ร้านยาสองเภสัชกร - 2Pharmacy

  • Home
  • ร้านยาสองเภสัชกร - 2Pharmacy

ร้านยาสองเภสัชกร - 2Pharmacy ให้บริการโดยเภสัชกร ตลอดเวลา ร้านยาสองเภสัชกร ตั้งอยู่บริเวณ ซอย7 หน้าตลาดตาซ่วน (สมหวัง) ตำบลป่าพุทรา อำเภอขาณุวรลักษบุรี จ.กำแพงเพชร

06/11/2025
06/11/2025

🧔 วัยทองในผู้ชาย (Andropause) — เมื่อ “พลังชาย” เริ่มเปลี่ยนแปลง

แม้จะไม่มีช่วงเวลาชัดเจนแบบในผู้หญิง แต่ผู้ชายหลายคนก็อาจประสบภาวะที่เรียกว่า Andropause หรือ “วัยทองในผู้ชาย” ซึ่งเกิดจากการลดลงของฮอร์โมนชายหลัก คือ Testosterone อย่างช้า ๆ ตามอายุ

🧬 สาเหตุหลัก
🔹 ระดับเทสโทสเทอโรนเริ่มลดลงตั้งแต่ประมาณอายุ 30 ปีขึ้นไป และลดลงเฉลี่ยประมาณ 1–2 % ต่อปีในผู้ชายบางกลุ่ม ซึ่งได้รับการยืนยันจากการศึกษา
🔹 การลดลงนั้นอาจมาจากหลายปัจจัยร่วม ได้แก่
▪️ การเสื่อมของอัณฑะ (Leydig cells) และระบบสั่งงานในสมองส่วน ้hypothalamus/pituitary ที่กระตุ้นการสร้างฮอร์โมน
▪️ โรคประจำตัว เช่น เบาหวาน – อ้วน – ความดันสูง ซึ่งมีผลให้ฮอร์โมนชายลดลงเร็วขึ้น

⏳ เมื่อไหร่เริ่มเกิด?
โดยทั่วไป ผู้ชายอาจเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่อายุประมาณ 40–45 ปีขึ้นไป
อาการชัดเจนอาจพบในช่วงอายุ 50–60 ปี
แต่หากมีปัจจัยเร่ง เช่น ความเครียดสูง พักผ่อนไม่เพียงพอ โรคอ้วน สูบบุหรี่ ดื่มสุรา ก็อาจเกิดเร็วกว่าได้

📋 อาการที่อาจพบ
อาการอาจหลากหลาย และไม่เฉพาะเจาะจง เช่น
▪️ เหนื่อยง่าย ไม่มีแรง กระชุ่มกระชวยลดลง
▪️ กล้ามเนื้อลดลง ไขมันเพิ่ม
▪️ สมรรถภาพทางเพศลดลง / อวัยวะเพศแข็งตัวยาก / ความต้องการทางเพศลด
▪️ นอนไม่หลับ กระสับกระส่าย
▪️ อารมณ์เปลี่ยนง่าย หงุดหงิด ซึมเศร้า
▪️ เหงื่อออกกลางคืน ร้อนวูบวาบ
▪️ ความจำและสมาธิลดลง ขี้ลืม
▪️ เวียนหัว หูอื้อ ตาพร่า หน้ามืด
▪️ ผิวแห้ง ผมหงอก ผมร่วง
▪️ ปวดเมื่อย ปวดเอว เข่าเย็น
▪️ อาการต่าง ๆ เหล่านี้สอดคล้องกับงานวิจัยที่พบว่าการลดฮอร์โมนชายในผู้ชาย กลางขึ้นไป ส่งผลต่อสมรรถภาพกล้ามเนื้อ อารมณ์ และสมรรถภาพทางเพศได้

👉 ในมุมมองทางการแพทย์แผนไทย
>> ถือว่าเมื่ออายุ เกิน 40 ปี เป็นช่วงที่ “ไฟธาตุเริ่มอ่อน ลมกำเริบ” ทำให้พลังชีวิต (กำลังไฟ กำลังวาโย) เสื่อม

👉 ในมุมการแพทย์แผนจีน
>> มีมุมมองว่าเกิดจากพลังพื้นฐานชีวิตพร่อง

✅ แนวทางดูแล
1. ปรับพฤติกรรมก่อน
- นอนประมาณ 7 ชั่วโมงต่อคืน พยายามนอนก่อน 4 ทุ่ม หากทำได้
- ออกกำลังกาย โดยเฉพาะเวทเทรนนิ่ง (ศึกษารายละเอียดที่ถูกต้องเพิ่มเติม)
- ลดน้ำตาล อาหารแปรรูป แอลกอฮอล์ บุหรี่
- ควบคุมน้ำหนักไม่ให้เกิน ควบคุมโรคประจำตัวให้ดี
- เพิ่มโปรตีนและไขมันดี เช่น ไข่ ปลา อะโวคาโด เมล็ดฟักทอง

2. วิตามิน ที่อาจเสริม
ควรขอคำแนะนำแพทย์/เภสัชกร ถึงขนาดการใช้ที่ถูกต้อง
- สังกะสี/ แมกนีเซียม /วิตามินดี /วิตามินบี

3. สมุนไพร
เลือกใช้ตามอาการ ในความดูแลของแพทย์ / เลือกผลิตภัณฑ์ที่ปลอดภัยเชื่อถือได้

📚 ทางแผนจีน
>> เน้นจัดยาตำรับ ต้องตรวจร่างกายก่อน
อาจแนะนำเบื้องต้นเป็น เก๋ากี้ บำรุงเลือด

📚 ทางอายุรเวท
>> ยาที่พอมีข้อมูลว่าอาจช่วยได้ คือเมล็ดหมามุ่ย (Kapikacchu - กาปิกัจชู ) ไม่กินดิบ เริ่มต้นไม่เกินวันละ 5 กรัม ช่วยบำรุงกำลัง สมรรถภาพทางเพศ เพิ่มโดปามีนได้ สามารถพบเจอคุณสมบัตินี้ได้ทั้งหมามุ่ยอินเดียและสายพันธุ์ไทยที่มีมาตรฐาน

📚 ทางแผนไทย
>> ใช้ยาหอม ปรับธาตุลม ช่วยนอนหลับ ปรับสมดุลอารมณ์ เช่น เทพจิตร ทิพโอสถ หรือตำรับกลีบบัวแดง ช่วยนอนหลับดูแลสมอง/ความจำ

🔍 สิ่งที่ควรรู้เพิ่มเติม
🔸 ถึงแม้ฮอร์โมนจะลดลง แต่ ไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะมีอาการชัดเจน หรือจำเป็นต้องใช้ฮอร์โมนทดแทน
🔸 การใช้ฮอร์โมนทดแทน (Testosterone) มีทั้งประโยชน์และความเสี่ยง และควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
🔸 งานวิจัยพบว่า การปรับพฤติกรรมมีผลมาก เช่น การเพิ่มกิจกรรมทางกายสามารถช่วยเพิ่มระดับฮอร์โมนได้ในผู้ชายที่อ้วนหรือมีไขมันมาก

🔖 อ้างอิง
1) https://pmc.ncbi.nlm.nih.gov/articles/PMC4440190/
2) https://pmc.ncbi.nlm.nih.gov/articles/PMC4046605/
3) https://pmc.ncbi.nlm.nih.gov/articles/PMC4706091/
4) https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/12472620/
**************************
ปรึกษาสุขภาพกับเรา👩‍⚕️‍👨‍⚕️
◾️ คลินิกแพทย์แผนไทยออนไลน์: https://lin.ee/E5weKTc
◾️ ปรึกษาสุขภาพ ☎ 037-211289 , 087-5820597 (เฉพาะวันเวลาราชการ)
◾️ สถาบันการแพทย์แผนไทย: https://sites.google.com/view/abhthaimed

06/11/2025

สมุนไพรน่ารู้ | สมุนไพรที่มี Pre-Biotic

Pre-biotic เป็นสารอาหารที่ทนต่อกรดในกระเพาะอาหาร ไม่ถูกไฮโดรไลซ์โดยเอนไซม์ ไม่ถูกดูดซึมที่บริเวณทางเดินอาหาร แต่ถูกหมักโดยเชื้อแบคทีเรียในลำไส้ ทำให้เกิดการกระตุ้นการเจริญเติบโต หรือการทำงานของเชื้อแบบจำเพาะ เพื่อช่วยให้ผู้ที่รับประทานมีสุขภาพที่ดีขึ้น

Pre-biotic ที่พบในธรรมชาติ ได้แก่
* Fructans: ได้แก่ inulin และ fructo-oligosaccharide (oligofructose): กระตุ้นแบคทีเรียที่สร้าง lactic acid
* Galacto-oligosaccharides (GOS): กระตุ้น Bifidobacteria และ Lactobacilli
* Starch and Glucose-Derived Oligosaccharides หรือ resistant starch: กระตุ้น Ruminococcus bromii และ Bifidobacterium adolescentis
* Other Oligosaccharides มาจากสารจำพวก polysaccharide หรอ pectin: การกระตุ้นแบคที่เรียจะขึ้นกับแหล่งที่มาของ pectic oligosaccharide
* Non-Carbohydrate Oligosaccharides เป็นสารที่ไม่ได้อยู่ในกลุ่มคาร์โบไฮเดรต แต่มีคุณสมบัติเป็น pre-biotic ตัวอย่างของสารกลุ่มนี้ เช่น flavanols ซึ่งจะกระตุ้นแบคทีเรียที่สร้าง lactic acid�
สมุนไพรที่มี Pre-Biotic ได้แก่ กระเทียม, หัวหอม, กล้วย, กลอย, ถั่วเขียว, เม็ดบัว, ขมิ้นขาว, ข่า, ขิง, หอมแดง, กระเจี๊ยบเขียว, ตะไคร้, ลูกยอ

🔖ข้อมูลอ้างอิง
Dorna Davani-Davari, Manica Negahdaripour, Iman Karimzadeh, Mostafa Seifan, Milad Mohkam, Seyed Jalil Masoumi, et al. Prebiotics: Definition, Types, Sources, Mechanisms, and Clinical Applications[internet]. 2019 [cited 16 NOV.2024]. Available from:https://pmc.ncbi.nlm.nih.gov/articles/PMC6463098/pdf/foods-08-00092.pdf

🔖จัดทำโดย นศภ. ณิชาภัทร กอนดี ชั้นปีที่ 6 มหาวิทยาลัยมหิดล

#สมุนไพรน่ารู้ -Biotic #อภัยภูเบศร #สมุนไพรอภัยภูเบศร

05/11/2025
05/11/2025
05/11/2025

อภัยภูเบศรแจกสูตร | “แกงส้มหยวกกล้วย”

สุขสันต์วันลอยกระทงนะคะทุกท่าน วันนี้แอดมินเอาสูตรแกงส้มหยวกกล้วยมาฝาก เมนูนี้ช่วยเพิ่มกากใยในลำไส้ ทำให้ขับถ่ายสะดวกขึ้นค่ะ

🔻ส่วนประกอบ
ตะไคร้ ใบมะกรูด กระเทียม น้ำปลาร้า ปลาช่อน หรือกุ้ง ปลาย่าง ปลาเนื้ออ่อน น้ำปลา มะขามเปียก หยวกกล้วย ผักแขยง หรือใบกะเพรา หรือต้นหอม

🔻วิธีทำ
1. นำตะไคร้ ใบมะกรูด กระเทียม ตำให้ละเอียด ละลายน้ำใส่หม้อ ตั้งไฟจนเดือด
2. ใส่หยวกกล้วยหันสี่เหลี่ยม ต้มจนหยวกกล้วยเปื่อย ให้สามารถเคี้ยวได้ง่าย
3. ใส่ปลาช่อน หรือปลาย่าง ปลาเนื้ออ่อน กุ้งตัวเล็ก
4. ปรุงรสด้วยน้ำปลาร้า น้ำปลา น้ำตาล น้ำมะขามเปียก จากนั้น ใส่ผักแขยง หรือใบกะเพรา หรือต้นหอมลงไป

#อภัยภูเบศรแจกสูตร #แกงส้มหยวกกล้วย #หยวกกล้วย #สมุนไพรอภัยภูเบศร #อภัยภูเบศร

04/11/2025

รู้ทันโรค | ขี้เต็มท้อง

ขี้เต็มท้อง/ภาวะอุจจาระตกค้าง-อุดตัน/ภาวะท้องผูกเรื้อรัง (Chronic Constipation)/เถาดานพรรดึก สามารถเกิดขึ้นได้กับคนทุกเพศทุกวัย แม้แต่ผู้ที่มีสุขภาพดีหรืออุจจาระทุกวัน แต่อุจจาระไม่หมด

เมื่อมนุษย์กินอาหารเข้าทางปาก จะมีการย่อยอาหาร และดูดซึม สุดท้ายจะเหลือกากอาหาร เคลื่อนตัวไปยังทางออก คือ ลำไส้ใหญ่ ต่อออกที่ทวารหนัก ปกติแล้วลำไส้ของคนก็จะมีอุจจาระอยู่แล้ว หากเอกซเรย์ก็จะเห็นอุจจาระอยู่ในท้อง เพียงแต่บางคนมีมากจนอัดแน่น ระบายออกมาไม่ได้ กินของใหม่เข้าไปก็แน่น อึดอัด

ภาวะนี้มักพบในผู้สูงอายุ ในผู้หญิงมากกว่าผู้ชายถึง 2 เท่า ผู้ที่ชอบกลั้นอุจจาระ มีภาวะท้องผูกรุนแรงเป็นเวลานาน หรือการมีภาวะอุจจาระตกค้าง ก็ทำให้เกิดปัญหาท้องผูกตามมาด้วยเช่นกัน

ภาวะท้องผูกนั้น อาจเกิดขึ้นได้กับทุกๆ คนในเวลาช่วงใดช่วงหนึ่งของชีวิต หากมีอาการท้องผูกนานกว่า 3 เดือน หรือพบว่ามีอาการท้องผูกร่วมกับอาการเตือนอื่นๆ เช่น น้ำหนักลด ถ่ายเป็นเลือด ท้องผูกสลับท้องเสีย ถ่ายอุจจาระลำเล็กลง ควรพบแพทย์เพื่อทำการวินิจฉัยและรักษา เนื่องจากถึงแม้ภาวะท้องผูกจะไม่ใช่โรคร้ายแรง แต่อาจเป็นสัญญาณเตือนของโรคร้ายแรงอื่นๆ เช่น โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ โดยเฉพาะผู้ที่มีประวัติญาติสายตรงเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ หรือเริ่มมีอาการท้องผูกเมื่ออายุมากกว่า 50 ปี

“ภาวะอุจจาระตกค้าง” คือ การมีอุจจาระแห้งและอุดตันเป็นจำนวนมากบริเวณลำไส้ตรง จนไม่สามารถผ่านออกมา เมื่อมีอุจจาระตกค้าง อยู่ที่ลำไส้อยู่เป็นจำนวนมาก หากปล่อยไว้เป็นเวลานาน ลำไส้ใหญ่ดูดซึมน้ำออกจากก้อนอุจจาระไปตามธรรมชาติ เมื่ออุจจาระถูกเก็บหมักหมมมานาน แล้วไม่ได้ถ่าย ก้อนอุจจาระที่ถูกดูดน้ำออกไปทุกวันก็จะแห้งหรือแข็งขึ้น จนอุจจาระเกาะติดแน่น เกิดการแข็งตัวติดแน่นสะสมเป็นก้อนแข็งอยู่ในลำไส้และไส้ตรง แน่นมากจนทำให้แรงบีบตัวของลำไส้ใหญ่ไม่พอเพียงผลักดันให้ก้อนอุจจาระเคลื่อนลงมา ทำให้ขับถ่ายไม่ออก หรือขับถ่ายออกได้ยาก เพราะว่าลำไส้มีการขยายออก แต่แรงที่จะหดกลับไม่เพียงพอ จนไม่สามารถทำการเบ่งอุจจาระออกมาได้

"เถาดานพรรดึก" เถาดาน คือ แข็งเป็นลำในท้องตั้งแต่ยอดอกถึงท้องน้อย ทำให้แน่น จุกเสียด “พรรดึก” คือ อาการที่อุจจาระแข็งคั่งค้างในลำไส้ ทางแพทย์แผนไทย หมายถึง อุจจาระที่แห้งกรังติดผนังลำไส้จนถ่ายออกยาก เวลาถ่ายออกมาจะคล้ายขี้แพะ ขี้แมว หมักหมมเกิดแก๊ส เกิดลม เป็นพิษต่อร่างกาย

🔻อาการของภาวะอุจจาระตกค้าง
- ปวดท้องแบบบีบๆ ท้องอืด แน่นท้อง ไม่สบายท้อง ลมในท้องเยอะ
- คลื่นไส้ อาเจียน เวียนหัว
- ขมคอ เรอเปรี้ยว และผายลมตลอดทั้งวัน
- หายใจไม่อิ่ม หายใจไม่ทั่วท้อง รู้สึกต้องหายใจลึกๆ ตลอดเวลา
- กินอาหารได้น้อยลง กินนิดเดียวจะรู้สึกแน่นท้อง เบื่ออาหาร
- ท้องผูก ไม่ถ่ายหลายวัน อุจจาระก้อนเล็ก แข็ง อาจบาดทวารหนักจนมีเลือดปนออกมากับอุจจาระ
- รู้สึกว่าอุจจาระไม่สุด ไม่โล่งสบายท้องต้องนั่งนานกว่าปกติ หรืออุจจาระไม่หมดท้อง ต้องใช้แรงในการเบ่งอุจจาระอย่างมาก
- ปัสสาวะบ่อยจากการที่กระเพาะปัสสาวะถูกกดทับ
- มีกลิ่นตัว กลิ่นปาก จากลมพิษที่ลอยตัวขึ้นมาจากอุจจาระหมักหมนด้านล่าง
- ปวดตัว ปวดเมื่อยตัว อ่อนเพลีย ปวดหลังส่วนล่าง ปวดขา
- นอนไม่หลับ

คนที่เป็นมากก็อาจถึงขั้นลำไส้แตกทะลุได้ ถ้าหากลำไส้โป่งพองมาก เหมือนมีอะไรไปอุดกั้นอยู่ส่วนปลาย แล้วส่วนต้นก็ไปทับถมลงไปเรื่อยๆ จนมันป่องออกๆ สุดท้ายก็ทำให้ลำไส้แตกได้ ซึ่งเป็นอันตราย อันนี้ถือเป็นอาการที่รุนแรงที่สุด แต่ส่วนใหญ่มักจะไม่เกิดในคนธรรมดาทั่วไป อาจจะเกิดในคนที่อายุมาก เนื่องจากเรื่องของระบบประสาท การบีบตัว การเตือนมันน้อยลง

มีการรายงานข่าวชายออสเตรเลีย วัย 57 ปี ก็มีอาการอุจจาระอุดตัน หนักถึง 2 ลิตร จนเดินไม่ได้ ซึ่งเขามีอาการปวดท้อง คลื่นไส้ ปวดขา จนต้องนำตัวไปส่งโรงพยาบาล แพทย์ตรวจแล้วพบว่าเป็นผลมาจากอาการท้องผูกมาเป็นระยะเวลานาน ซึ่งพออุจจาระอัดแน่นกระทั่งไปกดทับเส้นเลือดบริเวณใกล้เคียงทำให้เลือดไม่สามารถไปเลี้ยงอวัยวะขาขวา จนเกิดอาการเดินไม่ได้นั่นเอง

🩺 การตรวจวินิจฉัยโรค
- การซักประวัติและการตรวจร่างกาย
- การตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT scan)
- การตรวจเอกซเรย์ด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) เป็นการถ่ายภาพคอมพิวเตอร์อีกชนิดหนึ่งที่ไม่อาศัยรังสีเอกซ์ แต่อาศัยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าซึ่งจะช่วยทาให้เห็นภาพของอวัยวะภายในได้อย่างชัดเจน

🔰การรักษา
- ปรับสุขลักษณะการขับถ่าย ปรับพฤติกรรม
- ใช้ยาระบาย

💊ยา
1. ยาระบายเดี่ยว : #คูน #ชุมเห็ดเทศ #มะขามแขก สมุนไพรทั้งสามชนิด จัดอยู่ในวงศ์เดียวกัน และพบว่ามีสารออกฤทธิ์คล้ายคลึงกัน โดยเป็นสารที่จัดอยู่ในกลุ่ม anthraquinone glycosides อย่างไรก็ตาม การใช้สมุนไพรทั้งสามชนิดจะต้องมีข้อระมัดระวัง ตลอดจนข้อห้ามใช้ในกลุ่มผู้ป่วยบางกลุ่ม เช่น ผู้ป่วยโรคลำไส้อุดตัน หญิงตั้งครรภ์และให้นมบุตร

🔸การใช้งานตามสาธารณสุขมูลฐาน
- เนื้อในฝักคูนหรือเนื้อหุ้มเมล็ดขนาดเท่าหัวแม่มือ (4 กรัม) มาต้มกับน้ำ เติมเกลือเล็กน้อย และให้ดื่มก่อนนอน หรือยาระบายชนิดน้ำผสมฝักคูน ครั้งละ 1-2 ช้อนโต๊ะ ก่อนนอน
- ใบชุมเห็ดเทศ 8-12 ใบ ต้มน้ำดื่มวันละ 1 แก้ว ก่อนนอน หรือชาชง ครั้งละ 1 – 2 ซอง (3 – 6 กรัม) ชงในน้ำเดือด 120 มิลลิลิตร นาน 10 นาที วันละ 1 ครั้งก่อนนอน
- มะขามแขก ใช้ใบแห้ง 1-2 กำมือ (หนัก 3-10 กรัม) ต้มกับน้ำดื่ม / ครั้งละ 800-1,200 มิลลิกรัม วันละ 1 ครั้ง ก่อนนอน หรือแบบแคปซูล ครั้งละ 2-3 แคปซูล วันละ 1 ครั้ง ก่อนนอน เมื่อมีอาการท้องผูก

2. ยาลุตะกรันของเสียเหนียวของอุจจาระที่ตกค้าง
▪️ #ยาล้างลำไส้ : เหมาะสำหรับผู้ที่ร่างกายร้อน

▪️ #ธรณีสัณฑฆาต : เป็นตำรับยาระบาย ที่ประกอบไปด้วยยารสร้อนจำนวนหลายขนาน วัตถุประสงค์ เพื่อช่วยไล่ลมที่คั่งค้างในลำไส้ ช่วยระบาย ลดอาการเถาดาน แก้ท้องผูก เพิ่มไฟ กระจายลม มีแรงดึงลมลงเบื้องล่าง ใช้แก้กษัย กล้ามเนื้อตึงเกร็ง

ตัวยาในตำรับ ประกอบด้วย พริกไทยล่อนจำนวนเยอะที่สุด ยาดำสะตุ สมอไทย มหาหิงคุ์ การบูร รงทอง ผักแพวแดง มะขามป้อม ลูกจันทน์ ดอกจันทน์ กระวาน กานพลู เทียนดำ เทียนขาว ดองดึง หัวบุก หัวกลอย หัวกระดาษขาว หัวกระดาษแดง ลูกเร่ว เหง้าขิง รากชะเอมเทศ รากเจตมูเพลิงแดง โกฐกระดูก โกฐเขมา โกฐน้ำเต้า

🔸รับประทานครั้งละ 500 มิลลิกรัม – 1000 มิลลิกรัม วันละ 1 ครั้ง ก่อนอาหารเช้าหรือก่อนนอน ไม่ควรใช้ติดต่อกันเกิน 7 วัน

🚫ข้อห้ามใช้
ห้ามใช้ในหญิงตั้งครรภ์ ผู้ที่มีไข้ เด็กเล็ก ใช้ยาละลายลิ่มเลือดวาร์ฟาริน

🔻ขนาดและการใช้
1. ผู้มีอาการท้องผูกประจำ กิน 2-4 แคปซูล ก่อนนอน ติดต่อกัน 5 วัน ดื่มน้ำมากๆ ระหว่างวัน และรับประทานเมื่อมีอาการท้องผูก
2. ผู้ที่มีลมในท้องมาก เช่น เป็นกรดไหลย้อน รับประทาน 2-3 เม็ด ต่อกันนาน 7 วัน หลังจากนั้น สัปดาห์ละ 2 วัน จนกว่าจะหาย
3. ผู้ที่ต้องการทำความสะอาดลำไส้ รับประทาน สัปดาห์ละ 1 วัน 2-3 แคปซูล ก่อนนอน

3. ยาปรับลำไส้ : #ตรีผลา
เป็นสมุนไพรที่มีทั้งรสเปรี้ยว+ฝาด รู้ปิดรู้เปิดในตัว จึงช่วยปรับการขับถ่ายให้สมดุล มีงานวิจัยรองรับว่าตรีผลาช่วยแก้ปัญหาท้องผูกได้ โดยไม่ทำให้ลำไส้ติดยา และไม่ทำให้ปวดมวนท้อง และยังสามารถกินเสริมฤทธิ์ยาระบายชนิดอื่น เช่น มะขามแขก ในรายที่ลำไส้ติดยา กินแล้วไม่ถ่ายเหมือนก่อน ในทางอายุรเวท มีองค์ความรู้ว่า ตรีผลา สามารถ detox ร่างกายทั้ง 3 ระบบ คือ ลำไส้ เลือด และตับ จึงมีการใช้ตรีผลาเพื่อช่วยลดไขมันในเลือด ไขมันพอกตับ ทำความสะอาดลำไส้ ต้านมะเร็ง

🥗 ตัวอย่างอาหาร กินผักลวก เช่น ผักบุ้ง กระเจี๊ยบเขียว กินผลไม้รสเปรี้ยว เช่น น้ำมะนาว น้ำมะกรูด ผิวของผลขับลมในลำไส้ น้ำสัปปะรด

✅ การป้องกันภาวะอุจจาระตกค้าง
1. ไม่กลั้นอุจจาระเด็ดขาด ควรขับถ่ายทันทีที่ปวด หากยังไม่ปวดอุจจาระแต่จำเป็นต้องออกนอกบ้าน ไม่ควรพยายามเบ่งขณะที่ยังไม่ปวด เนื่องจากการเบ่งอุจจาระแรงๆ เป็นการกระตุ้นและเพิ่มแรงดันในลำไส้ หากทำบ่อยๆ อาจทำให้ลำไส้โป่งพอง เกิดริดสีดวงทวารได้ ฝึกขับถ่ายให้เป็นเวลาทุกวัน เพื่อให้ร่างกายและลำไส้เคยชิน โดยเฉพาะช่วงเช้าหลังตื่นนอน ประมาณ 5-7 น. ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ลำไส้ใหญ่ทำงานดีที่สุด ตามนาฬิกาชีวิต
2. ฝึกหายใจให้ถูกวิธี โดยหายใจเข้าท้องป่อง หายใจออกท้องแฟบ
3. ดื่มน้ำให้พอเพียง
4. ดื่มน้ำอุ่น หรือน้ำอุณหภูมิปกติ 1 แก้วหลังตื่นนอนตอนเช้า น้ำอุ่นจะช่วยให้เลือดไหลเวียนดี ช่วยกระตุ้นลำไส้ให้เคลื่อนตัวได้ดี ทำให้ขับถ่ายสะดวก
5. ลดอาหารที่มีไขมันสูง น้ำตาลสูง เนื้อสัตว์ เพิ่มการรับประทานอาหารที่มีกากใยสูง เช่น ผัก ผลไม้ต่างๆ
6. ฝึกเบ่งถ่ายอุจจาระอย่างถูกวิธี ท่านั่งที่เหมาะกับการขับถ่ายมากที่สุดคือ "นั่งยองๆ" เพราะจะมีแรงกดจากหน้าขาช่วยให้ขับถ่ายได้คล่องที่สุด แต่สำหรับชักโครก ท่านั่งที่ถูกต้องช่วยให้ขับถ่ายได้ดีขึ้นคือ "เอนตัวมาข้างหน้าเล็กน้อย" กรณีที่เท้าเหยียบไม่ถึงพื้นหรือเป็นเด็ก ควรมีที่วางเท้า เพื่อออกแรงเบ่งอุจจาระได้ดีขึ้น

สำหรับคนที่ขับถ่ายยาก วิธีถ่ายให้หมดท้อง อาจใช้มือกดท้องด้านซ้ายล่างขณะขับถ่าย ใช้กล้ามเนื้อหน้าท้องในการออกแรงเบ่งอย่างนุ่มนวลแต่แรงพอ ให้แนวแรงมีทิศทางไปทางด้านหลังและลงล่างไปยังรูทวารหนัก อย่านั่งนานกว่า 10 นาที ถ้าลำไส้คุณยังไม่พร้อมให้ลองใหม่อีกครั้งในภายหลัง
7. กรณีมีภาวะท้องผูก ควรรับประทานอาหารที่มีโปรไบโอติกเพิ่ม เช่น นมเปรี้ยว ชาหมัก โยเกิร์ต
ลุกขึ้นขยับร่างกายหลังรับประทานอาหาร เพื่อช่วยให้ลำไส้ได้บีบตัว และกระเพาะอาหารย่อยอาหารได้ดีขึ้น
8. ออกกำลังกายเป็นประจำ

🔖เรื่องโดย ภญ.อาสาฬา เชาวน์เจริญ

#รู้ทันโรค #ขี้เต็มท้อง #ภาวะอุจจาระตกค้างอุดตัน #ภาวะท้องผูกเรื้อรัง #เถาดานพรรดึก #สมุนไพรอภัยภูเบศร #อภัยภูเบศร

03/11/2025

📚 ขมิ้นชัน กับ การใช้ในมะเร็ง

"ขมิ้นชัน" เป็นเครื่องเทศหรือเป็นอาหาร แต่ในจีนตอนใต้มีการกินขมิ้นเป็นผัก และใช้เป็นสีผสมอาหารเหมือนหญ้าฝรั่น หรือว่าแถวนั้นจะเป็นถิ่นของคนตระกูลไทยลื้อแถบสิบสองปันนา เพราะมีแต่คนตระกูลไทยเท่านั้นที่ใช้ขมิ้นในวิถีชีวิตอย่างหลากหลาย ใช้เป็นเครื่องเทศ ยา เครื่องสำอาง สีแต่งอาหารและย้อมเสื้อผ้า

“ขมิ้นชัน” มีสารสำคัญที่ชื่อว่า เคอร์คูมิน (Curcumin) ซึ่งได้รับความสนใจจากวงการแพทย์ทั่วโลกว่ามี ฤทธิ์ต้านการอักเสบ ต้านอนุมูลอิสระ และอาจช่วยยับยั้งการเกิดและการเจริญของเซลล์มะเร็ง โดยเฉพาะ มะเร็งลำไส้ใหญ่

🔬 งานวิจัยทางห้องปฏิบัติการ พบว่า เคอร์คูมินสามารถ
• ยับยั้งการแบ่งตัวของเซลล์มะเร็ง
• กระตุ้นให้เซลล์มะเร็งตายตามกลไกธรรมชาติ (apoptosis)
• ลดการอักเสบในลำไส้ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงของการเกิดมะเร็ง

🔬 งานวิจัยในคน ก็เริ่มมีมากขึ้น เช่น การศึกษาที่ให้รับประทานเคอร์คูมิน 4 กรัมต่อวัน พบว่าสามารถลด “รอยโรคก่อนมะเร็ง” ในลำไส้ใหญ่ได้บางส่วน

🔬 อีกการศึกษาหนึ่งทดลองใช้ร่วมกับการให้เคมีบำบัดในผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่ พบว่า สามารถใช้ร่วมกันได้อย่างปลอดภัย แม้ผลต่อการรักษายังต้องการข้อมูลเพิ่มเติม

🔬 การรักษามะเร็งลำไส้ใหญ่ด้วยยาเคมีบำบัดและรังสี ก่อนการผ่าตัดเป็นส่วนสำคัญของการรักษา เนื่องจากช่วยลดความเสี่ยงของการกลับเป็นซ้ำ และเพิ่มโอกาสการผ่าตัดแบบรักษากล้ามเนื้อหูรูดไว้ แต่จากข้อมูลที่ผ่านมาพบว่ามีผู้ป่วยเพียงประมาณ 20% เท่านั้นที่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยเคมีบำบัดและรังสีได้อย่างสมบูรณ์ เพราะเกิดการดื้อต่อการรักษา จากกลไกการปรับตัวของเซลล์มะเร็ง เช่น โปรตีนดื้อยา อนุมูลอิสระ (ROS) การอักเสบ (COX-2) ซึ่งพบว่ามีความเกี่ยวข้องอย่างมากกับการทำงานของกลุ่มของโปรตีนที่ควบคุมการถอดรหัสของ DNA ที่มีชื่อว่า NF-κB (Nuclear Factor kappa-light-chain-enhancer of activated B cells) โดย NF-κB เป็นตัวกลางในการกระตุ้นยีนที่เกี่ยวข้องกับการอักเสบ เพื่อตอบสนองต่อการติดเชื้อ หรือเนื้อเยื่อบาดเจ็บ ควบคุมยีนที่ป้องกันเซลล์ไม่ให้ตาย (anti-apoptotic genes) กระตุ้นการทำงานของเซลล์ภูมิคุ้มกัน

👉 ข้อมูลทางการแพทย์เอง ก็พบว่าการรักษาด้วยรังสีสามารถกระตุ้น NF-κB และผลผลิตยีนที่ควบคุมโดย NF-κB ได้แก่ Bcl-xL cyclin D1, matrix metalloproteinase 9 (MMP-9), vascular endothelial growth factor (VEGF) และ COX-2 มีส่วนทำให้เกิดภาวะดื้อต่อรังสีของเซลล์มะเร็ง การเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องของระดับ NF-κB ยังสัมพันธ์กับการเปลี่ยนแปลงของเซลล์เยื่อบุผิวลำไส้ใหญ่ที่เป็นเซลล์ปกติกลายไปเป็นเซลล์มะเร็งในที่สุด (normal colonic epithelial cells to adenomas, dyplasia, and, finally, invasive adenocarcinomas) ดังนั้น *** การยับยั้งวิถี NF-κB *** อาจยับยั้งการเติบโตของเนื้องอกลำไส้ใหญ่และทวารหนัก และเสริมฤทธิ์กับการฉายรังสี

เคอร์คูมิน สารสำคัญในขมิ้นชัน สามารถยับยั้งการกระตุ้น NF-κB และลดการแสดงออกของผลที่ตามมา อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ
- ช่วยชะลอเวลาการกลับมาของเซลล์มะเร็งได้นานขึ้น
- ลดการแบ่งตัวของเซลล์มะเร็ง ยับยั้งการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็ง (ดีกว่าการใช้รังสีอย่างเดียว)
- ลดการสร้างหลอดเลือดใหม่ที่ไปเลี้ยงเซลล์มะเร็ง (VEGF และ IL-8)
- กระตุ้นให้เกิดการตายของเซลล์มะเร็ง
- ลดการอักเสบในเยื่อเมือกลำไส้ โดยยับยั้งการแสดงออกของ COX-2 ในเซลล์ลำไส้ใหญ่
- ทำให้มะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนักไวต่อรังสี

🔬 ผลการศึกษานี้ ยังสอดคล้องกับการศึกษาก่อนหน้าที่แสดงฤทธิ์ต้านมะเร็งของลำไส้ของขมิ้นชัน เช่น
1) เคอร์คูมิน ช่วยเพิ่มความไวต่อการฉายรังสี ของเซลล์มะเร็งต่อมลูกหมากและมะเร็งเต้านมในหลอดทดลอง
2) ผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก ที่ได้รับเคอร์คูมิน 1.8 กรัม/วัน เป็นเวลา 7 วัน ก่อนผ่าตัด ช่วยลดปริมาณสารพันธุกรรมของ DNA ในเซลล์มะเร็ง
3) ผู้ป่วยมะเร็งตับอ่อนระยะสุดท้าย 25 ราย เข้าสู่ระยะประคับประคอง ได้รับเคอร์คูมิน 8 กรัม/วัน โดยไม่ได้รับการรักษาแผนปัจจุบัน (แต่เคยผ่านการรักษามาแล้วก่อนหน้า) มี 2 ราย ที่โรคทรงตัวนานกว่า 18 เดือน และขนาดก้อนลดลง 73% แม้จะมีระดับยาในเลือดต่ำมากก็ตาม
4) ผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่ ที่ได้รับเคอร์คูมิน 360 มิลลิกรัม วันละ 3 ครั้ง ติดต่อกัน 10-30 วัน ช่วยลดค่าบ่งชี้การอักเสบ TNF-α และเพิ่มการตายของเซลล์มะเร็ง
5) เคอร์คูมิน 4 กรัม/วัน ช่วยลด Aberrant crypt foci (ACF) 40% อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ในอาสาสมัครที่สูบบุหรี่ 44 ราย ที่มีรอยโรคดังกล่าว ซึ่งจัดเป็นรอยโรคระยะเริ่มต้น ที่สัมพันธ์กับการพัฒนาไปเป็นเซลล์มะเร็งลำไส้ใหญ่ (Preneoplastic lesion)

⚠️ อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีหลักฐานยืนยันแน่ชัดว่าขมิ้นชันเดี่ยวๆ จะรักษามะเร็งได้ แต่มีแนวโน้มว่าอาจช่วย ลดการอักเสบและเสริมการทำงานของร่างกายให้ดีขึ้น เมื่อใช้ร่วมกับการรักษาทางแพทย์แผนปัจจุบัน

✨ แม้ว่าตามการศึกษาส่วนใหญ่ใช้สารเคอร์คูมิน ไม่ได้ใช้ผงขมิ้นชัน แต่มีข้อมูลเบื้องต้นชี้ให้เห็นว่าการรับประทานผงขมิ้นในชีวิตประจำวันก็อาจได้ประโยชน์เช่นกัน เนื่องจากความเข้มข้นของขมิ้นชันที่พบในเนื้อเยื่อของลำไส้ มักสูงกว่าในเลือด เนื่องจากยาส่วนใหญ่อยู่ในลำไส้ จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมขมิ้นชัน จึงมีฤทธิ์ขับลมในลำไส้ ต้านอักเสบที่เด่นในลำไส้

✅ ขนาดรับประทาน : อาจรับประทานขมิ้นชันผสมในมื้ออาหาร หรือ แคปซูลขมิ้นชันวันละประมาณ 1–3 กรัมของผงขมิ้นชัน หรือ 2 แคปซูล หลังอาหาร 3 เวลา

⛔️ข้อห้าม/ควรระวัง
• ห้ามใช้ในผู้ที่ท่อน้ำดีอุดตัน
• ระวังการใช้ในผู้ป่วยนิ่วนุงน้ำดี หากตัดถุงน้ำดีทิ้งแล้วสามารถกินขมิ้นชันได้
• ผู้มีประวัติแพ้ขมิ้นชัน หรือพืชตระกูลเดียวกับขมิ้นชัน
• ผู้ใช้ยาวาร์ฟาริน ไม่ควรรับประทานเพราะอาจมีผลต่อระดับยา

📚 ข้อมูลอ้างอิง
1) Carroll RE et al., Cancer Prevention Research, 2011 – Curcumin 4 g/day ลดรอยโรคก่อนมะเร็งในลำไส้ใหญ่
2) Kunnumakkara AB, Diagaradjane P, Guha S, Deorukhkar A, Shentu S, Aggarwal BB, et al. Curcumin sensitizes human colorectal cancer xenografts in n**e mice to gamma-radiation by targeting nuclear factor-kappaB-regulated gene products. Clin Cancer Res. 2008;14(7):2128-36.
3) Howells LM et al., Cancer Chemotherapy and Pharmacology, 2019 – การใช้ Curcumin ร่วมกับเคมีบำบัด (FOLFOX) ปลอดภัย
4) Ojo OA et al., Anticancer Properties of Curcumin Against Colorectal Cancer, 2022 – ทบทวนกลไกต้านมะเร็งของ Curcumin

***************************
ปรึกษาสุขภาพกับเรา👩‍⚕️‍👨‍⚕️
◾️ คลินิกแพทย์แผนไทยออนไลน์: https://lin.ee/E5weKTc
◾️ สถาบันการแพทย์แผนไทย: https://sites.google.com/view/abhthaimed
◾️ ปรึกษาสุขภาพ ☎ 037-211289 , 087-5820597 (เฉพาะวันเวลาราชการ)

03/11/2025

สมุนไพรสู้โรค | ขมิ้นชัน-มะขามป้อม ต้านมะเร็งลำไส้

อาหารที่เป็นปัจจัยสำคัญของความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งลำไส้ เช่น
- อาหารแปรรูป เช่น ไส้กรอก แฮม เบคอน
- อาหารที่มีกากใยน้อย
- อาหารที่เป็นเนื้อสัตว์ โดยเฉพาะเนื้อแดง กินในปริมาณมาก โดยเฉพาะนำไปปิ้ง ย่าง ทอด รมควัน
- อาหารทะเล ที่ปนเปื้อนสารฟอร์มาลิน

ส่วนปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ เช่น พันธุกรรม สูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ เป็นโรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง อ้วน มีวิถีชีวิตที่ไม่ค่อยขยับ

จากสถิติพบว่า 9 ใน 10 คน ที่เป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ เกิดขึ้นเมื่ออายุมากกว่า 50 ปี

🟠 ขมิ้นชัน ต้านมะเร็งลำไส้
ถึงแม้ยังไม่มีหลักฐานยืนยันชัดเจนว่าขมิ้นชันสามารถป้องกัน หรือรักษามะเร็งลำไส้ได้
แต่มีการศึกษาเบื้องต้นหลายฉบับทั้งในหลอดทดลอง สัตว์ทดลอง รวมถึงผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ (โดยใช้สารสกัดขมิ้นชันเสริมกับการรักษามาตรฐาน) สรุปผลเป็นไปในทิศทางแนวโน้มดี และมีความปลอดภัยสูง

▪️ข้อมูลเชิงสถิติ พบว่า คนที่ใช้ขมิ้นในการปรุงอาหาร มีแนวโน้มอัตราการเกิดมะเร็งลำไส้ต่ำ

▪️ข้อมูลในหลอดทดลอง พบว่า สารออกฤทธิ์ในขมิ้นชัน ที่สำคัญ คือ เคอร์คูมิน ช่วยหยุดการเติบโตของเซลล์มะเร็งลำไส้ได้

▪️การศึกษา ณ ศูนย์วิจัยมะเร็งแห่งหนึ่งในสหราชอาณาจักร ตีพิมพ์ในวารสาร The Journal of Nutrition ปี ค.ศ.2019 ในผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก ระยะแพร่กระจาย 28 ราย พบว่า การให้สารเคอร์คูมิน รับประทาน วันละ 2 กรัม ร่วมกับยาเคมีบำบัด ช่วยเพิ่มอัตราการรอดชีวิต เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ได้รับยาเคมีบำบัดอย่างเดียว ตัวเลขได้มาจากค่ามัธยฐาน Progression-free survival (PFS) หรือการมีชีวิตอยู่รอดโดยปราศจากการลุกลามของโรค คือ 200 วัน ในกลุ่มที่ได้รับยาเคมีบำบัดอย่างเดียว (สูตร FOLFOX) และ 502 วัน ในกลุ่มที่ได้รับเคอร์คูมินร่วมกับยาเคมีบำบัด และพบค่าบ่งชี้การตอบสนองต่อยามะเร็งในกลุ่มที่ได้เคอร์คูมิน สูงกว่ากลุ่มที่ไม่ได้

▪️การใช้ขมิ้นชัน ยังอาจช่วยป้องกันมะเร็งลำไส้ (ลำไส้ใหญ่และทวารหนัก) กลับมาเป็นซ้ำ ในรายที่ผ่าตัดแล้ว เป็นการศึกษานำร่อง ได้รับการสนับสนุนจาก Cancer Research UK ทำในผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ หรือติ่งเนื้อในลำไส้ 26 ราย ให้ขมิ้นชันวันละ 5 แคปซูล (ประมาณ ½ ช้อนชา) ทุกวัน เป็นเวลา 2 สัปดาห์ (ไม่พบรายละเอียดอื่นในบทความนี้)

▪️นอกจากนี้ ยังมีข้อมูลพบว่า ขมิ้นชัน ช่วยลดโอกาส “การดื้อยาของเซลล์มะเร็ง” ที่ทำให้ผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ไม่ตอบสนองต่อยาเคมีบำบัด; oxaliplatin / 5-fluorouracil resistance เช่น การศึกษาในระดับเซลล์ นำเซลล์มะเร็งมาจากผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ กระจายไปตับ พบว่าเมื่อให้เคอร์คูมิน ร่วมกับยา oxaliplatin ตัวอย่างเนื้อเยื่อมะเร็งมี “การตอบสนองต่อยาดีมาก”

🟢 มะขามป้อม สมุนไพรต้านมะเร็ง
จากการศึกษาวิจัย พบว่า มะขามป้อม มีสารออกฤทธิ์ทางยา ที่อาจมีผลเปลี่ยนแปลงการแสดงออกของยีน (epigenetic) เช่น ปิดเซลล์มะเร็ง (downregulation of oncogenes) ผ่านกลไกร่วมกันอื่นๆ ที่สำคัญ เช่น ลดอักเสบ ต้านอนุมูลอิสระ เพิ่มการทำงานของสารต้านอนุมูลอิสระในร่างกาย ชะลอความเสื่อชราของเซลล์

สอดคล้องกับการใช้เป็นยาของมนุษยชาติมายาวนานมากกว่า 5000 ปี โดยศาสตร์อายุรเวทจัดให้ “มะขามป้อม” เป็นสมุนไพรในกลุ่มที่เรียกว่า รสายนะ (rasayana) คือเป็นสมุนไพรที่ทำให้มีชีวิตยืนยาวและอ่อนเยาว์ ซึ่งสมุนไพรที่เป็นรสายนะ ถือว่าเป็นสมุนไพรที่มีความปลอดภัยสูง เพราะมีการกินใช้กันมานานของมนุษย์ และเชื่อว่าการกินอย่างสม่ำเสมอเป็นประจำ จะช่วยให้อายุยืนยาว โดยไม่เจ็บป่วย

🔻สารออกฤทธิ์ทางยาของมะขามป้อม
สารในกลุ่มโพลีฟีนอล โดยเฉพาะแทนนินและฟลาโวนอยด์ เช่น Ellagic acid, Chebulagic acid, Pyrogallol, Gallic acid, Corilagin, Geraniin, Isocorilagin, Quercetin (flavonoid)

สารพฤกษเคมีเหล่านี้สามารถป้องกัน ชะลอ หรือย้อนกลับกระบวนการเกิดมะเร็งในแต่ละระยะได้

🔻ฤทธิ์ต้านมะเร็งของมะขามป้อม
มีการศึกษาในหลอดทดลองและหนูทดลอง พบว่า มะขามป้อม มีฤทธิ์ต้านมะเร็งได้หลายชนิด เช่น มะเร็งลำไส้ มะเร็งตับ มะเร็งเต้านม มะเร็งปากมดลูก มะเร็งรังไข่ โดยมีความเป็นพิษต่อเซลล์มะเร็ง แต่ไม่เป็นพิษต่อเซลล์ปกติ

🔻กลไกในการต้านมะเร็ง หลายกลไก ได้แก่
▪️ป้องกันมะเร็งในระยะเริ่มต้น เป็นการป้องกันไม่ให้เกิดการกลายพันธุ์ หรือ DNA ถูกทำลายจากอนุมูลอิสระ หรือสารก่อมะเร็ง โดยเกี่ยวข้องกับการกำจัดอนุมูลอิสระ หรือกระตุ้นการทำงานของเอนไซม์กำจัดสารแปลกปลอม

▪️มีการศึกษาในระดับเซลล์ พบว่า มะขามป้อม มีฤทธิ์ยับยั้งการจับติดแน่นของสารก่อมะเร็งชนิด Aflatoxin B1 และ (Benzo(a)pyrene กับ DNA

▪️สารสกัดมะขามป้อมที่สกัดด้วยน้ำ ยับยั้งการแตกหักของโครโมโซม ซึ่งถูกเหนี่ยวนำโดยสารก่อมะเร็ง

▪️เร่งการขับสารก่อมะเร็งออกจากร่างกาย ด้วยการนำสารก่อมะเร็ง เชื่อมกับสารกลูตาไธโอนแล้วขับออกจากร่างกาย

▪️เหนี่ยวนำให้เซลล์มะเร็งหยุดการเจริญเติบโต (proliferation inhibition : induce cell cycle arrest at G2/M phase)

▪️เหนี่ยวนำให้เกิดการตายของเซลล์มะเร็ง (apoptosis induction)

▪️ป้องกันการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็ง (invasion suppression)

- ยับยั้งการสร้างเส้นเลือด (angiogenesis inhibition) มีผลต้านการเจริญและแพร่กระจายของเซลล์มะเร็ง

มะขามป้อม จึงจัดเป็นอาหารทางยาที่อาจมีศักยภาพในการนำมาใช้เพื่อต้านมะเร็ง (กินเพื่อหวังผลชะลอ หรือป้องกันมะเร็ง) ซึ่งมีข้อมูลสนับสนุน จำนวนมากกว่าการนำมาใช้รักษามะเร็ง แต่สามารถใช้เพื่อส่งเสริมสุขภาพได้ทั้งในคนปกติ หรือคนที่เป็นมะเร็ง หรือเคยเป็นแล้วหายแล้ว

ในมุมมองการแพทย์แผนไทย การเป็นมะเร็งและการได้รับยาเคมีบำบัด หรือการฉายแสง เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ธาตุไฟในร่างกายกำเริบ สอดคล้องกับการอักเสบในการแพทย์แผนปัจจุบัน มะขามป้อม เป็นยาที่มีฤทธิ์ในการดับพิษร้อน ระบายความร้อนในเลือด สอดคล้องกับกับฤทธิ์ลดอักเสบ และยังมีฤทธิ์เสริมภูมิคุ้มกัน จึงอาจนำมาใช้เพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิตผู้ป่วยมะเร็งได้

ส่วนตัวผู้เขียน เคยรู้จักผู้ป่วยมะเร็งเต้านมท่านหนึ่ง ที่เป็นมะเร็งชนิดที่ไม่ค่อยตอบสนองต่อยาเคมีบำบัด เธอเล่าว่าเพื่อนๆผู้ป่วยมะเร็งที่เป็นชนิดเหมือนกันทยอยเสียชีวิตไปหมดแล้ว แต่เธอเชื่อว่าที่ยังมีชีวิตรอดมาถึงทุกวันนี้ เพราะดูแลเรื่องอาหารอย่างดี และมักจะปั่นผลมะขามป้อมกินเป็นประจำ

🔻ขนาดการรับประทาน
กินเป็นผลไม้ ชงเป็นชาผลแห้ง หรือแคปซูลผงมะขามป้อม

🔖ข้อมูลอ้างอิง
- https://www.mdpi.com/1422-0067/23/22/14058
- https://www.cancerresearchuk.org/about-cancer/find-a-clinical-trial/a-study-looking-at-curcumin-to-help-prevent-bowel-cancer
- https://pmc.ncbi.nlm.nih.gov/articles/PMC4477227/
- https://ejchem.journals.ekb.eg/article_107790...
- https://www.sciencedirect.com/.../abs/pii/S0308814624005405
- https://pmc.ncbi.nlm.nih.gov/articles/PMC9341453/
- https://li01.tci-thaijo.org/.../download/248645/170544
- https://www.sciencedirect.com/.../abs/pii/S1756464616301505

🔖เรื่องโดย ภญ.อาสาฬา เชาวน์เจริญ

#สมุนไพรสูโรค #ขมิ้นชัน #มะขามป้อม #มะเร็งลำไส้ #มะเร็ง #สมุนไพรอภัยภูเบศร #อภัยภูเบศร

Address


Opening Hours

Monday 08:00 - 20:00
Tuesday 08:00 - 20:00
Wednesday 08:00 - 20:00
Thursday 08:00 - 20:00
Friday 08:00 - 20:00
Saturday 08:00 - 20:00
Sunday 08:00 - 20:00

Telephone

+6655779166

Website

Alerts

Be the first to know and let us send you an email when ร้านยาสองเภสัชกร - 2Pharmacy posts news and promotions. Your email address will not be used for any other purpose, and you can unsubscribe at any time.

Contact The Practice

Send a message to ร้านยาสองเภสัชกร - 2Pharmacy:

  • Want your practice to be the top-listed Clinic?

Share

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram