03/05/2021
“ไขมันพอกตับ” น้อยคนที่จะเข้าใจถึงอันตรายของมัน
ภาวะไขมันพอกตับ คือภาวะที่มีการสะสมของไขมันในเซลล์ตับ ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในรูปของไตรกลีเซอไรด์มากกว่าร้อยละ 5 ของเนื้อตับ เป็นภาวะที่พบได้มากขึ้นเรื่อยๆ ในปัจจุบัน เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะตับอักเสบเรื้อรัง การเกิดผังพืดในตับ กลายเป็นภาวะตับแข็ง
สาเหตุหลักดังนี้
1. เป็นไขมันพอกตับ
เป็นภาวะที่ร่างกายไม่สามารถนำไขมันที่เรารับประทานไปใช้ได้หมด จนทำให้เกิดการสะสมอยู่ที่ตับเป็นจำนวนมาก โดยไขมันส่วนใหญ่นั้นจะอยู่ในรูปของไตรกลีเซอไรด์ ซึ่งมาจากอาหารจำพวกแป้ง น้ำตาล และไขมัน
สาเหตุของโรคไขมันพอกตับสามารถแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่
• จากการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ (alcoholic fatty liver disease) ความรุนแรงของโรคจะขึ้นกับประเภท ปริมาณ และระยะเวลาที่ดื่มแอลกอฮอล์
• ไม่ได้เกิดจากแอลกอฮอล์ (non-alcoholic fatty liver disease) โดยมีผลจากโรคที่เกี่ยวข้องกับการใช้พลังงานของร่างกาย เช่น โรคอ้วน เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง ไวรัสตับอักเสบซี
2. เป็นไวรัสตับอักเสบ B
ไวรัสตับอักเสบบี คือ โรคที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสชนิดบี สามารถติดต่อทางเลือด น้ำเชื้อ และน้ำหลั่งอย่างอื่น เช่น น้ำเหลือง โดยสามารถรับเชื้อได้โดยวิธีดังต่อไปนี้
• การมีเพศสัมพันธ์กับคนที่มีเชื้อโดยไม่ได้สวมถุงยางอนามัย
• การใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน
• การใช้เข็มสักตามตัวหรือสีที่ใช้สักตามตัวร่วมกัน และการเจาะหู
• การใช้แปรงสีฟัน มีดโกน ที่ตัดเล็บร่วมกัน
• การติดเชื้อขณะคลอดจากแม่ที่มีเชื้อ (ถ้าแม่มีเชื้อลูกมีโอกาสได้รับเชื้อ 90%)
• การถูกเข็มตำจากการทำงาน
• การสัมผัสกับเลือด น้ำเลือด น้ำคัดหลั่ง โดยผ่านเข้าทางบาดแผล
3. ใช้ยาแก้ปวดมานาน
กินยาแก้ปวดระยะยาว ถึงเสี่ยงตับหรือไตพัง เพราะยาแก้ปวดเมื่อกินเข้าไปแล้วจะถูกขับออกทางตับหรือทางไต ดังนั้นการกินติดต่อกันนานๆ อาจทำให้ส่งผลกระทบต่อการทำงานของตับหรือไตได้ หากมีอาการปวดศีรษะเรื้อรังนานๆ จึงควรมาพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุและแนวทางการรักษาให้ตรงจุด
4. ใช้ยาวิตามินมานาน
การกินยา วิตามิน หรืออาหารเสริมก็เป็นอีกสาเหตุสำคัญที่ทำให้ตับโดนทำลาย เพราะตับมีหน้าที่ในการกำจัดของเสียออกจากร่างกาย เมื่อเรากินเข้าไปในจำนวนมากๆ ติดต่อกันเป็นเวลานานๆ ทำให้ตับต้องทำงานหนักและไม่สามารถทำลายของเสียออกมาได้ทัน จนทำให้เกิดส่วนเกินยังคงค้างอยู่และทำลายเนื้อตับจนเกิดอันตรายได้ อย่าลืมว่าวิตามินไม่สามารถกินแทนข้าวได้ และวิตามินก็ไม่ใช่ยารักษาโรค เพียงเป็นตัวช่วยให้การทำงานของร่างกายดีขึ้นเท่านั้น
5.ไขมันในเลือดสูง
ผู้ที่มีระดับไตรกลีเซอไรด์ในเลือดมากกว่าหรือ เท่ากับ 150 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร, ระดับ HDL คอเลสเตอรอล น้อยกว่า 40 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตรในเพศชาย และ น้อยกว่า 50 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตรในเพศหญิง
6. น้ำตาลในเลือดสูง
ระดับน้ำตาลหลังอดอาหาร มากกว่าหรือเท่ากับ 100 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร หรือได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นเบาหวาน
7. ตับอักเสบ
เมื่อไขมันไปพอกตับมากๆ เข้าก็ทำให้ตับอักเสบหรือเซลล์ตับตาย จนนำไปสู่การเกิดพังผืดที่ตับ และกลายเป็นคนไข้โรคตับแข็งในที่สุด เมื่อคนไข้มีภาวะตับแข็งแล้วแพทย์จะรักษาด้วยการควบคุมอาการและช่วยไขมันในตับลดน้อยลงเท่าที่จะเป็นไปได้ แต่จะไม่หายขาด
8. น้ำหนักเกินเกณฑ์มาตรฐาน
ผู้ป่วยกลุ่มโรคอ้วนลงพุงหรือเมตาบอลิกซินโดรม (metabolic syndrome) กล่าวคือ ในผู้ป่วย ที่มีความยาวรอบเอวมากกว่าหรือเท่ากับ 90 เซนติเมตร (ชาย) และ มากกว่าหรือเท่ากับ 80 เซนติเมตร (หญิง)
9. ดื่มเป็นประจำ
ผู้ที่มีไขมันพอกตับที่มีสาเหตุ ซึ่งสาเหตุที่พบได้บ่อยในปัจจุบันคือ ภาวะไขมันพอกตับจากการดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ (มากกว่า 30 กรัมต่อวันในผู้ชาย และ มากกว่า 20 กรัมต่อวันในผู้หญิง)
10. ทำงานหนัก เครียด พักผ่อนน้อย
เนื่องจากการนอนไม่พอ หรือการนอนหลับๆ ตื่นๆ เป็นสาเหตุโดยอ้อมที่ส่งผลต่อภูมิต้านทานร่างกายลดต่ำลง และทำให้เกิดความเครียด หงุดหงิดง่าย ส่งผลต่อตับ ที่เป็นอวัยวะสำคัญที่ช่วยกำจัดสารพิษและของเสีย ผลิตน้ำดีในการย่อยอาหาร ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด สร้างและเก็บสะสมแป้งและไขมันเพื่อเป็นพลังงาน รักษาสมดุลในร่างกาย และเป็นภูมิคุ้มกันร่างกาย ดังนั้น ถ้าตับทำงานผิดปกติอาจทำให้เสี่ยงต่อการเป็นไวรัสตับอักเสบบีได้
✅การดูแลรักษาและคำแนะนำในผู้ที่มีภาวะไขมันพอกตับ
ป้องกันภาวะไขมันพอกตับ
• ลดน้ำหนักโดยการควบคุมปริมาณและคุณภาพอาหาร หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง (High Fat) เช่น นม เนย ไอศกรีม เค้ก ชีส กะทิ อาหารทะเล ไข่แดง และเนื่องจาก Triglyceride เป็นตัวสำคัญที่สะสมคั่งในตับก็ต้องพยายามหลีกเลี่ยงไม่รับประทานอาหารที่มีแป้งและน้ำตาลมากเกินไปด้วยเช่นกัน
• เพิ่มผักผลไม้สด ถั่ว และธัญพืชที่มีเมล็ด เช่น เมล็ดดอกทานตะวัน (Sunflower Seed) เมล็ด ฟักทอง (Pumpkin Seed) งา (Sesame Seed) นอกจากนี้การรับประทานผักบางชนิดยังสามารถช่วยเร่งกระบวนการกำจัดพิษออกจากตับ (Detoxification) ได้ เช่น ผักตระกูลบรอกโคลี กะหล่ำ กระเทียม และหัวหอม
• แนะนำให้รับประทานเนื้อที่ไม่ติดมัน เช่น เนื้อปลา
• เน้นทานไขมันที่มีคุณค่าทางอาหารสูง เช่น น้ำมันมะกอก (Olive Oil) อะโวคาโด (Avocado) น้ำมันปลาโอเมก้า3 (Omega 3 Fish Oil)
• ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
• สมุนไพรและอาหารเสริมบางชนิดทำหน้าที่ช่วยขับสารพิษออกจากตับได้ เช่น Milk Thistle, Alpha Lipoic Acid (ALA), N-Acetyl-l-Cysteine (NAC)/NAC เป็นสารตั้งต้นของ Glutathione ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญมากที่สุดในร่างกาย ทำหน้าที่ช่วยขับพิษออกจากตับ นอกจากนี้ Vitamin B และแมกนีเซียม (Magnesium) ยังมีคุณสมบัติในการช่วยเยียวยาและกระตุ้นการซ่อมแซมเซลล์ตับที่เสียหายอีกด้วย
• หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
ข้อมูล:
• ศูนย์เวชศาสตร์ชะลอวัย Royal Life Anti-Aging Center โรงพยาบาลกรุงเทพ
• สมาคมแพทย์ฟื้นฟูสุขภาพและส่งเสริมการศึกษาโรคอ้วนกรุงเทพ (BARSO)
• ศูนย์วิจัยสุขภาพกรุงเทพ โรงพยาบาลกรุงเทพ
ถ้าคุณมีอาการดังข้างต้นที่กล่าวมาไม่ว่าจะเป็นอาการใดก็ตาม แสดงว่าคุณมีสัญญาณบ่งบอกว่าคุณอาจจะเป็นภาวะ “ไขมันพอกตับ”
รีบรักษาตับของคุณตั้งแต่วันนี้ก่อนที่จะสายเกินไป
💢💢💢💢
มารักตับด้วยกันกับ กิฟฟารีน เลซิติน มิกซ์แคโรทีนอยด์และวิตามินอี
ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารดูแลตับ