บุญธวัช คลินิก แพทย์จีนฝังเข็ม วัชรพล-รามอินทรา

บุญธวัช คลินิก  แพทย์จีนฝังเข็ม วัชรพล-รามอินทรา แพทย์จีน-ฝังเข็ม-ยาจีน
วัชรพล-รามอิน แพทย์จีน-ฝังเข็ม-ยาจีน
วัชรพล-รามอินทรา

ภาพนี้... คือ "ชีวิตจริง" ของคุณหรือเปล่า? เมื่อเรากำลัง "เผา" วัยหนุ่มสาว เพื่อแลกกับ "เถ้าธุลี" ในตอนสุดท้ายในวัย 30 ก...
02/12/2025

ภาพนี้... คือ "ชีวิตจริง" ของคุณหรือเปล่า? เมื่อเรากำลัง "เผา" วัยหนุ่มสาว เพื่อแลกกับ "เถ้าธุลี" ในตอนสุดท้าย

ในวัย 30 กว่าๆ... เราถูกสอนให้วิ่งให้เร็ว ทำงานให้หนัก เพื่อเปลี่ยน "เวลา" ให้กลายเป็น "ทองคำ" (ความมั่งคั่ง/ความสำเร็จ)

แต่สิ่งที่เรามักลืมคิดไปคือ... "นาฬิกาทรายชีวิต ไม่มีปุ่มกดหยุด และไม่มีปุ่มเติมทราย"

ภาพที่คุณเห็นอยู่นี้ คือสัจธรรมที่โหดร้ายที่สุดครับ ด้านบนคือ "สารจิง (精)" หรือพลังชีวิตที่เรามีเต็มเปี่ยมในวัยหนุ่มสาว เราเทมันลงไปอย่างบ้าคลั่ง ผ่านการอดนอน ความเครียด กาแฟแก้วแล้วแก้วเล่า...

ผลลัพธ์ที่ได้ออกมาด้านล่าง อาจไม่ใช่ทองคำอย่างที่เราหวัง แต่กลายเป็น "เถ้าธุลี" ของสุขภาพที่พังทลาย... โรคกระเพาะ, ออฟฟิศซินโดรมเรื้อรัง, หมอนรองกระดูกทับเส้น, หรือร้ายแรงที่สุดคือ "การวูบดับหรือไหลตาย" ที่เริ่มพบในคนอายุน้อยลงเรื่อยๆ

👨‍⚕️ ในมุมมองแพทย์จีน: ช่วงอายุ 30-40 ปี คือช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อครับ (ผู้ชายรอบอายุ 32, ผู้หญิง 35) เป็นช่วงที่กราฟพลังชีวิตเริ่ม "หักหัวลง" ตามธรรมชาติ ถ้าคุณยังใช้ชีวิตแบบ "เผาเครื่อง" โดยไม่เติมน้ำมันหล่อลื่น ร่างกายจะเริ่มทวงคืน... และดอกเบี้ยทางสุขภาพนั้น "แพงกว่า" เงินที่คุณหามาได้ทั้งชีวิต

🛑 3 สัญญาณเตือน ว่าทรายในขวดคุณใกล้หมด:

ตื่นมาแล้วไม่สดชื่น เหมือนคนไม่ได้นอน (แม้จะนอนครบ 8 ชม.)

ปวดหลังส่วนล่างเรื้อรัง หูอื้อ หรือเวียนหัวบ่อยๆ

ขี้หนาว มือเท้าเย็น ทั้งที่เมื่อก่อนเป็นคนขี้ร้อน

หยุดสักนิด... แล้วถามตัวเองว่า วันนี้คุณกำลังสะสม "ทองคำ" หรือสะสม "โรค" กันแน่?

อย่ารอให้ทรายเม็ดสุดท้ายร่วงหล่น ดูแลรักษาสมดุลชีวิตตั้งแต่วันนี้ มาตรวจเช็กระบบภายใน ปรับสมดุลหยิน-หยาง เพื่อให้คุณมีแรงหาเงินและ "มีชีวิตอยู่ใช้เงิน" ไปนานๆ ครับ

#วัยทำงาน #หมดไฟ #ออฟฟิศซินโดรม #แพทย์จีน #ดูแลสุขภาพ

มุมมองแพทย์จีน: อันตรายของการ "อัด" อาหาร หลังอดอยากมานาน (Refeeding Syndrome) จากบทความทางการแพทย์แผนปัจจุบันที่เตือนเร...
29/11/2025

มุมมองแพทย์จีน: อันตรายของการ "อัด" อาหาร หลังอดอยากมานาน (Refeeding Syndrome)

จากบทความทางการแพทย์แผนปัจจุบันที่เตือนเรื่อง Refeeding Syndrome หรือภาวะอันตรายจากการได้รับสารอาหารมากเกินไปอย่างรวดเร็วหลังจากร่างกายขาดอาหารมานาน ซึ่งอาจรุนแรงถึงขั้นหัวใจล้มเหลวได้นั้น

ในทางแพทย์แผนจีน (TCM) เรามีคำอธิบายที่สอดคล้องกันในเรื่องนี้ โดยมองผ่านมุมมองของ "พลังลมปราณของม้ามและกระเพาะอาหาร" ซึ่งเปรียบเสมือน "เตาหลอมพลังงาน" ของร่างกายครับ

ทำไมแพทย์จีนจึงเตือนว่า "ห้ามกินอิ่มทันที" หลังอดอาหาร?

ในยามปกติ เมื่อเราทานอาหารลงไป กระเพาะอาหารจะทำหน้าที่รับและย่อยขั้นต้น จากนั้น "ม้าม" จะทำหน้าที่แปรสภาพสารอาหารให้เป็น "เลือดและลมปราณ" (Qi & Blood) เพื่อส่งไปหล่อเลี้ยงทั่วร่างกาย

แต่เมื่อเกิดภาวะอดอาหารนานๆ (เช่น ช่วงน้ำท่วม):

เตาไฟมอดดับ : เมื่อไม่มีอาหารตกถึงท้องนานหลายวัน พลังลมปราณของม้ามและกระเพาะอาหารจะอ่อนแอลงอย่างมาก เปรียบเสมือน "เตาฟืนที่ไฟกำลังจะมอดดับ" น้ำย่อยต่างๆ แห้งเหือด ระบบการย่อยแทบจะหยุดทำงาน

การอัดอาหารคือการดับไฟ : 🛑 หากเรานำอาหารปริมาณมาก โดยเฉพาะอาหารที่ย่อยยาก เหนียว มัน หรือหวานจัด (ซึ่งทางแพทย์จีนมองว่าเป็นอาหารที่ก่อให้เกิด "ความชื้น" และเป็นภาระต่อม้าม) เทลงไปในเตาที่ไฟกำลังมอด

แทนที่ไฟจะลุกโชน กลับกลายเป็นว่าเชื้อเพลิงที่มากเกินไปจะ "ทับจนไฟดับสนิท"

สิ่งนี้ทำให้เกิดภาวะ "อาหารตกค้าง" อาหารที่ไม่ถูกย่อยจะเน่าเสีย เกิดแก๊ส เกิดความร้อนและความชื้นสะสมอุดกั้นอยู่ภายใน 🤢

ลมปราณติดขัด ร่างกายวิกฤต: 🚨 เมื่อจุดศูนย์กลาง (ม้าม/กระเพาะ) อุดตัน พลังงานใหม่สร้างไม่ได้ ของเสียระบายไม่ออก จะส่งผลกระทบต่ออวัยวะอื่นๆ ทันที:

กระทบหัวใจ: ❤️‍🩹 ความชื้นและการอุดตันพุ่งขึ้นบน ทำให้ใจสั่น แน่นหน้าอก (ตรงกับภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ)

กระทบปอด: 🫁 ความชื้นอุดกั้นทางเดินหายใจ ทำให้เหนื่อยหอบ หายใจลำบาก (ตรงกับภาวะน้ำท่วมปอด/หายใจล้มเหลว)

บวมน้ำ: 🦶 ม้ามที่หมดสภาพ ไม่สามารถจัดการน้ำในร่างกายได้ ทำให้น้ำคั่งตามตัว แขนขาบวม

✅ แนวทางปฏิบัติทางแพทย์จีน: "อุ่นเครื่อง ค่อยเป็นค่อยไป"

หัวใจสำคัญของการฟื้นฟูผู้ที่อดอาหารมานาน ไม่ใช่การรีบ "บำรุง" แต่คือการ "ค่อยๆ ฟื้นฟูระบบการย่อย" ให้กลับมาทำงานได้ก่อน

1. อาหารวิเศษคือ "โจ๊ก/น้ำข้าวต้ม"

ทำไมต้องโจ๊ก?: ในทางแพทย์จีน น้ำข้าวต้มอุ่นๆ ถือเป็น "ยาบำรุงชี่กระเพาะอาหาร" ที่ดีที่สุด ย่อยง่ายที่สุด ดูดซึมได้ทันทีโดยแทบไม่ต้องใช้พลังงานในการย่อย ช่วยเพิ่มสารน้ำและให้พลังงานพื้นฐานอย่างอ่อนโยน

วิธีทาน: ใน 1-2 วันแรก ควรเริ่มจาก "น้ำข้าวต้มเปล่าๆ" หรือ "โจ๊กเหลวๆ" ที่ต้มจนเม็ดข้าวแตกละเอียด ทานครั้งละน้อยๆ (ประมาณครึ่งถ้วย) แต่บ่อยครั้ง ทานตอนอุ่นๆ เพื่อช่วยกระตุ้นการไหลเวียน

2. สิ่งที่ต้อง "ห้าม" เด็ดขาดในช่วงแรก ❌

🧊 ห้ามของเย็น/น้ำแข็ง: ความเย็นจะไปทำลาย "ไฟแห่งการย่อย" (Yang Qi) ที่เหลืออยู่น้อยนิดให้ดับลงทันที

🍗 ห้ามของมัน ของทอด กะทิ: ย่อยยากมาก เป็นภาระหนักอึ้งต่อม้าม ทำให้เกิดเสมหะและความชื้นอุดตัน

🍰 ห้ามของหวานจัด เบเกอรี่: ความหวานที่มากเกินไป จะทำให้ระบบย่อยทำงานหนักและเกิดความชื้นสะสม (ตรงกับแผนปัจจุบันที่ให้เลี่ยงแป้ง/น้ำตาลสูง เพื่อลดการพุ่งของอินซูลิน)

🥩 ห้ามเนื้อสัตว์ย่อยยาก: เช่น เนื้อวัว เนื้อสัตว์ชิ้นใหญ่ๆ ควรรอให้ระบบย่อยดีขึ้นก่อน จึงค่อยๆ เริ่มเติมเนื้อปลา หรือเนื้อไก่สับละเอียดลงในโจ๊ก

3. สมุนไพรในครัวที่ช่วยได้ (ถ้ามี) 🌿

🫚 ขิงแก่: ฝานบางๆ 1-2 แว่น ต้มรวมกับน้ำข้าวต้ม ช่วยเพิ่มความอุ่นให้กระเพาะอาหาร ขับลม แก้ท้องอืด และกระตุ้นการย่อย (ระวังอย่าใส่เยอะเกินไปจนเผ็ดร้อน)

🍊 เปลือกส้มตากแห้ง : หากพอหาได้ ใส่เปลือกส้มแห้งชิ้นเล็กๆ ลงไปต้มพร้อมข้าวต้ม ช่วยให้ลมปราณเดินสะดวก ลดการอุดตันของอาหาร

📝 สรุป

ทั้งแพทย์แผนปัจจุบันและแพทย์แผนจีนมีความเห็นตรงกันว่า "ความใจร้อนคืออันตรายที่สุด" 🚫สำหรับผู้ที่เพิ่งผ่านภาวะอดอาหาร การฟื้นฟูร่างกายต้องใช้เวลา การเริ่มต้นด้วยอาหารที่อ่อนที่สุด ย่อยง่ายที่สุด และปริมาณน้อยที่สุด คือหนทางที่ปลอดภัยที่สุดในการกู้คืนระบบการทำงานของร่างกายให้กลับมาเป็นปกติครับ 💚

คุณเป็นคนธาตุไหน? เช็ก 9 สมดุลร่างกายตามศาสตร์แพทย์จีน รู้ทันก่อนป่วย! ☯เคยสงสัยไหมครับ? ทำไมบางคนขี้หนาว บางคนขี้ร้อน บ...
27/11/2025

คุณเป็นคนธาตุไหน? เช็ก 9 สมดุลร่างกายตามศาสตร์แพทย์จีน รู้ทันก่อนป่วย! ☯

เคยสงสัยไหมครับ? ทำไมบางคนขี้หนาว บางคนขี้ร้อน บางคนกินนิดเดียวก็อ้วน หรือบางคนเครียดง่ายถอนหายใจบ่อยๆ?

ในทางแพทย์แผนจีน ร่างกายของแต่ละคนมีความแตกต่างกัน เรียกว่า "พื้นฐานสุขภาพ 9 แบบ" (9 TCM Body Types) ซึ่งเกิดจากพันธุกรรม การใช้ชีวิต และสิ่งแวดล้อม

การรู้ว่าเรามีพื้นฐานร่างกายแบบไหน สำคัญมากครับ! เพราะจะช่วยให้เรารู้จุดอ่อนของตัวเอง และเลือกวิธีดูแลสุขภาพ ทั้งอาหาร การออกกำลังกาย ได้ตรงจุด เพื่อปรับสมดุลก่อนที่จะกลายเป็นโรคเรื้อรัง

เราสามารถจำแนก 9 สมดุลร่างกายมาให้เช็กกันเบื้องต้น ลองเลื่อนดูภาพในอัลบั้มได้เลยครับ ว่าคุณตรงกับข้อไหนมากที่สุด?

#แพทย์แผนจีน #สมดุลร่างกาย #9สมดุลร่างกาย
#ปรับสมดุล #สุขภาพดี #ดูแลสุขภาพ #ฝังเข็ม #ยาจีน #แมะ #ตรวจสุขภาพ

คลินิกขอเป็นสะพานบุญ นำรายได้ส่วนหนึ่งจากการใช้บริการของทุกท่าน ร่วมบริจาคช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม ผ่านทาง "มูลนิธิโร...
24/11/2025

คลินิกขอเป็นสะพานบุญ นำรายได้ส่วนหนึ่งจากการใช้บริการของทุกท่าน ร่วมบริจาคช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม ผ่านทาง "มูลนิธิโรงพยาบาลสงขลานครินทร์"
ขอขอบพระคุณคนไข้ทุกท่านที่มีส่วนร่วมในการแบ่งปันครั้งนี้ และขอส่งความห่วงใยไปยังผู้ประสบภัยทุกครอบครัว เราจะจับมือผ่านวิกฤตนี้ไปด้วยกันครับ 🤝✨
#น้ำท่วม #คนไทยไม่ทิ้งกัน #น้ำท่วมภาคใต้ #มูลนิธิโรงพยาบาลสงขลานครินทร์

น้ำตาลคือ "ยาพิษ" จริงหรือ? หรือเป็นสิ่งที่ร่างกายขาดไม่ได้? ฟังคำตอบชัดๆ ในมุมมองแพทย์จีนช่วงนี้กระแส "Anti-Sugar" หรือ...
21/11/2025

น้ำตาลคือ "ยาพิษ" จริงหรือ? หรือเป็นสิ่งที่ร่างกายขาดไม่ได้? ฟังคำตอบชัดๆ ในมุมมองแพทย์จีน

ช่วงนี้กระแส "Anti-Sugar" หรือการงดน้ำตาลมาแรงมากครับ หลายคนแชร์กันว่าน้ำตาลคือยาพิษ ทำให้แก่เร็ว ทำให้ร่างกายอักเสบ จนบางคนกลัวการกินหวานไปเลย

ในฐานะแพทย์จีน หมออยากชวนมามองเรื่องนี้ให้ลึกกว่าแค่ "ดี" หรือ "เลว" ครับ เพราะในศาสตร์แพทย์แผนจีน "รสหวาน" มีบทบาทที่ซับซ้อนกว่านั้นมาก

1. รสหวาน: เพื่อนรักของ "ม้าม" (ถ้าคบกันพอดี) ในคัมภีร์แพทย์จีนระบุไว้ชัดเจนครับว่า "รสหวานเข้าเส้นลมปราณม้าม" ม้ามในทางแพทย์จีน เปรียบเสมือน "โรงงานแปรรูปพลังงาน" ของร่างกาย ทำหน้าที่ย่อยอาหาร เปลี่ยนเป็นเลือดและลมปราณ ส่งไปเลี้ยงทั่วร่าง

ข้อดี: รสหวานในปริมาณที่พอเหมาะจากธรรมชาติ (เช่น ข้าว พืชหัว พุทราจีน) จะช่วย "บำรุงลมปราณม้าม" ทำให้มีแรง กล้ามเนื้อแข็งแรง และช่วยคลายเครียด ลดความเกร็งของร่างกายได้

สรุป: ร่างกายเรายังต้องการรสหวานครับ แต่ต้องเป็น "หวานจากธรรมชาติ" เพื่อเป็นเชื้อเพลิงให้โรงงานม้ามทำงาน

2. เมื่อหวานเกินไป... จากเพื่อนรัก กลายเป็น "ยาพิษสร้างความชื้น" จุดที่ทำให้น้ำตาลกลายเป็น "ยาพิษ" ในมุมแพทย์จีน ไม่ใช่แค่เรื่องแคลอรี่ครับ แต่คือสิ่งที่เรียกว่า "ความชื้นสะสม"

ม้ามมีธรรมชาติคือ "ชอบแห้ง เกลียดความชื้น " เมื่อเรากินหวานจัด (โดยเฉพาะน้ำตาลทรายขาว น้ำหวาน นมข้น) มากเกินไป โรงงานม้ามจะทำงานหนักจน "น็อค"

เมื่อม้ามพัง -> ระบบย่อยและการลำเลียงน้ำจะเสียสมดุล

เกิดน้ำตกค้าง -> กลายเป็น "ความชื้น" เหนียวหนืดเกาะตามร่างกาย

นานวันเข้า -> ความชื้นอัดแน่นกลายเป็น "เสมหะ" ซึ่งเป็นต้นตอของสารพัดโรค

อาการของคนที่ "น้ำตาลเป็นพิษ" หรือมีความชื้นสะสม :
✅ ตัวหนักๆ ขาหนักๆ รู้สึกไม่สดชื่นเหมือนคนนอนไม่อิ่ม
✅ ขับถ่ายไม่สุด อุจจาระเหนียวติดโถส้วม
✅ มีเสมหะในคอตลอดเวลา โดยไม่ได้เป็นหวัด
✅ ลิ้นบวม มีรอยฟันข้างลิ้น ฝ้าลิ้นหนา
✅ ในระยะยาว อาจก่อตัวเป็นก้อนซีสต์ เนื้องอก หรือไขมันพอกตับ

3. ทางสายกลางฉบับหมอจีน น้ำตาลไม่ใช่ผู้ร้ายที่ต้องกำจัดทิ้ง 100% แต่ต้องเลือกคบให้ถูกคนครับ

เปลี่ยนแหล่งที่มา: เน้นรสหวานจาก ข้าวกล้อง ธัญพืช มันหวาน ฟักทอง พุทราจีน หรือชะเอมเทศ สิ่งเหล่านี้คือหวานที่ "บำรุงม้าม" (Tonify Spleen Qi)

เลี่ยงตัวอันตราย: น้ำตาลสังเคราะห์ น้ำเชื่อม ขนมหวานเย็นๆ เพราะความหวาน + ความเย็น คือสูตรสำเร็จในการทำลายม้ามที่เร็วที่สุด

ดูเวลาทาน: ถ้าอยากทานหวาน ให้ทานช่วงเช้า (07.00-09.00 น.) ซึ่งเป็นเวลาของกระเพาะอาหาร ร่างกายจะเผาผลาญได้ดีที่สุด เลี่ยงมื้อเย็นหรือก่อนนอน

บทสรุป: น้ำตาลจะเป็น "ยาบำรุง" หรือ "ยาพิษ" ขึ้นอยู่กับ "ชนิด" และ "ปริมาณ" ที่เราเอาเข้าปากครับ ถ้ารักสุขภาพ ไม่ต้องถึงกับตัดขาดความหวานจนชีวิตขมขื่น แต่ให้ระวัง "ความชื้น" ที่จะตามมา ดูแลม้ามให้ดี แล้วม้ามจะดูแลร่างกายเราให้แข็งแรงเองครับ

16/11/2025

วันอาทิตย์ที่16และวันจันทร์24 พ.ย.2568 คลินิกหยุดครับ

กาแฟสมุนไพรแก้ปวด? เจาะลึก "วิทยาศาสตร์" และ "ข้อควรระวัง" ในมุมมองแพทย์จีน จากดราม่าเรื่องนม... ลามมาถึงเรื่อง "กาแฟสมุ...
11/11/2025

กาแฟสมุนไพรแก้ปวด? เจาะลึก "วิทยาศาสตร์" และ "ข้อควรระวัง" ในมุมมองแพทย์จีน

จากดราม่าเรื่องนม... ลามมาถึงเรื่อง "กาแฟสมุนไพร" หมอได้รับคำถามและคลิปจากคนไข้หลายท่าน เกี่ยวกับรายการที่นำผู้ที่อ้างว่าเป็น "ทายาทแพทย์จีนสืบทอดมาหลายรุ่น" มาแนะนำกาแฟแก้ปวดเมื่อย (ซึ่งเมื่อตรวจสอบในระบบกระทรวงฯ ปัจจุบันแล้ว ไม่พบรายชื่อขึ้นทะเบียนเป็นแพทย์แผนจีน พจ.)

ประเด็นที่น่าห่วงคือการบอกว่า... เอายาหม้อ (ที่ต้องต้มกินเป็นชาม) มายัดลงในซองกาแฟ 15 กรัม แล้วบอกว่าสรรพคุณเหมือนกันเป๊ะ? ในทางเภสัชวิทยาและ Food Science บอกเลยครับว่า "แทบเป็นไปไม่ได้เลย"

ในฐานะแพทย์จีนที่มีใบอนุญาตถูกต้อง หมอขอชวนมาดูข้อมูลทาง "วิทยาศาสตร์" เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องครับ

มุมที่ 1: ทำไมกินแล้วรู้สึกดีขึ้น? (งานวิจัยสนับสนุน)
ไม่ได้แปลว่าสมุนไพรออกฤทธิ์นะครับ... แต่อาจเป็นเพราะ "ตัวกาแฟ" เองต่างหาก!

✅ 1. คาเฟอีน คือ "ตัวช่วยเสริมฤทธิ์แก้ปวด" (Analgesic Adjuvant) งานวิจัยของ Cochrane Database 2014 พบว่า การทานยาแก้ปวด ควบคู่กับ "คาเฟอีน" (ประมาณ 100mg หรือกาแฟ 1 แก้ว) สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการลดปวดได้ 5-10% 👉 ที่คุณกินแล้วหายปวด อาจไม่ใช่เพราะ "เถาวัลย์เปรียง" หรือ "โสม" ในซอง แต่เพราะ "คาเฟอีน" ไปกระตุ้นให้ร่างกายตื่นตัวและลดความรู้สึกปวดลงชั่วคราวครับ

✅ 2. กาแฟมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant) ในเมล็ดกาแฟคั่วมีสาร Chlorogenic acid ซึ่งดีต่อสุขภาพอยู่แล้ว 👉 การดื่มกาแฟมีประโยชน์ในตัวมันเองครับ แต่ไม่ได้แปลว่าจะ "รักษาโรคปวดเข่า" หรือ "กระดูกทับเส้น" ให้หายขาดได้

มุมที่ 2: ทำไมหมอถึงบอกว่ามันถึง "ไม่ได้ผล" ในการรักษา?
นี่คือสิ่งที่คนขายไม่เคยบอกคุณ...

❌ 1. ปริมาณที่ "น้อยจนน่าตกใจ" (The Dosage Gap) การรักษาอาการปวดทางแพทย์จีน ต้องใช้สมุนไพรต้มปริมาณ 30-60 กรัมต่อวัน แต่ในกาแฟ 3-in-1 หนึ่งซอง (15-20 กรัม) ส่วนใหญ่คือ "น้ำตาล + ครีมเทียม" ไปแล้ว 80% ...เหลือที่ว่างให้สมุนไพรเพียงแค่ 0.1 - 0.5% (หลักมิลลิกรัม) ใส่มาแค่ "วิญญาณสมุนไพร" หรือ"กลิ่นของสมุนไพร" เพื่อผลทางการตลาด มากกว่าผลทางการรักษาครับ

❌ 2. กับดัก "ครีมเทียม" ขัดขวางการดูดซึม งานวิจัย Food Chemistry ชี้ว่า โปรตีนในนมหรือครีมเทียม สามารถ "จับตัว" กับสารสำคัญในสมุนไพร ทำให้ร่างกาย "ดูดซึมไม่ได้" และขับทิ้งไปเปล่าๆ

❌ 3. ความร้อนทำลายยา (Heat Stability) กระบวนการแปรรูปกาแฟผงต้องผ่านความร้อนสูง ซึ่งมักทำลาย "น้ำมันหอมระเหย" ในสมุนไพร (ตัวช่วยขับลม/แก้ปวด) ให้สลายไปหมดแล้ว

⚠️ มุมมืด: ถ้ากินแล้ว "หายปวดเป็นปลิดทิ้ง" ทันที... ให้ระวัง!
ถ้ากาแฟซองนั้นกินแล้วหายปวดเร็วกว่ายาหมอ... ให้สันนิษฐานไว้ก่อนเลยว่า "อาจมีการปนเปื้อน"

ข้อมูลจาก อย. และกรมวิทย์ฯ ที่ผ่านมามักตรวจพบ "สเตียรอยด์" หรือ "ยาแก้ปวดรุนแรง" (NSAIDs) ลักลอบผสมในกาแฟสมุนไพรที่ไม่ได้มาตรฐาน
ความอันตราย: หายปวดจริงครับ แต่แลกมาด้วย ไตวาย, กระเพาะทะลุ, และกระดูกพรุนในระยะยาว

📝 บทสรุปจากหมอจีน
"กาแฟสมุนไพร" ดื่มเพื่อความเพลิดเพลินได้ครับ... แต่อย่าหวังผล "การรักษาโรค"

ถ้าอยากดื่มกาแฟ... ดื่ม "กาแฟดำ" ดีที่สุด
ถ้าอยากรักษาปวด... กิน "ยาสมุนไพรจีน" ที่จ่ายโดยแพทย์ที่มีใบประกอบฯ ดีที่สุด

"อย่าเอาเงินร้อย ไปซื้อกาแฟซอง... แล้วต้องเสียเงินแสน เพื่อรักษากระเพาะกับไตในภายหลังเลยครับ"

ด้วยความห่วงใยครับ

#กาแฟสมุนไพร #รู้เท่าทันสื่อ #แพทย์แผนจีน #ปวดเมื่อย #ปวดหลัง #รู้ทันก่อนกิน #ยาแก้ปวด #สเตียรอยด์

"ท้องอืด" "สิวเห่อ" "ตัวบวม" เพราะดื่มนม? เห็นดราม่า  #นมไทย แล้ว... แพทย์จีนขอชวนคนวัยทำงาน มาเช็ก "ภาวะร่างกาย"ตัวเองก...
10/11/2025

"ท้องอืด" "สิวเห่อ" "ตัวบวม" เพราะดื่มนม?
เห็นดราม่า #นมไทย แล้ว... แพทย์จีนขอชวนคนวัยทำงาน มาเช็ก "ภาวะร่างกาย"ตัวเองก่อนครับ!
ช่วงนี้ดราม่าเรื่อง "นมไทย" (นมวัว) กำลังร้อนแรงมาก ทั้งเรื่อง "นมแท้" "นมผง" หรือ "ทำไมคนไทยดื่มแล้วท้องอืด?"

ในมุมมองของแพทย์จีน (TCM) เราอยากชวนมองข้ามประเด็นเหล่านั้นไปก่อน... เพราะเราเชื่อว่า "ไม่มีอาหารที่ดีที่สุด มีแต่อาหารที่ 'เหมาะสม' ที่สุดกับร่างกายเราในขณะนั้น"
ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ "นมวัว" ครับ... แต่อยู่ที่ "ร่างกาย" ของคนดื่มต่างหาก
"นมวัว" ในศาสตร์จีน มีคุณสมบัติ "บำรุงสารน้ำหรือ อีกนัยหนึ่งลดความร้อน ซึ่งบางคนจะบอกว่าเย็น" และมีลักษณะ "หนืด" คือ ย่อยยาก และ ก่อ "ความชื้น" ได้ง่าย

ดังนั้น คำถามที่ถูกต้องไม่ใช่ "นมยี่ห้อไหนดี?" แต่คือ "ร่างกายเรา... เป็นแบบไหน?"
ลองมาเช็กกันครับ ว่าคุณคือคนกลุ่มไหนใน 3 กลุ่มนี้?

เช็กลิสต์: คุณคือคนกลุ่มไหน? เมื่อต้องดื่มนมวัว
🔵 กลุ่มที่ 1: "ม้ามอ่อนแอ + ความชื้นสะสม" (นี่คือกลุ่มที่พบบ่อยที่สุดในวัยทำงาน 25-45 ปี!)

อาการ

#ท้องอืด ทันที หรือจุกแน่น หลังดื่มนม (หรือแม้แต่ ชานม, กาแฟลาเต้)
ท้องเสียง่าย ถ่ายเหลว หรือ ถ่ายไม่สุด
#ตัวบวม ง่าย (ตื่นเช้าหน้าบวม, หรือช่วงบ่ายขาบวม)
#สิวอักเสบ เรื้อรัง (โดยเฉพาะที่คาง, กรอบหน้า)
รู้สึกตัวหนักๆ ไม่สดชื่น (เหมือนแบกอะไรไว้) สมองตื้อ (Brain Fog)

สังเกตลิ้นตัวเอง: ลิ้นมักจะบวม อวบ และมี ฝ้าขาวหนา

ในทางแพทย์จีน "ม้าม" (ระบบย่อยอาหาร) ของคุณอ่อนแออยู่แล้ว (จากการเครียด, กินของเย็น, นั่งนาน) เมื่อเจอนมวัวที่ "เย็นและหนืด" ม้ามจึงย่อยไม่ไหว กลายเป็น "ความชื้น" (ขยะ) สะสมในร่างกายนี่เองครับ

กลุ่มนี้ "ควรเลี่ยง" หรือ "หยุดดื่มนมวัว" ชั่วคราวครับ! จนกว่า "ม้าม" ของคุณจะกลับมาแข็งแรง (รวมถึงลดการดื่มชา กาแฟใส่นมด้วย)

🟡 กลุ่มที่ 2: "ร่างกายแห้ง-ขาดสารน้ำ"

อาการ:
มักจะเป็นคนผอมแห้ง
#ปากคอแห้ง ผิวแห้ง ประจำ
ร้อนฝ่ามือ ฝ่าเท้า (โดยเฉพาะตอนกลางคืน)
นอนไม่หลับ หรือ ตื่นกลางดึก
สังเกตลิ้นตัวเอง: ลิ้นมักจะ แดงจัด และ ฝ้าน้อย (หรือไม่มีฝ้าเลย)

สามารถดื่มนมได้อย่างสบายใจ ในทางกลับกัน นมวัวมีคุณสมบัติ "บำรุงสารน้ำ" การดื่ม "นมอุ่นๆ" (ไม่ใส่น้ำแข็ง) จะช่วยลดความแห้งร้อนในร่างกายคนกลุ่มนี้ได้ดีครับ

🟢 กลุ่มที่ 3: "ร่างกายสมดุล-แข็งแรง"

อาการ:
สุขภาพดี กินได้ นอนหลับ ขับถ่ายปกติ
สดชื่น มีพลังงาน
ไม่ค่อยป่วย
สังเกตลิ้นตัวเอง: ลิ้นสีชมพูอ่อน มีฝ้าขาวบางๆ ปกติ

สามารถดื่มนมได้ตามปกติครับเพราะ "ม้าม" ของคุณแข็งแรงพอที่จะจัดการกับความ "เย็นและหนืด" ของนมวัวได้ โดยไม่เกิดปัญหา

บทสรุปจากดราม่า... ถึงสุขภาพของเรา
เห็นไหมครับ... ดราม่านี้สะท้อนว่า เรามักเถียงกันเรื่อง "คุณภาพของ" ที่อยู่ภายนอก โดยลืมหันกลับมาถาม "ความพร้อมของ" ร่างกายเราเอง

ถ้าคุณคือคนกลุ่มที่ 1 ที่ "ท้องอืด" หรือ "สิวเห่อ" เพราะนม... การ "ด้อยค่า" ที่แท้จริง คือการ "ด้อยค่า" สัญญาณเตือนที่ร่างกายคุณพยายามบอกครับ!

"หยุดโทษ 'นม' แล้วหันมา 'ดูแล' ม้ามของคุณครับ"

วัย 25-45 คือช่วงที่ร่างกายเริ่มส่งสัญญาณฟ้อง ถ้าคุณมีอาการใน "กลุ่มที่ 1" สะสมมานาน และอยากกลับมามีระบบย่อยที่ดี สดชื่น ไม่ตัวบวม...

การ "ปรับสมดุลม้าม" และ "ขับความชื้น" คือการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุครับ

หากไม่แน่ใจว่าตัวเองเป็นกลุ่มไหน หรือมีอาการ "ม้ามพัง" เรื้อรัง (ท้องอืด, สิว, เพลีย, บวมน้ำ) ที่แก้ไม่หาย...

สามารถทัก Inbox เข้ามาปรึกษา หรือนัดคิวเพื่อตรวจวินิจฉัยภาวะร่างกาย ที่คลินิกได้เลยครับ

#ดราม่านมไทย #นมวัว #ท้องอืด #แพ้นมวัว #สิว #ตัวบวม #แพทย์แผนจีน #ม้ามพร่อง #ความชื้น #ปรับสมดุล ] #สุขภาพวัยทำงาน

ผมขาวคือสัญญาณว่าร่างกายกำลังต่อสู้กับมะเร็งจริงหรือ?ช่วงนี้มีข่าวแชร์กันว่า “ถ้าผมเริ่มขาว แปลว่าร่างกายกำลังสู้กับมะเร...
01/11/2025

ผมขาวคือสัญญาณว่าร่างกายกำลังต่อสู้กับมะเร็งจริงหรือ?

ช่วงนี้มีข่าวแชร์กันว่า “ถ้าผมเริ่มขาว แปลว่าร่างกายกำลังสู้กับมะเร็ง”
ฟังดูน่าทึ่ง…แต่ ความจริงทางวิทยาศาสตร์ไม่ได้เป็นแบบนั้นทั้งหมดครับ

ที่มาของความเข้าใจนี้

มีต้นทางจาก งานวิจัยของทีมญี่ปุ่น นำโดย
ศาสตราจารย์(Emi Nishimura) และ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ (Yasuaki Mohri)
จาก University of Tokyo ซึ่งตีพิมพ์ในวารสาร Nature Cell Biology (2025)

ทีมวิจัยได้ทดลองใน หนูทดลอง โดยศึกษาการทำงานของ เซลล์ต้นกำเนิดเม็ดสี
ซึ่งมีหน้าที่สร้างเม็ดสีให้เส้นผม พบว่าเมื่อเซลล์เหล่านี้
ได้รับความเสียหายทางพันธุกรรม (DNA damage)
มันจะ “ปิดระบบตัวเอง” ไม่แบ่งตัวต่อ
ผ่านกลไกสัญญาณที่ชื่อว่า p53–p21 pathway
ซึ่งทำให้เซลล์เข้าสู่สภาวะ “หลับถาวร (senescence)”
และหยุดผลิตเม็ดสี → ผมจึงกลายเป็นสีขาว

นักวิจัยจึงตั้งข้อสังเกตว่า
นี่อาจเป็น “กลไกป้องกันมะเร็ง” ของร่างกาย
เพราะแทนที่เซลล์ที่เสียหายจะกลายพันธุ์เป็นมะเร็ง
มันกลับเลือก “หยุดตัวเอง” เพื่อความปลอดภัยแทน
แต่ไม่ได้แปลว่าผมขาว = มะเร็งทุกชนิด
งานวิจัยนี้ ไม่ได้บอกว่าผมขาวคือสัญญาณของมะเร็งทุกชนิด
และไม่ได้หมายความว่า “ใครผมขาวคือร่างกายกำลังต่อสู้กับมะเร็ง”
การศึกษาทำใน หนูทดลอง ไม่ใช่มนุษย์
ส่วนงานวิจัยในคนที่พบ “ผมขาวสัมพันธ์กับการตอบสนองต่อมะเร็ง”
มาจากผู้ป่วย มะเร็งผิวหนังชนิด Melanoma
ที่ได้รับยากระตุ้นภูมิคุ้มกัน (Immunotherapy)
ซึ่งยากลุ่มนี้ทำให้ภูมิคุ้มกันโจมตี “เซลล์เม็ดสี” จนผมขาวขึ้น
— เป็น ผลข้างเคียงของยา ไม่ใช่สัญญาณว่าร่างกายสู้โรคเอง

ดังนั้น “ผมขาวเพราะสู้มะเร็ง” จึงไม่ใช่ข้อเท็จจริงทั่วไป
แต่เป็นเพียงปรากฏการณ์เฉพาะในบางกลุ่มโรคเท่านั้น

มุมมองจากแพทย์แผนจีน

ในแพทย์จีน “ผม” เป็นสัญลักษณ์ของพลัง ไตและเลือด
มีคำกล่าวว่า

"ความงามของไตปรากฏที่เส้นผม"

เมื่อร่างกายอ่อนล้า เครียด หรือใช้พลังชีวิตมากเกินไป
จะเกิดภาวะ ไตพร่องและ เลือดพร่อง
ทำให้เลือดและชี่ไปหล่อเลี้ยงหนังศีรษะไม่พอ → ผมจึงขาวก่อนวัย

ในแง่นี้ “ผมขาว” ไม่ได้แปลว่าร่างกายป่วย
แต่เป็นสัญญาณว่า “ร่างกายกำลังใช้พลังมากกว่าปกติ”
หรือ “อยู่ในช่วงฟื้นตัวจากความเครียดภายใน”

“ผมขาว” อาจเป็นสัญญาณของกลไกป้องกันตัวเองของเซลล์
ในบางกรณี (โดยเฉพาะมะเร็งผิวหนัง Melanoma หรือในหนูทดลอง)
แต่ ไม่ใช่สัญญาณว่าร่างกายทุกคนกำลังต่อสู้กับมะเร็ง

แทนที่จะกลัวผมขาว
จงมองว่ามันคือ “ภาษาของร่างกาย”
ที่เตือนให้เรากลับมาฟื้นฟูพลังและพักให้เพียงพอ

#ผมขาว #มะเร็งผิวหนัง #แพทย์จีน #สุขภาพองค์รวม

ได้เห็นเพจคุณหมอแพทย์ปัจจุบัน Tensia พูดถึง “Gut–Lung Axis” หรือการเชื่อมถึงกันของปอดและลำไส้ แล้วทำให้นึกถึงทฤษฎีจีนโบร...
25/10/2025

ได้เห็นเพจคุณหมอแพทย์ปัจจุบัน Tensia พูดถึง “Gut–Lung Axis” หรือการเชื่อมถึงกันของปอดและลำไส้ แล้วทำให้นึกถึงทฤษฎีจีนโบราณที่กล่าวถึง เรื่องนี้ไว้เหมือนกัน
มุมมองแพทย์แผนปัจจุบัน สรุปโดยย่อๆ ถ้าอยากอ่านแบบเต็ม ติดตามในเพจคุณหมอ Tensia ได้เลย
งานวิจัยใหม่พบว่า “Gut–Lung Axis” คือระบบการเชื่อมต่อระหว่าง ลำไส้ (gut) และ ปอด (lung) ผ่านเครือข่ายของจุลชีพ (microbiota) และระบบภูมิคุ้มกันในกระแสเลือด
แบคทีเรียในลำไส้ผลิตสารสำคัญ เช่น
SCFAs (Short-Chain Fatty Acids) → ช่วยลดการอักเสบในปอด และเพิ่มภูมิคุ้มกันต่อไวรัส
Tryptophan metabolites (IPA, IAA, ILA) → เสริมความแข็งแรงของเยื่อบุปอด
Secondary bile acids → ต้านอักเสบในระบบทางเดินหายใจ
Polyamines เช่น Spermine → ช่วยให้เม็ดเลือดขาวในปอดเป็นสาย “ต้านอักเสบ (M2)”
DAT → กระตุ้นการสร้าง IFN-1 ทำให้ปอดทนต่อการติดไวรัส เช่น โควิด-19
กล่าวง่าย ๆ คือ ถ้าลำไส้แข็งแรง ปอดก็จะได้รับสารต้านอักเสบจากลำไส้โดยตรง เพราะเลือดดำจากทางเดินอาหารส่วนใหญ่จะถูกส่งไปฟอกผ่านปอดก่อน
แต่ถ้าลำไส้เสียสมดุล (Dysbiosis) เช่น
กินน้ำตาลมากเกินไป
ขาดเส้นใยอาหาร
ใช้ยาปฏิชีวนะพร่ำเพรื่อ
→ แบคทีเรียดีจะลดลง เกิดการอักเสบทั่วร่างกาย
→ ภูมิคุ้มกันปอดเสียสมดุล เป็นหวัดง่าย หอบหืดกำเริบ และเสี่ยงภาวะ Cytokine Storm ได้
ในทฤษฎีของ “ธาตุทั้งห้า” — ปอด อยู่ในหมวด ธาตุทองซึ่งมีหน้าที่ควบคุม “การหายใจและการเคลื่อนไหวของชี่ ” ขึ้นลงทั่วร่างกาย และ ลำไส้ใหญ่ อยู่ในหมวดเดียวกัน โดยทำหน้าที่ระบายของเสียออกจากร่างกาย

ในทางแพทย์จีนได้กล่าวถึงเรื่องความสัมพันธ์ของปอดกับลำไส้ไว้ว่า

“肺主气,大肠主传导,肺与大肠相表里”
แปลว่า “ปอดควบคุมพลังชี่ ลำไส้ใหญ่ควบคุมการระบาย ทั้งสองทำงานสัมพันธ์กันภายนอก–ภายใน”

กลไกสำคัญ 3 ประการที่เชื่อมปอดกับลำไส้

1 การไหลเวียนของชี่ (气机的上下关系)

ปอดมีหน้าที่ คือ กระจายชี่ออกและนำชี่ลง
ลำไส้ใหญ่ต้องอาศัยพลังชี่นี้เพื่อขับของเสียออก
ถ้าชี่ปอดติดขัด → การขับถ่ายจะติดขัด ท้องผูก แน่นท้อง
ถ้าชี่ลำไส้อ่อน → ปอดจะอ่อนแรง หายใจตื้นง่าย

2 การแลกเปลี่ยนของของเหลวในร่างกาย
ปอดควบคุม “การควบแน่นและกระจายของของเหลว ”
ลำไส้ใหญ่ช่วยระบายส่วนที่เกินออก
ถ้าปอดร้อน → ของเหลวแห้ง → อุจจาระแข็ง
ถ้าปอดเย็นหรือพร่อง → อาจเกิดท้องเสียเรื้อรัง

3 ความสัมพันธ์ของระบบภูมิคุ้มกัน

ในทางจีน “卫气 (เว่ยชี่)” คือพลังป้องกันโรค เทียบได้กับระบบภูมิคุ้มกันในทางตะวันตก
เว่ยชี่บางส่วนเกิดจาก “ธาตุอาหารที่ย่อยสมบูรณ์ในลำไส้”
เมื่อจุลชีพในลำไส้ดี → ช่วยส่งเสริมเว่ยชี่ให้แข็งแรง → ปอดจึงแข็งแรงด้วย
#แพทย์แผนจีน #ฝังเข็มยาจีน #สุขภาพองค์รวม

น้อมส่งเสด็จสู่สวรรคาลัย สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง
25/10/2025

น้อมส่งเสด็จสู่สวรรคาลัย
สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง

19/10/2025

Send a message to learn more

ที่อยู่

126/77 ถนนวัชรพล แขวงท่าแร้ง เขตบางเขน กรุงเทพ
นนทบุรี
10230

เวลาทำการ

จันทร์ 10:00 - 18:00
อังคาร 10:00 - 19:00
พุธ 10:00 - 19:00
ศุกร์ 10:00 - 19:00
เสาร์ 10:00 - 19:00
อาทิตย์ 10:00 - 19:00

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ บุญธวัช คลินิก แพทย์จีนฝังเข็ม วัชรพล-รามอินทราผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ การปฏิบัติ

ส่งข้อความของคุณถึง บุญธวัช คลินิก แพทย์จีนฝังเข็ม วัชรพล-รามอินทรา:

แชร์

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram