียด ดังนี้

การกระตุ้นประสาทสัมผัสทั้งห้า พ่อแม่ควรเล่นกับลูก
อย่างการอุ้มเด็ก กอด เล่นปูไต่ หรือจั๊กจี้มือ โดยทำ
เช่นนี้ซ้ำ ๆ ทุกวัน เพื่อให้เด็กซึมซับความอบอุ่นและ
คุ้นเคยจากพ่อแม่ และสร้างสัมพันธภาพที่ดีกับคนในครอบครัว จากนั้นจะฝึกให้เด็กสบตา กระซิบเรียกชื่อ
เด็กข้างหูด้วยเสียงของคนที่ใกล้ชิดเด็ก เพื่อกระตุ้น
ทักษะการเข้าสังคมและการสื่อความหมาย และสอน
ให้เด็กเรียนรู้ความแตกต่าง ของกลิ่นและรสของอาหาร
โดยเริ่มจากสิ่งที่เด็กชอบกิน ให้เด็กเรียกชื่ออาหาร
และความรู้สึกหลังจากได้ชิมและดมไปทีละอย่าง
การจับมือเด็กให้ทำสิ่งต่าง ๆ ด้วยตัวเอง วิธีนี้จะเริ่มจาก
จับมือเด็กให้หัดทำกิจกรรมต่าง ๆ ที่ต้องการทำด้วยตัว
เอง โดยจะช่วยให้เด็กเกิดความมั่นใจมากขึ้น เนื่องจาก
เด็กออทิสติกชี้บอกความต้องการของตัวเองไม่ได้ และ
มักจับมือของคนอื่นให้ช่วยทำแทน
การหันตามเสียงเรียก วิธีนี้จะสอนให้เด็กหันตามเสียง
เรียกชื่อตัวเอง ช่วยให้เด็กสื่อความหมายได้และมี
ปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นมากขึ้น
การสอนให้รู้จักตัวเองและบุคคลในครอบครัว วิธีนี้จะ
สอนเด็กให้รู้จักชื่อตัวเอง และบุคคลในครอบครัวว่า
เป็นใครบ้าง เพื่อช่วยแยกความแตกต่างของแต่ละคน
ที่เด็กอยู่ร่วมภายในครอบครัว
การฝึกกิจวัตรประจำวัน เริ่มต้นต้องสอนให้เด็กรู้จัก
ของใช้ต่าง ๆ ก่อน จากนั้นจึงสอนให้เด็กทำความสะอาดร่างกายแต่ละส่วน โดยสอนไปทีละขั้น สำหรับการฝึก
ขับถ่ายนั้น เริ่มจากเลิกใช้ผ้าอ้อมสำเร็จรูปและเปลี่ยน
กางเกงเมื่อขับถ่ายออกมา ทั้งนี้เพื่อให้เด็กได้สัมผัส
ความสกปรกจากการขับถ่าย เลอะเทอะ ผู้ปกครองต้อง
สังเกตว่าเด็กมักขับถ่ายตอนไหน แล้วค่อยฝึกเด็กในตอน
นั้น โดยใช้คำง่าย ๆ อย่าง “อึ” หรือ “ฉี่” ในการสอน ส่วน
การสอนให้เด็กแต่งตัว ควรใช้เสื้อผ้าที่ทำจากผ้ายืด เพราะทำให้เด็กสวมใส่ได้ง่าย เป็นการสร้างแรงจูงใจให้เด็กอยากแต่งตัวเอง นอกจากนี้ควรสอนให้เด็กใช้ช้อนตักอาหาร เนื่องจากเด็กออทิสติกมักใช้มือหยิบอาหารเข้าปาก

การเล่นและรับรู้อารมณ์ ผู้สอนควรให้เด็กที่พูดไม่ได้สื่อสารด้วยท่าทางก่อน และสอนให้เด็กรู้จักแยกแยะสีหน้าอารมณ์ในแบบต่าง ๆ เพื่อให้เด็กเข้าใจความรู้สึกของผู้คนมากขึ้น ที่สำคัญควรฝึกให้เด็กเล่นของเล่น เพราะเมื่อเด็กเล่นของเล่นเป็น ก็จะช่วยให้มีปฏิสัมพันธ์กับสังคมภายนอกและปรับอารมณ์ให้ดีขึ้นด้วย

อรรถบำบัด (Speech Therapy) ผู้เชี่ยวชาญด้านการแก้ไขการพูดจะสอนให้เด็กเปล่งเสียงและพูดออกมา โดยอรรถบำบัดจะช่วยให้เด็กเรียนรู็ภาษาและสื่อสารกับผู้อื่นได้

พฤติกรรมบำบัด (Behavior Therapy) เด็กออทิสติกจะได้รับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่มีปัญหาของตนให้กลับมาเป็นปกติ สามารถปฏิบัติตัวได้อย่างเหมาะสม ซึ่งจะช่วยให้เด็กเข้าใจกฎเกณฑ์และอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้

ดนตรีบำบัด (Music Therapy) ครูฝึกสอนจะใช้ดนตรีเข้ามาบำบัดร่วมด้วย ทำให้เด็กผ่อนคลาย ไม่รู้สึกกลัวหรือกังวล รวมทั้งกระตุ้นประสาทสัมผัสด้านการฟัง จนเปล่งเสียงและเคลื่อนไหวร่างกายตามจังหวะดนตรี โดยดนตรีบำบัดจะช่วยลดพฤติกรรมก้าวร้าวและเสริมสร้างทักษะการสื่อสารและปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น

การควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกาย เด็กออทิสติกจะได้รับการฝึกควบคุมการเคลื่อนไหวร่างกายของตัวเองได้อย่างถูกต้องเหมาะสม

การทำนิวโรฟีดแบค (Neurofeedback) เด็กจะเรียนรู้วิธีฝึกบำบัดตัวเองด้วยเครื่องเฮโมเอ็นเซปฟาโลแกรม (Hemoencephalogram: HEG) ซึ่งแสดงผลผ่านจอคอมพิวเตอร์ในรูปแบบกระบวนการป้อนกลับ (Feedback) ช่วยให้เด็กมีสมาธิและตั้งใจในการบำบัด

การเรียนรู้ด้านวิชาการ เด็กออทิสติกที่มีความฉลาดทางสติปัญญาต่ำกว่า 70 ซึ่งต่ำกว่าเกณฑ์เฉลี่ย ต้องเข้ารับการศึกษาแบบการศึกษาพิเศษ โดยจัดหลักสูตรที่เหมาะกับแต่ละคนโดยเฉพาะ และเน้นวิชาสายอาชีพเป็นหลัก

การบำบัดด้วยยา การใช้ยาบำบัดนั้นจะพิจารณาตามอาการของเด็กแต่ละคน เพื่อช่วยลดพฤติกรรมไม่พึงประสงค์และทำให้การทำพฤติกรรมบำบัดทำได้ง่ายและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

06/09/2019

สาเหตุของนิ้วล็อค!!!

เอ็นคือพังผืดที่ยึดกล้ามเนื้อและกระดูกไว้ด้วยกัน ซึ่งเอ็น
และกล้ามเนื้อที่มือ และแขนจะช่วยให้นิ้วมืองอและยืดได้ โดยเอ็นแต่ละส่วนถูกล้อมรอบไว้ด้วยปลอกหุ้มเอ็น อาการ
นิ้วล็อคจะเกิดขึ้น เมื่อปลอกหุ้มเอ็นตรงนิ้วอักเสบหนาตัวขึ้น ซึ่งทำให้เอ็นและ ปลอกหุ้มเอ็นตรงนิ้วไม่สามารถยืดหรืองอ
ได้ตามปกติ

ปัจจัยที่เสี่ยงให้เกิดอาการนิ้วล็อคนั้น ได้แก่

การถือหรือแบกของนาน อาชีพหรือกิจกรรมที่ต้องใช้มือทำและทำให้มือรับน้ำหนักเป็นเวลานาน รวมทั้งทำซ้ำบ่อย ๆ
เช่น ทำสวน ตัดแต่งต้นไม้ ใช้ไขควงทำงาน หรือใช้อุปกรณ์
ที่ต้องออกแรงกด กิจกรรมลักษณะนี้ถือเป็นปัจจัยเสี่ยงทำให้เกิดอาการนิ้วล็อค ผู้ที่จัดอยู่ในกลุ่มเสี่ยงเกิดอาการนิ้วล็อค ซึ่งเกิดจากการใช้นิ้วมือทำกิจกรรมที่ต้องออกแรงหรือลงน้ำหนักเยอะรวมทั้งทำกิจกรรมนั้นซ้ำๆ มักเป็นผู้ที่ประกอบอาชีพชาวนา ชาวไร่ พนักงานโรงงาน ผู้ใช้แรงงาน และนักดนตรี เนื่องจากหน้าที่ของอาชีพเหล่านี้ทำให้ต้องใช้มือทำงานในลักษณะที่กล่าวมา นอกจากนี้ ผู้ที่สูบบุหรี่ก็สามารถเกิดอาการนิ้วล็อคได้ โดยนิ้วโป้งจะล็อค เพราะต้องใช้งานในการจุดไฟแช็คบ่อย อย่างไรก็ดี อาการนิ้วล็อคมักพบได้ทั่วไปในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย และมีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นบ่อยที่สุดกับผู้ที่มีอายุ 40-60 ปี
ปัญหาสุขภาพ บางครั้งอาการนิ้วล็อคอาจเกี่ยวข้องกับการป่วยด้วยโรคที่ก่อให้เกิดการอักเสบบริเวณเนื้อเยื่อที่มือ เช่น โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ (Rheumatoid Arthritis) โรคเกาต์ เบาหวาน โรคอะไมลอยด์โดซิส (Amyloidosis) และโรคการกดทับเส้นประสาทบริเวณข้อมือ (Carpal Tunnel Syndrome) ก็เสี่ยงต่อการเกิดอาการนิ้วล็อค โดยผู้ป่วยจะเกิดอาการของโรคที่ตนป่วยขึ้นร่วมด้วย

02/09/2019

อาการของนิ้วล็อค!!!

นิ้วล็อคมักเกิดขึ้นกับนิ้วโป้ง นิ้วกลาง หรือนิ้วนาง ทั้งนี้
อาการนิ้วล็อคอาจเกิดขึ้นกับนิ้วหลายนิ้วได้ในเวลาเดียว
กัน หรืออาจเกิดขึ้นได้กับนิ้วมือทั้ง 2 ข้างด้วย โดยอาการ
นิ้วล็อคจะเกิดขึ้นเมื่อนิ้วใดนิ้วหนึ่ง พยายามงอในขณะที่มือต้องออกแรงทำบางอย่าง
เมื่อนิ้วล็อค อาจจะเกิดอาการดังนี้
รู้สึกดังกึกเมื่อต้องงอหรือยืดนิ้ว
เกิดอาการนิ้วแข็ง ซึ่งมักเกิดขึ้นตอนเช้า
รู้สึกตึงและรู้สึกเหมือนมีบางอย่าง นูนขึ้นมาตรงโคนของ
นิ้วที่ล็อค
นิ้วล็อคเมื่องอนิ้ว ซึ่งเกิดขึ้นทันทีที่ยืดนิ้วกะทันหัน
นิ้วล็อคเมื่องอนิ้วโดยไม่สามารถยืดนิ้วกลับมาได้

29/08/2019

นิ้วล็อค (Trigger Finger)
คืออาการที่นิ้วเกิดล็อคเมื่องอนิ้ว แล้วไม่สามารถกลับมาเหยียดตรงได้ง่าย เกิดจากการอักเสบหนาตัวของปลอกเอ็นกล้ามเนื้อที่นิ้ว ทำให้เอ็นและกล้ามเนื้อที่อยู่ภายในไม่สามารถยืดหดได้ตามปกติ นิ้วก็จะเกิดอาการล็อค ไม่สามารถกลับมายืดตรงได้ตามปกติ

อาการของนิ้วล็อค
นิ้วล็อคมักเกิดขึ้นกับนิ้วโป้ง นิ้วกลาง หรือนิ้วนาง ทั้งนี้ อาการนิ้วล็อคอาจเกิดขึ้นกับนิ้วหลายนิ้วได้ในเวลาเดียวกัน หรืออาจเกิดขึ้นได้กับนิ้วมือทั้ง 2 ข้างด้วย โดยอาการนิ้วล็อคจะเกิดขึ้นเมื่อนิ้วใดนิ้วหนึ่งพยายามงอในขณะที่มือต้องออกแรงทำบางอย่าง เมื่อนิ้วล็อค อาจจะเกิดอาการดังนี้
รู้สึกดังกึกเมื่อต้องงอหรือยืดนิ้ว
เกิดอาการนิ้วแข็ง ซึ่งมักเกิดขึ้นตอนเช้า
รู้สึกตึงและรู้สึกเหมือนมีบางอย่างนูนขึ้นมาตรงโคนของนิ้ว
ที่ล็อค
นิ้วล็อคเมื่องอนิ้ว ซึ่งเกิดขึ้นทันทีที่ยืดนิ้วกะทันหัน
นิ้วล็อคเมื่องอนิ้วโดยไม่สามารถยืดนิ้วกลับมาได้

27/08/2019

อาการของโรคเครียด!!!

ผู้ที่ป่วยเป็นโรคเครียดมักเกิดอาการ ของโรคทันทีที่เผชิญสถานการณ์ที่ทำให้เกิดความเครียด โดยจะเกิดอาการของโรคเป็นเวลานานหลายวันหรือหลายสัปดาห์ อาการโรค
เครียด มีดังนี้
เห็นภาพเหตุการณ์ร้ายแรงซ้ำ ๆ ผู้ป่วยจะเห็นฝันร้าย
หรือนึกถึงเหตุการณ์ร้ายแรง ไม่ดีที่เคยเกิดขึ้นซ้ำ ๆ อยู่
เสมอ
อารมณ์ขุ่นมัว อารมณ์หรือความรู้สึกของผู้ป่วยโรค
เครียดมักแสดงออกมาในเชิงลบ ผู้ป่วยจะรู้สึกอารมณ์ไม่ดี
มีความทุกข์ ไม่ร่าเริงแจ่มใสหรือรู้สึกไม่มีความสุข
มีพฤติกรรมแยกตัวออกมา ผู้ป่วยจะเกิดหลงลืมมึนงง
ไม่มีสติหรือไม่รับรู้การมีอยู่ของตัวเอง หรือรู้สึกว่าเวลาเดิน
ช้าลง
หลีกเลี่ยงสิ่งต่าง ๆ ผู้ป่วยจะหลีกเลี่ยงสิ่งที่ทำให้นึกถึงเหตุการณ์ที่ทำให้เกิดความเครียด ไม่ว่าจะเป็นผู้คน สถาน
ที่ สิ่งของ กิจกรรม หรือบทสนทนาที่เกี่ยวกับเรื่องนั้น ๆ
ไวต่อสิ่งเร้า ผู้ป่วยจะนอนหลับยาก โมโหหรือก้าวร้าว
ไม่มีสมาธิจดจ่อกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้
ทั้งนี้ โดยทั่วไป มนุษย์เรามักเกิดความเครียดจากการ
ใช้ชีวิตประจำวัน ซึ่งความรู้สึกดังกลาวอาจส่งผลกระทบ
ต่อการทำงานของร่างกายและอารมณ์บ้าง ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทั้งด้านร่างกาย อารมณ์ความรู้สึก และพฤติกรรม ดังนี้

ความเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย
กล้ามเนื้อหดตัว ส่งผลให้ปวดหลัง เจ็บขากรรไกร รวมทั้งมีปัญหาเกี่ยวกับเอ็นตามกล้ามเนื้อ
ร่างกายตื่นตัวมาก ส่งผลให้ความดันโลหิตสูง หัวใจเต้นเร็ว ใจสั่น เหงื่อออกที่ฝ่ามือ มือเท้าเย็น เวียนศีรษะ ปวดไมเกรน หายใจไม่สุด และเจ็บหน้าอก
อ่อนเพลีย
แรงขับทางเพศลดลง
ปวดท้อง หรือรู้สึกไม่สบายท้อง ซึ่งเกิดจากปัญหาสุขภาพเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร เช่น กรดไหลย้อน กรดในกระเพาะอาหาร ท้องอืด ท้องร่วง หรือท้องผูก
มีปัญหาเกี่ยวกับการนอนหลับ
ความเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ความรู้สึก
วิตกกังวลและฟุ้งซ่าน
รู้สึกกดดันอยู่เสมอ รวมทั้งตื่นตัวได้ง่ายกว่าปกติ
ไม่มีสมาธิ หรือหมดแรงจูงใจในการทำสิ่งต่าง ๆ
ซึมเศร้า
อารมณ์แปรปรวนง่าย
ความเปลี่ยนแปลงทางพฤติกรรม
รับประทานอาหารมากขึ้นหรือน้อยลงกว่าปกติ
มักโกรธและอาละวาดได้ง่าย
สูบบุหรี่ หรือใช้สารเสพติดอื่น ๆ
ไม่เข้าสังคม ไม่พบปะผู้คน รวมทั้งไม่สนใจสิ่งรอบตัว
ทำกิจกรรมต่าง ๆ หรือออกกำลังกายเคลื่อนไหวร่างกายน้อยลง

26/08/2019

สุขภาพดีอยู่ที่การป้องกัน!!!
หากคุณเข้าใจว่าการดูแลสุขภาพ ร่างกายคือการไปพบ
แพทย์เพื่อรับการรักษา อาการเจ็บป่วยเห็นทีจะต้องเปลี่ยนความคิดเสียใหม่ เพราะสุขภาพดีไม่ได้ หมายความถึงสภาวะอันปกติของสุขภาพเท่านั้นแต่ยังหมายรวมไปถึงความ พอใจความสุขอันมาจาก คุณภาพชีวิตที่ดีอีกด้วย หลักการในการคงไว้ซึ่ง สุขภาพดีนั้นเราได้รับการบอกเล่ามาตลอดว่าอยู่ที่การเลือกรับประทานอาหาร ใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพรวมถึงการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอซึ่งเมื่อถึงคราว ปฏิบัติจริงหลายคนก็สามารถประยุกต์หลักการดังกล่าว ให้เข้ากับแนวทางส่วนตัว ได้เป็นอย่างดี และน่าสนใจ

22/08/2019

ไฮเปอร์กับสมาธิสั้นต่างกัน

เด็กที่เป็นไฮเปอร์ไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นโรคสมาธิสั้นเสมอไป
เพราะไฮเปอร์คืออาการที่ไม่อยู่นิ่ง ซึ่งเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ
ได้แก่ โรคสมาธิสั้น (ADHD-Attention Deficit Hyperactive Disorder)
เป็นเพียงสาเหตุอันหนึ่ง ยังไม่รวมถึงเด็กมีไอคิวสูงปัญญาเลิศ
(Gifted Child ) เด็กที่มีความวิตกกังวัล (Anxiety)
เด็กที่มีพัฒนาการทางระบบประสาทล่าช้า (Motor - Sensory)
เด็กที่เคยได้รับความกระทบกระเทือนหรือติดเชื้อที่สมอง
และเด็กที่ไฮเปอร์โดยธรรมชาติ แต่เด็กที่เป็นโรคสมาธิสั้น
ไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด มักเกิดจากความผิดปกติของสมอง
และสิ่งที่น่าสนใจคือ โรคสมาธิสั้นสามารถเกิดจากปัจจัยทางพันธุกรรมได้
หากพ่อหรือแม่เป็นโรคนี้ลูกก็มีโอกาสเป็นได้ถึง 50% และอาจเกิดขึ้นได้
ขณะที่มารดาตั้งครรภ์

photo

เลี่ยงเล่นสมาร์ทโฟนแท็บเล็ต
ในปัจจุบันต้องยอมรับว่าเจ้าตัวเล็กเติบโตท่ามกลางเทคโนโลยีที่มีการพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง โดยเฉพาะสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตที่เรียกได้ว่าพ่อแม่ผู้ปกครองมีไว้ให้เจ้าตัวเล็กได้เล่น เนื่องจากทำงานหนักและไม่ค่อยมีเวลาในการเลี้ยงดู ซึ่งความจริงแล้วหากไม่เล่นได้จะดีที่สุด เพราะสมาร์ทโฟนมีส่วนกระตุ้นให้เด็กที่เป็นเป็นสมาธิสั้นมากมีอาการขึ้น เนื่องจากเมื่อเล่นไปนาน ๆ อาจส่งผลให้เด็กขาดสมาธิและการควบคุมตนเอง อยู่ไม่นิ่ง หุนหันพลันแล่น และหากเด็กเป็นโรคสมาธิสั้นอยู่ก่อนแล้วอาการจะยิ่งมีความรุนแรงมากขึ้น อาทิ ใจร้อน วู่วาม อารมณ์ฉุนเฉียว ขาดการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น ไม่รู้จักการรอคอย เป็นต้น

นอกจากนี้การเล่นสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ตเป็นเวลานานยังส่งผลให้เด็กเกิดความผิดปกติทางสายตา พูดช้า บุคลิกภาพไม่ดี ซึ่งพ่อแม่ผู้ปกครองควรมองหากิจกรรมที่เหมาะสมเพื่อช่วยเสริมสร้างพัฒนาการเด็กและสร้างความอบอุ่นภายในครอบครัว ได้แก่ การเล่นกีฬา เช่น กอล์ฟ ฟุตบอล ว่ายน้ำ เป็นต้น หรือการเล่นดนตรี เช่น เปียโน เป็นต้น สำหรับช่วงอายุที่เด็กสามารถใช้งานสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ตได้นั้น ดีที่สุดคือที่ช่วงอายุตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป แต่ต้องควบคุมระยะเวลาในการใช้งานคือ ครั้งละไม่เกิน 1 ชั่วโมง เพื่อจะได้ไม่ส่งผลเสียต่อพัฒนาการการเรียนรู้และการเข้าสังคม

ที่อยู่

777/50หมู่บ้านกิตินครทาวน์
Phra Nakhon
10280

เบอร์โทรศัพท์

091-843-6573

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ Di-offlce โรคฮิตวัยทำงานผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

แชร์

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram