ศูนย์สุขภาพ แพทย์ทางเลือก บำบัด ฟื้นฟู มะเร็ง เบาหวาน ความดัน และ NCDs

ศูนย์สุขภาพ แพทย์ทางเลือก บำบัด ฟื้นฟู มะเร็ง เบาหวาน ความดัน และ NCDs ​เซอร์นิติน
​จำหน่ายมานานหลายทศวรร

8 อาหารบำรุงกระดูกและกล้ามเนื้อ ช่วยเพิ่มมวลกระดูก ป้องกันโรคกระดูกพรุนความหนาแน่นของมวลกระดูกผู้หญิงมักจะลดลงเมื่ออายุ ...
14/09/2023

8 อาหารบำรุงกระดูกและกล้ามเนื้อ ช่วยเพิ่มมวลกระดูก ป้องกันโรคกระดูกพรุน

ความหนาแน่นของมวลกระดูกผู้หญิงมักจะลดลงเมื่ออายุ 30 ปี และทำให้มีแนวโน้มที่กระดูกจะหักได้ง่ายเมื่อหกล้ม ดังนั้นก่อนที่ปล่อยให้เกิดปัญหาเราก็ควรต้องบำรุงกระดูกกันตั้งแต่วันนี้ค่ะ การเพิ่มอาหารเพื่อช่วยบำรุงกระดูกและกล้ามเนื้อลงในมื้อประจำวันของเรา สามารถช่วยป้องกันโรคเกี่ยวกับกระดูกและช่วยให้เราประหยัดค่ารักษาพยาบาลเมื่อยามแก่ชรา เพราะอาหารเหล่านี้ส่งผลต่อความแข็งแรงของกระดูกและกล้ามเนื้อโดยตรง และการรับประทานอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพก็อาจทำให้อาการแย่ลงและทำให้กระดูกเปราะได้

อาหารที่อุดมด้วยแคลเซียมและวิตามินดี เป็นวิธีที่ดีและมีประสิทธิภาพมากที่สุดในการเพิ่มสุขภาพกระดูกของเรา ซึ่งอาหารที่สามารถบำรุงสุขภาพกระดูกและกล้ามเนื้อ ช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุน ช่วยป้องกันการสูญเสียมวลกระดูกและสร้างกระดูกที่แข็งแรงได้ มีดังนี้

1. โยเกิร์ต
โยเกิร์ตเป็นแหล่งอาหารที่ดีของโปรไบโอติก แคลเซียม โพแทสเซียม วิตามินดี วิตามินเอ และโฟเลต การบริโภคโยเกิร์ตเป็นประจำทุกวันสามารถช่วยป้องกันกระดูกหักได้ หากเรามีกระดูกที่อ่อนแอ เราสามารถบริโภคโยเกิร์ต 1 - 2 ถ้วยต่อวัน โดยอาจจะเพิ่มลงในสมูทตี้หรืออาหารเช้า ทำน้ำสลัด หรือรับประทานหลังอาหารมื้อหลักก็ได้

2. นม
นมเป็นแหล่งแคลเซียม ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม วิตามินเอ และวิตามินดี ซึ่งการบริโภคนมวัวสามารถรักษามวลกระดูกให้แข็งแรงได้ อย่างไรก็ตามหากเราเป็นคนที่มีอาการแพ้แลคโตสก็ควรหลีกเลี่ยงการดื่มนมวัวหรืออาจเปลี่ยนไปดื่มนมแบบแลคโตสฟรีก็ได้ค่ะ

3.ผักใบเขียวเข้ม
ผักใบเขียวเข้ม เช่น ผักโขม คะน้า ผักกาดหอม และกวางตุ้ง ล้วนแล้วแต่เป็นแหล่งแคลเซียม มีสารต้านอนุมูลอิสระ มีวิตามินซี และวิตามินเคสูง การบริโภคผักใบเขียวเข้มอย่างน้อยสามชนิดทุกวันจะช่วยให้คุณมีกระดูกที่แข็งแรงและช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันได้

4.ชีส
ชีสทำมาจากนมและเป็นแหล่งแคลเซียมที่ดี นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งของวิตามินเอ วิตามินบี12 สังกะสี และฟอสฟอรัสอีกด้วย การบริโภคชีสเป็นประจำ จะไม่เพียงแต่เพิ่มรสชาติและคุณค่าทางโภชนาการ แต่ยังช่วยปกป้องกระดูกของเราจากอาการเปราะบางและแตกหักได้ง่ายอีกด้วย รวมถึงชีสยังเป็นแหล่งของโปรตีน ซึงมีส่วนช่วยอย่างมากในการเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ หากเรามีกล้ามเนื้อที่แข็งแรงก็สามารถที่จะช่วยพยุงร่างกายให้ตั้งตรงและเคลื่อนไหวได้สะดวก

5.ปลา
ปลา เช่น ปลาซาร์ดีน ปลาทูน่า ปลาดุก และปลาแซลมอน เป็นแหล่งอาหารที่ดีของวิตามินดี ซึ่งวิตามินดีนี่เองที่ช่วยส่งเสริมการสร้างแร่ธาตุสำหรับกระดูก และหากไม่มีวิตามินดี กระดูกของเราจะไม่สามารถดูดซึมแคลเซียมได้เลย

6.ไข่
ไข่แดงเป็นแหล่งที่ดีของวิตามินที่ละลายในไขมัน เช่น วิตามินดี วิตามินเอ วิตามินอี และวิตามินเค โดยเฉพาะวิตามินดีที่จำเป็นอย่างมากต่อการดูดซึมแคลเซียมและช่วยบำรุงสุขภาพของกระดูก

7.เมล็ดพืช
เมล็ดพืชเป็นแหล่งแคลเซียมที่ดี เพราะอุดมไปด้วยโปรตีน ใยอาหาร ไขมันที่ดีต่อสุขภาพ ฟอสฟอรัส เหล็ก และโพแทสเซียม โดยเราควรบริโภคเมล็ดแฟลกซ์ เมล็ดทานตะวัน เมล็ดแตงโม เมล็ดฟักทอง และเมล็ดงา โดยอาจจะใส่ลงในสมูทตี้ สลัด หรือจะรับประทานเป็นมื้อเช้าก็ได้

8.ถั่ว
ถั่วอุดมไปด้วยไขมันที่ดีต่อสุขภาพ กรดไขมันโอเมก้า 3 และโปรตีน การบริโภคถั่วหลายชนิดทุกวัน สามารถช่วยบำรุงสุขภาพโดยรวมในร่างกายได้ ซึ่งรวมไปถึงสุขภาพของกระดูกและกล้ามเนื้อด้วย ซึ่งนอกจากการบริโภคถั่ว เรายังสามารถเพิ่มการบริโภคพืชตระกูลถั่วได้ด้วย เพราะอาหารเหล่านี้ไม่เพียงแต่เป็นแหล่งโปรตีนชั้นเยี่ยมเท่านั้น แต่ยังอุดมไปด้วยแคลเซียม ฟอสฟอรัส โพแทสเซียมและกรดไขมันที่จำเป็นต่อร่างกาย
Cr.womem trueid

ความรู้เรื่องแก้วน้ำแต่ละชนิดที่เสียงต่อสุขภาพและควรเลี่ยงหากไม่จำเป็นจริงๆ😳
26/02/2021

ความรู้เรื่องแก้วน้ำแต่ละชนิดที่เสียงต่อสุขภาพและควรเลี่ยงหากไม่จำเป็นจริงๆ😳

สูตรน้ำผักผลไม้ ป้องกัน และเหมาะสำหรับผู้ป่วยมะเร็งน้ำคื่นฉ่ายขึ้นฉ่ายขึ้นฉ่าย มีสรรพคุณทางยา และทางอาหารมากมายช่วยการทำ...
03/10/2020

สูตรน้ำผักผลไม้ ป้องกัน และเหมาะสำหรับผู้ป่วยมะเร็ง

น้ำคื่นฉ่าย

ขึ้นฉ่าย

ขึ้นฉ่าย มีสรรพคุณทางยา และทางอาหารมากมายช่วยการทำงานของกล้ามเนื้อและเส้นประสาท บรรเทาอาการตะคริว ลดความดันโลหิตสูง ช่วยแก้กระหายน้ำต้านมะเร็ง การทำงานของระบบขับถ่ายบรรเทาอาการท้องผูก บำรุงโลหิตระบบประสาท และระบบสายตา ป้องกันโรคหัวใจ ป้องกันโรคกระดูกพรุน ป้องกันโรคโลหิตจาง ป้องกันโรคมะเร็งมดลูก ช่วยป้องกันและสลายโรคมะเร็ง ป้องกันอาการตาบอดในผู้้สุงอายุ ช่วยดูดซึมธาตุเหล็ก ทำให้แผลหายเร็วป้องกันเลือดออกตามไรฟัน ส่งเสริมการเจริญเติบโตของแบคทีเรียในระบบทางเดินอาหาร

ส่วนประกอบ

- ขึ้นฉ่ายหั่น 10 ต้น

- แอปเปิลครึ่งผล

วิธีทำ

นำขึ้นฉ่ายมาล้างน้ำให้สะอาดโดยให้น้ำไหลผ่านประมาณ15-20 นาที นำแอปเปิลมาล้างให้สะอาด หั่นขึ้นฉ่ายตามขวางเป็นท่อน ๆ หั่นแอปเปิลเป็นชิ้น ๆ ใส่เครื่องคั้นแยกกาก ได้น้ำขึ้นฉ่ายลักษณะเขียวอำพัน 1 แก้ว ควรดื่มทันทีี

อัตราการป่วยโรคมะเร็งที่เพิ่มสูงขึ้น
02/10/2020

อัตราการป่วยโรคมะเร็งที่เพิ่มสูงขึ้น

ควบคุมเบาหวานด้วยอาหารสุขภาพ👍
11/09/2020

ควบคุมเบาหวานด้วยอาหารสุขภาพ👍

17/06/2020
กรวยไตอักเสบ (Pyelonephritis)...หนึ่งในโรคที่ต้องพึงระวัง ‼️😦ในชีวิตประจำวันของหลายๆ คน ที่อาจทำงานเพลิน ติดประชุม ใช้เว...
19/05/2020

กรวยไตอักเสบ (Pyelonephritis)...หนึ่งในโรคที่ต้องพึงระวัง ‼️😦
ในชีวิตประจำวันของหลายๆ คน ที่อาจทำงานเพลิน ติดประชุม ใช้เวลาในการเดินทางนานนับชั่วโมง เจอทั้งสภาพรถติด ไม่สามารถที่จะปัสสาวะได้ เลยต้องกลั้นปัสสาวะด้วยความจำเป็น แถมบางคนไม่ค่อยชอบดื่มน้ำระหว่างทำงาน เพราะขี้เกียจที่จะลุกไปเข้าห้องน้ำ ซึ่งอาจเป็นสาเหตุของโรคในระบบทางเดินปัสสาวะได้..

กรวยไตอักเสบ (Pyelonephritis)
เป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ คือที่กรวยไต ซึ่งเป็นท่อที่รวบรวมน้ำและของเสียที่ไตกรองออกมา ส่งต่อให้กับท่อไต เพื่อส่งไปยังกระเพาะปัสสาวะ การอุดกั้นของทางเดินปัสสาวะ มักเป็นปัจจัยเสริมให้เกิดการติดเชื้อได้ง่ายขึ้น เช่น นิ่วในทางเดินปัสสาวะ ต่อมลูกหมากโต กระเพาะปัสสาวะไม่ทำงานในผู้ป่วยอัมพาต หรือมีก้อนในช่องท้อง เป็นต้น

โรคนี้พบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชายประมาณ 4 เท่า โดยพบในเด็กผู้หญิงหรือหญิงตั้งครรภ์, ผู้ที่เป็นนิ่วในทางเดินปัสสาวะ, ต่อมลูกหมากโต, เนื้องอก หรือมะเร็งของกระเพาะปัสสาวะ, กระเพาะปัสสาวะอักเสบ หรือผู้ป่วยที่เคยสวนปัสสาวะมาก่อน (เช่น ผู้ป่วยหนักที่นอนพักรักษาอยู่ใน รพ.) ผู้ป่วยที่เป็นเบาหวานหรือกินสเตอร์รอยด์นานๆ ก็อาจมีโอกาสเป็นโรคนี้ได้ง่ายขึ้น

เชื้อที่พบบ่อย เป็นเชื้อแบคทีเรียกลุ่มแกรมลบ ได้แก่ อีโคไล (E.coli), เคลบซิลลา (Klebsiella), สูโดโมแนส (Pseudomonas) นอกจากนี้ในบางรายเชื้อโรคอาจแพร่กระจายจากส่วนอื่นๆ ของร่างกายโดยทางกระแสเลือดก็ได้

อาการและอาการแสดง
1. ผู้ป่วยมีอาการไข้สูง ร่วมกับอาการหนาวสั่นอย่างมาก จะจับไข้ไม่เป็นเวลาและมีอาการหนาวสั่นได้วันละหลายครั้ง
2. ปวดบริเวณสีข้าง หรือเอว ด้านใดด้านหนึ่ง บางคนอาจมีอาการปวดตรงบริเวณท้องน้อย (หัวหน่าว) ร่วมด้วย
3. ปัสสาวะลำบาก ปัสสาวะบ่อย แสบหรือขัด และมีปัสสาวะขุ่น
4. ผู้ป่วยอาจมีอาการปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร อ่อนเพลียร่วมด้วย
หากมีอาการและอาการแสดงดังกล่าว ควรไปพบแพทย์ภายใน 24 ชั่วโมง

การวินิจฉัย
การเพาะเชื้อจากปัสสาวะ จะพบเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุ นอกจากนี้ อาจต้องเอกซเรย์ ตรวจเลือด หรือตรวจพิเศษอื่นๆ เพื่อค้นหาความผิดปกติที่เป็นปัจจัยเสริมให้มีการติดเชื้อ

โรคแทรกซ้อน
กรวยไตอักเสบถ้าไม่ได้รับการรักษา เชื้ออาจลุกลามเข้ากระแสเลือด กลายเป็นภาวะโลหิตเป็นพิษ ซึ่งอาจเป็นอันตรายร้ายแรงได้ ในบางรายอาจกลายเป็นโรคกรวยไตอักเสบเรื้อรัง มีการอักเสบโดยไม่ปรากฏอาการ ซึ่งหากปล่อยไว้นานปี ในที่สุดอาจกลายเป็นไตวาย หรือพิการได้

การรักษา
1. ควรให้ยาลดไข้แก้ปวด และยาปฏิชีวนะตามชนิดของเชื้อที่ตรวจพบ ให้ยาครบตามขนาดที่แพทย์แนะนำ และถ้าพบความผิดปกติอื่นๆ ก็อาจให้การแก้ไขร่วมไปด้วย
2. หากให้การรักษา 2-3 วันแล้วยังไม่ดีขึ้น มีอาการรุนแรงหรือมีภาวะแทรกซ้อน เช่น ช็อก ความดันโลหิตสูง ปัสสาวะออกน้อย ซีด เหลือง หรือสงสัยโลหิตเป็นพิษ ควรรีบนำส่งโรงพยาบาล
3. ผู้ป่วยเมื่อรักษาจนอาการหายดีแล้ว ควรไปพบแพทย์เป็นระยะๆ อาจทุก 3-4 เดือน เพื่อตรวจปัสสาวะให้แน่ใจว่าไม่มีการอักเสบเรื้อรัง
ข้อแนะนำ
1. ผู้ป่วยที่กรวยไตอักเสบ มักมีไข้สูง หนาวสั่น คล้ายไข้มาลาเรีย แต่จะมีอาการปวด เคาะเจ็บที่สีข้าง และมีปัสสาวะขุ่น ดังนั้น เมื่อมีอาการดังกล่าว ควรนึกถึงโรคกรวยไตอักเสบนี้ไว้เสมอ
2. ผู้ป่วยที่มีโรคติดเชื้ออื่นๆ ในระบบทางเดินปัสสาวะ ควรจะรักษาโรค ให้หายขาด มิฉะนั้นอาจเกิดกรวยไตอักเสบแทรกซ้อนได้
3. หากสงสัยว่าเป็นโรคนี้ ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจรักษาที่ถูกต้องต่อไป

การป้องกัน
1. ดื่มน้ำมากๆ วันละ 3-4 ลิตร (เฉลี่ยชั่วโมงละ 1 แก้ว) ซึ่งน้ำจะช่วยขับเชื้อโรคออกจากกระเพาะปัสสาวะ
2. อย่ากลั้นปัสสาวะ ควรฝึกถ่ายปัสสาวะทุกครั้งที่รู้สึกปวดจนเป็นนิสัย เวลาเดินทางไกล ต้องฝึกให้เคยชินที่จะเข้าห้องน้ำนอกบ้าน ถ้ากลัวไม่สะอาด ก็ชำระล้างโถส้วมให้สะอาดเสียก่อน
3. หลังถ่ายอุจจาระ ควรชำระทวารหนักให้สะอาด การใช้กระดาษชำระควรเช็ดจากข้างหน้าไปข้างหลังจนสะอาด เพื่อป้องกันมิให้นำเชื้อโรคจากบริเวณทวารหนักปนเปื้อนเข้าท่อปัสสาวะ
4. เมื่อมีอาการกระเพาะปัสสาวะอักเสบ (ปัสสาวะแสบขัด กะปริดกะปรอย โดยไม่มีไข้) ควรได้รับการรักษาอย่างจริงจัง เพื่อป้องกันไม่ให้เชื้อลุกลามขึ้นไปที่กรวยไต

หากได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง อาการไข้จะค่อยๆ ทุเลาภายใน 2-3 วัน แพทย์จะให้ยาปฏิชีวนะต่อจนครบ 14 วันเป็นอย่างน้อย จึงจะกำจัดเชื้อให้หมดไปได้ ใครที่เคยคิดว่าปัสสาวะบ่อยเป็นเรื่องขี้ปะติ๋ว ควรเปลี่ยนความคิดเสียตั้งแต่ตอนนี้ และรีบรักษาก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป

อย่างไรก็ตาม เราควรป้องกันก่อนเกิดการอักเสบนะคะ 😊

งดอาหารมื้อเย็นหรือกินผลไม้ทดแทน เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้กระเพาะอาหารสร้างน้ำย่อยออกมามากเกินไป หรือควรกินอาหารก่อนเข้านอนอ...
10/05/2020

งดอาหารมื้อเย็นหรือกินผลไม้ทดแทน เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้กระเพาะอาหารสร้างน้ำย่อยออกมามากเกินไป หรือควรกินอาหารก่อนเข้านอนอย่างน้อย 3 ชั่วโมง
งดเครื่องดื่มที่มีแก๊ส เช่น ชา กาแฟ แอลกอฮอล์ ฯลฯ อาหารมัน หวาน เผ็ด และอาหารประเภทปิ้ง ย่าง ทอด เพราะเป็นอาหารที่กระตุ้นการสร้างน้ําย่อย
งดกินผักและผลไม้ที่มีกรดมาก เช่น ส้ม มะนาว มะเขือเทศ ฯลฯ
เคี้ยวอาหารอย่างช้าๆ ให้ละเอียด เพื่อช่วยให้กระเพาะอาหารไม่ต้องทํางานหนักเกินไป
กินแซนด์วิชสูตรพิเศษ คือ นําขนมปังโฮลวีตไปปิ้งพอเกรียม หั่นหอมหัวใหญ่เป็นชิ้นบางๆ ยัดเป็นไส้ขนมปัง กินเป็นอาหารเช้า
กินสลัดผัก แนะนําให้เติมกระเทียมดิบ แครอตดิบ และเซเลอรี่ดิบลงไปมากๆ รวมถึงควรกินผักที่มีใยอาหารมากๆ เช่น คะน้า บรอกโคลี ผักบุ้ง ตําลึง สะเดา
ดื่มน้ำเต้าหู้หรือกินกล้วย เพื่อช่วยบรรเทาอาการขณะเกิดขึ้นได้
ดื่มน้ำขิง เพราะเป็นสมุนไพรที่มีสรรพคุณช่วยย่อย โดยนําขิงแก่ที่ปอกเปลือก หั่นเป็นแว่นต้มในน้ำร้อนจนเดือด กรองเฉพาะน้ำดื่ม
ดื่มน้ำสับปะรด น้ำว่านหางจระเข้ หรือชามะละกอ เพื่อลดกรดและสมานแผลในกระเพาะอาหาร
10. ดื่มน้ำแอ๊ปเปิ้ลไซเดอร์ผสมน้ำผึ้ง โดยนําน้ำส้มแอ๊ปเปิ้ลไซเดอร์ปริมาณ 3 ช้อนโต๊ะ ผสมกับน้ําผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ เติมน้ําร้อนครึ่งแก้ว คนให้เข้ากัน จิบตลอดวัน

โดยธรรมชาติ ผู้สูงอายุมีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะขาดสารอาหารมากกว่าวัยอื่น ๆ อยู่แล้วนะคะ อันเนื่องจากกลไกของร่างกาย (ความ...
02/05/2020

โดยธรรมชาติ ผู้สูงอายุมีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะขาดสารอาหารมากกว่าวัยอื่น ๆ อยู่แล้วนะคะ อันเนื่องจากกลไกของร่างกาย (ความอยากอาหารที่ลดลง ปัญหาการเคี้ยว/กลืนอาหาร ความสามารถในการเคลื่อนไหว การทำกิจวัตรประจำวันด้วยตนเองที่ลดลง) ร่วมกับสิ่งแวดล้อมที่อาจเปลี่ยนแปลงไป (ตั้งแต่เรื่องของสภาวะรอบตัวไปจนถึงเรื่องของผู้ดูแลค่ะ) เมื่อผู้สูงอายุมีโรคประจำตัว ก็มักจะต้องควบคุมอาหารเพิ่มเติมไปอีกเพื่อจัดการสภาวะของโรค จนหลาย ๆ ครั้งควบคุมอาหารมากเกินไป สุดท้ายผู้สูงอายุรับประทานอาหารได้ไม่เพียงพอ เพราะตัวเลือกน้อย แถมรสชาติไม่อร่อย ทำให้เกิดภาวะน้ำหนักลด กลายเป็นว่าเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดภาวะขาดสารอาหาร แถมคุณภาพชีวิตก็ดูมีแนวโน้มที่จะแย่ลงด้วยค่ะ

แล้วจะทำอย่างไรดีคะ ในเมื่อคุมมากเกินไปก็ไม่ดี ไม่คุมเลยก็ไม่ดี คำตอบก็คือทางสายกลางนั่นเองค่ะ ในผู้สูงอายุ ป้าจะแนะนำให้มีการวางแผนการกำหนดอาหารเป็นรายบุคคลร่วมกับนักกำหนดอาหารค่ะ เพราะเราจำเป็นต้องคำนึงถึงปัจจัยอื่น ๆ ที่ส่งผลต่อการบริโภคอาหารด้วย โดยที่ไม่ควรเข้มงวดเกินไป (อย่าลืมว่าการควบคุมที่มากเกินไปก็อาจจะไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพ) ประเมินความจำเป็นที่จะต้องควบคุมอาหารจากสภาวะของโรคในขณะนั้นเป็นหลักค่ะ มีงานวิจัยชี้ให้เห็นว่าในผู้สูงอายุที่บริโภคอาหารอย่างหลากหลาย มีแนวโน้มที่จะมีภาวะโภชนาการที่ดีกว่าผู้สูงอายุที่บริโภคอาหารไม่หลากหลายค่ะ

ตัวอย่างของการกำหนดอาหารเป็นรายบุคคล ก็เช่น โรคเบาหวาน ไม่จำเป็นต้อง “งด” ขนมหวาน หรือการเติมน้ำตาลในอาหารโดยสิ้นเชิง ตราบเท่าที่ปริมาณคาร์โบไฮเดรตโดยรวมที่ได้รับต่อวันยังอยู่ในปริมาณที่เหมาะสม และคาร์โบไฮเดรตที่บริโภคส่วนใหญ่เป็นคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน (มาจากอาหารกลุ่มธัญพืชไม่ขัดสี ผัก ผลไม้ เป็นต้น) นะคะ หรืออย่างโรคหัวใจและหลอดเลือด ก็ไม่จำเป็นว่าอาหารทุกอย่างจะต้องโซเดียมต่ำ ไขมันต่ำ คอเลสเตอรอลต่ำ นะคะ ควรพิจารณาเป็นรายบุคคลตามสภาวะของระดับไขมันในเลือด และความดันโลหิตค่ะ ถ้าผู้สูงอายุอยากรับประทานหมูกรอบ หรือไข่เค็มบ้าง ป้าไม่ได้คิดว่าเป็นปัญหาแต่อย่างใดนะคะ ขอให้ภาพรวมของอาหารเน้นไปที่การบริโภคผักผลไม้ ร่วมกับมีเมนูอื่น ๆ สลับกันไป ไม่ได้เน้นรสชาติเค็มทุกมื้อ ร่วมกับการเลือกใช้น้ำมันที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ หมั่นตรวจระดับไขมันในเลือด ความดันโลหิตสม่ำเสมอ หากอยู่ในระดับที่ควบคุมได้ ป้าคิดว่าผู้สูงอายุก็ยังสามารถเลือกบริโภคอาหารที่ชอบได้อย่างมีความสุข แบบนี้แล้วนอกจากสุขภาพกายที่ดีแล้ว สุขภาพใจก็ดีด้วยใช่มั้ยคะ :)

ไม่สูบบุหรี่ก็เสี่ยงเป็นมะเร็งปอดได้ ถ้าในร่างกายมียีนกลายพันธุ์เรื่อง : กาญจนามะเร็งที่เป็นสาเหตุของการเสียชีวิตของคนทั...
01/05/2020

ไม่สูบบุหรี่ก็เสี่ยงเป็นมะเร็งปอดได้ ถ้าในร่างกายมียีนกลายพันธุ์

เรื่อง : กาญจนา

มะเร็งที่เป็นสาเหตุของการเสียชีวิตของคนทั่วโลกมากที่สุดคือ “มะเร็งปอด” ครองอันดับ 1 มากกว่ามะเร็งชนิดอื่นทั้งมะเร็งเต้านม มะเร็งตับ มะเร็งลำไส้ และมะเร็งปากมดลูก และมีผลสำรวจพบว่า ผู้ชายมีโอกาสเป็นมะเร็งปอดมากกว่าผู้หญิง โดยผู้ชายไทยเป็นมะเร็งปอดมากเป็นอันดับที่ 2 (รองจากมะเร็งลำไส้ใหญ่) ส่วนผู้หญิงเป็นมะเร็งปอดมากอันดับที่ 4 โดยรวมแล้วมีอัตราผู้เสียชีวิตด้วยมะเร็งปอดร้อยละ 40 พบมากในช่วงอายุ 50-70 ปี ส่วนสาเหตุของโรคไม่ได้มาจากการสูบบุหรี่หรืออยู่ใกล้ชิดผู้ที่สูบบุหรี่เป็นประจำเท่านั้น แต่กลับมีจากสาเหตุอื่นที่คนส่วนมากยังไม่ทราบ
นพ.ธัช อธิวิทวัส หน่วยมะเร็งวิทยา ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี เผยว่า “ยีนกลายพันธุ์” เป็นสาเหตุของมะเร็งปอดที่พบในประเทศไทยและประเทศอื่นๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ถึงร้อยละ 40 ซึ่งสาเหตุการกลายพันธุ์ของยีนนั้นยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด เมื่อยีนในร่างกายทำงานผิดปกติจะเรียกว่า เกิดยีนกลายพันธุ์ ทำให้เซลล์ปกติที่มีหน้าที่ต่างๆ ในร่างกายกลับกลายเป็นเซลล์มะเร็งในที่สุด
นอกจากนี้ คนไทยส่วนใหญ่ยังมีความเข้าใจว่า คนไข้โรคมะเร็งระยะที่ 4 (ผมเป็นระยะที่ 4) จะไม่มีโอกาสรอดชีวิต แต่ปัจจุบันวิทยาการทางการแพทย์ที่ก้าวหน้าจึงมีวิธีการรักษาที่มีประสิทธิภาพสำหรับคนไข้ในระยะที่ 4 นั่นคือ “การรักษาแบบมุ่งเป้า” ( การจะรับยาตัวนี้ได้ต้องผ่านการตรวจจากแพทย์ว่ายาตัวนี้ตรงกับยีนที่เรากำลังเป็นไหม)สำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็งที่มีสาเหตุมาจากการกลายพันธุ์ของยีน โดยยาจะเข้าไปยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง ซึ่งปัจจุบันมียาสำหรับต้านการกลายพันธุ์ของยีนบางชนิดแล้ว และมีแนวโน้มว่าจะมีการคิดค้นยาสำหรับต้านการกลายพันธุ์ของยีนชนิดอื่นๆ ส่วนเรื่องผลข้างเคียงพบว่ามีน้อย มักเป็นสิวบนใบหน้าหรือเล็บขบเท่านั้น

สำหรับตัวผมผลข้างเคียงท้องเสีย เวียนศีรษะครับ.
ก่อนผมรับยาตัวนี้ต้องผ่านการตรวจก่อนว่ามียาที่ตรงกับยีนกลายพันธ์ของเราไหม? ตรวจสองรอบกว่าจะได้ตัวยา.
รอบแรกไม่พบ เลยต้องทำคีโม ประสบการณ์คีโม เป็นความทรงจำที่ดีมากๆ แต่หากเลือกได้ไม่ขอทำคีโม.

สำหรับใครที่เป็นมะเร็ง หรือ ป่วยไม่สบายด้วยโรคอะไรก็ตามผมขอเป็นกำลังใจให้ครับ ผมก็ยังไม่หาย(ระยะ 4 ไม่หาย) แต่เราต้องเดินต่อไป สู้ๆ ครับ Go with the flow.

ขอบคุณข้อมูลจาก 40plus.posttoday.com

ที่อยู่

สุราษฎร์ธานี

เบอร์โทรศัพท์

+66933642656

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ ศูนย์สุขภาพ แพทย์ทางเลือก บำบัด ฟื้นฟู มะเร็ง เบาหวาน ความดัน และ NCDsผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ การปฏิบัติ

ส่งข้อความของคุณถึง ศูนย์สุขภาพ แพทย์ทางเลือก บำบัด ฟื้นฟู มะเร็ง เบาหวาน ความดัน และ NCDs:

แชร์

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram