21/11/2025
💉Propofol-related infusion syndrome (PRIS) เป็นภาวะแทรกซ้อนรุนแรงที่พบได้แม้จะไม่บ่อย แต่มีอัตราการเสียชีวิตสูง เกิดจากการให้ยา Propofol ในขนาดสูง หรือเป็นเวลานาน
👉🏻ส่งผลให้เกิดความล้มเหลวของการสร้างพลังงานในไมโตคอนเดรีย นำไปสู่ภาวะ metabolic acidosis, rhabdomyolysis, ภาวะหัวใจเต้นช้า ความดันต่ำ และภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน
การรู้เท่าทันและเฝ้าระวังอาการของ PRIS จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในการป้องกันและจัดการผู้ป่วยที่ได้รับ Propofol โดยเฉพาะในผู้ป่วยวิกฤต
💥ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญที่ทำให้เกิด PRIS ได้แก่
1. ผป. critical illness : ผู้ป่วยที่มีภาวะวิกฤต จะมีการหลั่ง catecholamines และ glucocorticoids สูงขึ้นจาก neuroendocrine stress response ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญของ PRIS ฮอร์โมนเหล่านี้กระตุ้นเอนไซม์ lipase ทำให้มีการสลายไขมันเพิ่ม และในผู้ป่วยหนักร่างกายจะเปลี่ยนมาใช้ไขมันเป็นพลังงานแทนคาร์โบไฮเดรต ทำให้ FFAs เพิ่มขึ้น ซึ่งมีบทบาทสำคัญในพยาธิกำเนิดของ PRIS
2. การมีระดับ catecholamines ในเลือดสูง
3. การใช้ยาสเตียรอยด์
4. ภาวะอ้วน
5. อายุที่น้อยมาก (โดยเฉพาะต่ำกว่า 3 ปี) : เด็กอายุต่ำกว่า 3 ปี พบการทำลายพัฒนาการระบบประสาทอย่างรุนแรงและเกิดความผิดปกติทางพฤติกรรมเมื่อโตขึ้น การเสียชีวิตจาก PRIS พบมากกว่าในผู้ป่วยอายุต่ำกว่า 18 ปี เนื่องจากเด็กทารกและเด็กเล็กตอบสนองต่อยา IV anesthetics ไวกว่าผู้ใหญ่
6. การขาดแคลนคาร์โบไฮเดรตสำรองในร่างกาย
7. การมีระดับไขมันในเลือดสูง
8. 🔺🔺🔺สำคัญที่สุด คือ การให้ Propofol ในขนาดมากหรือเป็นเวลานาน : ไม่ควรให้ propofol นานเกิน 48 ชั่วโมง หรือขนาดมากกว่า 4 mg/kg/hour (67 mcg/kg/minute) ตามหลักฐานจากรายงานผู้ป่วยและการศึกษา ขนาดหรือระยะเวลาที่เกินกว่านี้สัมพันธ์กับการเสียชีวิตและ ไม่แนะนำให้ใช้🔺🔺🔺
📌กลไกการเกิดโรคหลักของ PRIS
🧬🧬มาจากการผิดปกติของการทำงานของ mitochondrial respiratory chain ซึ่งทำให้การสร้าง adenosine triphosphate (ATP) บกพร่อง ส่งผลให้เกิดภาวะขาดออกซิเจนในระดับเซลล์ นอกจากนี้ยังมีการสลายไขมัน (lipolysis) มากผิดปกติ โดยเฉพาะในผู้ป่วยวิกฤตที่ร่างกายใช้พลังงานจากการสลายไขมันแทนคาร์โบไฮเดรต ส่งผลให้เกิดกรดไขมันอิสระ (FFAs) ปริมาณมาก ซึ่งไม่สามารถถูกเผาผลาญได้อย่างเพียงพอด้วยกระบวนการ beta-oxidation ทำให้ FFAs เหล่านี้ไปมีส่วนทำให้เกิดพยาธิสภาพของ PRIS
💊🚨การจัดการและการรักษา Propofol-related Infusion Syndrome (PRIS)
เนื่องจาก PRIS เป็นภาวะที่พบไม่บ่อย การเพิ่มความตระหนักรู้ในหมู่บุคลากรทางการแพทย์เกี่ยวกับความเป็นไปได้ของการเกิดภาวะนี้ และการเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด ถือเป็นวิธีการป้องกันที่ดีที่สุด โดยควรใช้ ขนาดยาของ propofol ให้น้อยที่สุดเท่าที่จะปลอดภัย และอยู่ในช่วงขนาดยาที่เหมาะสมตามข้อบ่งใช้
1. หยุด propofol ทันที และเปลี่ยนไปใช้ยากดประสาทชนิดอื่น
2. การจัดการภาวะ metabolic acidosis และ lactic acidosis
3. การจัดการความผิดปกติของหัวใจ
4. การพยุงระบบไหลเวียนและการให้ออกซิเจน
5. การจัดการภาวะ Hyperkalaemia รุนแรงใน PRIS
🚨💊สำหรับผู้ป่วยหนักใน ICU ที่ต้องได้รับการกดประสาทเป็นเวลานาน ควรพิจารณาใช้ ยากดประสาทชนิดอื่นร่วมด้วย แทนการพึ่งพา propofol เพียงอย่างเดียว แพทย์ควรทราบถึงความเป็นไปได้ของภาวะนี้ เนื่องจากมีอัตราการเสียชีวิตสูง
✍️เมื่อจำเป็นต้องให้ propofol ต่อเนื่องเป็นเวลานานในผู้ป่วยหนัก ควร ติดตามตัวบ่งชี้สำคัญของ PRIS อย่างใกล้ชิด เช่น
– ค่า arterial blood gas
– ระดับกรดแลคติก (lactate)
– ระดับอิเล็กโทรไลต์
– สัญญาณความผิดปกติของหัวใจ เช่น ความดันตก หรือภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ เพื่อตรวจจับความเป็นพิษก่อนที่จะรุนแรง
💥แม้ว่า Propofol จะเป็นยาที่นิยมใช้เพื่อกดประสาทผู้ป่วยที่ต้องใส่ท่อช่วยหายใจ แต่แพทย์จำเป็นต้องใช้อย่างระมัดระวัง เนื่องจากเป็นยาที่ความเสี่ยงขึ้นอยู่กับ "ขนาดยาและระยะเวลา" หากใช้เป็นเวลานานเกินไปหรือใช้ในขนาดที่ไม่เหมาะสม อาจทำให้เกิดภาวะรุนแรงและอาจเสียชีวิตที่เรียกว่า Propofol-related Infusion Syndrome (PRIS) ได้
ด้วยความปรารถนาดี💕
ADR TrangHos
อ้างอิง : Singh A, Anjankar AP. Propofol-Related Infusion Syndrome: A Clinical Review. Cureus. 2022 Oct 17;14(10):e30383. doi: 10.7759/cureus.30383. PMID: 36407194; PMCID: PMC9671386.