คลินิกหมอสำเริง

คลินิกหมอสำเริง คลินิกอายุรกรรม

เข่าเสื่อม
28/11/2025

เข่าเสื่อม

NSAIDS ยาแก้ปวดข้อและกระดูก
09/11/2025

NSAIDS ยาแก้ปวดข้อและกระดูก

ใครบ้างที่ “ไม่ควรใช้ยา NSAIDs” หรือควรหลีกเลี่ยงโดยเด็ดขาด?

ยาแก้ปวดข้อ ยาแก้อักเสบ หรือที่หลายคนเรียกติดปากว่า “ยาแก้ปวดแรง” เช่น Ibuprofen, Diclofenac, Naproxen, Celecoxib หรือ Etoricoxib ล้วนอยู่ในกลุ่มยา NSAIDs (Non-Steroidal Anti-Inflammatory Drugs) ซึ่งเป็นยาที่ช่วยลดการอักเสบ ลดบวม และลดอาการปวดได้ดีมาก โดยเฉพาะในโรคกระดูกและข้อ เช่น ปวดเข่า ปวดหลัง เอ็นอักเสบ หรือข้อเสื่อม

แต่ยากลุ่มนี้ก็มี “ข้อควรระวัง” และ “ข้อห้ามใช้” ที่สำคัญ เพราะหากใช้ผิดคน หรือใช้ต่อเนื่องนาน อาจเกิดผลข้างเคียงรุนแรงได้ โดยเฉพาะกับ “กระเพาะอาหาร ไต และหัวใจ”

มาดูกันครับว่าใครบ้างที่ควรหลีกเลี่ยงยากลุ่มนี้อย่างเด็ดขาด หรือควรใช้ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด
---

เพราะยากลุ่ม NSAIDs จะไปลดสารที่ช่วยเคลือบเยื่อบุกระเพาะ ทำให้เยื่อบุกระเพาะบางลงและไวต่อกรด

ผู้ที่เคยมีแผลในกระเพาะหรือมีภาวะกรดไหลย้อนอยู่แล้ว หากกินยานี้อาจเกิดภาวะ

แสบท้อง ปวดท้อง

- เป็นแผลในกระเพาะอาหาร
- หรือเลือดออกในกระเพาะ (อุจจาระดำ)
- ถ้าจำเป็นต้องใช้จริง ๆ แพทย์มักให้ร่วมกับยาเคลือบกระเพาะ เช่น Omeprazole, Esomeprazole หรือกลุ่ม PPI เพื่อป้องกันแผลในกระเพาะ

กลุ่มที่ 2 : ผู้ที่มี “โรคไต” หรือไตทำงานลดลง
---

ถ้าใช้ติดต่อกันนาน อาจทำให้ “ไตเสื่อมถาวร” ได้

ผู้ที่มีโรคไตเรื้อรัง เบาหวาน ความดันโลหิตสูง หรือมีประวัติไตเสื่อม ควรหลีกเลี่ยงโดยเด็ดขาด

กลุ่มที่ 3 : ผู้ป่วยโรคหัวใจ หรือหลอดเลือด

โดยเฉพาะผู้ที่มีโรคหัวใจขาดเลือด หลอดเลือดตีบ หรือเคยใส่ขดลวดหัวใจ (Stent)
---

อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิด “หัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน” หรือ “เส้นเลือดสมองตีบ”

ดังนั้นถ้าเป็นโรคหัวใจ ควรหลีกเลี่ยง หรือใช้เฉพาะเมื่อแพทย์อนุญาตเท่านั้น

กลุ่มที่ 4 : ผู้ที่กินยา “ต้านเกล็ดเลือด” หรือ “ยาละลายลิ่มเลือด”

เช่น Aspirin, Clopidogrel, Warfarin หรือ Apixaban

เพราะยากลุ่ม NSAIDs มีฤทธิ์ทำให้เลือดแข็งตัวช้าลงเช่นกัน
---

ถ้าจำเป็นต้องใช้ แพทย์จะต้องประเมินความเสี่ยงและเลือกยาที่ปลอดภัยที่สุดเท่านั้น

กลุ่มที่ 5 : ผู้สูงอายุ (อายุ 60 ปีขึ้นไป)

ในวัยนี้ กระเพาะอาหารและไตทำงานช้าลงตามธรรมชาติ

ทำให้ขับยาออกจากร่างกายได้ช้ากว่าคนหนุ่มสาว

การใช้ยา NSAIDs จึงมีโอกาสสะสมและเกิดผลข้างเคียงรุนแรงได้ง่ายกว่า
---

กลุ่มที่ 6 : ผู้ที่ตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร

โดยเฉพาะหญิงตั้งครรภ์ช่วงไตรมาสสุดท้าย (7–9 เดือน)

ยา NSAIDs อาจทำให้ “เส้นเลือดหัวใจของทารกในครรภ์ปิดก่อนคลอด” ซึ่งเป็นอันตราย

และบางตัวยังอาจผ่านทางน้ำนมมาสู่ทารกได้

ดังนั้นหญิงตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร ควรหลีกเลี่ยงโดยเด็ดขาด
---

ยา NSAIDs บางตัวถูกเผาผลาญที่ตับ

หากตับทำงานผิดปกติ อาจทำให้ระดับยาในเลือดสูงและเกิดพิษต่อตับได้

ควรใช้เฉพาะภายใต้การดูแลของแพทย์ที่ตรวจเลือดเป็นระยะ

กลุ่มที่ 8 : ผู้ที่มีภูมิแพ้ยาในกลุ่ม NSAIDs หรือ Aspirin

บางคนเมื่อกินยาเพียงเม็ดเดียว อาจมีอาการ
---

หายใจไม่ออก

หน้าบวม หรือแน่นหน้าอก

ซึ่งเป็นภาวะ “แพ้รุนแรง (Anaphylaxis)” ต้องรีบไปโรงพยาบาลทันที

ข้อควรระวังเพิ่มเติมสำหรับคนทั่วไป
---

ถ้ามีอาการปวดท้อง แสบท้อง คลื่นไส้ หรืออุจจาระดำ ให้หยุดยาและรีบพบแพทย์

ไม่ควรใช้ยาหลายตัวในกลุ่มเดียวกันพร้อมกัน เช่น Ibuprofen กับ Diclofenac เพราะไม่ช่วยให้หายเร็วขึ้นแต่เพิ่มผลข้างเคียง

- ดื่มน้ำให้เพียงพอระหว่างใช้ยา เพื่อช่วยลดการคั่งของยาในไต
- สรุปสั้น ๆ
- ยาแก้ปวดกลุ่ม NSAIDs เป็นยาที่มีประโยชน์มากในการรักษาโรคกระดูกและข้อ

แต่ก็มีข้อจำกัดและกลุ่มเสี่ยงที่ต้องหลีกเลี่ยงอย่างเด็ดขาด เช่น
---

ถ้าจำเป็นต้องใช้ ควรอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์

- และอย่าซื้อยากินเอง เพราะบางครั้ง “ยาที่ช่วยลดปวด” อาจกลายเป็น “ยาที่ทำร้ายร่างกาย” ได้โดยไม่รู้ตัว
- พูดให้ง่ายที่สุด
- “ยาแก้ปวดข้อดีเหมือนดาบสองคม ถ้าใช้ถูกวิธีช่วยให้เดินได้สบาย แต่ถ้าใช้ผิดคนอาจต้องนอนโรงพยาบาลเพราะแผลในกระเพาะหรือไตวายครับ”
- บทความนี้ให้ข้อมูลทั่วไป หากมีอาการปวดข้อหรือปวดหลัง และจำเป็นต้องใช้ยาแก้ปวดบ่อย ควรปรึกษาแพทย์เฉพาะทางก่อนทุกครั้ง
---

ผศ.นพ.ธนินนิตย์ ลีรพันธ์

ผู้เชี่ยวชาญโรคกระดูกและข้อ

Line ID:

โทร 081-5303666
---
---

ขอน้อมถวายความอาลัยด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันล้นพ้นต่อปวงชนชาวไทย น้อมส่งเสด็จสู่สวรรคาลัย
25/10/2025

ขอน้อมถวายความอาลัยด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันล้นพ้นต่อปวงชนชาวไทย น้อมส่งเสด็จสู่สวรรคาลัย

ของเล่นที่มีค่าสำหรับลูก
23/10/2025

ของเล่นที่มีค่าสำหรับลูก

กระเพาะอาหารคนเราไม่ชอบอะไรบ้าง
19/10/2025

กระเพาะอาหารคนเราไม่ชอบอะไรบ้าง

5 สิ่งที่กระเพาะอาหารเกลียด
ทราบไว้จะได้เลี่ยง


จริงๆ มีเยอะกว่านี้ แต่ขอเอาอันที่มันสัมพันธ์จริงๆ ค่ะ โดยจะพูดเจาะจงเรื่องแผลและมะเร็งเป็นหลักค่ะ และจะขอยกเรื่องกรดไหลย้อนไปอยู่ในเรื่อง ‘หลอดอาหาร’ ซึ่งจะพูดในวันถัดๆ ไปค่ะ


1️⃣ เชื้อแบคทีเรีย H. pylori

ยืนพื้นอันดับหนึ่งคู่ปรับตลอดกาลของกระเพาะ แบคทีเรียที่แหกทุกกฏ แบคทีเรียตัวอื่นกลัวกรดกันมาก ต้องภาวนาให้ผ่านกระเพาะไปตั้งรกรากแถวลำไส้

ส่วนเจ้านี่มันเกาะกระเพาะเลย เพราะมันมีเอนไซม์ ‘urease’ ตัดยูเรีย ฉับ! กลายเป็นด่างแอมโมเนีย สร้างเกราะกันกรดให้ตัวมันเอง เพื่ออาศัยที่กระเพาะเลย

สามารถกระตุ้นการหลั่งกรดมาเผาลำไส้เล็กส่วนต้นจนเกิดแผลได้ หรือจะเล่นงานกระเพาะตรงนั้นเลยแล้วสร้างแผลในกระเพาะ โดยเฉพาะถ้าซวยติดแบบทั่วๆ กระเพาะ สามารถเหนี่ยวนำให้เกิดมะเร็งได้

มันมาจากไหน? ติดมาจากการกินจากผู้ที่มีเชื้อค่ะ หลายรายคือรับมาตั้งแต่เด็กๆ แล้วอยู่เงียบจนมาออกอาการทีหลังก็มี

♥️ หากมีอาการปวดแสบร้อน ไม่สบายท้อง สัมพันธ์กับการกิน พบแพทย์เพื่อเข้ารับการรักษาและตรวจเพิ่มเติมหาเชื้อนะคะ ซึ่งถ้าเจอ ต้องกินยาปฏิชีวนะสูตรจำเพาะค่ะ


2️⃣ ยาแก้อักเสบ NSAIDs ในผู้ที่มีความเสี่ยง
*ตัวอย่างยา: Ibuprofen, Naproxen, Diclofenac, Mefenamic acid

ยืนพื้นอันดับสองในเรื่องแผลในกระเพาะ เพราะยาสามารถระคายเคืองผิวกระเพาะได้โดยตรง และยับยั้งการสร้างสารป้องกันกระเพาะนามว่า PGE2 ทำให้ลดการสร้างเมือกและด่างไบคาร์บ

ส่งผลให้กระเพาะกลายเป็น ‘หมองูตๅยเพราะงู’ คือโดนกรดตัวเอง กัดตัวเอง เกิดแผลเองค่ะ

แต่ในขนาดโดสปกติในผู้ที่ไม่มีความเสี่ยง โอกาสเกิดค่อนข้างต่ำค่ะ ซึ่งความเสี่ยงที่ว่า เช่น อายุมากกว่า 60 ปี, ใช้ร่วมกับยาอื่น (ยากินสเตียรอยด์, แอสไพริน), ใช้มากกว่า 1 ชนิด (มักไม่ค่อยเจอในเคส รพ. ชอบเจอในเคสกินยาชุดที่ขายแบบผิดๆ)

ซึ่งในรายที่มีความเสี่ยงแพทย์มักจะให้คู่กับยาลดกรด หรือไม่ก็เปลี่ยนเป็นชนิดที่ปลอดภัยต่อกระเพาะ Selective COX-2i เช่น Celecoxib แต่ต้องประเมินคู่กับเรื่องหลอดเลือดหัวใจด้วย

♥️ ใช้ยาแก้อักเสบเมื่อจำเป็น ถ้ารู้สึกว่าต้องใช้นานมากกว่า 3-5 วัน ควรไปตรวจหาต้นเหตุของการปวดที่แท้จริงกับแพทย์ก่อนค่ะ ถ้าจำเป็นต้องใช้ต่อจริงๆ ค่อยใช้ เพราะถ้าแก้ที่ต้นเหตุได้ ก็จบเลย ตัวอย่างที่ชัดมากเลยคือ ปวดประจำเดือน มันมีตัวเลือกมากกว่า NSAIDs อีกมาก เช่น การรักษาด้วยฮอร์โมน หรือตรวจพาสาเหตุที่ซ่อนอยู่ที่ทำให้ปวดประจำเดือนหนักๆ ได้ เช่น เยื่อบุมดลูกเจริญผิดที่


3️⃣ บุหรี่และสุรา

บุหรี่มีมวลมหาพิษจากการเผาไหม้ และสารก่อมะเร็งหลายชนิด เร่งให้ผิวกระเพาะอักเสบเรื้อรัง

สุรา (Ethanol) บางส่วนเผาผลาญที่เยื่อบุผนังกระเพาะเลย ทำให้ได้สารพิษและสารก่อมะเร็งชื่อ Acetaldehyde และสารอนุมูลอิสระ ทำลายผนังกระเพาะได้เลย บางรายดื่มเยอะระดับหนึ่ง กระเพาะอักเสบเฉียบพลัน เลือดออก อาเจียนเป็นเลือดได้เลย ในระยะยาวก็เสี่ยงมะเร็งกระเพาะมากขึ้น

♥️ งดบุหรี่ งดสุรานะคะ


4️⃣ แบคทีเรียเจ้าถิ่นในกระเพาะเสียสมดุล (Dysbiosis)

อันที่จริงกระเพาะเองก็มีชุมชนแบคทีเรียคล้ายลำไส้ใหญ่นะคะ แต่น้อยกว่า และจำนวน species น้อยกว่า แต่ใดๆ คือบทบาทคล้ายกัน น้องจะคอยสร้างสารต้านอักเสบ/สารดูแลผิวกระเพาะ

แต่ถ้ามีการเสียสมดุล ตัวที่ช่วยดูแลกระเพาะมีจำนวนลดลง แต่ตัวสร้างสารก่ออักเสบเพิ่มขึ้นก็จะทำร้ายผนังกระเพาะเรื้อรังได้ จนเสี่ยงมะเร็งกระเพาะ

ถามว่าสาเหตุที่ทำให้เสียสมดุลคืออะไร? ก็ 3 ข้อข้างบนเลยค่ะ ตั้งแต่ติด H. pylori, ใช้ยาแก้ปวดในคนที่มีความเสี่ยง, บุหรี่, สุรา พวกนี้เปลี่ยนแบคทีเรียกลุ่มนี้ด้วย

กินอาหารที่มีเส้นใยน้อยเกี่ยวมั้ย? อาจจะเกี่ยวเล็กน้อยค่ะ เพราะแบคทีเรียที่นี้ไม่ใช่ตัวหลักในการย่อยเส้นใย ซึ่งจะไปเกี่ยวหนักจริงๆ คือลำไส้ใหญ่มากกว่า


5️⃣ ภาวะอ้วน

เมื่อเซลล์ไขมันมีการสะสมไขมันมาเกินจนบวมเป่ง มันจะเริ่มหลั่งสารอักเสบทำร้ายอวัยวะรอบๆ ซึ่งตัวกระเพาะเองก็มีเนื้อเยื่อไขมันรอบๆ เช่นกัน (Omentum)

รวมทั้งถ้ามีภาวะดื้ออินซูลินแล้ว ตับอ่อนที่พยายามหลั่งอินซูลินมากขึ้น จะเร่งการโตของเซลล์ที่เสี่ยงมะเร็งในกระเพาะได้

แต่อย่างไรก็ตามความเสี่ยงเรื่องมะเร็ง จะไม่ชัดเจนเท่ามะเร็งลำไส้ใหญ่นะคะ อันนั้นเพิ่มค่อนข้างเยอะเลย

ที่สำคัญคือมันค่อยเป็นค่อยไป และมะเร็งยังมีอีกหลายปัจจัยเสี่ยงนะคะ ของแบบนี้แก้ไขได้ค่ะ

♥️ ควบคุมอาหาร เพิ่มการออกกำลังกาย ตรวจสุขภาพเสมอค่ะ

เดินช้า 3 นาทีสลับเดินเร็ว 3 นาที วันละ 5 รอบรวม 30 นาทีสัปดาห์ละ 5 วัน
15/09/2025

เดินช้า 3 นาทีสลับเดินเร็ว 3 นาที วันละ 5 รอบรวม 30 นาที
สัปดาห์ละ 5 วัน

การตรวจการทำงานของไต
15/09/2025

การตรวจการทำงานของไต

Creatinine กับ eGFR

การตรวจค่าไตด้วย creatinine จริง ๆ แล้วเป็นการตรวจค่าไตทางอ้อม เราวัดปริมาณ creatinine ที่ค้างอยู่ในร่างกายแล้วนำมาประมาณการทำงานของไต (eGFR) แต่คนที่มีกล้ามเนื้อเยอะ ค่า creatinine จะสูงกว่าเป็นเรื่องปกติ ไม่ได้แปลว่าไตทำงานลดลง เช่นเดียวกัน ยาที่ลดการขับ creatinine หรือการกระทำบางอย่างจะทำให้ creatinine ปล่อยมาจากกล้ามเนื้อเยอะขึ้น มันก็อาจจะสูงปลอมได้

ปกติค่าไตสูงปลอมสามารถเจอได้จากหลายสาเหตุ เลยขอแนะนำก่อนตรวจค่าไตดังนี้

ก่อนการตรวจค่า creatinine
1. กินน้ำได้นะครับ การงดน้ำนาน ๆ จะทำให้มีภาวะขาดสารน้ำ ค่าไตจะขึ้นได้ชั่วคราว

การงดน้ำงดอาหารเพื่อดูค่าน้ำตาลกับไขมัน ซึ่งงดน้ำ = งดเครื่องดื่มที่ให้พลังงาน ดังนั้นกินน้ำเปล่าได้ แต่ถ้าเราไม่ได้เจาะเลือดดูน้ำตาลกับไขมันก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องงดน้ำ งดอาหาร

2. เลี่ยงการกินมื้อที่มีโปรตีนสูง ๆ ก่อนวันตรวจ เพราะจะทำให้ผลการตรวจเพี้ยน (ค่า creatinine จะสูงปลอม วัดการทำงานของไตไม่ได้) ถ้าใครกินเวย์อยู่ ก็หยุดก่อนไปตรวจสัก 1-2 วัน

3. งดการออกกำลังกายหนัก ๆ ก่อนวันตรวจ ถ้าออกกำลังกายหนัก ๆ จะทำให้ creatinine ปล่อยมาจากกล้ามเนื้อเยอะขึ้น ก็จะมีค่าไตสูงปลอมได้เหมือนกัน

4. ยาบางชนิด เช่น trimetroprim, cimetidine, methyldopa, fibrates ถ้ารับประทานยากลุ่มพวกนี้ควรแจ้งกับแพทย์ด้วย

สำหรับคนที่ออกกำลังกายเยอะ ๆ นักกีฬาหรือนักเพาะกาย มักจะมีค่า creatinine สูงกว่าปกติ แต่ต้องแยกกับมีการทำงานของไตลดลงจริง ซึ่งอาจจะเจอได้ในพวกที่กินสเตียรอยด์เพื่อสร้างกล้ามเนื้อ

ในกรณีนี้การตรวจ serum cystatin-C ร่วมด้วยจะมีประโยชน์ในการประเมินค่าไตได้ดีขึ้น

สรุป

*การตรวจค่า Cr พบความผิดปกติ แพทย์ผู้รักษาและคนไข้อาจจะต้องคิดถึงความเป็นไปได้ที่การตรวจค่า Cr สูงเกินจริงจากปัจจัยต่างๆ*

*สถานพยาบาลควรมีการแนะนำวิธีการปฏิบัติตนเองก่อนตรวจเลือดอย่างถูกต้อง เพื่อลดการตรวจเพิ่มเติมที่ไม่จำเป็นและลดความวิตกกังวลแก่ผู้ป่วย*

*ค่าไตสูงปลอม ควรจะแยกกับไตเสื่อมจริง ด้วยการตรวจโปรตีนรั่วในปัสสาวะ, ultrasound ไตและ serum cystatin-c ในบางราย*

10/09/2025

ออกกำลังกายแบบผู้สูงวัย

01/09/2025

ท่าบริหารสำหรับการเดินที่มั่นคงและปลอดภัย
เหมาะสำหรับผู้สูงอายุ

คลินิกหมอสำเริงพร้อมให้บริการแล้ววัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่มาแล้วครับสามารถมารับบริการได้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้น...
30/08/2025

คลินิกหมอสำเริงพร้อมให้บริการแล้ว

วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่มาแล้วครับ

สามารถมารับบริการได้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

ในปีนี้องค์การอนามัยโลกได้แนะนำให้ฉีดเพียง 3 สายพันธุ์ก็เพียงพอ เนื่องจากตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นมาไม่พบการระบาดของสายพันธุ์ B/Yamagata เลย

ที่อยู่

เมืองพาน
Amphoe Muang Phan
57120

เวลาทำการ

จันทร์ 08:00 - 12:00
17:00 - 20:00
อังคาร 08:00 - 12:00
17:00 - 20:00
พุธ 08:00 - 12:00
17:00 - 20:00
พฤหัสบดี 08:00 - 12:00
17:00 - 20:00
ศุกร์ 08:00 - 12:00
17:00 - 20:00
เสาร์ 08:00 - 12:00
อาทิตย์ 08:00 - 12:00

เบอร์โทรศัพท์

6653722469

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ คลินิกหมอสำเริงผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

แชร์

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram