12/03/2018
สาระดีๆวันนี้ อาการไอต่อเนื่องหลังเป็นหวัด เชื่อว่ามีคนไข้หลายๆคนเคยเป็นแล้วไปหาซื้อยาที่ร้านขายยา ลองอ่านกันดูค่ะว่าเกิดจากอะไรได้บ้าง 😉
หลังเป็นหวัด ไอต่อเป็นเดือน
"Postinfectious cough"
ช่วงนี้อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย ผู้ป่วยหลายรายประสบปัญหาป่วยเป็นไข้หวัดและไอต่อเป็นเดือน แต่ก่อนที่จะสรุปว่าเป็นแค่ "อาการไอหลังไข้หวัดธรรมดา (Postinfectious cough)" นั้น ในฐานะแพทย์ เราทราบกันดีว่าอาการไอตามหลังไข้หวัด อาจเกิดจากสาเหตุอื่นแทรกซ้อนได้
วันนี้แอด B1 จึงขอหยิบเรื่อง "Postinfectious cough" มาเล่าสู่กันฟังนะครับ
คำจำกัดความ
Post-infectious cough คือ การไอหลังการติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบน (ส่วนใหญ่นำมาก่อนในช่วง2 สัปดาห์) ไม่ว่าเกิดจากไวรัส หรือแบคทีเรียบางชนิด
แม้ว่าอาการไข้ เจ็บคอ จะหายไปแล้ว บางรายยังคงมีอาการไอต่อเนื่องได้อีก 3-8 สัปดาห์ โดยที่เอกซเรย์ปอดให้ผลปกติ
อาการไอเกิดขึ้นได้อย่างไร
- แม้ว่าอาการไข้หวัดอื่นๆจะหายดีแล้ว เราพบว่ามีการอักเสบของทางเดินหายใจต่อเนื่องไปได้อีกสักระยะ ทั้งเยื่อบุจมูก ลำคอ หลอดลม
- การอักเสบของเยื่อบุดังกล่าว ทำให้เส้นประสาทที่ควบคุมการไอไวมากขึ้น (cough hypersensitivity) กระตุ้นให้รู้สึกอยากไอตลอดเวลา
- ผู้ป่วยอาจมีภาวะน้ำมูกไหลลงคอ (postnasal drip) ทำให้รู้สึกระคาย + คันคออยู่ตลอด แต่ไอไม่ออก
พบบ่อยแค่ไหน
- ผู้ใหญ่พบได้ 10-25% และอาจสูงถึง 25-50% ในกรณีที่ติดเชื้อแบคทีเรียบางชนิด
อาการของโรค
ขึ้นกับตำแหน่งพยาธิสภาพว่าเด่นที่ใด อาจมีร่วมกันหลายข้อได้ โดยจะไอแห้งหรือไอมีเสมหะก็ได้ บางรายที่ไอหนัก อาจทำให้ปวดศีรษะ เจ็บแน่นชายโครง ทรมานยิ่งนัก
1. กรณีที่มีการอักเสบของทางเดินหายใจส่วนบน (upper airway) ผู้ป่วยมักรู้สึกระคายคอตลอดเวลา ไอกระแอมบ่อย (throat clearing cough) ผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัวของจมูกอยู่เดิม เช่น จมูกอักเสบภูมิแพ้ ไซนัสอักเสบติดเชื้อ อาจจะไอนานกว่าคนทั่วไป
2. กรณีที่มีการอักเสบของทางเดินหายใจส่วนล่าง (lower airway) ผู้ป่วยมักไอมักมีเสมหะ และไวต่อสารระคายเคือง (ฝุ่น ควัน กลิ่นฉุน)
3. บางรายที่ไออยู่นาน อาจมี ภาวะกรดไหลย้อน (gastroesophageal reflux disease) เป็นผลตามมา ซึ่งทำให้การรักษายากยิ่งขึ้น
การวินิจฉัย
ก่อนจะบอกว่าเป็น Post-infectious cough นั้น
แพทย์จะถามประวัติ ตรวจร่างกาย รวมถึงพิจารณาเอกซเรย์ในบางราย เพื่อวินิจฉัยแยกโรคอื่นที่อาจเป็นไปได้เสมอ เช่น "ไซนัสอักเสบติดเชื้อ โรคจมูกอักเสบภูมิแพ้กำเริบ โรคหืดกำเริบ กรดไหลย้อน หรือจริงๆเป็นการติดเชื้อไอกรนตั้งแต่แรก"
การวินิจฉัยแยกโรค
1. ไซนัสอักเสบติดเชื้อ: มีอาการทางจมูกเด่น คัดจมูก น้ำมูกเปลี่ยนสี ไข้ อาจปวดบริเวณใบหน้าหรือไม่ก็ได้ (กรณีที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย มักเป็นนานหรือรุนแรงกว่าไวรัส)
2. โรคหืดกำเริบ: มีประวัติโรคหืดอยู่เดิม หายใจเสียงหวีด แน่นหน้าอก
3. กรดไหลย้อน: ไอมากขึ้นในบางช่วง เช่น นอนราบ, หลังอาหาร, พูด, หัวเราะ *อาจไม่พบอาการของกรดไหลย้อน เช่น แสบร้อนอก เรอเปรี้ยว ก็ได้ (extra-esophageal GERD)
การรักษาด้วยยา ตามแนวทางการรักษาผู้ป่วยไอเรื้อรังในผู้ใหญ่ พ.ศ 2559
กรณี "ไอหลังไข้หวัดธรรมดา" *ไม่จำเป็นต้องใช้ยาปฏิชีวนะ เพราะไม่เกิดประโยชน์**
- ส่วนใหญ่มักดีขึ้นเรื่อยๆและหายเองภายใน 2 เดือน (หากไอนานกว่า 2 เดือน หรือแนวโน้มอาการหนักขึ้นเรื่อยๆ ควรปรึกษาแพทย์สืบค้นเพิ่มเติม)
- การรักษาเสริมที่มีรายงาน เช่น คอร์ติโคสเตียรอยด์ชนิดสูด, รายที่ไอมากอาจใช้ ipratropium ชนิดสูด, สเตียรอยด์ชนิดกิน prednisolone 30 mg/d ช่วงสั้น 1-2 สัปดาห์
- อาจให้ยากดอาการไอช่วงสั้น ในกรณีที่ผู้ป่วยไอจนรบกวนชีวิตประจำวัน
กรณี "มีโรคจมูกอักเสบภูมิแพ้อยู่เดิม"
- หลังติดเชื้อ อาการภูมิแพ้มักกำเริบ จมูกบวม ผลิตน้ำมูกเหนียวปริมาณมาก ทำให้มีน้ำมูกไหลลงคอ
- ดังนั้นการรักษา จึงใช้การล้างจมูกด้วยน้ำเกลือ + สเตียรอยด์ชนิดพ่นจมูก + ยาต้านฮิสทามีน
กรณี "เกิดจากโรคอื่นๆ" ควรปรึกษาแพทย์เพื่อปรับยา เพราะการรักษาแตกต่างกัน
โรคที่เป็นสาเหตุของไอมีอีกมากมาย บางรายกว่าจะดีขึ้นต้องใช้เวลานานเป็นเดือน บางรายหาสาเหตุไม่พบ(unexplained cough) หรือบางรายเป็นๆหายๆ ตามสภาพอากาศ
สิ่งสำคัญคือ การดูแลสุขภาพให้แข็งแรง นอนพักผ่อนให้พอ ในผู้สูงอายุหรือคนที่มีโรคประจำตัวควรฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ประจำปี
การรักษาที่สาเหตุโดยตรง จะช่วยลดการใช้ยาปฏิชีวนะอย่างไม่สมเหตุผลได้ครับ
Admin B1
ถ้าชอบ อย่าลืมกดติดตามเพจด้วยนะครัช
ต่อไปแอดจะทยอยโพสต์ series สำหรับแพทย์แล้วนะครับ