Health Me

Health Me Contact information, map and directions, contact form, opening hours, services, ratings, photos, videos and announcements from Health Me, การแพทย์และสุขภาพ, .

ขออนุญาตบอกข่าวหน่อยนะครับ———น้ำมันรวิ สูตร 1 เป็นนวัตกรรมผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีส่วนผสมของน้ำมันสกัดจากดักแด้ไหม ที่ ร...
22/02/2024

ขออนุญาตบอกข่าวหน่อยนะครับ

———

น้ำมันรวิ สูตร 1 เป็นนวัตกรรมผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีส่วนผสมของน้ำมันสกัดจากดักแด้ไหม ที่ รวิ ร่วมพัฒนากับ ม.อุบลราชธานี

โดยมีน้ำมันดักแด้ไหม มี ไขมันไม่อิ่มตัว 67.92% (เชิงเดี่ยว 31.14% เชิงซ้อน 36.73%) อุดมไปด้วย OMEGA 3, 6, 9 ที่มีประโยชน์ต่อ สมอง หัวใจ และหลอดเลือด รวมถึง การต้านอนุมูลอิสระ และมีประโยชน์ต่อระบบไหลเวียนเลือดโดยรวม

น้ำมันรวิ สูตร 1 ยังมีส่วนช่วยให้การนอนหลับพักผ่อนมีประสิทธิภาพ มีความสดชื่นหลังตื่น สมองไม่อ่อนล้าอีกด้วย

หมายเหตุ: 1 ขวด บรรจุ 30 เม็ด(500 มก.) / วันละ 2 เม็ด

📌สนใจสอบถามเพิ่มเติม
https://lin.ee/XQwkEeF

ทำไมกล้ามเนื้อสะโพก Psoas จึงสำคัญที่สุดในร่างกายกล้ามเนื้อ iliopsoas ที่รู้จักกันทั่วไปว่าเป็นกล้ามเนื้อ psoas เป็นกล้า...
05/12/2023

ทำไมกล้ามเนื้อสะโพก Psoas จึงสำคัญที่สุดในร่างกาย
กล้ามเนื้อ iliopsoas ที่รู้จักกันทั่วไปว่าเป็นกล้ามเนื้อ psoas เป็นกล้ามเนื้อหลักที่เชื่อมต่อกระดูกสันหลัง กับขา ถ้ากล้ามเนื้อ psoas ติดหรืออ่อนแอก็สามารถก่อให้เกิดความเครียดในกระดูกสันหลัง นำไปสู่​​อาการปวดหลังได้
การทำงานของกล้ามเนื้อ Psoas ที่อยู่ลึกลงไปในแกนกลางลำตัวนี้มีผลต่อกิจกรรมต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันของเรา บุคลิกภาพ รวมทั้งสุขภาพของเรา ไม่ว่าจะวิ่ง ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน กล้ามเนื้อตัวนี้จะเชื่อมต่อระหว่างช่วงตัวและขาค่ะ
กล้ามเนื้อกลุ่มนี้ประกอบไปด้วยกล้ามเนื้อหระตุกเร็วและช้าผสมกัน แต่เนื่องจากเป็นกล้ามเนื้อที่ช่วยในการงอ ถ้ากล้ามเนื้อกลุ่มนี้อ่อนแอ ก็จะเป็นสาเหตุที่ทำให้เราไปใช้กล้ามเนื้อรอบๆกลุ่มอื่นแทน (overuse) ดังนั้นกล้ามเนื้อ psoas ที่ตึงไปหรืออ่อนแอทำให้เกิดการปวดหลังล่างและกระดูกเชิงกราน
สาเหตุที่ทำให้กล้ามเนื้อกลุ่มนี้หดตัว หรือตึงเกินไป ก็เช่น ยืนบิดตัวในท่าต่างๆโดยไม่ขยับเท่าเลย หรือท่าอะไรก็ตามที่ทำให้ขาเราหมุนออกในขณะที่เหยียดออก นึกภาพการยกขาแบบนักบัลเลย์ หรือแม้การทำ sit ups มากเกินไป เพราะกล้ามเนื้อกลุ่มนี้รับผิดชอบในช่วงครึ่งหลังของท่า sit up
กล้ามเนื้อกลุ่มนี้จะเกาะที่กระดูกสันหลังช่วงกลาง (thoracic vertebrae) ข้อที่ 12 ไปจนถึงกระดูกสันหลังล่างข้อที่ 5 ผ่านไขว้เชิงกรานไปเกาะ ที่กระดูกต้นขา เป็นกล้ามเนื้อเดียวที่เกาะเชื่อมต่อกระดูกสันหลัง กับกระดูกขา ช่วยในการงอสะโพก หรือการดึงขาขึ้นมาด้านหน้าเวลาวิ่งหรือเดิน ยกเข่าสูงด้วย หรือเวลาก้มลงเก็บของจากพื้น และช่วยสร้างความมั่นคงให้ช่วงตัวและกระดูกสันหลังเวลาเราเคลื่อนไหวหรือนั่งนิ่ง
นอกจากนั้นแล้วยังอุ้มอวัยวะภายใน เหมือนกับ ปั๊มไฮดรอลิกที่คอยควบคุมให้เลือดถูกปั้มเข้าออกจากเซลส์ เยอะ!
ความสำคัญไม่ใช่แค่ทางโครงสร้าง แต่สุขภาพด้วยค่ะ เพราะกล้ามนี้กลุ่มนี้มีส่วนกระทบการหายใจของเรา

ยังไง??
เอ็น 2 ตัวที่เกาะกระบังลมที่ชื่อ crura จะยืดลงมาเกาะกับกระดูกสันหลังตรงแถวๆที่ กล้ามเนื้อ psoas เกาะอยู่นี่แหละค่ะ ทีนี้ ตัวเอ็นของกลุ่มนี้ที่ชื่อ medial arcuate จะพันรอบๆหัวของกล้ามเนื้อ psoas กระบังลมและกล้ามเนื้อ psoas จะติดต่อกันด้วย เนื้อเยื่อ เกี่ยวพันชนิดยางยืด แล้วไปเกาะกับกล้ามเนื้อสะโพก
การเชื่อมต่อกันแบบนี้ทำให้มีความสัมพันธ์กันระหว่างการเดินกับการหายใจ แล้วก็เลยเถิดไปกระทบการตอบโต้ของเราเมื่อเราเผชิญกับสถานการณ์คับขัน เวลาเราหายใจติดขัด หรือเราเครียด กล้ามเนื้อ psoas หดตัวไปด้วย (contract)
ประหลาดแต่จริงที่ กล้ามเนื้อ psoas มีส่วนรับผิดชอบในปฎิกิริยาที่เรียกว่า fight or flight response คือ การตอบสนองโดยสู้หรือหนี
นอกจากในสถานการณ์คับขันแล้ว กล้ามเนื้อ psoas นี้จะหดสั้นในกรณีที่เรา
- นั่งเป็นเวลานาน

-วิ่งหรือเดินเป็นเวลานานมากๆ

-นอนขดตัว

- ทำsit ups บ่อยเกิน
ทั้งนี้เพราะว่ากิจกรรมเหล่านี้จะไปกดที่สะโพกด้านหน้า ทำให้กล้ามเนื้อ psoas นี้หดสั้น แต่!! ก็ไม่ได้หมายความว่า เราควรจะยืดมันนะคะ เพราะในบางกรณี การยืดจะทำให้แย่มากกว่าดีขึ้นค่ะ
ทางที่ดีที่สุดคือ หาทางดูว่า กล้ามเนื้อ psoas ของเรานี้ถูกใช้งานจนหดสั้น หรือมันอ่อนแอยืดยาวและควรจะออกกำลังกายสร้างความแข็งแรงให้มันมากกว่าค่ะ
วิธีที่จะรู้ว่ากล้ามเนื้อ psoas ของเราไม่สมดุลย์
ง่ายๆเลย เราจะมีอาการปวดหลัง หรือสะโพก โดยเฉพาะเวลาเรายกขาขึ้นค่ะ เพราะกล้ามเนื้อไปกดทับข้อ หรือ disc ในกระดูกสันหลังตอนล่าง
การยืดจะดีที่สุดค่ะ ในกรณีนี้ ทำทุกวันด้วย
แต่กรณีที่กล้ามเนื้อ psoas ของเราไม่ได้รับการกระตุ้นใช้งานจนอ่อนแอยืดยาว การยืดจะไม่เหมาะสมแน่นอนค่ะ เราจะดูอาการกล้ามเนื้อช่วงนี้ไม่สมดุลย์ได้จาก
1. ขาไม่เท่ากัน
เพราะข้างที่ psoas หดสั้นก็จะไปดึงเชิงกรานให้หมุนมาข้างหน้า ทำให้ขาเราหมุนเข้า ส่วนขาอีกข้างก็จะหมุนออกโดยอัตโนมัติเพื่อสร้างความสมดุลย์ ประคองไป
2. เข่าและหลังล่างเจ็บ
ถ้าไม่ได้ไปทำอะไรพิสดารมา แล้วอยู่ๆปวดเข่า ปวดหลังล่าง อาจจะเกิดจาก psoas ก็ได้ค่ะ เช็คดูก่อน เพราะเมื่อกระดูกต้นขาล็อคเข้าไปในข้อต่อของสะโพกเพราะ psoas ของเราตึงจนดึงกระดูกเข้าไป การหมุนตัวของข้อต่อก็จะติด ก็สามารถทำให้เข่าและหลังล่างปวดได้ค่ะ
3. บุคลิกภาพการทรงตัวแย่
เมื่อ psoas หดตัวสั้น ก็สามารถดึงเชิงกรานให้เอียงไปข้างหน้าได้ ทำให้หลังแอ่น กดเข้าไปในกระดูกสันหลัง แล้วก็ดันก้นให้แอ่นออกมา
อันนี้จะตรงกันข้ามกับกล้ามเนื้อ psoas ที่ยืดยาวอ่อนแอ ซึ่งจะหมุนเชิงกรานเราไปอีกทาง เกิดการแอ่นหน้า หรือ ก้นแบน อาการนี้ จะมีอาการควบคู่คือ hamstrings เราจะตึง ทำให้ กระดูกกระเบนเหน็บ (sacrum) ถูกดึงเข้ามา เลยทำให้กระดูกสันหลังล่างถูกดึงมาข้างหน้า พวกนี้จะทำให้เกิดการบาดเจ็บที่หลังล่างได้ โดยเฉพาะที่ หมอนรองกระดูกสันหลัง ซึ่งก็คือ เนื้อเยื่อชนิดหนึ่ง ที่ทำ หน้าที่เหมือนตัวผ่อนแรงที่รองรับระหว่างกระดูกสันหลังแต่ละข้อ
ที่ปวดหัวคือ กล้ามเนื้อ psoas นี้สามารถทั้งตึงและหย่อนได้ในเวลาเดียวกัน ซึ่งก็จะทำให้เชิงกรานถูกดึงมาข้างหน้า ทำให้หลังแอ่น และคอยื่นไปข้างหน้า
4. ระบบการขับถ่ายไม่ดี
เพราะ ความตึงของ psoas สามารถไปจำกัดการไหลเวียนของเลือด เพราะไปบีบจำกัดเนื้อที่ของช่วงตัวเรา ของอวัยวะภายในในบริเวณนั้น
5. อาการปวดเกร็งเวลามีประจำเดือน
เพราะเหตุผลคล้ายกันคือ เมื่อ psoas หดตัวตึง ก็จะไปกดดันอวัยวะภายในบริเวณเชิงกราน
6. การหายใจ
การหดตัวตึงของ psoas สามารถไปกระทบกระดูกซี่โครง ดึงให้แอ่นไปข้างหน้า ซึ่งทำให้เนื้อที่หน้าอกน้อยลงจำกัดปริมาณออกซิเจนด้วย เพราะหายใจได้ไม่ลึก
7. เหนื่อย!
กล้ามเนื้อ psoas เป็นฐานรองรับให้ไตของเราวางอยู่ เวลาเราหายใจ กระบังลมเราจะเคลื่อนตัว กล้ามเนื้อ psoas ก็จะนวด อวัยวะภายในเบาๆ พอให้เลือดหมุนเวียนดีขึ้น
อย่างที่บอกคือ เมื่อกล้ามเนื้อ psoas หดเกร็งตัวตลอดเวลา ร่างกายเราจะเหมือนอยู่ในสภาวะเครียดตลอดเวลา เหมือนอยู่ในสถานการณ์คับขันตลอดเวลา ต่อม adrenal ก็จะถูกกระตุ้นตลอดเวลา เราก็จะรู้สึกเหนื่อย เพราะความเครียดภายในค่ะ
วิธีที่จะทำให้กล้ามเนื้อ psoas มีสุขภาพที่ดี
1. อย่านั่งติดต่อกันเป็นเวลานานๆ พยายามลุกขึ้นยืนทุกๆชั่วโมง
2. หาที่รองหลังล่างเวลานั่ง จะม้วนผ้าเช็ดตัวสอดไว้ก็ได้ค่ะ
3. ลองพักกิจกรรมที่ต้องเดิน วิ่งระยะยาวๆ หรือการทำ sit ups มากเกินไป
4. ออกกำลังกายสร้างความแข็งแรงให้ psoas (จะเขียนอย่างละเอียดพรุ่งนี้นะคะ)
5. ไปนวด โยคะ ยืด ในกรณีที่กล้ามเนื้อส่วนนี้ตึง

 #อย่าให้ผู้ป่วยมะเร็งอาการทรุดลงเพราะความเชื่อผิดๆนะคะเรื่องนี้ได้ยินมาตั้งแต่สมัยราวด์คนไข้บนวอร์ด มักจะมีเสียงจากผู้ห...
25/06/2023

#อย่าให้ผู้ป่วยมะเร็งอาการทรุดลงเพราะความเชื่อผิดๆนะคะ

เรื่องนี้ได้ยินมาตั้งแต่สมัยราวด์คนไข้บนวอร์ด มักจะมีเสียงจากผู้หวังดีมาเสมอ พอรู้ว่าเป็นมะเร็ง ก็จะห้ามทานสิ่งต่างๆตามมา
ทำเอาเราที่เป็นนักกำหนดอาหารที่ให้คำปรึกษา ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและความเชื่อ กุมขมับค่ะ เพราะเป็นห่วงจริงๆ

ก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนว่า ร่างกายของคนไข้เวลามีเซลล์มะเร็งเกิดขึ้น เหมือนมีสิ่งชีวิตที่เราไม่ต้องการเกิดขึ้นมาเพิ่มค่ะ
ร่างกายจะยิ่งต้องสร้างภูมิคุ้มกันมาป้องกันตัวเอง และจะยิ่งต้องใช้พลังงานมากยิ่งขึ้นไปอีก
ดังนั้น ผู้ป่วยมะเร็ง ยิ่งต้องการอาหารมากกว่าคนทั่วไปซะอีก
ถ้ายิ่งลด หรือห้ามไม่ให้ทาน นอกจากจะเจอฤทธิ์เบื่ออาหารจากยาคีโมไปแล้ว ร่างกายจะยิ่งโทรมยิ่งทรุดลงเรื่อยๆนะคะ
หันมาดูแลให้ผู้ป่วยมะเร็งใกล้ตัว ได้ทานให้มากขึ้นกันดีกว่าค่ะ อย่าห้ามอะไรเค้าเยอะเลย

วันนี้เฟิร์นเลยรวมเอา 5ความเชื่อผิดๆเกี่ยวกับอาหารสำหรับผู้ป่วยมะเร็งมาฝากค่ะ

1.อย่ากินโปรตีนเยอะ เพราะจะทำให้มะเร็งโต

ยิ่งเป็นมะเร็ง ยิ่งต้องเสริมโปรตีนให้เพียงพอค่ะ โดยเฉพาะโปรตีนที่เป็นแหล่งของกรดอะมิโนจำเป็นต่อร่างกาย เช่น เนื้อสัตว์ไขมันต่ำ ไข่ นมและ ถั่วเมล็ดแห้งต่างๆ
ผู้ป่วยมะเร็งจะยิ่งต้องการโปรตีนเพิ่มขึ้นกว่าคนทั่วไปซะอีก ตามไกด์ไลน์ผู้ป่วยมะเร็งต้องการโปรตีนประมาณ 1.2-1.5กรัม/น้ำหนัก1kg ในขณะที่คนทั่วไปต้องการโปรตีนประมาณ0.8-1กรัม/น้ำหนัก1kgเท่านั้น
ที่เป็นเช่นนี้ เพราะ เซลล์มะเร็งจะทำให้ร่างกายใช้พลังงานสูงกว่าปกติ เกิดการเผาผลาญเยอะ และร่างกายอาจจะทรุดลงจากภูมิคุ้มกันตก ผู้ป่วยมะเร็งจะต้องได้รับทั้งพลังงานและโปรตีนให้เพียงพอต่อการสร้างภูมิคุ้มกัน

2.น้ำตาลเร่งมะเร็งได้

การกินอาหารรสหวาน หรือน้ำตาลเข้าไป ไม่ได้ไปเป็นอาหารให้กับเซลล์มะเร็งมากขึ้น แต่ทั้งนี้ ควรบริโภคน้ำตาลในปริมาณไม่เกิน 6ช้อนชาต่อวัน(24-30กรัม) ป้องกันภาวะโรคอื่นๆตามมา เช่น โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคความดัน และโรคอ้วน เป็นต้น
คงจะไม่ดีแน่ ถ้าป่วยเป็นมะเร็งแล้ว ยังต้องป่วยเป็นโรคแทรกซ้อนเหล่านี้อีก

3.กินน้ำมะนาวผสมโซดาฆ่ามะเร็ง

ไม่มีงานวิจัยใดๆเลยที่ยืนยันเรื่องนี้ได้ ความเชื่อนี้ถูกแชร์กันในกรุ๊ปไลน์เยอะม๊ากก (แม้กระทั่งลามมายังไลน์ครอบครัวเฟิร์นเองก็มี) มะนาวอาจช่วยให้ชุ่มคอได้ แต่ไม่ได้มีสรรพคุณช่วยต้านมะเร็งแต่อย่างใด

4.อาหารเวฟยิ่งเสี่ยงมะเร็ง

หลายคนกลัวที่จะใช้ไมโครเวฟไปเลย เพราะคิดว่าเป็นคลื่นรังสี อันตรายแน่ๆ แต่ต้องขอแก้ความเข้าใจใหม่เลยค่ะ เพราะ คลื่นรังสีไมโครเวฟเป็นคลื่นที่อ่อนมากๆ ไม่มีผลต่อการทำลายเนื้อเยื่อใดๆแม้กระทั่งในอาหาร
แต่ความร้อนที่เกิดอาจจะทำลายคุณค่าทางโภชนาการบางส่วน เช่นวิตามินบางตัวที่ไม่ทนกับแสงและความร้อน แต่ไม่ได้มีผลต่อผู้ป่วยมะเร็งเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน

5.กินมังฯเท่านั้นถึงจะปลอดภัย

ยิ่งกินมังนี่แหละ ยิ่งเสี่ยงที่จะทำให้ขาดสารอาหารและภูมิคุ้มกันตกลง หากมีใครแนะนำให้ผู้ป่วยมะเร็งทานแต่ผักแต่พืช รีบห้ามได้เลยนะคะ เพราะยิ่งจะทำให้ได้รับพลังงานไม่เพียงพอ ร่างกายยังขาดโปรตีนไปสร้างภูมิอีกด้วย
มีแต่จะยิ่งทรุดลงมากขึ้นค่ะ พูดมาแบบนี้ดูเหมือนจะห้าม แต่จริงๆการทานผัก และผลไม้ที่ผ่านการปรุงจนสะอาดแล้ว(เรื่องความสะอาดสำคัญมาก) ผู้ป่วยมะเร็งควรทานค่ะ เพราะใยอาหารจะช่วยทำให้ระบบขับถ่ายดีขึ้น
เวลาให้ยาคีโม อาจจะมีอาการท้องผูกตามมาได้

เข้าใจกันใหม่แล้ว ฝากดูแลคนใกล้ตัวให้ทานได้มากขึ้นกันเถอะนะคะ สำหรับอาหารที่ห้ามและต้องระวังเลย ก็อย่างที่หลายคนทราบ คืออาหารที่ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงมะเร็งได้ไวขึ้น เช่น อาหารปิ้งย่าง อาหารใช้น้ำมันทอดซ้ำ อาหารสุกๆดิบๆ หรืออาหารหมักดอง จำเป็นต้องระวัง
น้ำควรต้องปรุงสุกสะอาด คนไข้มะเร็ง จะต้องดูแลเรื่องความสะอาดให้ได้มากที่สุดค่ะ เพราะภูมิคุ้มกันจะต่ำ เลี่ยงสิ่งที่จะเกิดการปนเปื้อน จึงต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด

และที่สำคัญนอกจากจะดูแลเรื่องอาหารแล้ว เรื่องกำลังใจก็เป็นอีกหนึ่งอาหารที่สำคัญสำหรับคนไข้เช่นกันนะคะ

Cr.ฉลาดกิน
#อาหารต้านมะเร็ง
#อาหารผู้ป่วยมะเร็ง #ความเชื่ออาหารมะเร็ง
#แค่เลือกเพิ่มขึ้นอีกนิดชีวิตก็เปลี่ยน

เคยได้ยินกันมาอยู่บ้างใช่ไหมว่า การกินผักและผลไม้เยอะๆ มันดีต่อร่างกาย🥰แต่เชื่อเลยว่าหลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่ามันดีต่อร่าง...
03/11/2022

เคยได้ยินกันมาอยู่บ้างใช่ไหมว่า การกินผักและผลไม้เยอะๆ มันดีต่อร่างกาย

🥰แต่เชื่อเลยว่าหลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่ามันดีต่อร่างกายอย่างไรบ้าง?

อีกสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจกว่ากากใย นั่นก็คือภายในผักและผลไม้มีพฤกษเคมีที่เรียกว่า ‘ไฟโตนิวเทรียนท์’ อยู่ แล้วสิ่งนี้คืออะไร? เรามาทำความรู้จักกับสิ่งนี้กัน!

📌ไฟโตนิวเทรียนท์คืออะไร ช่วยอะไรกับร่างกายบ้าง :
ไฟโตนิวเทรียนท์ เป็นสารที่พืชสร้างขึ้นมาเพื่อใช้ในการดำรงชีวิตของพืชชนิดนั้นๆ เช่น การสังเคราะห์แสง การไล่ศัตรูพืช หรือทำให้พืชแข็งแรงและเจริญเติบโตอย่างเหมาะสม ซึ่งไฟโตนิวเทรียนท์นั้นมีหลายชนิดมากๆ และแต่ละชนิดก็ให้ประโยชน์กับร่างกายแตกต่างกันออกไป โดยแบ่งออกตามสีสันของพืชได้ดังต่อไปนี้

🍊🥕เบต้า แคโรทีน และ แคโรทีนอยด์ อยู่ในผักและผลไม้ สีส้ม ช่วยในเรื่องของการบำรุงสายตา

🍅🍎ไลโคปีน อยู่ในผักและผลไม้สีแดง ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ และมีส่วนช่วยในการป้องกันโรคมะเร็ง

🧄🥥อัลลิซิน อยู่ในผักและผลไม้ สีขาว ช่วยลดไขมันเลว (LDL) ในเลือด

🥦🥑ลูทีน อยู่ในผักและผลไม้ สีเขียว มีส่วนช่วยในการต้านอนุมูลอิสระ

🍆🍇เรสเวอราทรอล ซึ่งจะอยู่ในผักและผลไม้ สีม่วง มีส่วนช่วยป้องกันโรคหัวใจ อัลไซเมอร์ และชะลอวัย

ซึ่งการได้รับสารไฟโตนิวเทรียนท์ผ่านการกินผักผลไม้นั้นปลอดภัย และช่วยสร้างสุขภาพโดยรวมให้แข็งแรงได้จริง นอกจากนี้ในผักผลไม้ยังอุดมไปด้วยวิตามิน แร่ธาตุ และใยอาหารที่จำเป็นต่อการทำงานของร่างกาย แต่ถ้าหากคุณเกิดอาการเจ็บป่วยขึ้นมาแล้ว ทางที่ดีก็ควรปรึกษาแพทย์ และทานผัก ผลไม้ตามแพทย์แนะนำควบคู่ไปจะเป็นทางรักษาที่ดีที่สุด

แค่น้ำหนักไม่สมดุล มันส่งผลไปกับทั้งตัวเลยนะ ดูจากรูปเห็นชัดๆ เลยล่ะตั้งแต่หัวจรดเท้า .... ปรับการใช้งานร่างกายซะวันนี้ ...
17/09/2022

แค่น้ำหนักไม่สมดุล มันส่งผลไปกับทั้งตัวเลยนะ
ดูจากรูปเห็นชัดๆ เลยล่ะตั้งแต่หัวจรดเท้า
....
ปรับการใช้งานร่างกายซะวันนี้
โดยเฉพาะกับเด็กๆ ดูแลให้มากหน่อย

ป้องกันเข่าเสื่อมด้วยตนเองเข่าเสื่อมเป็นอาการที่รักษาไม่หายขาด และมักจะมีอาการปวดเรื้อรัง เป็นๆ หายๆ ถึงแม้ว่าจะเป็นอากา...
26/08/2022

ป้องกันเข่าเสื่อมด้วยตนเอง

เข่าเสื่อมเป็นอาการที่รักษาไม่หายขาด และมักจะมีอาการปวดเรื้อรัง เป็นๆ หายๆ ถึงแม้ว่าจะเป็นอาการที่ไม่ร้ายแรงถึงชีวิต ผู้ป่วยมักทุกข์ทรมาน

ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เข่าเสื่อม

ปัจจัยหลักที่ทำให้เข่าเสื่อมคืออายุ เมื่ออายุมากขึ้นย่อมมีอาการเสื่อมเป็นธรรมดา เช่นเดียวกับกรรมพันธุ์ ปัจจุบันมีการพบยีนที่มีส่วนทำให้เข่าเสื่อม ปัจจัยทั้ง ๒ อย่างจะแก้ไขได้ยาก แต่ปัจจัยต่างๆ ข้างล่างต่อไปนี้ จะเป็นปัจจัยที่สามารถแก้ไขได้ ถ้าแก้ไขได้ก็สามารถป้องกันอาการเข่าเสื่อมได้ในอนาคต
๑. ความอ้วน
ความอ้วนเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่จะทำให้เป็นโรคข้อเข้าเสื่อมโดยเฉพาะในผู้หญิง น้ำหนักตัวที่มากจะทำให้กระดูกอ่อนเข่าสึกกร่อนและทำให้เอ็นรอบเข่าไม่แข็งแรง ทุกๆ ครึ่งกิโลกรัมที่เพิ่มขึ้นของน้ำหนักตัว จะทำให้น้ำหนักลงไปที่เข่าเพิ่มขึ้น ๑-๑.๕ กิโลกรัม เพราะขณะที่เดินน้ำหนักจะลงที่ขาข้างที่เหยียบอยู่ รวมทั้งมีแรงของกล้ามเนื้อช่วยเสริมให้มีแรงกดที่เข่ามากขึ้น การศึกษาในผู้มีอาการปวดเข่า พบว่าอาการปวดจะดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญถ้าน้ำหนักตัวลดลง
๒. ผู้หญิงมากกว่าชาย
ผู้หญิงมีโอกาสเป็นข้อเข่าเสื่อมมากกว่าชายโดยเฉพาะผู้หญิงวัยทอง เชื่อว่าอิทธิพลของฮอร์โมนเพศที่ลดลง นอกจากนี้ พบว่าผู้หญิงที่เล่นกีฬามีโอกาสที่จะมีการฉีกขาดของเอ็นเข่าได้มากกว่า ๒ เท่าของผู้ชาย การขาดของเอ็นจะทำให้ข้อเข่าเสื่อมได้ง่ายในอนาคต
๓. การเรียงตัวของเข่า
ผู้ที่มีเข่าชิดกันมากกว่าปกติ (valgus knee) เข่าโก่ง (varus knee) หรือมีเข่าแอ่นมาก (Knee hyperextension) จะมีโอกาสเป็นโรคข้อเข่าเสื่อมมากกว่า
๔. มีประวัติบาดเจ็บของเข่า
เช่น กระดูกแตกบริเวณข้อเข่า หมอนรองกระดูกเข่า (meniscus) หรือเอ็นเข่าฉีกขาด จากอุบัติเหตุหรือการเล่นกีฬา การบาดเจ็บเหล่านี้จะทำให้ข้อสบกันไม่สนิท อาจมีบางส่วนของข้อที่มีการกดมากกว่าปกติจะทำให้ข้อเสื่อมได้ ลองนึกถึงบานพับประตูที่บิดเบี้ยว แรงที่กดไปที่บานพับจะไม่สม่ำเสมอ ทำให้บานพับสึกกร่อนได้ง่าย
๕. ท่าทาง งานหนัก และงานซ้ำชาก
ท่าทาง งานหนัก และงานซ้ำชาก มีผลทำให้เข่าเสื่อม ซึ่งคนทำงานที่ต้องคุกเข่า นั่งยอง ยืนนาน หรือต้องยกของหนักจะมีอัตราการเกิดข้อเสื่อมได้ง่ายกว่าคนที่ทำงานเบา
นอกจากนี้ การบิดหมุนของเข่าขณะทำงาน เช่น การหมุนตัวขณะยกของหนักจะทำให้เข่าเสื่อมง่ายขึ้น จากงานวิจัย Framingham พบว่า งานเหล่านี้มีผลร้อยละ ๑๕-๓๐ ที่ทำให้เข่าเสื่อมโดยเฉพาะผู้ชายทำงาน
สำหรับผลของการเดินขึ้นบันไดหลายชั้น การเดินมาก หรือ นั่งนานๆ วันละหลายชั่วโมงต่อภาวะข้อเข่าเสื่อมยังไม่ชัดเจนนัก
๖. การเล่นกีฬา
กีฬาที่มีการแข่งขันจะมีผลทำให้ข้อเสื่อมมากขึ้น นักกีฬาฟุตบอลมีความเสี่ยงจะเกิดข้อเข่าเสื่อมได้ง่ายกว่าคนทั่วไป เพราะมีอาการบาดเจ็บสะสมจากการกระโดดและการบิดของเข่าเป็นประจำ การที่ผู้สูงอายุมีกิจกรรมทางกายที่มากเกินไป เช่น การเดินระยะทางไกล การทำสวน (ต้องนั่งยองหรือเก้าอี้ต่ำบ่อย) มีความเสี่ยงที่จะเกิดข้อเข่าเสื่อมมากกว่าผู้สูงอายุทั่วไป
มีการศึกษาถึงความสัมพันธ์ของการวิ่งกับข้อเข่าเสื่อม พบว่าถ้าไม่มีประวัติบาดเจ็บของข้อเข่ามาก่อน มีโอกาสที่จะเป็นข้อเข่าเสื่อมเท่าๆ กับคนที่ไม่ได้วิ่ง
๘. ความยาวขาไม่เท่ากัน
ความยาวของขาที่ไม่เท่ากันมีความสัมพันธ์กับอาการเข่าและสะโพกเสื่อม พบว่าถ้าความยาวของขาทั้ง ๒ ข้างห่างกันเกิน ๑ เซนติเมตร จะมีโอกาสเกิดเข่าเสื่อมได้มากกว่าคนที่ขายาวเท่ากันทั้ง ๒ ข้างประมาณร้อยละ ๔๐
๙. กล้ามเนื้อหน้าขาอ่อนแรง
กล้ามเนื้อหน้าขามีหน้าที่เหยียดข้อเข่า ลองนั่งห้อยขาและเตะขาขึ้น กล้ามเนื้อกลุ่มนี้จะทำงาน พบว่าผู้หญิงที่มีกล้ามเนื้อหน้าขาอ่อนแรง (เมื่อเทียบกับน้ำหนักตัว) จะมีโอกาสที่เข่าเสื่อมได้มากกว่าคนที่กล้ามเนื้อแข็งแรง ยังไม่พบความสัมพันธ์ระหว่างการอ่อนแรงของกล้ามเนื้อต้นขาด้านหลัง (Hamstrings) กับ อาการเข่าเสื่อม
นอกจากนี้ อาหารการกินยังมีผลทำให้ข้อเข่าเสื่อมได้ การขาดวิตามินดีและซีลีเนียม จะทำให้ข้อเข่าเสื่อมได้ง่ายขึ้น

ป้องกันไม่ให้เข่าเสื่อมได้อย่างไร?

จากความรู้เกี่ยวปัจจัยเสี่ยงข้างต้น สามารถนำมาประยุกต์กับการใช้ชีวิตไม่ให้เข่าเสื่อมในอนาคตได้ดังนี้
๑. อย่ากินและนั่งมากจนอ้วน
พบว่าถ้าลดน้ำหนักตัวลงได้ประมาณ ๕ กิโลกรัม สามารถลดความเสี่ยงที่จะเป็นโรคเข่าเสื่อมได้ถึงร้อยละ ๕๐ มีหลักฐานยืนยันในผู้มีอาการปวดเข่า พบว่าอาการปวดจะดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญถ้าน้ำหนักตัวลดลง
ออกกำลังด้วยการเดินเร็วปานกลางอย่างน้อยวันละครึ่งชั่วโมง ร่วมกับการควบคุมอาหารจะช่วยลดความอ้วนได้ดี
๒.โครงสร้างเข่าผิดปกติ
ลักษณะของโครงสร้างเข่าปกติมีหลายชนิด (เข่าโก่ง เข่าชิด หรือเข่าแอ่น) ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อหาทางแก้ไขตั้งแต่อายุยังน้อย เช่น การเสริมรองเท้า การใส่อุปกรณ์ช่วยพยุง หรือถ้าไม่สามารถทำอะไรได้
ควรใช้เข่าอย่างระมัดระวัง ไม่เสี่ยงเล่นกีฬาหนักที่ใช้เข่ามาก เช่น แบดมินตัน เทนนิส ฟุตบอล ไม่นั่งยอง หรือนั่งพื้นนานๆ
๓. หลีกเลี่ยงการเล่นกีฬาปะทะ ที่จะนำมาซึ่งอาการบาดเจ็บของเข่า
ควรเล่นกีฬาเพื่อสุขภาพ ไม่ใช่เอามัน ไม่ควรเสี่ยงปะทะ เอาชนะกันอย่างเอาเป็นเอาตาย
๔.ไม่ควรอยู่ในท่าคุกเข่า นั่งยอง ยืน เป็นเวลานาน
ผู้ที่ต้องคุกเข่าทำงานอาจต้องหาวัสดุที่นิ่มมารองบริเวณเข่าเพื่อกระจายแรงกด ถ้าจำเป็นอยู่ในท่าเหล่านี้นานๆ ให้พยายามเปลี่ยนอิริยาบถบ่อยๆ เพื่อให้แรงกดที่ข้อสลับเปลี่ยนที่ไปเรื่อยๆ ในกิจกรรมทางศาสนาที่ต้องนั่งพับเพียบกับพื้นเป็นเวลานาน ให้สลับนั่งพับเพียบซ้าย-ขวาบ่อยๆ ไม่ควรรอจนเข่าปวดแล้วจึงขยับ
๕.เลี่ยงกิจกรรมที่มีแรงกระแทกหรือแรงบิดต่อข้อเข่าสูง เช่น การกระโดดซ้ำๆ การยกของหนักเกินกำลัง การหมุนตัวด้วยการใช้หัวเข่า
๖.ลองวัดความยาวขาดู
นอนหงาย ปล่อยขาตามสบายแต่ไม่กาง ให้เพื่อนคลำปุ่มกระดูกบริเวณที่เท้าสะเอว (anterior superior iliac spine, ASIS) และกลางตาตุ่มของเท้าด้านใน วัดระยะห่างจากทั้ง ๒ จุดในขาข้างหนึ่ง ถ้าขาสองข้างยาวไม่เท่ากันเกิน ๒ เซนติเมตร ต้องเสริมรองเท้าในระยะที่ขาด
๗.ออกกำลังกล้ามเนื้อหน้าขาให้แข็งแรง
อาจใช้วิธีการที่ทำกันทั่วไป คือ ถุงทรายน้ำหนัก ๑-๒ กิโลกรัม มาผูกกับข้อเท้า นั่งห้อยขาแล้วยกขึ้น-ลง ช้าๆ ถ้าได้ ๑๐ ครั้ง แล้วเมื่อยพอดี ให้ทำซ้ำอีก ๒ เซท ถ้ายังง่ายไปก็เพิ่มน้ำหนักถุงทรายทีละ ๐.๕ กิโลกรัม จนได้น้ำหนักที่ยกได้ ๑๐ แล้วเมื่อยพอดี หรือจะออกกำลังด้วยการยืนย่อเข่าทั้ง ๒ ข้างประมาณ ๒๐ องศา ค้างไว้ ๑ วินาที แล้วเหยียดเข่า ทำซ้ำประมาณ ๑๐ ครั้ง ถ้ารู้สึกว่าง่ายไป อาจยืนขาเดียวพิงฝา ปรับจนทำได้ประมาณ ๑๐ ครั้ง แล้วเมื่อยพอดี ทำซ้ำอีก ๒ เซท
๘. ถ้ามีอาการบาดเจ็บของเข่า มีอาการบวม ต้องทำการรักษา และงดการทำกิจกรรมที่ทำให้มีอาการปวดมากขึ้น เมื่อหายยังไม่สนิทต้องระวังไม่ให้เป็นซ้ำและอย่าปล่อยให้มีอาการเรื้อรัง
๙. ไม่ควรใส่ส้นสูง จะทำให้เข่าแอ่น มีโอกาสที่เข่าจะเสื่อมได้ง่าย
สวมใส่รองเท้าที่เหมาะกับกีฬาแต่ละประเภท เช่น รองเท้าวิ่งก็ควรมีส้นรองเท้าที่นิ่มรับแรงกระแทกได้ดี รองเท้าสำหรับใส่เล่นแบดมินตันหรือเทนนิสควรมีพื้นบางเพื่อไม่ให้พลิกได้ง่าย เป็นต้น
ถ้าดูแลเข่าของเราให้ดีวันนี้ จะปราศจากอาการปวดในวันหน้า

เอกสารอ้างอิง
ZhangY, Jordan J. Epidemiology of osteoarthritis.Rheum Dis Clin N Am 2008;34: 515–29.

หลายคนเข้าใจว่า “ภาวะหมอนรองกระดูกสันหลังเสื่อม (Degenerative disc)” เป็นภาวะที่มักจะพบในผู้สูงอายุที่มีความเสื่อมเกิดขึ...
20/08/2022

หลายคนเข้าใจว่า “ภาวะหมอนรองกระดูกสันหลังเสื่อม (Degenerative disc)” เป็นภาวะที่
มักจะพบในผู้สูงอายุที่มีความเสื่อมเกิดขึ้นในร่างกายตามวัยที่สูงขึ้น แต่เชื่อหรือไม่ว่า จากสถิติของ
คนไข้ที่เข้ารับการรักษาอาการปวดหลังเรื ้อรังนั้นมีเพิ่มมากขึ้นในทุกช่วงอายุและในหลากหลายอาชีพ ซ้ำแล้วในวัยทำงานอย่างเราๆ ท่านๆ คืออายุตั้งแต่ 25 – 50 ปี ยังพบว่ามีผู้ที่ประสบภาวะนี้เป็นกลุ่มที่ใหญ่ที่สุดอีกด้วย
จากการอธิบายของ รศ.นพ.อารีศักด์ิโชตวิิจิตรแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคทางกระดูกสันหลัง
และการผ่าตัดข้อเทียม ศูนย์ออร์โธปิ ดิกส์โรงพยาบาลศิริราช ปิ ยมหาราชการุณย์ (SiPH) ได้
กล่าวไว้อย่างน่าสนใจว่า
“ภาวะหมอนรองกระดูกสันหลังเสื่อม เกิดจากสาเหตุสำคัญ 3 ประการหลัก ประการแรกคือการสึก
หรอตามอายุการใช้งาน เช่น นั่งนานๆ โดยไม่เปลี่ยนอริยาบท นั่งขับรถเป็นระยะทางไกลๆ เป็น
กิจวัตร
ประการที่สองคือ การยกของหนัก
ประการที่สามคือเกิดภาวะหมอนรองกระดูกเสื่อม และจากพฤติกรรมเสี่ยง เช่น สูบบุหรี่ ซึ่งมีผลทำให้เลือดไหลไปเลี้ยงบริเวณหมอนรองกระดูกน้อยลง
ส่งผลให้กระดูกเสื่อมเร็วก่อนเวลาอันควร เหล่านี้เป็นสาเหตุให้เกิดอาการปวดหลังทั ้งสิ้น"
ผู้ป่วยจะมีอาการปวดหลัง ที่เอวระดับเข็มขัดและอาจร้าวลงไปถึงบริเวณด้านข้างของสะโพกใน
บางรายที่มีอาการเฉียบพลัน เช่น ไปยกของหนักมีอาการเจ็บหลังร้าวลงขา ข้างใดข้างหนึ่งทันที แสดงว่า เกิดปริแตกหรือโป่งยื่นของหมอนรองกระดูก ทำให้มีส่วนเนื้อในของหมอนรองกระดูก
(Nucleus) โป่งหรือทะลักออกมาไปกดทับเส้นประสาทที่ไปขา บางรายจะมีอาการชาและทำให้เกิด
อาการปวดร้าวลงขา อ่อนแรงของเท้า ทำให้เดินลำบาก ผู้ป่วยลักษณะนี้จะมีภาวะที่
เรียกว่า “Acute Herniated Disc Syndrome” ซึ่งพบได้บ่อยในกลุ่มคนวัยทำงาน

ขอบคุณข้อมูลดีๆจากโรงพยาบาลศิริราช ปิ ยมหาราชการุณย์
และรูปจาก www.ortho.thaispine.com

การบาดเจ็บที่พบบ่อยที่สุด 5 อันดับแรก ในนักวิ่งอาการปวดเข่า เป็นการบาดเจ็บที่ พบมากที่สุดในนักวิ่ง ซึ่งมีสาเหตุ ที่พบได้...
02/08/2022

การบาดเจ็บที่พบบ่อยที่สุด 5 อันดับแรก ในนักวิ่ง

อาการปวดเข่า เป็นการบาดเจ็บที่ พบมากที่สุดในนักวิ่ง ซึ่งมีสาเหตุ ที่พบได้บ่อยที่สุดจาก

1 Patellofemoral pain syndrome อาการที่พบ คืออาการค่อยๆปวด ที่หน้าเข่า บริเวณลูกสะบ้าทอาการปวดจะเป็นมากขึ้นเวลานั่งนานๆ หรือขึ้นลงทางลาดและทางชัน หรือขึ้นลงบันได

2 iliotibial band syndrome เป็นการบาดเจ็บที่พบได้บ่อยมากในนักวิ่ง นักปั่น หรือ นักเดินทางไกล ทำให้มีอาการปวดที่บริเวณหัวเข่าด้านนอก เป็นๆหายๆ โดยเฉพาะเวลาวิ่ง( http://www.avarinshop.com/iliotibial-band-syndrome-itbs/)

ส่วนการบาดเจ็บที่อื่นได้แก่

3 Shin Splint (medial tibial stress syndrome) เกิดในนักวิ่งที่เริ่มวิ่งใหม่ๆ หรือนักวิ่งทางไกล มีอาการ เจ็บบริเวณหน้าแข้งเวลาวิ่ง สาเหตุเกิดจากการบาดเจ็บที่เนื้อเยื่อรอบๆกระดูกหน้าแข้ง การวิ่งที่นานมากๆ สามารถเกิด Stress fracture ที่กระดูกหน้าแข้งได้ทีเดียว

4 Achilles tendinitis เอ็นร้อยหวายอักเสบ เจ็บบริเวณเอ็นรอยหวาย ที่อยู่ด้านหลังเท้า

5 Plantar fasciitis. รองช้ำ เกิดจากเอ็นฝ่าเท้าอักเสบ เจ็บเวลาเดิน

ใครมีความเสี่ยงเกิดการบาดเจ็บ
นักวิ่งทุกคนมีโอกาสเกิดได้ แต่ส่วนใหญ่เกิดในนักวิ่งที่พึ่งเริ่มต้น หรือนักวิ่งที่มีการบาดเจ็บอยู่แล้ว หรือนักวิ่งที่วิ่งทางไกล โดยเฉพาะ มากกว่า 65 กิโล ต่อสัปดาห์ หรือการวิ่งที่เปลี่ยน ความเร็ว ระยะทางจากที่เคยทำมา

การลดความเสี่ยงในการบาดเจ็บ

ถ้าคุณพึ่งเริ่มวิ่ง ให้ค่อยๆเพิ่ม ความเร็ว เพิ่มระยะทาง เพื่อลดการบาดเจ็บ
มีวันพักวิ่ง 1-2 วันต่อสัปดาห์
ใส่รองเท้าที่เหมาะสม เปลี่ยนรองเท้าทุก 550-800 กิโลเมตรการวิ่ง
ถ้าทำได้วิ่งในพื้นผิวเรียบ นิ่ม
การยืดเหยียดไม่ช่วยลดโอกาสเกิดการบาดเจ็บอย่างชัดเจน

การรักษา

สิ่งสำคัญที่สุด คือต้อง พัก ไม่พักก็ไม่หาย หรือหายช้ามาก พักในที่นี้ไม่ได้หมายความว่าหยุดออกกำลังทุกอย่าง เช่นคุณปวดเข่า อาจเปลี่ยนไปว่ายน้ำได้
การใช้ อุปกรณ์ต่างๆ เช่น ปลอกเข่า ปลอกข้อเท้า นวดบรรเทาปวด แล้วแต่ชนิดการบาดเจ็บ

ที่มา JAMA Patient Page | July 9, 2014 Running Injuries
เรียบเรียง Avarin Multisport store

ในศาสตร์โยคะบำบัดเราช่วยคุณได้คะ

"ทำไมถึงเป็นรองช้ำ"  มีเคสมาหาบอกว่าปวดส้นเท้า เพราะไปเต้น T25 มา(หลังจากที่ไม่ได้เต้นมานาน -*-) เริ่มมีอาการได้ 2 อาทิต...
31/07/2022

"ทำไมถึงเป็นรองช้ำ"


มีเคสมาหาบอกว่าปวดส้นเท้า เพราะไปเต้น T25 มา(หลังจากที่ไม่ได้เต้นมานาน -*-) เริ่มมีอาการได้ 2 อาทิตย์แล้ว เริ่มมีอาการสะเทือนกลางฝ่าเท้า และปวดเวลาลงจากเตียงตอนเช้า

ตรวจการเดินก็ยังปกติอยู่ ไม่ปวด(แต่คนไข้แอบติดเดินเขย่งปลายเท้าหน่อยๆ แฮร่!!!) นั่งยองเอาส้นติดพื้นได้อยู่ ไม่หงายหลัง(ท่านี้เอาไว้เช็คว่าใครเอ็นร้อยหวายรั้งนะฮะ ลองทำดูก็ได้)

แต่ แต่ครับแต่...น่องตึงเปรี้ยะ!!! เอ็นร้อยหวายตึงหน่อยๆ กดเจ็บที่ส้นและกลางฝ่าเท้า ก็นั่นแหล่ะครับท่านผู้ชม "เอ็นฝ่าเท้าอักเสบ" หรือที่ชอบเรียกกันว่า "รองช้ำ"

ต้นสายปลายเหตุก็มาจากน่องนี่แหล่ะฮะ ไปออกกำลังกายที่ต้องเขย่งเยอะๆ มา(T25 ใครเคยเต้นนี่ต้องเขย่งเต้นเยอะนะ) หรือตีแบต เล่นบาส วิ่ง เดินเยอะ พอใช้งานเยอะๆ

น่องตึง เอ็นร้อยหวายก็ตึง เอ็นร้อยหวายตึงก็ดึงกระดูกส้นเท้า ฉนั้นแก้เฉพาะส้นไม่ได้ แบบนี้ ต้องแก้ที่ความยืดหยุ่นของน่องและเอ็นร้อยหวายด้วย

ชอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก ศูนย์กายภาพบำบัดขอนแก่น

การออกกำลังกายเป็นเรื่องที่ดี แต่ก่อนออกกำลังกาย เราควรเข้าใจเริ่มต้นด้วยการเหยียดยืดกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ของร่างกาย     ...
11/07/2022

การออกกำลังกายเป็นเรื่องที่ดี แต่ก่อนออกกำลังกาย เราควรเข้าใจ

เริ่มต้นด้วยการเหยียดยืดกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ของร่างกาย
2. เริ่มออกกำลังกายเบาๆ 5-10 นาที
3. เมื่อออกกำลังกายเบาๆ ครบ 5-10 นาที ให้ออกกำลังกายหนักขึ้นจนรู้สึกเหนื่อยพอสมควร ตามคำแนะนำข้างต้น
4. เมื่อออกกำลังกายต่อเนื่องครบตามเวลาที่ตั้งเป้าหมายไว้ ให้ออกกำลังกายเบาลง 5-10 นาที จึงหยุดออกกำลังกาย
5. จบด้วยการเหยียดยืดกล้ามเนื้ออีกครั้ง
ถ้าท่านต้องการออกกำลังให้หนักมากขึ้น ควรรีบปรึกษาแพทย์ เพราะการออกกำลังกายหนักเกินไป อาจทำให้ความดันโลหิตสูงจนเกิดอันตรายได้

ด้วยความเป็นห่วง

ความดัน (ทุรัง) สูง ลดง่ายๆ ด้วย "โยคะ"เชื่อหรือไม่ว่า การฝึก "โยคะ" ที่ได้รับความนิยมไปทั่วเมืองไทยของเรามาระยะหนึ่ง (อ...
05/07/2022

ความดัน (ทุรัง) สูง ลดง่ายๆ ด้วย "โยคะ"

เชื่อหรือไม่ว่า การฝึก "โยคะ" ที่ได้รับความนิยมไปทั่วเมืองไทยของเรามาระยะหนึ่ง (อาจ) เป็นมากกว่ากิจกรรมสร้างเสริมสุขภาพสำหรับคนเมืองที่มีเวลาดูแลตัวเองน้อย หรือแฟชั่นการออกกำลังกายอีกรูปแบบหนึ่ง ที่เพียงถูกโฆษณาชวนให้เชื่อแบบอวดอ้างสรรพคุณเกินจริง

ปัจจุบันมีหลักฐานการศึกษาทางวิชาการหลายชิ้น ยืนยันชัดเจนว่า การฝึกโยคะสามารถใช้ในการบำบัดรักษาโรคได้ โดยเฉพาะบรรดาโรคตัวร้ายฉกาจฉกรรจ์ที่ทำให้คุณหมอต่างต้องกุมขมับ ไม่ว่าจะเป็นความดันเลือดสูง เบาหวาน และหลอดเลือดหัวใจตีบ ปัญหาสุขภาพที่เกี่ยวกับระบบหัวใจและหลอดเลือด (มีการยืนยันในระดับหนึ่งว่า) สามารถบำบัดรักษาได้ด้วยการฝึกโยคะ ไม่เพียงเท่านั้น บุคคลจำพวกความดันทุรังสูง อารมณ์แปรปรวนขึ้นๆ ลงๆ ง่าย หากฝึกปฏิบัติโยคะไปนานๆ ก็อาจจะเห็นผลเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ เพราะโยคะจะไปช่วยให้การทำงานของร่างกายทุกระบบเกิดความสมดุล นี่เป็นพลังความมหัศจรรย์ส่วนหนึ่งของโยคะ... แพทย์แผนธรรมชาติ ที่ท้าทายองค์ความรู้ทางด้านการแพทย์และวิทยาศาสตร์ปัจจุบันอย่างน่าสนใจยิ่ง

โยคะกับการบำบัดโรค

เป้าหมายของการฝึกโยคะคืออะไร

เป้าหมายของการฝึกโยคะอยู่ที่การสร้างจิตให้สงบ เรียบง่าย ปราศจากความขัดแย้งและความทุกข์ยาก ความระส่ำระสาย ไม่สุขสบาย การฝึกโยคะจะเสริมสร้างร่างกายในระบบต่างๆ ร่วมกับการบำรุงรักษาจิตใจให้เข้มแข็ง ทำให้จิตใจพ้นจากความรู้สึกในด้านลบที่เกิดขึ้นจากภาวะสังคมและสิ่งแวดล้อมที่รีบเร่ง การฝึกโยคะประกอบด้วย การฝึกท่าทางร่างกาย ที่เรียกว่า อาสนะ (asana) และการควบคุมลมหายใจที่เรียกว่า ปราณยามะ (pranayama) การฝึกโยคะจะทำให้เกิดความหวังและความคิดทางด้านบวกภายในตนเอง ช่วยสร้างเสริมความคิดในการดูแลตนเอง และมีความสามารถที่จะเอาชนะอุปสรรคต่างๆ ที่มีผลต่อกระบวนการของการสร้างเสริมสุขภาพที่สมบูรณ์ ขณะที่การฝึกทางด้านโยคะจะมุ่งเน้นการรวมเป็นหนึ่งเดียว ทั้งในส่วนของร่างกาย จิต สังคม อารมณ์ และปัญญา การฝึกโยคะจึงมีผลให้เกิดความสุขสงบและแรงบันดาลใจที่เกิดขึ้นภายในตนเอง มีผลทำให้ร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และยังเป็นการรักษาความเครียดโดยวิถีทางตามธรรมชาติ การฝึกท่าทางร่างกายร่วมกับการฝึกควบคุมลมหายใจจะทำให้เกิดพลังอย่างมากมายภายในร่างกาย มีผลต่อการกระตุ้นเซลล์และระบบต่างๆ ของร่างกาย ในขณะเดียวกันจะช่วยผ่อนคลายความตึงตัวของกล้ามเนื้อ ผลของโยคะจึงแก้ไขภาวะเครียดได้อย่างสมบูรณ์ โดยแก้ที่สาเหตุของความเครียดไม่ได้แก้ไขแต่เพียงอาการของความเครียด

ประโยชน์ของโยคะด้านการบำบัดรักษาที่รู้จักกันดี ได้แก่ การเพิ่มขึ้นของความอดทนต่อความเจ็บปวดและความคงทนของสภาพร่างกาย (endurance) ผลของการฝึกโยคะจะทำให้สมองสงบ การทำงานของประสาทเป็นไปได้อย่างราบเรียบ จึงช่วยลดการรับรู้ความเจ็บปวดและเป็นการทำลายความเจ็บปวดด้วยตัวเอง ขณะที่การรักษาด้วยยาเป็นเพียงการช่วยเพิ่มกระบวนการหายของโรคหรือการบาดเจ็บ โดยไม่ได้เป็นส่วนของกระบวนการเยียวยาหรือการสร้างการหายในส่วนของร่างกาย การฝึกโยคะมีหลักการของการใช้ธรรมชาติ ซึ่งเป็นการรักษาสูงสุดของร่างกาย โยคะจึงเป็นการสร้างระบบของร่างกายให้ทำหน้าที่ได้ดีที่สุด โดยใช้ธรรมชาติของร่างกายที่เป็นจังหวะของการปรับสร้างภายในตนเอง ทำให้เกิดความสมดุลทั้งสรีระร่างกายและอารมณ์

ความดันสูง รักษาด้วย "โยคะ" ดีกว่า "ใช้ยา"
บรรดาโรคภัยที่ได้รับผลจากความเครียดเป็นสาเหตุ หลักอันดับต้นๆ มากที่สุดคือ ความดันเลือดสูง เนื่องจากความเครียดเป็นปัจจัยสำคัญที่ไปกระตุ้นประสาทซิมพาเทติกให้ทำงานมากขึ้น และประสาทส่วนซิมพาเทติกนี่แหละ ที่ถือเป็นตัวแปรสำคัญของการเกิดภาวะความสมดุลของร่างกาย (homeostasis) เมื่อส่วนของร่างกายที่มีหน้าที่รักษาความสมดุลเกิดเสียสมดุล ปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ต่อโรคเกี่ยวกับหัวใจและหลอดเลือดก็ย่อมจะติดตามมา รวมทั้งความดันเลือดสูง ที่ผ่านมามีการคิดค้นการบำบัดรักษาความดันเลือดสูงด้วยวิธีการต่างๆ มากมาย แต่ก็ยังไม่สามารถแก้ไปถึงต้นเหตุของการเกิดโรคได้ ด้วยหลักการที่เชื่อว่า การฝึกปฏิบัติโยคะอย่างสม่ำเสมอจะควบคุมความสมดุลของร่างกายโดยอัตโนมัติ แม้จะอยู่ภายใต้ภาวะความเครียดทางด้านอารมณ์และสิ่งแวดล้อมก็ตาม คือที่มาของการนำโยคะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการรักษาความดันเลือดสูง

จากการศึกษาของ Murugesan และคณะ ซึ่งได้ศึกษาผู้ป่วยความดันเลือดสูงจำนวน ๓๓ คน อายุระหว่าง ๓๕-๖๕ ปี ที่ได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์ในโรงพยาบาลของรัฐบาลว่าเป็นความดันเลือดสูงโดยแบ่งผู้ป่วยเป็น ๓ กลุ่มเท่ากัน กลุ่มแรกเป็นกลุ่มควบคุม กลุ่มทดลองที่ ๒ ได้รับการฝึกโยคะและการดำเนินชีวิตตามปกติ และกลุ่มทดลองที่ ๓ ได้รับการรักษาด้วยยาลดความดันเลือดจากแพทย์ในโรงพยาบาล สิ่งที่น่าสนใจมากก็คือ ผลการศึกษาดังกล่าว พบว่า ค่าความดันขณะหัวใจบีบตัว (Systolic pressure) ในกลุ่มที่ฝึกโยคะลดลงเท่ากับร้อยละ ๔๔.๐๗๙ ขณะที่กลุ่มที่ใช้ยาลดลงเท่ากับร้อยละ ๔๐.๘๒๔ เช่นเดียวกับค่าความดันขณะหัวใจคลายตัว (Diastolic pressure) ในกลุ่มที่ฝึกโยคะลดลงเท่ากับ ๖๘.๒๕๓ ขณะที่กลุ่มที่ใช้ยาลดลงเท่ากับร้อยละ ๖๔.๔๗๙ ส่วนกลุ่มควบคุมนั้นลดลงอย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ สรุปได้ว่า การควบคุมความดันเลือดใช้ได้ผลทั้งการควบคุมด้วยยาและการฝึกโยคะ โดยการฝึกโยคะนั้นมีประสิทธิภาพมากกว่าการควบคุมด้วยยา

ฝึกโยคะ ฝึกกาย ฝึกจิต
การนำโยคะมาใช้ในการรักษาโรคที่เกี่ยวกับระบบหัวใจและหลอดเลือด ในส่วนของการผ่อนคลายความเครียดน่าจะเป็นประโยชน์และสามารถปฏิบัติได้ โดยเฉพาะกลุ่มผู้ป่วยความดันเลือดสูง เบาหวาน และหลอดเลือดหัวใจตีบ โดยมีรูปแบบการฝึกโยคะเป็นกลุ่ม หรือค่ายผู้ป่วยแต่ละประเภท มีการฝึกสอนโยคะทั้งด้านทฤษฎี และทักษะการปฏิบัติใน ๕ เรื่องที่สำคัญ คือ

๑. การผ่อนคลายโดยใช้เทคนิคการผ่อนคลายในท่าศพ (อาสนะ) ผ่อนคลายส่วนต่างๆ ของร่างกาย ตลอดตั้งแต่ศีรษะถึงปลายเท้า

๒. ฝึกท่าโยคะ โดยมีการเหยียดยืดส่วนต่างๆ ของร่างกายได้ครบทุกส่วน กระตุ้นให้มีการเหยียดยืดส่วนของกล้ามเนื้อ ข้อต่อ กระดูกสันหลัง เพื่อให้ระบบไหลเวียนเลือดดีขึ้น ร่างกายมีความอ่อนตัวเพิ่มขึ้น ท่าที่ใช้ฝึกควรเป็นท่าที่มีการเคลื่อนไหวทุกส่วนของร่างกาย และควรจะมีครูที่มีความรู้เรื่องโยคะอย่างถูกต้องเป็นผู้ฝึกสอน

๓. ฝึกการหายใจ โดยใช้การฝึกการหายใจ และควบคุมการหายใจให้สามารถทำให้ร่างกายและจิตใจนิ่งสงบ และมีพลังแห่งชีวิต

๔. ฝึกการจัดอาหารให้ถูกต้องเหมาะสมกับโรค เน้นอาหารที่เป็นธรรมชาติ ผักสด ผลไม้ เมล็ดพันธุ์ ซึ่งเป็นอาหารที่มีผลให้ร่างกายเบาสบายและจิตใจสงบ หลีกเลี่ยงอาหารไขมัน เนื้อสัตว์

๕. ฝึกการใช้ความคิดในด้านบวก การมีจิตใจที่สงบเป็นสมาธิ

เรียบเรียงจาก รายงานการทบทวนเรื่องโยคะและสุขภาพระบบหัวใจและหลอดเลือด โดย รศ.สมคิด โพธิ์ชนะพันธุ์ คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล

"รู้หรือไม่ว่าในความจริงแล้ว 90% ของยาไม่มีผลในการรักษา ยาแค่ทำให้อาการทุเลาระยะหนึ่งเท่านั้น และ แม้คุณจะใช้ในขนาดธรรมด...
01/07/2022

"รู้หรือไม่ว่าในความจริงแล้ว 90% ของยาไม่มีผลในการรักษา ยาแค่ทำให้อาการทุเลาระยะหนึ่งเท่านั้น และ แม้คุณจะใช้ในขนาดธรรมดา (ขนาดรักษา) ยาก็ยังมีผลข้างเคียงอยู่เสมอ เช่น ยาแก้แพ้ทำให้ง่วงนอน ยาแก้ปวดลดไข้ทำให้ระคายกระเพาะอาหารและลำไส้ เป็นต้น
ใช้ยาให้น้อยที่สุดหรือไม่ใช้เลยก็มีสุขภาพดีได้ "

เนื้อหาจาก “อย่าให้ยาฆ่าคุณ” 47เรื่องที่ต้องรู้ก่อนใช้ยา
ของคุณหมอญี่ปุ่นชื่อดัง คอนโด มาโกโตะ

เคยอ่านของหมอเล่มแรก "อย่าปล่อยให้หมอฆ่าคุณ"..(แกยังมีชีวิตอยู่มาเขียนเล่มที่2 ..ขอบคุณมาก ครับหมอ 55)

จริงๆแล้ว แพทย์ทางเลือกของบ้านเราบอกมานานมากกกกแล้วเรื่องยาสังเคราะห์ แต่เสียงไม่ค่อยดัง ตอนนี้เริ่มมีหมอและคนในวงการเเพทย์จากประเทศโลกที่1 เริ่มมาเตือนเราดังและบ่อยขึ้นแล้วว่า

"มีสติอยู่เสมอ ได้โปรดจงเชื่อมั่นและฟังเสียงจากร่างกายตัวเองให้ดี
เพราะหมอที่ดีที่สุดในโลกคือตัวเราเอง"

Address


10120

Telephone

0864649535

Website

Alerts

Be the first to know and let us send you an email when Health Me posts news and promotions. Your email address will not be used for any other purpose, and you can unsubscribe at any time.

  • Want your practice to be the top-listed Clinic?

Share

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram