13/01/2021
น้ำมันปลา ( Fish oil )
เป็นไขมันหรือน้ำมันที่สกัดจากปลาทะเลน้ำลึกในกระแสน้ำเย็นจะได้ปลาที่มีคุณภาพ ที่ส่วนหัวและส่วนเนื้อของปลา เช่น ปลาทูน่า ปลาแมคเคอร์เรล ปลาแอนโชวี่ ปลาเฮอร์ริง และปลาแซลมอน ประกอบด้วยกรดไขมันโอเมก้า-3 และกรดไขมันโอเมก้า-6 สำหรับกรดไขมันโอเมก้า-3 นั้นจะแบ่งออกเป็น EPA และ DHA เป็นหลัก ซึ่งเป็นกรดไขมันที่มีความจำเป็นต่อร่างกายอย่างมาก เพราะว่าร่างกายไม่สามารถสร้างขึ้นมาเองได้ และต้องได้รับจากสารอาหารเท่านั้น สำหรับกรดไขมันในกลุ่มโอเมก้า-6 นั้นก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน เพราะช่วยลดไขมันในเลือดได้ นอกจากปลาแล้วยังพบมากในน้ำมันพืชหลายชนิด เช่น น้ำมันข้าวโพด น้ำมันดอกคำฝอย น้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมันถั่วเหลือง เป็นต้น
-------------------------------------
ประโยชน์ของน้ำมันปลา ดีต่อสุขภาพอย่างไร
1. บรรเทาอาการโรคข้อกระดูกอักเสบ
จากการศึกษาของมหาวิทยาลัยบริสตอลพบว่า ไขมันโอเมก้า-3 ใน น้ำมันปลา สามารถบรรเทาอาการของโรคข้อกระดูกอักเสบได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยเมื่อทำการทดลองให้อาหารที่มีโอเมก้า-3สูงแก่หนูตะเภาที่เป็นโรคข้อกระดูกอักเสบ พบว่าสามารถช่วยรักษาโรคได้ถึง 50 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับหนูที่กินอาหารแบบปกติ
2. ชะลอความชรา
การที่เทโลเมียร์ (Telomere) ซึ่งเป็นดีเอ็นเอที่อยู่ส่วนปลายสุดของโครโมโซมสั้นลง สามารถเป็นสัญญาณเตือนได้ว่าร่างกายกำลังแก่ชรา เนื่องจากเมื่อเทโลเมียร์สั้นลง ระบบการทำงานในร่างกายจะเสื่อมถอยลงตามอายุที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ดีเทโลเมียร์มีความสัมพันธ์กับไขมันโอเมก้า-3 เนื่องจากมีผลการศึกษาหนึ่งพบว่า เมื่อลองสังเกตคนไข้ 600 คนที่เป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ พบว่ายิ่งคนไข้มีไขมันโอเมก้า-3 ในเลือดสูงมากเท่าไร เทโลเมียร์ก็จะมีความยาวมากขึ้นเท่านั้น ดังนั้นหากคุณอยากดูเด็กกว่าวัย ก็ควรบริโภคอาหารจำพวกปลาอย่างแซลมอนซึ่งนับว่าเป็นแหล่งของโอเมกา-3 ชั้นยอด
3. ช่วยให้ผลลัพธ์ของการออกกำลังกายดีขึ้น
มีผลการศึกษาหนึ่งพบว่า การบริโภค น้ำมันปลา ควบคู่กับการออกกำลังกายสามารถช่วยให้ไขมันในร่างกายลดลง โดยให้ผู้ที่มีน้ำหนักเกินมาตรฐานที่เป็นโรคอ้วนลงพุง (Metabolic syndrome) และมีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นโรคหัวใจ ทำการบริโภค น้ำมันปลา ชนิดโอเมก้า-3 ควบคู่กับการเต้นแอโรบิคอาทิตย์ละสามวันเป็นระยะเวลา 12 อาทิตย์ ผลปรากฏว่าไขมันบริเวณท้องลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวไม่ได้ผลกับผู้ที่บริโภค น้ำมันปลา หรือออกกำลังกายแบบแยกต่างหาก
4. เสริมสร้างพลังให้สมองและความจำ
มีนักวิจัยพบว่า อาหารเสริมประเภทน้ำมันปลาช่วยให้สมองทำงานได้ดีขึ้น อีกทั้งยังทำให้โครงสร้างสมองของผู้ที่บริโภคกับไม่บริโภคแตกต่างกัน นอกจากนี้ยังมีอีกผลการศึกษาหนึ่งที่ทดลองกับหนู ก็ค้นพบความเชื่อมโยงระหว่างน้ำมันปลากับสมองเช่นกันโดยมีผลต่อการทำงานของสมองส่วนที่เกี่ยวกับความจำและความคิด
5. รักษากล้ามเนื้อที่ไร้ไขมัน (Lean muscle) ในผู้ป่วยมะเร็ง
การบริโภคน้ำมันปลาเป็นอาหารเสริมอาจสามารถช่วยป้องกันการสูญเสียกล้ามเนื้อของผู้ป่วยมะเร็งที่ผ่านการทำเคมีบำบัดได้ ซึ่งมีการทดสอบหนึ่งได้ทำการแบ่งผู้ป่วยออกเป็นสองกลุ่ม คือ กลุ่มที่บริโภคน้ำมันปลาจำนวน 16 คน และไม่บริโภคน้ำมันปลา 24 คน ผลปรากฏว่า ผู้ป่วยกลุ่มที่สองน้ำหนักลดลงโดยเฉลี่ย 2.3 กิโลกรัม ในขณะที่ผู้ป่วยกลุ่มแรกยังคงมีน้ำหนักเท่าเดิม แต่สิ่งที่น่าสนใจในการทดลองนี้ คือ ผู้ป่วยกว่า 69 เปอร์เซ็นต์ มีมวลของกล้ามเนื้อเท่าเดิมหรือมากขึ้นอีกด้วย
6. ช่วยให้สุขภาพกระดูกดีขึ้น
ไม่เพียงแต่แคลเซียม วิตามินดี และแมกนีเซียมจะเป็นสารอาหารสำคัญที่ช่วยรักษาความหนาแน่นของกระดูกเท่านั้น แต่ยังมีกรดไขมันโอเมก้า-3 ชนิด DHA ที่เป็นสารอาหารที่จำเป็นในการเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรงด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ยังมีผลการศึกษาหนึ่งพบว่า หนูทดลองที่ได้กินอาหารที่มีโอเมก้า-6 จะมีความหนาแน่นของกระดูกต่ำกว่าหนูที่กินอาหารที่มีโอเมก้า-3 อีกด้วย
7. ปกป้องร่างกายจากมลภาวะทางอากาศ
น้ำมันปลาสามารถช่วยปกป้องอวัยวะสำคัญอย่างหัวใจจากมลภาวะทางอากาศได้ โดยมีผลการศึกษาหนึ่งพบว่า เมื่อลองให้ผู้ใหญ่วัยกลางคน จำนวน 29 คน บริโภคน้ำมันปลาเป็นอาหารเสริมด้วยปริมาณ 3 กรัมต่อวัน เป็นระยะเวลาติดต่อกัน 4 สัปดาห์ และให้ทุกคนไปอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีมลภาวะเป็นเวลา 2 ชั่วโมง โดยในกลุ่มคนดังกล่าวจะมีผู้ที่ได้รับยาหลอกด้วย (Placebo) หลังจากสิ้นสุดระยะเวลาแห่งการทดลอง นักวิจัยพบว่าในกลุ่มคนที่บริโภคน้ำมันปลานั้นไม่ปรากฏอาการด้านลบต่อมลพิษเท่ากับกลุ่มที่บริโภคยาหลอก
จากที่กล่าวไปข้างต้น จะเห็นได้ว่าน้ำมันปลามอบประโยชน์ต่อร่างกายหลายประการ ดังนั้นการบริโภคน้ำมันปลาเป็นอาหารเสริมเป็นประจำ จะทำให้คุณมีสุขภาพที่แข็งแรงขึ้นได้แน่นอน
-------------------------------------
ข้อควรระวังในการบริโภคน้ำมันปลา
1. เลือดออกง่าย(Excess Bleeding) เนื่องจากการลดการจับตัวของเกร็ดเลือด ดังนั้นจึงควรระมัดระวังเป็นพิเศษในผู้ที่รับประทาน Baby Aspirin เป็นประจำ
2. เพิ่มความต้องการวิตามินอี เนื่องจากร่างกายต้องนำวิตามินอีไปต้านอนุมูลอิสระที่เกิดจากปฏิกิริยาออกซิเดชันของกรดไขมันไม่อิ่มตัว (PUFA) ดังนั้นถ้าร่างกายได้รับ Antioxidant ไม่เพียงพอในระยะยาวอาจส่งเสริมการเกิดโรคหัวใจขาดเลือด เนื่องจากการเพิ่ม oxidize LDL
3. อาจเกิดโรคติดเชื้อได้ง่ายเนื่องจาก EPA กดระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย
น้ำมันปลาแม้จะมีประโยชน์ในการรักษาดังที่กล่าวมาแล้ว แต่ในทางปฏิบัติอาจเป็นไปได้ยาก เนื่องจากน้ำมันปลาทะเลมีกลิ่นแรงและต้องใช้ขนาดสูง ผู้ป่วยมักรู้สึกผะอืดผะอมและปั่นป่วนในท้องมากจนต้องหยุดรับประทานไปในที่สุด นอกจากนั้นยังอาจเกิดผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ ดังนั้น เพื่อความปลอดภัยจึงควรบริโภคปลาทะเลแทนน้ำมันปลาทะเลในปริมาณสัปดาห์ละ 3 มื้อ มื้อละ100 กรัม
--------------------------------------------------------------------
🎯 Fanpage :
https://www.facebook.com/JKnatural/
https://www.facebook.com/JKE25/
🎯 Chanel Youtube :
https://www.youtube.com/channel/UCK2hBOYBA0n_RgOZr1eI5xw
https://www.youtube.com/channel/UCMEZtwuZuX3f4teDRBbCfNg
-------------------------------------
JK natural #เจเค #เนเชอรัล #เจเคเนเชอรัล
JKE #เจเคอี
#น้ำมันปลา #น้ำมันตับปลา #ปลาทะเล #วิตามินเอ #วิตามินดี #กรดไขมันไม่อิ่ม -3 #ระบบประสาท #สมอง #แคปซูล #ราคา #ยี่ห้อไหนดี #บีเวล