Green-L well liver

  • Home
  • Green-L well liver

Green-L well liver จำหน่ายผลิตภัณฑ์ เสริมอาหาร Green-L กรีน-แอล
บำรุงดับ ดูแลตับ ฟื้นฟูตับ ล้างสารพิษในร่างกาย

🎯4 อาหารดีท็อกซ์ตับ ดีต่อตับ ดีต่อใจขึ้นหัวเรื่องว่า “ดีท็อกซ์” หลายคนอาจจะรีบคลิกเข้ามาอ่าน เพื่อหวังว่าจะได้มีตับสะอาด...
18/06/2019

🎯4 อาหารดีท็อกซ์ตับ ดีต่อตับ ดีต่อใจ

ขึ้นหัวเรื่องว่า “ดีท็อกซ์” หลายคนอาจจะรีบคลิกเข้ามาอ่าน เพื่อหวังว่าจะได้มีตับสะอาดๆ ปราศจากโรค จะว่าอย่างนั้นไหม.... ก็ไม่ถูกเสียทีเดียว เพราะการดีท็อกซ์ที่ว่า ไม่ได้ถึงขั้นทำให้ตับใสสะอาดปราศจากโรคได้ 100% แต่อย่างน้อยก็ช่วยลดไขมันที่อาจกำลังจะพอกตับ จากการทานอาหารประเภทไขมัน แป้ง และน้ำตาลสูงได้บ้างไม่มากก็น้อยแน่นอน

🍊อาหารที่มีวิตามิน ซี และ อี
ทราบหรือไม่ว่าตับเป็นอวัยวะที่สามารถทำความสะอาด และซ่อมแซมตัวเองได้ ดังนั้นถ้าดูแลเขาให้ดีๆ ตับก็กลับมามีสุขภาพแข็งแรงได้ไม่ยาก อาหารที่เต็มไปด้วยแอนตี้ออกซิแดนท์ จะช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของตับได้ดีเลยทีเดียว

- บล็อกโคลี่

- พริกไทยแดง

- อัลมอนด์

- อโวคาโด

- ผักโขม

- ฝรั่ง

- ผักใบเขียว

- ผลไม้ตระกูลส้ม มะนาว


🍗อาหารที่มีวิตามิน บี 2
เพื่อให้กระบวนการดีท็อกซ์สัมฤทธิ์ผลสูงสุด จำเป็นที่ต้องมีวิตามิน บี 2 เป็นตัวช่วยผลักดันให้เอ็นไซม์ที่ช่วยในการดีท็อกซ์ตับทำงานได้ดีขึ้น

- โปรตีนจากเนื้อสัตว์

- เห็ด

- ผักใบเขียว

- โยเกิร์ตรสธรรมชาติ

🥦อาหารที่มีกำมะถัน
กำมะถันในที่นี้ คือสารอาหารชนิดหนึ่ง ที่เป็นแร่ธาตุที่มีประโยชน์ต่อร่างกายในด้านต่างๆ ทั้งบำรุงผม เล็บ ผิวพรรณ ไปจนถึงกระตุ้นกระบวนการดีท็อกซ์ตับได้อีกด้วย

- พืชผักตระกูลกะหล่ำ

- หอม (ดิบ)

- ต้นหอม

- หอมแดง

🍠อาหารที่มีบีเทน
อาจจะงงเล็กน้อยว่าบีเทนคืออะไร บีเทนก็เป็นสารอาหารที่ช่วยให้การไหลของน้ำดีในท่อน้ำดีเป็นไปได้อย่างราบรื่น และมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะช่วยให้ตับขับเอาสารพิษออกมาได้ดียิ่งขึ้นไปด้วยนั่นเอง

- หัวบีท

- ผักโขม

- มันเทศ



นอกจากทานอาหารดีๆ แล้ว การหลีกเลี่ยงอาหารแย่ๆ ก็เป็นตัวช่วยที่จะดีท็อกซ์ตับได้อย่างง่ายๆ สามารถทำได้ทุกวัน หลีกเลี่ยงอาหารที่มีรสหวานจัด ไขมันสูง อาหารทอด อาหารมัน งดแอลกอฮอล์ และออกกำลังกายเป็นประจำ รับรองว่าสุขภาพแข็งแรงเป็นของคุณได้แน่นอน

🍓ขอขอบคุณข้อมูลจาก sanook เคล็ดลับสุขภาพดี🍓

01/06/2019

ตับ...
เปรียบเหมือนแบตเตอรี่ที่สำคัญที่สุดของร่างกาย
เรามาดูแลตับกันเถอะค่ะ

ตับอ่อน (pancreas)รูปร่างคล้ายปลาดุก ส่วนหัวอยู่ทางด้านขวาของเจ้าของ ทอดอยู่ในอ้อมกอดของลำไส้เล็กส่วนต้นที่เรียกว่า ดูโอ...
16/08/2018

ตับอ่อน (pancreas)

รูปร่างคล้ายปลาดุก ส่วนหัวอยู่ทางด้านขวาของเจ้าของ ทอดอยู่ในอ้อมกอดของลำไส้เล็กส่วนต้นที่เรียกว่า ดูโอดีนัม ส่วนหางอยู่ทางซ้ายจ่อติดกับม้าม ตรงกลางมีหลอดเลือดใหญ่ทอดผ่านหลายเส้น ตับอ่อนทำหน้าที่สร้างน้ำย่อยอาหาร และสร้างฮอร์โมนอินซูลินและกลูคากอน ซึ่งช่วยให้ร่างกายสามารถใช้น้ำตาลในร่างกายได้เป็นปกติ

💢หน้าที่ของตับอ่อน

ตับอ่อนทำหน้าที่สำคัญเกี่ยวข้องกับการผลิตเอนไซม์ไว้ย่อยอาหาร โดยหลั่งน้ำย่อยเข้าไปในลำไส้เล็ก ผ่านทางท่อตับอ่อน น้ำย่อยจัดเป็นเอนไซม์ที่ย่อยสลายไขมัน โปรตีน และคาร์โบไฮเดรตในอาหาร โดยปกติน้ำย่อยที่สร้างจากตับอ่อนจะยังไม่ออกฤทธิ์ จนกระทั่งเมื่อถูกหลั่งเข้าสู่ลำไส้เล็กส่วนดูโอดินัม จึงจะเริ่มทำหน้าที่ย่อยสารอาหารไขมัน โปรตีน และคาร์โบไฮเดรต แต่เมื่อใดก็ตามที่เอนไซม์ หรือน้ำย่อยเหล่านั้นออกฤทธิ์ภายในตับอ่อน หรือถูกกระตุ้นให้เข้าสู่ภาวะแอ็กทีฟ ก็จะเหมือนกับว่าน้ำย่อยที่สร้างมาจากตับอ่อน กำลังทำการย่อยเนื้อตับอ่อนเอง ทำให้เกิดพยาธิสภาพขึ้น ปรากฏอาการและอาการแสดงที่ชัดเจน

สร้างฮอร์โมน ตับอ่อนทำหน้าที่ สร้างฮอร์โมนอินสุลิน และกลูคากอน โดยเมื่อสังเคราะห์อินสุลินและกลูคากอนแล้ว ก็จะหลั่งเข้าไปในกระแสเลือดทันที ฮอร์โมนทั้งสองทำหน้าที่ควบคุมระดับน้ำตาลในกระแสเลือด

น้ำย่อยของตับอ่อนน้ำย่อยของตับอ่อนเป็นเอนไซม์ที่สร้างมาจากตับอ่อน มีสภาพเป็นเบส ประกอบด้วย

โซเดียมไบคาร์บอเนต ซึ่งมีสมบัติเป็นเบส เหมาะสมที่จะทำให้ลำไส้เล็กมีสภาวะเป็นเบส ช่วยให้เอนไซม์ต่างๆทำงานได้ ยกเว้นเปปซิน จากกระเพาะอาหาร จะหมดประสิทธิภาพ ในขณะที่อาหารผ่านกระเพาะอาหารจะมีสภาวะเป็นกรด

อะมัยเลส ทำหน้าที่ย่อยแป้ง เด็กทริน และมอลโทส

ไลเปส ทำหน้าที่ย่อยไขมัน กรดไขมัน และกลีเซอรอล

ทริปซิโนเจน ในสภาวะที่เป็นเอนไซม์ที่ยังย่อยอาหารไม่ได้ แต่เมื่อผ่านถึงลำไส้เล็กตอนต้น จะเปลี่ยนสภาพเป็นทริปซิน โดยอาศัยเอนไซม์เอนเทอโรไคเนสจากผนังลำไส้เล็ก เอนไซม์ทริปซินทำหน้าที่ย่อยโปรตีนและโพลีเปปไทด์

ไคโมทริพซิน ทำหน้าที่ย่อยโพลีเปปไทด์ต่อจากทริปซิน

คาร์บอกซีเปปติเดส ทำหน้าที่ย่อยเปปไทด์ให้เป็นกรดอะมิโน

เอนไซม์กับการย่อยอาหาร เอนไซม์มีโครงสร้างที่ประกอบขึ้นด้วยกรดอะมิโน แต่มีคุณสมบัติต่างจากโปรตีนตรงที่ เอนไซม์สามารถเร่งปฏิกิริยาทางเคมีในเซลล์ได้ โดยที่สารที่จะเป็นเอนไซม์ได้ต้องมีคุณสมบัติ ดังนี้

สามารถเร่งปฏิกิริยาเคมีภายในเซลล์ได้

เมื่อเกิดปฏิกิริยาแล้วเอนไซม์จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างและจำนวน ในขณะที่สารเริ่มต้นถูกเปลี่ยนไปเป็นสารผลิตภัณฑ์

อุณหภูมิมีผลต่อการทำงานของเอนไซม์ ซึ่งจะทำงานได้ดีในช่วง 25-40 องศาเซลเซียส

สภาพความเป็นกรด-ด่างมีผลต่อการทำงานของเอนไซม์ โดยขึ้นอยู่กับชนิดของเอนไซม์นั้นๆ

ตับอ่อนเป็นต่อมไร้ท่อชนิดหนึ่ง ระบบต่อมไร้ท่อ (endocrine system)

เป็นระบบที่สำคัญอย่างยิ่งของร่างกายในการควบคุมการทำงาน และการติดต่อสื่อสาร รวมทั้งประสานขบวนการทำงานระดับเซลให้เกิดประสิทธิภาพ และเป็นระเบียบถูกต้อง อวัยวะที่สำคัญของระบบนี้ล้วนเป็น "ต่อม" ซึ่งทำหน้าที่หลักในการสร้างฮอร์โมนที่สำคัญของร่างกาย ฮอร์โมนเป็นสารที่ร่างกายสร้างออกมาแล้วแพร่กระจายออกสู่กระแสเลือดไปออกฤทธิ์ที่อวัยวะเป้าหมาย กลไกการออกฤทธิ์ของฮอร์โมนทุกชนิดเกี่ยวข้องกับการทำงานของระบบประสาทอย่างใกล้ชิด รวมทั้งมีความสัมพันธ์กับระบบสืบพันธุ์ ไต ทางเดินอาหาร ตับ และไขมันในร่างกายอีกด้วย

ฮอร์โมนทั้งหมดในร่างกายอาจแบ่งออกเป็นกลุ่มใหญ่ๆ ได้ 5 กลุ่ม กลุ่มแรก เป็นฮอร์โมนออกฤทธิ์เกี่ยวข้องกับการใช้พลังงานของร่างกาย กลุ่มที่สอง เป็นฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับระบบสืบพันธุ์ กลุ่มที่สาม เป็นฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับการเจริญเติบโตและพัฒนาการของเซล กลุ่มที่สี่ เป็นฮอร์โมนที่ทำหน้าที่เกี่ยวข้องกับสมดุลต่างๆ ภายในร่างกาย กลุ่มสุดท้าย เป็นฮอร์โมนที่ตอบสนองต่อการกระตุ้นจากภาวะภายนอกร่างกาย เช่น จากความเครียด หรือภยันตรายต่อเซลเป็นต้น

ตับอ่อนเป็นทั้งต่อมที่สร้างเอ็นไซม์ และเป็นต่อมไร้ท่อที่ทำหน้าที่สร้างฮอร์โมนอินซูลินเพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด รวมทั้งฮอร์โมนอื่นๆ ที่ร่วมกันทำหน้าที่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้เข้าสู่ภาวะสมดุลโดยต้านฤทธิ์อินซูลิน

ตับอ่อนอักเสบ โรคตับอ่อนอักเสบ เป็นโรคที่พบได้ไม่บ่อยนัก แต่ในรายที่เป็นรุนแรง ถือเป็นภาวะที่ร้ายแรงและมีอัตราตายค่อนข้างสูง

พบได้บ่อยในคนที่ดื่มเหล้าจัด โรคตับอ่อนอักเสบ แบ่งออกเป็นสองชนิด คือ ชนิดเฉียบพลัน และชนิดเรื้อรัง ชนิดเฉียบพลันเกิดขึ้นทันทีทันใด ส่วนใหญ่อาการจะเป็นอยู่ไม่นาน และมักจะทุเลาดีขึ้นได้เองบางรายอาจพบว่าอาการรุนแรงได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเกิดโรคแทรกซ้อน ส่วนโรคตับอ่อนอักเสบชนิดเรื้อรังนั้นอาการจะไม่หายขาด เป็นเพราะสาเหตุสำคัญเนื่องจากเกิดการทำลายเนื้อตับอ่อนอย่างต่อเนื่องสาเหตุของการอักเสบเป็นผลมาจากการรั่วของน้ำย่อยของตับอ่อนเองออกมาที่เนื้อเยื่อบางส่วนของตับอ่อน แต่ด้วยสาเหตุใดยังไม่ทราบแน่ชัด โรคนี้มักพบในผู้ป่วยที่เป็นนิ่วในถุงน้ำดี และในคนที่ดื่มสุราจัด ส่วนน้อยอาจเป็นโรคแทรกของคางทูม หรือเกิดร่วมกับโรคต่อมพาราไทรอยด์ทำงานน้อย การได้รับบาดเจ็บที่ช่องท้อง การใช้ยาบางชนิด เช่น สเตียรอยด์ ยาขับปัสสาวะประเภทไทอาไซด์ บางครั้งไม่พบสาเหตุที่แน่ชัด

💢มะเร็งตับอ่อน

เป็นมะเร็งที่มีความรุนแรงมากชนิดหนึ่ง แต่ไม่ค่อยพบบ่อยนัก พบในผู้ใหญ่ เพศชายมากกว่าเพศหญิง ปัจจัยเสี่ยง ได้แก่ ผู้ที่สูบบุหรี่จัด ผู้ที่มีประวัติบุคคลในครอบครัวป่วยเป็นโรคมะเร็งตับอ่อน และผู้ป่วยที่เป็นเบาหวาน มีความเสี่ยงสูงกว่าคนทั่วไป อาการของโรคมะเร็งตับอ่อนเมื่อเริ่มเป็น มักไม่มีอาการ ต่อเมื่อก้อนมะเร็งโตมากขึ้น จะไปกดทับทางเดินน้ำดี ทำให้มีตัวเหลือง ตาเหลือง หรือ ปวดหลังได้ ซึ่งมักเป็นอาการที่พบได้ในโรคทั่วๆไป ไม่ใช่อาการเฉพาะของมะเร็งตับอ่อน ถ้าโรครุนแรงมากขึ้น อาจมีอาการแน่นท้องจากมีน้ำในท้อง เบื่ออาหาร ผอมลง หรือมีอาการจากการที่โรคแพร่ไปยังอวัยวะอื่นๆ เช่น อาการปวดกระดูกจากการมีโรคแพร่ไปกระดูก เป็นต้น

ขอขอบคุณข้อมูลจาก bangkokhealth

5 พฤติกรรมทำลายตับตับคืออวัยวะที่มีขนาดพื้นที่ผิวใหญ่เป็นอันดับสองของร่างกายรองจากผิวหนัง ที่รับหน้าที่สำคัญในร่างกายหลา...
11/06/2018

5 พฤติกรรมทำลายตับ

ตับคืออวัยวะที่มีขนาดพื้นที่ผิวใหญ่เป็นอันดับสองของร่างกายรองจากผิวหนัง ที่รับหน้าที่สำคัญในร่างกายหลายประการ อาทิ ช่วยล้างพิษ ผลิตน้ำย่อยอาหารประเภทโปรตีน ทั้งยังทำหน้าที่ผลิตสารสำคัญอีกหลายชนิด ความพยายามในการดูแลรักษาสุขภาพตับ จึงจำเป็นต่อการมีชีวิตยืนยาว

ชวนคุณร่วมสำรวจ 5 พฤติกรรมและอุปนิสัยประจำวันที่อาจเสี่ยงต่อประสิทธิภาพการทำงานของตับ

1. ดื่มหนัก

ถือเป็นสาเหตุหลักของการทำลายตับ พฤติกรรมการดื่มติดต่อกันนานๆ อาจนำไปสู่อาการไวรัสตับอักเสบ ไขมันสะสมในตับหรือไขมันพอกตับ และอาการตับแข็ง เนื่องจากเป็นกิจกรรมที่ตับต้องรับบทหนักในการขับแอลกอฮอลออกจากร่างกาย

2. พฤติกรรมการกินและน้ำหนัก

การรับประทานอาหารไม่มีคุณภาพ ส่งผลโดยตรงต่อการทำงานของตับ นอกจากนั้น อาหารบางชนิด โดยเฉพาะขนมหรืออาหารที่มีปริมาณน้ำตาลสูง เมื่อได้รับติดต่อกันนานๆ อาจนำไปสู่ภาวะไขมันพอกตับที่ไม่ได้มาจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล (non-alcoholic fatty liver disease: NAFLD) โดยผู้ที่มีน้ำหนักเกินจะเสี่ยงต่อภาวะนี้มากกว่ากลุ่มอื่นๆ

3. ใช้ยาเกินจำเป็น

นอกจากการใช้ยาเกินความจำเป็น ทำให้ตับทำงานหนักกว่าปกติแล้ว อีกประเด็นที่พึงระวังคือ ยาจำเป็นบางชนิดมีผลข้างเคียงต่อตับ โดยเฉพาะพาราเซตามอล และยารักษามะเร็งส่วนใหญ่ สารสังเคราะห์หลายชนิดในยาอาจกลายเป็นพิษต่อตับ แม้จะเป็นเคสที่พบได้ไม่บ่อย แต่เคยมีกรณีที่คนไข้เกิดอาการตับวายจนถึงแก่ชีวิต หลังจากได้รับยาไอบูโพรเฟน (Ibuprofen)

4. สูบบุหรี่

นอกจากจะเป็นพฤติกรรมทำลายปอด การสูบบุหรี่ยังมีผลต่อตับ โดยสารที่ปะปนอยู่ในควันบุหรี่จะเข้าสู่ตับ ซึ่งจะทำให้ตับทำงานหนักขึ้น และนำไปสู่การกีดขวางกระบวนการทำงานของร่างกายโดยรวม

5. นอนไม่พอ

มีงานวิจัยศึกษาเกี่ยวกับการพักผ่อนและการทำงานของตับ เผยแพร่ใน Journal of Anatomy เมื่อเดือนมีนาคม 2008 พบว่าการพักผ่อนไม่เพียงพอ จะทำให้เกิดภาวะ oxidative stress หรือระดับของสารอนุมูลอิสระเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งจะนำไปสู่อาการป่วยที่เกี่ยวข้องกับระบบเผาผลาญของร่างกาย หากมีพฤติกรรมนอนไม่พอติดต่อกันนานๆ จะทำให้เสี่ยงต่ออาการป่วย อาทิ โรคหัวใจและหลอดเลือด ความดันโลหิตสูง ไปจนถึงอาการต้านทานต่อฮอร์โมนอินซูลินที่ร่างกายสร้างขึ้นมาเอง (insulin resistance: IR)

ปรึกษาปัญหาสุขภาพตับ ได้ที่ 089 883 1653
คุณศิริวรรณ ยินดีให้คำปรึกษาค่ะ

ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก waymagazine

26/04/2018

4 เครื่องดื่มสุดอันตราย ที่ต้องรู้ข้อจำกัดก่อนคิดจะดื่มกิน
การกินเพื่อสุขภาพ

เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์

เป็นเครื่องดื่มที่เราควรหลีกเลี่ยงมากที่สุด เพราะเป็นสาเหตุของโรคที่ร้ายแรงถึงชีวิตมากมาย ไม่ว่าจะเป็นโรคตับแข็ง โรคเกี่ยวกับความดัน เพิ่มโอกาสที่จะเส้นเลือดฝอยแตก และยังทำลายสุขภาพโดยรวม หากดื่มไปเป็นเวลานานๆ ก็จะส่งผลโดยตรงต่อสมอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเบียร์ นอกจากจะส่งผลเสียแล้ว ยังถือเป็นเครื่องดื่มที่ให้พลังงานสูงมาก กินแล้วส่งผลให้มีไขมันสะสม แทนกล้ามเนื้อในกรณีที่ออกกำลังกายแล้วไปดื่มเบียร์ แต่ก็มีข้อดีอยู่ในกรณีที่ช่วยรักษาอาการความดันต่ำ แต่ไม่ควรดื่มเกินวันละ 1-2 ขวด และไม่ควรดื่มทุกวัน

น้ำอัดลม

แม้ว่าจะดูไม่มีอันตรายเท่ากับเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์แต่ก็ถือเป็นเครื่องดื่มที่ทำร้ายสุขภาพของเราได้มากเช่นกัน เนื่องจากน้ำตาลที่ผสมอยู่มากในน้ำอัดลม ซึ่งอาจส่งผลให้เราเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวาน หรือโรคอ้วน และยังเป็นศัตรูตัวสำคัญของคนที่ทำการลดน้ำหนัก นอกจากนี้ยังเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดอนุมูลอิสระอีกด้วย นอกจากนี้แก๊สที่อัดมา ยังส่งผลให้กระดูกของเราเสื่อมเร็วขึ้นอีกด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งน้ำอัดลมที่มีสีดำ จะมีคาเฟอีนเป็นส่วนประกอบอีกด้วย ดังนั้นใครที่รู้ตัวว่าติดน้ำอัดลมควรลดละเลิกแล้วหันมาดื่มน้ำผลไม้ หรือนมเป็นการทดแทน

เครื่องดื่มเกลือแร่

แน่นอนว่าหากเราดื่มหลังจากเสียเหงื่อมากๆ ก็จะไม่อันตรายแต่อย่างไร แต่หากเรานำมาดื่มเป็นเครื่องดื่มปกติ จะทำให้สมดุลเกลือแร่ในร่างกายเสีย ในระยะยาวยังอาจส่งผลให้เป็นโรคไตอีกด้วย เด็ก(โดยเฉพาะทารก)ไม่ควรดื่มอย่างยิ่ง นอกจากนี้เครื่องดื่มเกลือแร่ก็มีน้ำตาลในปริมาณที่มากเช่นกันแม้ว่าจะไม่มากเท่ากับน้ำอัดลมก็ตาม

เครื่องดื่มชูกำลัง

เครื่องดื่มประเภทนี้มีคาเฟอีนค่อนข้างสูง จึงส่งผลเสียต่อร่างกายทั้งในระยะสั่น และระยะยาว ส่วนประกอบอื่นเช่นน้ำวิตามินต่างๆ ก็ยังไม่มีงานวิจัยยืนยันเลยว่ามีประโยชน์ต่อร่างกายดังเช่นที่โฆษณาหรือไม่อย่างไร เด็กและสตรีมีครรภ์ไม่ควรเดิม เพราะจะส่งผลโดยตรงต่อตับ และทารกที่อยู่ในท้อง และที่สำคัญเครื่องดื่มที่อ้างว่ามีวิตามีที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย มีงานวิจัยยืนยันแล้วว่าไม่มีความจำเป็นแต่อย่างใด เพราะวิตามินที่เราได้รับจากผักผลไม้ก็เพียงพอแล้ว นอกจากนี้ยังรวมไปถึงเครื่องดื่มจำพวกชา และกาแฟอีกด้วย

มีเครื่องดื่มากมายวางจำหน่ายในท้องตลาด เราควรหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่ให้โทษต่อร่างกายเราเหล่านี้ แล้วหันมาดื่มเครื่องดื่มที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย หรือไม่ก็ดื่มน้ำเปล่าเสียจะดีที่สุด

ขอขอบคุณข้อมูลดีๅจาก honestdocs

ในปัจจุบันการป้องกันสุขภาพที่เรามักพบเห็นก็คือการพยายามดูแลตนเองทั้งออกกำลังกาย ทานอาหาร - วิตามินเสริม ฯลฯ ซึ่งถือเป็นเ...
23/04/2018

ในปัจจุบันการป้องกันสุขภาพที่เรามักพบเห็นก็คือการพยายามดูแลตนเองทั้งออกกำลังกาย ทานอาหาร - วิตามินเสริม ฯลฯ ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดี อย่างไรก็ตามน้อยคนที่จะคิดถึงอวัยวะสำคัญอย่าง "ตับ" ทั้งๆ ที่ตับเป็นอวัยวะที่มีความสำคัญต่อสุขภาพอย่างมาก

ที่พูดเช่นนั้นก็เพราะตับเป็นอวัยวะที่มีขนาดใหญ่ที่สุดภายในร่างกาย รวมทั้งยังมีหน้าที่สำคัญหลายอย่าง เป็นต้นว่า สร้างโปรตีนและสารหลายชนิดที่จำเป็นต่อร่างกาย เช่น สร้างน้ำตาลกลูโคส กรดอะมิโนและโปรตีน ไขมันทั้งไตรกลีเซอไรด์และโคเลสเตอรอล ทำให้วิตามินทำงานได้ดีขึ้น และเป็นแหล่งสะสมวิตามินหลายชนิด สร้างน้ำดีหรือน้ำย่อยที่จำเป็นในการย่อยอาหาร รวมทั้งทำหน้าที่ในการดูดซึมไขมันและวิตามินชนิดละลายในน้ำมัน สร้างโปรตีนที่เป็นส่วนประกอบในการทำให้เลือดแข็งตัว และฮอร์โมนบางชนิด กำจัดหรือทำลายสารพิษหรือสารแปลกปลอมที่อาจหลุดผ่านเข้าไปในกระแสเลือด มีบทบาทสำคัญต่อภูมิต้านทานของร่างกาย ควบคุมการเผาผลาญ รวมทั้งยังทำลายหรือทำให้ยาต่างๆ ออกฤทธิ์ดีขึ้น

ขอบข่ายที่ตับรับผิดชอบจึงมากมายหลายส่วน ด้วยเหตุนี้ เมื่อตับผิดปกติหรือทำงานไม่ปกติ หากเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ตับก็จะฟื้นฟูตัวเองได้ แต่หากต้องเผชิญปัจจัยบั่นทอนอยู่ทุกวันก็อาจทำให้เกิดอันตรายและส่งผลกระทบต่อสุขภาพได้ ตั้งแต่อาการไม่ปกติ ทำให้มีอาการของโรค เกิดอาการเจ็บป่วยในระยะยาว รวมทั้งทำให้เกิดอันตรายถึงชีวิตตามมาได้ เช่น ไขมันแทรกในตับ ตับอักเสบ ตับแข็ง ไขมันสะสมในตับ และมะเร็งตับ

รู้แบบนี้แล้ว จำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะต้องรู้จักวิธีการสร้างสุขให้กับตับ โดยต้องระวังปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ที่จะทำให้เกิดอันตราย

1) อาหารและน้ำดื่ม จำเป็นอย่างยิ่งที่เราต้องได้รับอาหารและน้ำดื่มที่สะอาดเพื่อป้องกันเชื้อไวรัสตับอักเสบเอซึ่งเกิดจากการกิน เช่น อาหาร ผัดสด ผลไม้ น้ำดื่ม ที่ปนเปื้อน เชื้อนี้ ทำไม่สุก ไม่สะอาด ไม่ต้มเดือด เป็นต้น ส่วนอาหารปกติแล้วเราไม่จำเป็นต้องเลือกกินอาหารเพื่อบำรุงตับ เพียงเราทานอาหารให้ครบ 5 หมู่อย่างเหมาะสม และหลีกเลี่ยงอาหารที่มีผลเสียต่อตับ เช่น อาหารที่ปนเปื้อนเชื้ออะฟลาท็อกซิน สารพิษที่ผลิตจากเชื้อรา โดยเราสามารถได้ในเมล็ดธัญพืช โดยเฉพาะในถั่วเมล็ดแห้ง และเมล็ดพืชน้ำมันชนิดต่างๆ พริกแห้ง ฯลฯ ที่มีเชื้อราชนิดนี้ปนเปื้อนอยู่ก่อน งดกินปลาดิบ เพื่อป้องกันพยาธิใบไม้ในตับ ส่วนใครที่มีตับอักเสบหรือตับแข็งระยะเริ่มต้น จำเป็นต้องได้รับอาหารให้ครบทุกหมู่อย่างเพียงพอเพื่อช่วยให้ตับสามารถฟื้นฟูได้อย่างรวดเร็ว โดยในระยะนี้ เพื่อซ่อมแซมตับคุณหมออาจให้วิตามินเสริม แต่ผู้ป่วยไม่ควรซื้อยาทานเองเป็นอันขาด

2) เลือดและการมีเพศสัมพันธ์ อีกตัวการหนึ่งที่ทำให้เราติดเชื้อไวรัสตับอักเสบก็คือการติด การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี โดยมีคนเป็นพาหะที่สำคัญ ซึ่งประเทศไทยเราพบประมาณร้อยละ 5 โดยเฉพาะจากเลือดและการมีเพศสัมพันธ์ เช่น การใช้แปรงสีฟัน กรรไกรตัดเล็บ หรือมีดโกนร่วมกับผู้อื่น หรือการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่เป็นพาหะไวรัสตับอักเสบอยู่ อาจทำให้คุณติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี หรือ ซี ได้ เมื่อติดเชื้อแล้วอาจจะป่วยเป็นตับอักเสบเรื้อรัง ตับแข็ง มะเร็งตับได้ในที่สุด ทั้งนี้ ผู้ที่เป็นพาหะของเชื้อนี้มีโอกาสเสี่ยงของมะเร็งตับสูงกว่าคนทั่วไปถึง 223 เท่า

3) ยา ระวังการกินยาหรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่อาจมีผลข้างเคียงต่อตับได้ อย่าลืมว่า เนื่องจากตับเป็นอวัยวะที่มีหน้าที่ในการกำจัดยาออกจากร่างกาย ดังนั้นการได้รับยาบางชนิดติดต่อกันเป็นเวลานานจะรบกวนการทำงานของตับหรืออาจมีผลอันไม่พึงประสงค์ต่อตับ เมื่อร่างกายได้รับยาบางชนิดในปริมาณสูง หรือติดต่อกันเป็นเวลานานตับก็จะไม่สามารถทำลายได้ทัน เหลือเป็นส่วนเกินและมีฤทธิ์ทำลายเนื้อตับ ซึ่งอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อตับจนกลายเป็นภาวะตับวายได้ ในปัจจุบัน ยาอันตรายต่อตับที่คนมักมองข้ามเป็นยาใกล้ตัวอย่าง "พาราเซตามอล" ที่อาจเกิดพิษต่อตับ ทั้งในกรณีที่กินในปริมาณมากเกินไป กินเมื่อดื่มตับเริ่มเสื่อมจากการดื่มแอลกอฮอล์ หรือตับอักเสบจากไวรัสตับอักเสบ โดยเฉพาะในคนที่ไวต่อพาราเซตามอล หากกินเกิน 2 กรัมขึ้นไป อาจจะทำให้ตับอักเสบได้ นอกจากนี้ ยังมียาแก้ปวด ยาคลายกล้ามเนื้อ ยาแก้แพ้ ยาแก้หวัด และยาปฏิชีวนะ ยาสมุนไพรที่ไม่ได้มาตรบาน ยาลูกกลอน ฯลฯ ซึ่งมีการใช้อย่างกว้างขวางและล้วนอันตรายหากกินต่อเนื่องเป็นเวลานาน

4) เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ สำหรับคอทองแดงหรือลำยองอาจจะไม่ค่อยกลัว แต่รู้ไว้เถอะว่า แอลกอฮอล์จะทำให้เกิดความผิดปกติของการใช้โปรตีน ไขมัน และคาร์โบไฮเดรตในตับ ในระยะแรกจะทำให้ไขมันสะสมในตับก่อนซึ่งส่วนใหญ่มักจะไม่มีอาการใดๆ แต่เมื่อดื่มนานเข้าจะทำให้เกิดภาวะตับอักเสบ และเรื้อรังจนเป็นตับแข็ง และอาจทำให้เกิดมะเร็งตับ และเสียชีวิตได้ โดยเฉพาะคนที่ดื่มหนักๆ หรือดื่มมานานแล้วจนเกิดตับอักเสบ ยิ่งหากใครมีโรคไวรัสตับอักเสบ บี หรือ ซีร่วมด้วยจะยิ่งเพิ่มอันตรายต่อตับอีกหลายเท่า ทำให้มีโอกาสกลายเป็นโรคตับแข็ง หรือโรคมะเร็งตับได้ง่ายขึ้น แนวทางสำคัญในการป้องกันจึงอยู่ที่การงดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือดื่มแต่ปริมาณน้อยๆ ไม่ดื่มประจำ ทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย อย่างไรก็ตามหากเป็นตับอักเสบจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ จำเป็นต้องได้รับอาหารให้ครบทุกหมู่ เพื่อให้สุขภาพฟื้นตัวได้เร็วขึ้น

5) สารพิษ การได้รับสารพิษเข้าสู่ร่างกายเป็นประจำก็ทำให้เกิดอันตรายต่อตับได้เช่นดียวกัน เช่น สารหนู (arsenic) ที่พบปนเปื้อนในยาหอม ปลาหมึกแห้ง ในอาหาร และสิ่งแวดล้อม หากร่างกายรับเข้าไปมากจะสะสมที่ตับและทำลายระบบการทำงานของตับ ทำให้ตับทำงานหนักและเกิดการอักเสบตามมาในที่สุด

แนวทางการป้องกัน จึงต้องลดความเสี่ยงในปัจจัยที่กล่าวมา รวมทั้งหลีกเลี่ยงการทานอาหารที่มีคาร์โบโฮเดรตสูงต่อเนื่องในปริมาณมาก ซึ่งอาจเป็นสาเหตุกระตุ้นให้มีไขมันแทรกในตับ และถ้าเป็นไปได้ควรตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ และฉีดวัคซีนป้องกันตับอักเสบ เพราะก่อนที่ตับจะ "พัง" มันจะไม่มีอาการใดๆ ให้เห็น แนวทางการป้องกันจึงสำคัญที่สุด

กฎเหล็กดูแลตับ

- ลด ละ เลิก เครื่องดื่มแอลกอฮอล์

- ทานอาหารที่สะอาด

- มีเพศสัมพันธ์ปลอดภัย ไม่สำส่อน

- ไม่ใช้ของมีคมร่วมกับผู้อื่น

- ทานยาที่ได้มาตรฐานเมื่อจำเป็น

- หลีกเลี่ยงสารเคมี

- ฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบ

- ตรวจสุขภาพร่างกายทุกปี

ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก หน้าพิเศษ Hospital Healthcare นสพ.มติชน

ภาวะโรคตับอักเสบ หมายถึงภาวะที่เซลล์ตับมีความผิดปกติ ส่งผลให้การทำหน้าที่ต่างๆ ของตับผิดปกติ มีแผล มีลักษณะขรุขระ และอาจ...
22/04/2018

ภาวะโรคตับอักเสบ หมายถึงภาวะที่เซลล์ตับมีความผิดปกติ ส่งผลให้การทำหน้าที่ต่างๆ ของตับผิดปกติ มีแผล มีลักษณะขรุขระ และอาจทำให้เป็นตับแข็ง หรือมะเร็งตับได้

ประเภทของภาวะตับอักเสบ

>>ตับอักเสบเฉียบพลัน อาการที่พบได้บ่อย คืออ่อนเพลีย ปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อ คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร ปวดท้องที่ตำแหน่งชายโครงด้านขวาจากการที่ตับโต ปัสสาวะสีเข้ม ตัวเหลือง ตาเหลือง มีสาเหตุจากเชื้อไวรัสตับอักเสบ ส่วนใหญ่เป็นชนิด A B C E และเชื้อไวรัสอื่นๆ เช่น Cytomegalo virus (CMV) Epstein-Barr virus (EBV) Herpes Simplex virus (HSV) เชื้อไวรัสไข้เลือดออก (Dengue) รวมถึงยาบางชนิดที่อาจส่งผลทำให้เกิดตับอักเสบเฉียบพลัน ทั้งยาแผนปัจจุบัน ยาจากแพทย์ทางเลือกต่างๆ อาทิ ยาจีน ยาสมุนไพร เป็นต้น ส่วนสาเหตุอื่นๆ ที่พบได้ เช่น สารเคมีบางชนิด เห็ดที่มีพิษ การดื่มแอลกอฮอล์ การขาดเลือดแบบเฉียบพลัน การติดเชื้อโรคต่างๆ อาจทำให้ตับอักเสบเฉียบพลัน

>>ตับอักเสบเรื้อรัง มักไม่มีอาการ แต่เซลล์ตับจะถูกทำลายไปเรื่อยๆ จนเกิดตับแข็ง หรืออาจเป็นมะเร็งตับในที่สุด สามารถเกิดจากผู้ป่วยที่เป็นโรคตับอักเสบ การดื่มแอลกอฮอล์ การได้รับสารพิษ ความอ้วน หรือมีการอักเสบของตับเป็นเวลานานเกิน 6 เดือนขึ้นไป

ลักษณะอาการของโรคตับอักเสบ

มีไข้ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน ท้องอืด ปวดท้อง เจ็บเสียดบริเวณชายโครงขวา ซึ่งเป็นตำแหน่งของตับ และอาการสำคัญที่บ่งว่าเป็นโรคตับอักเสบ คือ อาการตัวเหลือง ตาเหลือง ปัสสาวะมีสีเข้ม ซึ่งเรียกกันว่า ดีซ่าน

สำหรับกรณีของไวรัสตับอักเสบ

มีทั้งหมด 5 ชนิด คือ ไวรัสตับอักเสบเอ บี ซี ดี และอี ชนิดที่ก่อให้เกิดตับอักเสบเรื้อรังก็ คือ ไวรัสตับอักเสบบี ซี และดี ซึ่งเชื้อไวรัสตับอักเสบดีไม่พบเจอในประเทศไทย สิ่งสำคัญที่ทำให้เป็นโรคไวรัสตับอักเสบบี คือ การติดต่อจากคนในครอบครัว แพร่กระจายภายในเครือญาติ โดยสามารถติดต่อกันทางเลือด น้ำคัดหลั่งของผู้ติดเชื้อ และการมีเพศสัมพันธ์ ส่วนโรคไวรัสตับอักเสบซี ปัจจุบันพบว่าสาเหตุสำคัญ คือ การติดเชื้อทางเข็ม โดยการสักบนผิวหนังและการฉีดยา เมื่อผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสตับอักเสบแล้ว จะยังไม่มีอาการปรากฏจนถึงระยะสุดท้าย ผู้ป่วยอาจเกิดอาการตับวาย และเสียชีวิตได้

การรักษา และป้องกันโรคตับอักเสบ

ปัจจุบันยังไม่มียารักษาโดยเฉพาะ จะใช้ยาต้านไวรัสเพื่อขจัดเชื้อ ตรวจ ติดตามผลการรักษา การตรวจเลือดเพื่อตรวจวัดปริมาณเชื้อแต่สิ่งที่ดีที่สุด คือ การป้องกันที่ต้นตอของโรคตับ ทำได้ดังนี้

>การมีอนามัยส่วนบุคคล และส่วนรวมที่ดี เช่นการล้างมือให้สะอาดหลังการขับถ่าย ปรุงอาหารถูกหลักอนามัย เลือกรับประทานอาหารที่สุกมีประโยชน์ ไม่ปนเปื้อนสารพิษ และดื่มน้ำสะอาด
>หลีกเลี่ยงการรับ สัมผัสเลือด น้ำเหลือง สารคัดหลั่ง
>หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่ไม่ใช่สามี ภรรยา
>ฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสโรคตับอักเสบก่อนได้รับเชื้อ
>ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และเหมาะสม
>หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก paolohospital.com

ไขมันพอกตับคืออะไรบ่อยครั้งเมื่อคุณไปตรวจเลือดพบว่าการทำงานของตับผิดปกติมีค่า SGOT,SGPT สูง ค่าทั้งสองเป็นเอ็นไซม์ที่หลั...
08/03/2018

ไขมันพอกตับคืออะไร

บ่อยครั้งเมื่อคุณไปตรวจเลือดพบว่าการทำงานของตับผิดปกติมีค่า SGOT,SGPT สูง ค่าทั้งสองเป็นเอ็นไซม์ที่หลั่งออกมาจากตับ แสดงว่าตับได้รับอันตรายหรือมีการอักเสบ แพทย์จะส่งการตรวจคลื่นเสียงความถี่สูงหรือที่เรียกว่า ultrasound ส่งเลือดตรวจหาเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี และไวรัส ซี บางรายอาจจะต้องเจาะชิ้นเนื้อตับเพื่อไปส่องกล้องเพื่อวินิจฉัย หลังจากนั้นแพทย์จะแจ้งว่าท่านเป็นไขมันพอกตับ Fatty liver ทำให้ท่านตกใจกับผลตรวจ

ไขมันพอกตับคืออะไร
ไขมันในตับจะมีประมาณร้อยละ5-10 ของน้ำหนักตับ ไขมันพอกตับเป็นภาวะที่ไขมันโดยเฉพาะ Triglyceride ไปอยู่ในเซลล์ตับมากกว่าร้อยละ10 ของน้ำหนักตับจะถือว่าเป็นไขมันพอกตับ

ชนิดของไขมันพอกตับ

1.ไขมันพอกตับจากการดื่มสุรา
เมื่อคนที่ดื่มสุราเป็นระยะเวลานาน เซลล์ของตับจะได้รับอันตรายในระยะแรกจะมีไขมันมาพอกที่ตับ ในระยะนี้หากหยุดดื่มสุราตับก็สามารถกลับสู่ปกติได้หลังหยุดดื่มสุรา 6 สัปดาห์ แต่หากยังดื่มสุราต่อเนื่อง ตับจะกลายเป็นตับแข็งซึ่งภาวะนี้จะไม่สามารถกลับสู่ปกติ นอกจากนั้นผู้ที่ดื่มสุราอย่างมากก็เกิดไขมันพอกตับแบบเฉียบพลันได้

2.ไขมันพอกตับของคนที่ไม่ได้ดื่มสุรา
ไขมันพอกตับชนิดนี้เรียกว่า Nonalcoholic fatty liver disease (NAFLD) หมายถึงภาวะที่ไขมันพอกตับโดยเฉพาะ triglyceride อยู่ในเซลล์ตับ โดยที่คนคนนั้นไม่ได้ดื่มสุรา (ปกติคนดื่มสุรามานานจะมีไขมันพอกตับ) เซลล์ไขมันจะไม่ก่อให้เกิดความเสียหาย หรือเกิดตับอักเสบในระยะแรก จะวินิจฉัยภาวะนี้เมื่อมีไขมันในตับมากกว่าร้อยละ10ของน้ำหนักตับ

3.ไขมันพอกตับและมีการอักเสบของตับ
แต่ผู้ป่วยบางส่วนที่ไขมันพอกตับทำให้เซลล์ตับมีการบวมและเกิดการอักเสบของตับ เกิดกลุ่มอาการที่เรียกว่า nonalcoholic steatohepatitis (NASH) ในที่สุดก็จะกลายเป็นตับแข็ง Cirrhosis แต่นักวิทยาศาสตร์ก็ยังอธิบายไม่ได้ว่าทำไมถึงเกิดการอักเสบของตับ พบว่าร้อยละ 5-8 ของผู้ป่วยไขมันพอกตับจะกลายเป็นตับอักเสบ และตับแข็ง อาการของผู้ป่วยได้แก่
- เบื่ออาหาร
- คลื่นไส้
- อาเจียน
- ปวดท้อง
- ผิวเหลือง

4.ไขมันพอกตับในผู้ป่วยตั้งครรภ์
เป็นโรคแทรกซ้อนในผู้ป่วยตั้งครรภ์พบไม่บ่อย มักจะเกิดในช่วงการตั้งครรภ์ไตรมาศที่3 อาการที่สำคัญ
- มีอาการคลื่นไส้อาเจียน
- เจ็บชายโครงขวา
- ตัวเหลืองตาเหลือง
- อ่อนเพลีย
ผู้ป่วยส่่วนใหญ่ดีขึ้นหลังจากคลอด

ปรึกษาปัญหาสุขภาพฟรีได้ที่ 089 883 1653
หรือคลิ๊กลิงค์ด้านล่างนี้ทักมาได้เลยนะคะ
https://line.me/R/ti/p/

ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก siamhealth.net

สาเหตุของโรคไขมันพอกตับสามารถแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่- จากการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ความรุนแรงของโรคจะขึ้นกับปร...
22/02/2018

สาเหตุของโรคไขมันพอกตับสามารถแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่
- จากการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ความรุนแรงของโรคจะขึ้นกับประเภท ปริมาณ และระยะเวลาที่ดื่มแอลกอฮอล์
- ไม่ได้เกิดจากแอลกอฮอล์ โดยมีผลจากโรคที่เกี่ยวข้องกับการใช้พลังงานของร่างกาย เช่น
🔊โรคอ้วน
🔊เบาหวาน
🔊ความดันโลหิตสูง
🔊ไขมันในเลือดสูง
🔊ไวรัสตับอักเสบซี

🔔ระยะการดำเนินโรคไขมันพอกตับ
โรคไขมันพอกตับแบ่งระยะการดำเนินโรคได้เป็น 4 ระยะ ดังนี้
💊ระยะแรก เป็นระยะที่มีไขมันสะสมอยู่ในเนื้อตับ แต่ยังไม่มีการอักเสบหรือพังผืดเกิดขึ้นในตับ
💊ระยะที่สอง เป็นระยะที่เริ่มมีอาการอักเสบของตับ ในระยะนี้หากไม่ควบคุมดูแลให้ดีและปล่อยให้การอักเสบดำเนินไปเรื่อยๆ เกินกว่า 6 เดือนอาจกลายเป็นตับอักเสบเรื้อรัง
💊ระยะที่สาม การอักเสบรุนแรง ก่อให้เกิดพังผืดในตับ เซลล์ตับค่อยๆ ถูกทำลายลง
💊ระยะที่สี่ เซลล์ตับถูกทำลายไปมาก ตับไม่สามารถทำงานได้ตามปกติอีกต่อไป ทำให้ตับแข็งและอาจกลายเป็นมะเร็งตับได้ในที่สุด

⛔อาการ
🔊โดยทั่วไปโรคไขมันพอกตับไม่ทำให้เกิดอาการทางร่างกาย หรือหากมีอาการก็อาจเป็นอาการที่ไม่เฉพาะเจาะจงมากพอที่จะบ่งบอกโรคได้ เช่น อ่อนเพลีย คลื่นไส้เล็กน้อย รู้สึกตึงบริเวณใต้ชายโครงขวา โดยส่วนใหญ่การตรวจพบโรคไขมันพอกตับจึงมักพบเมื่อผู้ป่วยเข้ารับการเจาะเลือดตรวจสุขภาพประจำปีหรือตรวจทางการแพทย์ด้วยเหตุผลอื่นๆ

☣️ปัจจัยเสี่ยงของโรคไขมันพอกตับ
🎯โรคอ้วน ประมาณร้อยละ 20 ของคนที่เป็นโรคอ้วนจะมีโรคไขมันพอกตับอยู่ด้วย
🎯น้ำหนักตัวมากเกิน (ดัชนีมวลกายหรือ BMI 25-30)
🎯เบาหวาน
🎯ดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์มาก
🎯รับประทานอาหารที่มีรสหวานมากเกินไป เช่น ดื่มชาเขียวที่มีรสหวานแทนน้ำ

ปรึกษาปัญหาสุขภาพฟรีได้ที่ 089 883 1653
หรือคลิ๊กลิงค์ด้านล่างนี้ทักมาได้เลยนะคะ
https://line.me/R/ti/p/

ส่วนประกอบสำคัญ ของ Green-L1. อาร์ติโซ๊ค (Cynara Scolymus)    บำรุงตับ สกัดสารพิษ จากกระแสเลือด ลดหลอดเลือดอุดตัน ลดตับอ...
14/02/2018

ส่วนประกอบสำคัญ ของ Green-L

1. อาร์ติโซ๊ค (Cynara Scolymus)
บำรุงตับ สกัดสารพิษ จากกระแสเลือด ลดหลอดเลือดอุดตัน ลดตับอักเสบ ตับแข็ง

2. โรสฮิป (Rosehip Extract)
มีวิตามิน C สูงกว่าผลไม้ตระกูลส้ม 20 เท่า มีสารต้านอนุมูลอิสระ ลดการติดเชื้อ บำรุงให้ตับแข็งแรง

3. สารสกัดชาเขียว (Green Tea Extract)
มีคุณสมบัติ การล้างพิษ คือเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีฤทธิ์สูง ป้องกันการก่อตัวของอนุมูลอิสระ ป้องกันตับจากสารพิษ ลดการอักเสบ ต้านเชื้อแบคทีเรีย และไวรัส ป้องกันการเกิดลิ่มเลือด

4. อัลฟาฟ่า (Alfalfa Extract)
ป้องกันเซลล์ในตับถูกทำลาย ลดการอักเสบ ทำให้เลือดสะอาด ต้านอนุมูลอิสระ ป้องกันและลดการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจทำงานได้ดี ลดความดันโลหิต ลดน้ำตาลในเลือด และลดปัญหาเส้นเลือดหัวใจตีบ

5. แอล-ซีสเตอีน (L-Cysteine HCI anhydrous)
ขจัดสารพิษออกจากร่างกาย ป้องกันตับจากการถูกทำลาย จากสุรา บุหรี่ ยา ต่อต้านสารพิษ ป้องกันมะเร็งตับ

ปรึกษาปัญหาสุขภาพฟรีได้ที่ 089 883 1653
หรือคลิ๊กลิงค์ด้านล่างนี้ทักมาได้เลยนะคะ
https://line.me/R/ti/p/

Green-L กรีน แอล (LIVER SUPPORT) ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมบำรุงตับ เป็นนวัตกรรมทีมีคุณภาพสูง         ล้างสารพิษในตับ ช่วยฟื้นฟ...
14/02/2018

Green-L กรีน แอล (LIVER SUPPORT) ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมบำรุงตับ เป็นนวัตกรรมทีมีคุณภาพสูง

ล้างสารพิษในตับ ช่วยฟื้นฟู บำรุง เสริมการทำงานระดับเซลล์ของตับ แก้ตับอักแสบ บำรุงตับ ลดค่าเอ็นไซม์ตับ ฟื้นฟูบำรุงตับ ไต บำบัดอาการไวรัสตับอักเสบ A B C D มะเร็งตับ ตับแข็ง หรือผู้ที่มีอาการอ่อนเพลีย จากการทำงานหนักและเหมาะสำหรับ ผู้ดื่มสุรา และสูบบุหรี่เป็นเวลานาน

"ตับแข็งแรง ปราศจากโรค" กระตุ้นการทำงานของตับ ช่วยกระตุ้นการหมุนเวียนของระบบเลือดในร่างกาย ทำให้สุขภาพและระบบต่างๆในร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

จุดเด่นของกรีนแอล Green-L

- ช่วยบำรุงกระตุ้นการทำงานของตับ เพราะตับคืออวัยวะ ที่สำคัญของร่างกาย
- ข่วยป้องกัน ตับอักเสบ ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคดีซ่าน และโรคตับแข็ง (Cirrhosis)
- ช่วยในการป้องกัน ตับจากความเสียหายจากสารพิษต่างๆ เช่นแอลกอฮอลล์
- ช่วยทำให้ร่างกายของเรารู้สึกสดชื่น กระปรี้ กระเปร่า เนื่องจากมีผลในการกระตุ้นการทำงานระดับเซลล์
- ช่วยยับยั้งการเกิดออกซิเดนซ์ ทำให้ผิวพรรณกระจ่างใส ไร้ริ้วรอย

Green-L การล้างพิษตับ เหมาะสมกับใคร?

1. เหมาะกับคนที่มีพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่มีความเสี่ยง เช่น การสูบบุหรี่ ดื่มสุรา เป็นประจำ
2. ผู้ที่ทานอาหารไม่ถูกหลักอานามัย เช่นอาหารรสจัด ปิ้ง ย่าง มีเชื้อปรสิต อาหารสุกๆ ดิบๆ
3. ผู้ที่มีความเครียด ผักผ่อนนอนหลับไม่เพียงพอ

อาการเหล่านี้ล้วนเป็นสาเหตุให้ตับทำงานหนัก แล้วนำไปสู่การเกิดโรค และภาวะต่างๆ เช่น ตับอักเสบ ตับแข็ง ฝีในตับ โรคเบาหวาน

ประโยชน์จากการล้างพิษด้วย Green-L

1. ป้องกันและต่อสู้กับโรคมะเร็ง
2. ลดการสะสมของไขมันที่พอกตับและลดการเกาะตัวของไขมันที่บริเวณผนังหลอดเลือด
3. ขจัดสารพิษที่ตกค้างอยู่ในตับ
4. ปกป้องค่าตับ
5. เพิ่มสารอนุมูลต้านอิสระ ให้เซลล์ตับ
6. ฟื้นฟูผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบ มะเร็งตับ ตับแข็ง ไขมันพอกตับ ตับอักเสบ
7. บำรุงตับ
8. กำจัดพิษที่ตกค้างในร่างกาย
9. ลดการทำลายเซลล์ตับจากสารพิษ

ปรึกษาปัญหาสุขภาพฟรีได้ที่ 089 883 1653

Address

242 ถ. สุวินทวงศ์ แขวงแสนแสบ เขตมีนบุรี

10510

Telephone

089 883 1653

Website

Alerts

Be the first to know and let us send you an email when Green-L well liver posts news and promotions. Your email address will not be used for any other purpose, and you can unsubscribe at any time.

  • Want your practice to be the top-listed Clinic?

Share

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram