คลินิกหมออร สูติ-นรีเวชกรรม

คลินิกหมออร สูติ-นรีเวชกรรม คลินิกเฉพาะทางด้านสูติศาสตร์และนรีเวชวิทยา

04/11/2025

ซิฟิลิส : แนวทางการรักษาที่ทันสมัย

•••••••

Cr: รศ พญ เจนจิต

ในการประชุมวิชาการประจำปี RTCOG2025

02/11/2025

💊 ระมัดระวังการใช้ยาฆ่าเชื้อที่ใช้บ่อยแต่ไม่ควรใช้ระหว่างตั้งครรภ์เพราะจะทำให้ฟันเหลือง กระทบกระดูกและเสี่ยงความพิการ

Doxycycline (ด็อกซีไซคลิน) เป็นยาปฏิชีวนะในกลุ่ม Tetracycline ที่ใช้กันแพร่หลาย
เช่น รักษาโรคปอดบวม หนองในเทียม สิว หรือโรคติดเชื้อจากแมลงและสัตว์กัดต่อย 🦠

แต่สำหรับ หญิงตั้งครรภ์ ❗️ยานี้ถือว่า “ไม่ปลอดภัย” และควรหลีกเลี่ยงโดยเด็ดขาด

👶 ทำไมถึงห้ามใช้ในคนท้อง?

ยานี้สามารถ ผ่านรก ไปถึงทารกในครรภ์ได้
และมีฤทธิ์จับกับ แคลเซียมในกระดูกและฟันของทารก

ผลที่อาจเกิดขึ้น ได้แก่
🦷 ฟันของทารกเปลี่ยนสี เป็นเหลืองหรือน้ำตาลเมื่องอกขึ้นหลังคลอด
🦴 การเจริญของกระดูกช้าลงชั่วคราว (แม้จะกลับมาเป็นปกติได้ภายหลัง)
⚠️ มีรายงานบางส่วนเกี่ยวกับความเสี่ยงต่อความพิการบางชนิด แม้หลักฐานยังไม่ชัดเจน

📆 ช่วงที่เสี่ยงมากที่สุดคือช่วงไหน

ช่วง ไตรมาสที่ 2 และ 3 ของการตั้งครรภ์
เพราะเป็นเวลาที่กระดูกและฟันของทารกกำลังสร้างแร่ธาตุ
หากได้รับยาในช่วงนี้ จะเพิ่มโอกาสเกิดผลกระทบต่อฟันและกระดูกของลูก

🩺 ถ้าจำเป็นต้องใช้ยารักษาการติดเชื้อล่ะ?

แพทย์จะพิจารณาใช้ยาที่ ปลอดภัยกว่าในหญิงตั้งครรภ์ แทนเช่น
✅ Azithromycin
✅ Amoxicillin
✅ Erythromycin

ยกเว้นกรณีการติดเชื้อรุนแรงบางชนิด เช่น ไข้รากสาดใหญ่ ที่อาจต้องใช้ Doxycycline ภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้น 🧑‍⚕️

🤱 ถ้าช่วงให้นมบุตร?

หลังคลอด หากจำเป็นต้องใช้ยา Doxycycline ระยะสั้น (ไม่เกิน 7–10 วัน)
โดยทั่วไปถือว่า ปลอดภัยในการให้นมบุตร เพราะยาผ่านสู่น้ำนมในปริมาณน้อยมาก
แต่ไม่ควรใช้ต่อเนื่องระยะยาว เพื่อป้องกันผลสะสมต่อทารก

💡 ดังนั้น ….
Doxycycline ไม่ควรใช้ในหญิงตั้งครรภ์ เพราะอาจกระทบต่อฟันและกระดูกของทารกในครรภ์

02/11/2025

น้ำมะนาวมีส่วนประกอบหลักคือ กรดซิตริก (citric acid) และวิตามินซีเล็กน้อย ซึ่ง
• #ไม่มีผลโดยตรงต่อการดูดซึมกลูโคสในลำไส้
• #ไม่รบกวนเอนไซม์ที่ใช้ตรวจระดับน้ำตาลในเลือด

••••••••

⚠️ ข้อควรระวังในการเตรียมเครื่องดื่ม
• ใช้ มะนาวสด หรือบีบน้ำเล็กน้อยเท่านั้น
• ห้ามเติม น้ำตาลทราย น้ำผึ้ง น้ำผลไม้ หรือโซดาเพื่อให้รสกลมกล่อมยิ่งขึ้น
• ปริมาณที่แนะนำคือ ไม่เกิน 1–2 ช้อนชา (5–10 มล.) ของน้ำมะนาวสดในสารละลายกลูโคส 300 มล. ดังนั่นไม่ต้องนำมะนาวมาเยอะนะครับ 5-10 มล น่าจะกำลังพอ

• สำคัญมากอีกอย่างคือ #ไม่ควรใช้ผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป เช่น น้ำมะนาวพร้อมดื่มหรือผงมะนาว เพราะอาจมีน้ำตาลผสมครับ

02/11/2025

#ไข้หวัดใหญ่vsRSV #รู้ก่อนป้องกันได้!

สธ.เผย #ไวรัสRSV ดุ! ปี 2568 ติดเชื้อแล้วกว่า 16,000 ราย เสียชีวิต 2 ราย ขณะที่ #ไข้หวัดใหญ่ ระบาดพุ่ง ป่วยกว่า 555,000 ราย คร่าชีวิตแล้ว 59 ราย ⚠️ เตือนเด็กเล็กเสี่ยงสูง!

ช่วงฤดูฝนแบบนี้ โรคติดเชื้อระบบทางเดินหายใจที่พ่อแม่ต้องระวังเป็นพิเศษ คือ “ไข้หวัดใหญ่” และ “RSV” โรคเหล่านี้มักแพร่กระจายได้ง่ายในโรงเรียน ศูนย์เด็กเล็ก และชุมชน โดยเฉพาะในเด็กเล็กที่ร่างกายยังบอบบาง และผู้สูงอายุที่มีโรคประจำตัว ทำให้เสี่ยงต่อการมีอาการรุนแรงมากขึ้น

“ไข้หวัดใหญ่” มักพบมากในเด็กวัยเรียนอายุ 5–9 ปี ขณะที่ “RSV” พบได้บ่อยในเด็กอายุต่ำกว่า 4 ปี โดยเฉพาะเด็กที่คลอดก่อนกำหนด หรือมีภูมิคุ้มกันต่ำ

นอกจากนี้ยังมีกลุ่มเสี่ยงที่ควรเฝ้าระวังใกล้ชิด เช่น หญิงตั้งครรภ์ เด็กอายุต่ำกว่า 2 ปี ผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไป ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง ผู้พิการที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง รวมถึงผู้ที่มีภาวะอ้วน

สิ่งสำคัญที่สุดคือ “การป้องกัน” เพราะสามารถลดโอกาสการติดเชื้อได้มาก วิธีง่าย ๆ ที่ทุกบ้านทำได้คือยึดหลัก “ปิด ล้าง เลี่ยง หยุด” ได้แก่
• สวมหน้ากากอนามัยเมื่อมีอาการไอจามหรือต้องอยู่ในที่แออัด
• ล้างมือบ่อยๆ ด้วยน้ำและสบู่
• หลีกเลี่ยงการใกล้ชิดผู้ป่วย
• หากลูกมีอาการไข้ ไอ หายใจลำบาก หรือซึม ควรหยุดเรียนและรีบพาไปพบแพทย์ทันที

อย่าชะล่าใจว่าเป็นเพียงหวัดธรรมดา เพราะหากอาการรุนแรง เช่น หอบเหนื่อย ซึม หรือไข้สูงไม่ลด อาจเป็นสัญญาณอันตรายที่ต้องได้รับการรักษาโดยเร็ว

ในวันที่ลูกเจ็บป่วย หน้าที่ของพ่อแม่ไม่ใช่แค่ดูแล แต่คือการรู้ทัน ป้องกัน และโอบกอดลูกด้วยความรักความเข้าใจ เพื่อให้ลูกน้อยปลอดภัย และผ่านพ้นฤดูฝนนี้ไปได้อย่างแข็งแรงค่ะ

#สารพันปํญหาการเลี้ยงลูก

🥰สวัสดี พฤศจิกายน 68🥰
01/11/2025

🥰สวัสดี พฤศจิกายน 68🥰

31/10/2025

สัปดาห์นี้ผมมาประชุมราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทยครับ มีเรื่องราวสำคัญหลายๆอย่างเก็บไว้มาฝากพวกเราครับ

วันนี้เริ่มที่เรื่องนี้เลย ….

แนวทาง “หน้าเดียว” ในการวินิจฉัยภาวะซีดจาก iron def ในคนท้อง ของ RTCOG ครับ

••••••••

สรุป:

ตัวเลขวินิจฉัยซีดตอนท้อง : ตัวเลขเดิมที่เราคุ้นเคยครับ
🩸11, 10.5, 11 ตามไตรมาส

พอวินิจฉัยได้แล้วก็มาซักประวัติตรวจร่างกาย ถ้าไม่เจออะไรที่ชัดเจน อาจสงสัยขาดเหล็ก
#จากนั้นราชวิทยาลัยให้ทางเลือกนะครับ

จะให้กินธาตุเหล็ก หรือ จะเจาะดูระดับ ferritin ครับ …. #ไม่ได้บังคับว่าต้องเจาะทุกรายในตอนนี้

แต่พอให้เหล็กกิน … จะต้อง #ติดตามผลเลือดใน2สัปดาห์ นะครับ หลายๆท่านให้แล้วไม่ได้ตามอันนี้ไม่ตรงตามคำแนะนำนี้นะครับ

และถ้าติดตามแล้ว #ดีขึ้นก็ต้องกินยาต่อไปอีก3เดือน นะครับ

•••••••••

ฝากพวกเราด้วยนะครับ … ซีดในแม่มีผลต่อลูกที่จะเกิดมาแน่นอน และมีผลต่อสุขภาพร่างกายและสมองแน่ๆ ยิ่งไปกว่านั้นหลายคนบอกว่า #มันมีผลเสียที่พอเกิดมาแล้วไม่สามารถแก้ไข ตอนหลังคลอดได้อีกเลยนะครับ

รักษา ป้องกัน ติดตาม ให้ความสำคัญกันนะครับ

26/10/2025

FIGO ได้ออกคำแนะนำเรื่องความเสี่ยงของมะเร็งด้านนรีเวชมา ซึ่งผมเห็นว่ามีประโยชน์และตามประสบการณ์ที่ได้ดูแลคนไข้กลุ่มนี้ต้องขอบอกพวกเราว่า #คนไทยก็พบตามนี้ครับ เช่นคนเป็นมะเร็งรังไข่ และมะเร็งมดลูกจำนวนมากมีภาวะอ้วน ไขมันในเลือดสูง เบาหวาน ความดัน อยู่ในคนเดียวกันบ่อยเป็นต้น คนไข้มะเร็งปากมดลูกก็จะมีลักษณะอีกแบบในปัจจุบันเช่นอายุไม่ได้มากเหมือนก่อน อาจขาดโอกาสการรับวัคซีนหรือมีปัจจัยเสี่ยงเฉพาะบางสิ่งคล้ายๆกัน

วันนี้เราไปทบทวน #ความเสี่ยง และ #การทำตัวเพื่อลดความเสี่ยง ของมะเร็งนรีเวชกันครับ

••••••

🩷 มะเร็งรังไข่ (Ovarian Cancer) 🥚

🔺 ความเสี่ยง:
• อ้วน น้ำหนักเกิน
• กินไขมันสูง
• สูบบุหรี่

🟢 ลดความเสี่ยง:
• ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
• กินผักผลไม้ อาหารแบบเมดิเตอร์เรเนียน
• การใช้ยาคุมกำเนิดระยะยาวอาจช่วยลดความเสี่ยง



💗 มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก (Endometrial Cancer) 🌸

🔺 ความเสี่ยง:
• อ้วน หรือมีเบาหวาน ความดันสูง
• ไม่ค่อยขยับตัว
• ฮอร์โมนเอสโตรเจนสูงโดยไม่มีโปรเจสเตอโรน

🟢 ลดความเสี่ยง:
• ควบคุมน้ำหนัก
• ลดน้ำตาล อาหารไขมันสูง
• ตรวจสุขภาพสตรีวัยหมดประจำเดือนเป็นประจำ



💜 มะเร็งปากมดลูก (Cervical Cancer) 🦋

🔺 ความเสี่ยง:
• การติดเชื้อ HPV
• สูบบุหรี่
• ขาดสารอาหาร

🟢 ลดความเสี่ยง:
• ฉีดวัคซีน HPV ตั้งแต่วัยรุ่น
• ตรวจ Pap smear / HPV test ตามกำหนด
• ใช้ถุงยาง และงดสูบบุหรี่



💖 มะเร็งช่องคลอดและแคม (Vaginal & Vulvar Cancer) 🌷

🔺 ความเสี่ยง:
• การติดเชื้อ HPV เรื้อรัง
• การสูบบุหรี่
• ภูมิคุ้มกันบกพร่อง

🟢 ลดความเสี่ยง:
• ฉีดวัคซีน HPV
• รักษาความสะอาดบริเวณอวัยวะเพศ
• พบแพทย์เมื่อมีแผลหรือก้อนผิดปกติ

🌿“ปรับพฤติกรรมวันนี้ เพื่อลดความเสี่ยงมะเร็งในวันหน้า”

25/10/2025

🩸 Implantation Bleeding — เลือดออกขณะฝังตัวของตัวอ่อน

เลือดออกขณะฝังตัว (implantation bleeding) คือภาวะที่มีเลือดออกเล็กน้อยในช่วงแรกของการตั้งครรภ์ เกิดขึ้นจากกระบวนการที่ตัวอ่อนที่อยู่ในระยะบลาสโตซิสต์ (blastocyst) เคลื่อนจากท่อนำไข่มาฝังตัวในเยื่อบุโพรงมดลูก (endometrium) เพื่อเริ่มสร้างการตั้งครรภ์อย่างสมบูรณ์

กระบวนการนี้เป็นทั้ง “กลไกทางเคมีและทางกายวิภาค“ ที่ซับซ้อน และนี่เองจะเป็นเหตุให้หลอดเลือดฝอยบางส่วนของมารดาแตก จึงเกิดเลือดออกเล็กน้อยได้ครับ

••••

🔬 กระบวนการและสาเหตุของการเกิดเลือดออก

เมื่อถึงช่วงที่เรียกว่า “หน้าต่างแห่งการฝังตัว” หรือ window of implantation ซึ่งมักอยู่ระหว่างวันที่ 20–24 ของรอบเดือน (ประมาณ 6–10 วันหลังการตกไข่) เยื่อบุโพรงมดลูกจะอยู่ในภาวะที่พร้อมที่สุดต่อการรับตัวอ่อน ซึ่งภายใต้อิทธิพลของฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน เยื่อบุนี้จะหนา นุ่ม และมีหลอดเลือดฝอยมากเพื่อเตรียมหล่อเลี้ยงการตั้งครรภ์ที่จะเริ่มต้น

ตัวอ่อนระยะบลาสโตซิสต์จะลอยอยู่ในโพรงมดลูก และเริ่มสัมผัสกับผิวด้านในของเยื่อบุโพรงมดลูก กระบวนการนี้อธิบายแบบทางการแพทย์คือมีสามระยะ

1. ระยะ Apposition
เป็นการสัมผัสเบื้องต้นระหว่างผิวของตัวอ่อนกับชั้นเยื่อบุผิวด้านในของโพรงมดลูก (luminal epithelium) ซึ่งยังไม่ยึดแน่น แบบเพิ่ง landing มาสัมผัสแบบนั้น

2. ระยะ Adhesion
เซลล์ด้านนอกของตัวอ่อน หรือที่เรียกว่า trophoblast จะเริ่มสร้างสารยึดเกาะ เพื่อให้ตัวอ่อนจับติดแน่นกับเยื่อบุโพรงมดลูกมากขึ้น คือเริ่มเกาะแน่นขึ้นที่ชั้นผิวครับ

3. ระยะ Invasion
เซลล์ trophoblast จะเปลี่ยนรูปร่างเป็น syncytiotrophoblast ซึ่งมีความสามารถในการแทรกและย่อยผ่านเยื่อบุผิวเข้าไปในชั้นลึกของเยื่อบุโพรงมดลูกที่เรียกว่า stroma ซึ่งเป็นบริเวณที่มีหลอดเลือดฝอยจำนวนมาก ระหว่างการแทรกตัวนี้ เซลล์ของมารดาบางส่วนและผนังหลอดเลือดฝอยจะถูกย่อยสลาย ทำให้มีเลือดซึมออกมาในปริมาณเล็กน้อย เลือดนี้จะค่อย ๆ ถูกขับออกมาทางช่องคลอด เป็นสิ่งที่เราเรียกว่า “เลือดออกขณะฝังตัว” นั่นเอง

กล่าวอีกอย่างหนึ่งคือ เลือดนี้ไม่ได้มาจากมดลูกที่ลอกตัวเหมือนประจำเดือน แต่เกิดจากการที่ตัวอ่อนเริ่มฝังตัวและเปิดหลอดเลือดของมารดา เพื่อเริ่มต้นระบบไหลเวียนเลือดของรกในอนาคตนั่นเองครับ

••••

⏰ เกิดขึ้นเมื่อใด

เลือดออกขณะฝังตัวมักเกิดประมาณ 6–10 วันหลังจากไข่ตก หรือราวหนึ่งสัปดาห์ก่อนประจำเดือนรอบถัดไปจะมา ซึ่งนี่เองครับทำให้หลายคนเข้าใจผิดว่าเป็นประจำเดือนที่มาช้า หรือมาน้อยกว่าปกติ พอแพทย์ถามวันแรกของประจำเดือน เราจึงไม่ควรใช้วันนี้นะครับ เราจะใช้วันแรกของประจำเดือนที่มาในปริมาณปกติครับ เพราะเลือดล้างหน้าเด็กนี้ไม่ใช่ประจำเดือนแต่จริงแล้วเป็นสัญญาณเริ่มต้นของการตั้งครรภ์ในระยะต้น

••••

👀 ลักษณะของเลือดออก

เลือดที่ออกมาจากการฝังตัวมักมีสีชมพูอ่อนหรือน้ำตาลอ่อน ไม่ใช่สีแดงสด ปริมาณมักน้อยมาก อาจเป็นเพียงรอยเปื้อนหรือหยดเล็ก ๆ และมักเกิดเพียงหนึ่งถึงสามวันเท่านั้น ไม่มีลิ่มเลือด ไม่มีกลิ่น และไม่ควรมีอาการปวดท้องรุนแรง บางคนอาจรู้สึกหน่วงท้องเล็กน้อยได้ ซึ่งเป็นอาการปกติจากการที่เยื่อบุโพรงมดลูกกำลังตอบสนองต่อการฝังตัวของตัวอ่อน

••••

⚠️ อันตรายหรือไม่

ถ้าจะตอบแบบทางการแพทย์ คำตอบนี้จะยาวมากพอควร แต่ขอสรุปว่า…

โดยทั่วไปเลือดออกขณะฝังตัวเป็นสิ่งที่ “ปกติและไม่อันตราย” พบได้ในหญิงตั้งครรภ์บางคน และไม่จำเป็นต้องเกิดกับทุกคน

อย่างไรก็ตาม หากเลือดออกมากผิดปกติ มีสีแดงสด มีกลิ่น หรือมีอาการปวดท้องรุนแรง ควรรีบไปพบแพทย์ เพราะอาจเป็นสัญญาณของภาวะแท้งคุกคาม หรือการตั้งครรภ์นอกมดลูก ซึ่งต้องได้รับการวินิจฉัยและดูแลอย่างเหมาะสมครับ

24/10/2025

💡 การดูแลตัวเองเมื่อ “ตั้งครรภ์และเลี้ยงแมว”

หลายคนเลี้ยงแมวเป็นครอบครัวอยู่แล้ว พอรู้ว่าตั้งครรภ์ก็เริ่มกังวลว่า “จะติดเชื้อจากแมวไหม?”
ความจริงแล้ว…ถ้าดูแลถูกวิธี สามารถอยู่กับแมวได้อย่างปลอดภัย เพียงแค่รู้จักวิธีป้องกัน “เชื้อท็อกโซพลาสมา” (Toxoplasma gondii)

⚠️ เชื้อท็อกโซพลาสมาคืออะไร?

เป็นเชื้อปรสิตชนิดหนึ่งที่พบได้ใน “อุจจาระแมว” โดยเฉพาะแมวที่เคยออกไปล่าสัตว์หรือกินอาหารดิบ เช่น เนื้อสด ปลา หรือหนู
ถ้าเชื้อนี้เข้าร่างกายคนตั้งครรภ์ อาจแพร่สู่ลูกในท้องได้

👶 ถ้าติดเชื้อขณะตั้งครรภ์จะเกิดอะไรขึ้น?

เชื้อนี้อาจทำให้เกิด “ท็อกโซพลาสโมซิสในทารก”
ผลที่อาจเกิดขึ้น ได้แก่
• แท้ง หรือคลอดก่อนกำหนด
• ศีรษะโต น้ำในสมอง (hydrocephalus)
• การมองเห็นผิดปกติ หรือจอประสาทตาอักเสบ
• พัฒนาการช้าในระยะยาว

ช่วงที่อันตรายที่สุด:
• ถ้าแม่ติดเชื้อ ในช่วงอายุครรภ์ 10–24 สัปดาห์ (ไตรมาสที่ 2 ต้น ๆ)
→ โอกาสติดลูกไม่มากนัก แต่ถ้าติดแล้ว มักรุนแรง
• ถ้าแม่ติดเชื้อ ในช่วงปลายครรภ์ (ไตรมาสที่ 3)
→ ลูกติดเชื้อได้ง่ายกว่า แต่ความรุนแรงมักน้อยลง

ดังนั้น ควรป้องกันตลอดการตั้งครรภ์ จะดีที่สุดเลยครับ

🩺 สิ่งที่สูติแพทย์อยากให้ “คนท้องทาสแมวตั้งครรภ์” เน้นการปฏิบัติเพื่อความปลอดภัย

1. เรื่องแมวและกระบะทราย
• หลีกเลี่ยงการตักอึแมว ถ้ามีคนอื่นช่วยได้จะดีที่สุดครับ
• แต่ถ้าต้องทำเองจริง ๆ ขณะท้องแนะนำให้
• ใส่ถุงมือทุกครั้ง
• ล้างมือด้วยสบู่ให้สะอาดหลังทำนานอย่างน้อย 20 วินาที
• เปลี่ยนทรายแมวทุกวัน เน้นว่าอยากให้ทุกวัน (เชื้อจะเริ่มอันตรายหลังผ่านไปเกิน 24 ชม.)
• อย่าให้แมวออกไปนอกบ้าน หรือกินเนื้อดิบเพราะเป็นแหล่งที่จะเอาเชื้อเข้าบ้านนั่นเอง

2. เรื่องอาหาร
• งดอาหารดิบ เช่น ลาบ เนื้อหมูดิบ ปลาดิบ หรือเนื้อย่างไม่สุก
• ผักผลไม้ต้องล้างให้สะอาดก่อนกิน
• ใช้เขียงมีดแยกสำหรับอาหารดิบและสุก
• ล้างมือก่อนกินอาหารทุกครั้ง

3. เรื่องทำสวนหรือดิน
• ใส่ถุงมือเวลาทำสวนหรือจับดิน เพราะอาจมีอุจจาระแมวอยู่ในดิน
• ล้างมือให้สะอาดหลังทำเสร็จทุกครั้ง
• ถ้ามีสนามหญ้าหรือกระบะทรายเด็ก ให้ปิดคลุมไว้ป้องกันแมวมาใช้เป็นห้องน้ำโดยที่เราอาจไม่ทันรู้ตัว

🐾 เรื่องที่อยากให้สบายใจเวลาอยู่ใกล้แมว
• การ “กอด ลูบตัว หรือเล่นกับแมว” โดยทั่วไปไม่ทำให้ติดเชื้อ
• แมวที่เลี้ยงในบ้าน กินอาหารสำเร็จรูป ไม่ล่าสัตว์ → ความเสี่ยงต่ำมาก
• สิ่งสำคัญคือ “หลีกเลี่ยงการสัมผัสอุจจาระแมวโดยตรง”

💬 สรุปสั้น ๆ สำหรับคุณแม่ท้องที่เป็นทาสแมว

“อยู่กับแมวได้ ปลอดภัยได้ แค่ล้างมือ กินสุก อยู่สะอาด หลีกเลี่ยงอึแมว” นะครับ

24/10/2025

ทำไมขาดตลาด : การขาดตลาดของ oxytocin เกิดจากผู้นำเข้าเดิมยุติการดำเนินการยานี้ในประเทศไทย

••••••••

อนาคตจะคลี่คลายใช่ไหม ??

ใช่ครับ จะคลี่คลาย เพราะพบแล้วว่าปัจจุบันมีผู้นำเข้ายานี้มากกว่า 1 แหล่งและพร้อมดำเนินการส่งให้สถานพยาบาลตามระบบการจัดซื้อจัดจ้างได้ครับ

•••••••

ขอบคุณเภสัชกรรมที่มีระบบตอบสนองปัญหาดีมากๆของประเทศไทยเลยครับ

18/10/68

24/10/2025

🦻 หูอื้อช่วงท้องแก่ – หลังคลอด เคยเป็นกันไหม? 🤰👶

คุณแม่หลายคนทั้งช่วง ใกล้คลอด และ หลังคลอด มักมาปรึกษาว่า

“คุณหมอคะ ทำไมรู้สึกหูอื้อ เหมือนมีเสียงวิ้งๆ หรือบางทีก็ได้ยินเสียงหัวใจเต้นในหู?”

อาการนี้พบได้บ่อยในคุณแม่ช่วงปลายครรภ์และหลังคลอดครับ โดยส่วนใหญ่จะเป็นเพียง ภาวะชั่วคราว ที่ดีขึ้นได้เองเมื่อร่างกายกลับเข้าสู่สมดุล 💬

🔍 สาเหตุของ “หูอื้อ” ในช่วงท้องแก่และหลังคลอด

✅ ฮอร์โมนเปลี่ยนแปลง
ในช่วงตั้งครรภ์ โดยเฉพาะปลายครรภ์ ร่างกายมีระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรนสูงขึ้นมาก ทำให้หลอดเลือดขยายและมีของเหลวคั่งในเนื้อเยื่อ รวมถึงบริเวณหูชั้นกลาง → เกิดอาการหูอื้อหรือแน่นในหูได้
หลังคลอด ระดับฮอร์โมนเหล่านี้ลดลงอย่างรวดเร็ว ร่างกายจึงต้องปรับตัวใหม่ ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการหูอื้อได้เช่นกัน

✅ ของเหลวคั่งในร่างกาย (Fluid Retention)
ระหว่างตั้งครรภ์ ร่างกายจะสะสมน้ำไว้เพื่อรองรับการไหลเวียนเลือดไปยังทารก และในช่วงท้องแก่จะมีการบวมง่าย โดยเฉพาะใบหน้า มือ และเท้า ของเหลวส่วนหนึ่งอาจคั่งในท่อยูสเตเชียน (Eustachian Tube) ทำให้หูอื้อเหมือนตอนขึ้นเครื่องบิน ✈️
หลังคลอด ร่างกายจะค่อยๆ ขับของเหลวออก จึงอาจรู้สึกแน่นหูหรือหูอื้อชั่วคราวในช่วงนี้

✅ ความดันโลหิตเปลี่ยนแปลง
• ช่วงตั้งครรภ์: หากมีภาวะความดันสูงหรือครรภ์เป็นพิษ (Preeclampsia) อาจเกิดเสียงดังในหูได้
• หลังคลอด: บางรายความดันอาจลดลง ทำให้เลือดไปเลี้ยงหูชั้นในไม่เพียงพอ

✅ ภาวะโลหิตจาง (Iron Deficiency Anemia)
พบได้ทั้งในช่วงตั้งครรภ์และหลังคลอด โดยเฉพาะคุณแม่ที่เสียเลือดมากขณะคลอด หรือมีภาวะขาดธาตุเหล็กตั้งแต่ก่อนคลอด → หูชั้นในไวต่อการขาดออกซิเจน จึงอาจทำให้เกิดอาการหูอื้อ เวียนศีรษะ หรือเสียงในหู

✅ ความเครียดและอ่อนเพลีย
ช่วงท้องแก่และหลังคลอดเป็นช่วงที่ร่างกายและจิตใจเหนื่อยล้า ต้องเผชิญกับการนอนน้อย ความวิตกกังวล และความเครียด ซึ่งอาจทำให้สมองรับรู้เสียงในหูชัดขึ้น

📌 ต้องกังวลไหม?

ส่วนใหญ่ อาการหูอื้อทั้งช่วงท้องแก่และหลังคลอดมักดีขึ้นเองภายใน 1–2 เดือน
แต่ถ้ามีอาการเหล่านี้ควรรีบพบแพทย์ทันที 🚨
❗ หูอื้อข้างเดียวและไม่ดีขึ้น
❗ มีเสียงดังในหูตลอดเวลา
❗ เวียนศีรษะรุนแรงหรือเสียการทรงตัว
❗ ปวดศีรษะรุนแรงร่วมกับตาพร่ามัว (โดยเฉพาะในคนที่มีความดันสูง)

23/10/2025

หาก “ไม่อยากเป็นมะเร็งปากมดลูก” สิ่งที่ควรทำคือการ ป้องกันทั้งระดับต้น (primary prevention) และ ระดับรอง (secondary prevention)

🩺 1. การป้องกันระดับต้น (Primary Prevention)

เป้าหมาย: ป้องกันการติดเชื้อ HPV ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของมะเร็งปากมดลูก

✅ 1.1 ฉีดวัคซีน HPV
• ควรฉีด(หญิงและชายก็ได้) ก่อนมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกจะได้ผลดีที่สุด

✅ 1.2 ลดพฤติกรรมเสี่ยง
• ใช้ ถุงยางอนามัย ทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์
• หลีกเลี่ยงการมีคู่นอนหลายคน
• ไม่สูบบุหรี่
• รักษาภูมิคุ้มกันให้ดี เช่น นอนหลับพักผ่อนพอ ออกกำลังกาย และหลีกเลี่ยงภาวะเครียดเรื้อรัง

•••••••

🔍 2. การป้องกันระดับรอง (Secondary Prevention)

เป้าหมาย: ตรวจพบความผิดปกติก่อนเป็นมะเร็ง ส่วนนี้เราจะเล่ารายละเอียดเพิ่มเติมให้อีกนิดเพื่อให้นำไปใช้หรือแนะนำคนที่คุณรักได้อย่างเหมาะสมนะครับ

แนวทางคัดกรองมะเร็งปากมดลูกในประเทศไทย ตามคำแนะนำ RTCOG ปีล่าสุดครับ

••••••

💙 เริ่มตรวจเมื่ออายุ #25ปีขึ้นไป

แนวทางใหม่เปิดทางเลือกให้ผู้หญิงสามารถเลือกวิธีคัดกรองได้ตามความเหมาะสม ได้แก่

✅ ตรวจเชื้อ HPV ชนิดเสี่ยงสูง (hrHPV test) – สามารถเก็บตัวอย่างด้วยตนเอง (self-collection)
✅ ตรวจร่วม (Co-testing) คือการตรวจเชื้อ HPV พร้อมกับตรวจเซลล์ปากมดลูก
✅ ตรวจแปปสเมียร์ (Pap test) หรือ ตรวจเซลล์จากของเหลว (LBC หรือ Liquid-Based Cytology) เพียงอย่างเดียวก็ได้

••••

📆 ความถี่ในการตรวจที่แนะนำ
• ตรวจ HPV ทุก 5 ปี
• ตรวจร่วม (Co-testing) ทุก 5 ปี
• ตรวจแปปสเมียร์หรือ LBC ทุก 2 ปี

🛑 หยุดตรวจเมื่อ
อายุเกิน 65 ปี และผลตรวจที่ผ่านมา “ปกติครบตามเกณฑ์” เช่น Pap/LBC ปกติอย่างน้อย 5 ครั้ง หรือ HPV ปกติอย่างน้อย 2 ครั้ง

••••

👩‍🦰 ไม่แนะนำตรวจในผู้หญิงอายุน้อยกว่า 25 ปี
ยกเว้นกลุ่มเสี่ยงสูง เช่น ผู้ติดเชื้อเอชไอวี มีคู่นอนหลายคน หรือเคยมีโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

•••••

🌍 ถ้าเทียบกับแนวทางต่างประเทศ
ของไทยมีจุดแตกต่างอย่างไรและทำไม?

ไทยเรา “เริ่มคัดกรองเร็วกว่า” และ “ตรวจถี่กว่าเล็กน้อย” เพื่อให้เหมาะกับสภาพการพบโรคในประเทศ ที่ยังมีผู้ป่วยมะเร็งปากมดลูกระยะลุกลามพบได้มากกว่าหลายประเทศ

•••••

🔍 ถ้าผลตรวจผิดปกติทำอย่างไร?
แนวทางจะให้ตรวจยืนยันต่อ เช่น reflex cytology, HPV genotyping หรือส่งตรวจด้วยกล้องขยายปากมดลูก (colposcopy) ตามระดับความเสี่ยง

•••••

💡 Reflex cytology คืออะไร?
คือการ “ตรวจเซลล์ปากมดลูกเพิ่มเติมจากตัวอย่างเดิม” ทันทีหลังพบผล HPV บวก โดยไม่ต้องเรียกผู้ป่วยมาเก็บตัวอย่างใหม่ ช่วยให้รู้ผลเร็วขึ้นและวางแผนรักษาได้ทันเวลา ❤️

ที่อยู่

103/20 Surasak 1 Road
Amphoe Si Racha
20110

เวลาทำการ

จันทร์ 17:00 - 20:00
อังคาร 17:00 - 20:00
พุธ 17:00 - 20:00
พฤหัสบดี 17:00 - 20:00
ศุกร์ 17:00 - 20:00
เสาร์ 09:00 - 14:00
15:00 - 19:00
อาทิตย์ 09:00 - 14:00
15:00 - 19:00

เบอร์โทรศัพท์

086 343 3675

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ คลินิกหมออร สูติ-นรีเวชกรรมผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

แชร์

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram