Dboone ดีบูน ฟื้นฟู บำรุงข้อ กระดูก เข่าเสื่อม ข้อเข่าเสื่อม 090-996-1788

Dboone ดีบูน ฟื้นฟู บำรุงข้อ กระดูก เข่าเสื่อม ข้อเข่าเสื่อม 090-996-1788 ดีบูน กระดูก หมอนรองกระดูกอักเสพ ข้? ข้อเข่าเสื่อม ข้อเสื่อม กระดูกทับเส้นประสาท ฟื้นฟูกระดูก ฟื้นฟูข้อ

รู้จักโรค “กระดูกคอเสื่อม” กับ 5 พฤติกรรมเสี่ยง“กระดูกคอเสื่อม” (Cervical Spondylosis) เกิดได้กับทุกคน แต่จะทำอย่างไรไม่...
17/12/2020

รู้จักโรค “กระดูกคอเสื่อม” กับ 5 พฤติกรรมเสี่ยง

“กระดูกคอเสื่อม” (Cervical Spondylosis) เกิดได้กับทุกคน แต่จะทำอย่างไรไม่ให้เสื่อมก่อนวัย นพ.ธเนศ อริยะวัตรกุล ภาควิชาศัลยศาสตร์ออร์โธปิดิกส์และกายภาพบำบัด คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านกระดูกและข้อ มีคำแนะนำดีๆ พร้อมแนะวิธีปฏิบัติตัวไม่ให้กล้ามเนื้อคอเสื่อมเร็วเกินไป

: สาเหตุกระดูกเสื่อม 5 ปัจจัยเสี่ยงทำร้ายตัวเองไม่รู้ตัว :
นพ.ธเนศ อริยะวัตรกุล ให้ข้อมูลว่า ภาวะกระดูกเสื่อมเกิดได้ทุกอาชีพ สาเหตุที่พบมากเกิดจากความเสื่อมของกระดูกท่ีถูกใช้งานในชีวิตประจำวันไปเรื่อยๆ ยาวนานตามอายุ พบได้ตั้งแต่อายุ 30 ปีขึ้นไป และพบมากในผู้สูงอายุ ซึ่งกระดูกกดทับเส้นประสาท สามารถเกิดได้ทุกจุดตั้งแต่ฐานกะโหลก กระดูกคอจนถึงกระดูกก้นกบ รวมถึงส่วนอื่นๆ ของร่างกาย เช่น ข้อเข่า ข้อเท้า ข้อสะโพก ข้อศอก หรืออาชีพหมอนวดที่ต้องใช้แรงนวดจากมือ ทำให้กระดูกข้อมือเสื่อมได้ตามอายุการใช้งานที่มากในบริเวณข้อนั้นๆ

นอกจากนี้ ยังมีท่าทางและพฤติกรรมในชีวิตประจำวันอื่นๆ ที่เราทำร้าย “คอ” ตัวเองไม่รู้ตัว ทั้งๆ ที่ “กระดูกคอ” มีหน้าที่สำคัญ ทำให้ศีรษะเคลื่อนไหวต่างๆ ตามที่เราต้องการ เช่น ก้ม เงย เอียง หันหน้าซ้ายหรือขวา และแบกรับน้ำหนักของศีรษะและคอรวมกันประมาณ 10% ของน้ำหนักตัวไว้ตลอดเวลาทีเดียว สิ่งที่เป็นปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ เพิ่มความเสื่อมของกระดูกคอเร็วขึ้น นพ.ธเนศ ให้ข้อมูลเพิ่ม ดังนี้
1. ใช้คอมากๆ เช่น ใช้ภาษาคอ สะบัดคอ ขยับคอเร็วๆ กระแทกคอ หรือขยับคอบ่อยทั้งที่ไม่จำเป็น
2. ใช้คอผิดวิธี อยู่ในท่าผิดปกตินานๆ เช่น นอนคว่ำอ่านหนังสือ
3. ขยับคอซ้ำในท่าเดิมๆ
4. ก้มคอกดดู เล่นโทรศัพท์นานเกิน 15 นาที ในทางทฤษฎีหากอยู่ในท่าก้มคอจะทำให้สรีระกระดูกคอไม่อยู่ในตำแหน่งที่ควรจะเป็น ทำให้กระดูกคอรับภาระน้ำหนักเพิ่มขึ้น
5. สูบบุหรี่

: 7 วิธีปฏิบัติตัว ป้องกันกระดูกคอเสื่อมเร็วเกินไป :
สัญญาณเตือนว่ากระดูกคอเริ่มเสื่อม จะเริ่มต้นด้วยการปวดคอ คอแข็ง มักปวดหลังคอบริเวณ 2 ข้างของกระดูกสันหลัง อาจปวดร้าวขึ้นไปถึงท้ายทอย หรือ ลงมาบริเวณสะบัก และปวดมากขึ้นเมื่อมีการเคลื่อนไหวหรือออกแรง หากปล่อยให้ปวดเรื้อรังต่อไปจนเกิด “กระดูกงอก” หรือ “หินปูนเกาะ” จนกดทับเส้นประสาท จะทำให้ปวดร้าวตามแขนจนถึงนิ้วมือ เกิดอาการชา กล้ามเนื้ออ่อนแรง ลุกลามจนกระทั่งเดินไม่ได้เลยทีเดียว เพราะฉะนั้นหากมีอาการเข้าข่ายควรรีบพบแพทย์ โดยแพทย์จะเริ่มรักษาด้วยยาร่วมกับกายภาพบำบัด หากไม่ได้ผล จะให้การรักษาโดยวิธีผ่าตัดต่อไป และต้องใช้เวลารักษาฟื้นฟูหลายเดือน หรือนานเป็นปี ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของผู้ป่วยด้วย

แล้วเราจะมีวิธีป้องกันตัวเองเพื่อชะลอการเสื่อมของกระดูกคอ หรือไม่ให้เสื่อมเร็วเกินไปนั้นต้องปฏิบัติตัวเช่นไร นพ.ธเนศ บอกวิธีดังนี้

1. หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ และการรับควันบุหรี่มือสองจากผู้อื่น
2. หลีกเลี่ยงการบิดหมุนคอ โยกคอ สะบัดคอบ่อยๆ โดยไม่จำเป็น
3. นั่งทำกิจวัตรต่างๆ ไม่ว่าจะทำงาน อ่านหนังสือ เขียนหนังสือ ควรให้คออยู่ในลักษณะตรงปกติ อย่าก้มคอมากเกินไป
4. หลีกเลี่ยงการทำงานโดยแหงนคอเป็นเวลานานๆ บ่อยๆ
5. การนอนพักผ่อน หรือนอนหลับควรใช้หมอนหนุนศีรษะที่มีส่วนรองรับใต้คอให้กระดูกคออยู่ในลักษณะปกติ
6. มนุษย์ที่ชอบก้มหน้าดูโทรศัพท์อย่าก้มนานเกิน 15 นาที
7. บริหารกล้ามเนื้อคอให้ยืดหยุ่นและแข็งแรงสม่ำเสมอ การทำให้กล้ามเนื้อคอยืดหยุ่น ให้ใช้มือนึงจับท้ายทอย อีกมือจับศีรษะแล้วค่อยๆ กดศีรษะลงมาเรื่อยๆ จนรู้สึกว่ากล้ามเนื้อคอตึง กดค้างไว้และนับ 1-10 แล้วคลาย ทำวิธีนี้ให้ครบทั้ง 4 ด้านของคอ ส่วนการทำกล้ามเนื้อคอให้แข็งแรง ใช้มือจับท้ายทอย อีกมือจับศีรษะโยกหัวไปด้านหลัง

ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ เลยทีเดียวกับอาการแค่ "ปวดคอ" เพราะฉะนั้นอย่าละเลยสุขภาพตัวเองนะคะ หากมีความผิดปกติเล็กๆ น้อยๆ รีบไปพบแพทย์ เป็นอีกวิธีป้องกันที่ดีที่สุดเช่นกัน

ปวดขา (Leg Pain) คืออาการปวดบริเวณขาที่เกิดขึ้นบางจุดหรือทั่วทั้งขา โดยอาจมีอาการชา ปวดแปลบ หรือปวดร้าวร่วมด้วย ซึ่งอาจเ...
03/12/2020

ปวดขา (Leg Pain) คืออาการปวดบริเวณขาที่เกิดขึ้นบางจุดหรือทั่วทั้งขา โดยอาจมีอาการชา ปวดแปลบ หรือปวดร้าวร่วมด้วย ซึ่งอาจเป็นผลจากโรคบางชนิด การบาดเจ็บ หรือการทำกิจกรรมที่ใช้ขามากเกินไป เช่น การเดินนาน ๆ หรือการออกกำลังกาย การวินิจฉัยจากแพทย์จะช่วยให้ทราบถึงสาเหตุของอาการปวดขา เพื่อการรักษาและป้องกันที่ถูกต้อง

อาการปวดขา

ปวดขามักมีลักษณะอาการและบริเวณที่ต่างกันไป โดยอาจรู้สึกปวดเสียด หรือปวดแสบบริเวณต้นขา หน้าแข้ง หรือน่อง การปวดขาอาจเกิดขึ้นเป็นพัก ๆ หรือต่อเนื่อง และอาจดีขึ้นได้เองขณะพัก หรืออาจมีอาการอื่นเกิดขึ้นร่วมด้วย เช่น เหน็บชา ตะคริว ปวดร้าว หรือปวดตุบ ๆ เป็นต้น

อาการปวดขาอาจเป็นสัญญาณของโรคต่าง ๆ ผู้ป่วยจึงควรพบแพทย์หากมีอาการดังต่อไปนี้ เพื่อรับการรักษาและป้องกันการพัฒนาของอาการที่อาจเกิดขึ้น

ปวดขามากขึ้นเรื่อย ๆ
ปวดขาขณะทำหรือหลังทำกิจกรรม เช่น การเดิน
ขาบวม หรือมีเส้นเลือดขอด
ปวดต้นขาขณะนั่งเป็นเวลานาน
ขาเริ่มซีด ฟกช้ำ บวม หรือเย็นผิดปกติ
มีปัญหาเกี่ยวกับการหายใจ
มีสัญญาณการติดเชื้อ เช่น มีไข้สูงกว่า 38 องศาเซลเซียส บริเวณที่ปวดเริ่มแดง กดแล้วเจ็บ
สัญญาณอันตรายที่ผู้ป่วยควรพบแพทย์ทันที ได้แก่
เดินไม่ได้
เจ็บหรือปวดต้นขามาก ประกอบกับอาการบวมแดง
มีเสียงเปราะดังขึ้นที่ขาขณะเกิดอุบัติเหตุ
มีบาดแผลรุนแรง เช่น ถูกของมีคมบาดจนเห็นเส้นเอ็นหรือกระดูก
สาเหตุของอาการปวดขา
การบาดเจ็บ การใช้ขามากเกินไป กระดูกหัก กล้ามเนื้อหรือเส้นเอ็นฉีกขาด คือสาเหตุหลักของอาการปวดขา แต่เนื่องจากขามีโครงสร้างและเนื้อเยื่อจำนวนมาก อาการปวดขาจึงอาจเกิดขึ้นได้จากสาเหตุอื่นเช่นกัน ซึ่งอาจแบ่งเป็นกลุ่มได้ดังต่อไปนี้

กลุ่มกล้ามเนื้อ กระดูกและข้อต่อ

การห้อเลือด การบาดเจ็บอาจทำให้มีเลือดออกภายในเนื้อเยื่อและข้อต่อ จึงทำให้เกิดอาการบวมและเจ็บปวดได้
ตะคริว ตะคริวมีลักษณะเป็นก้อนแข็งใต้ผิวหนังและอาจมีอาการบวมแดงร่วมด้วย มักเกิดขึ้นเองโดยเฉียบพลัน โดยมีสาเหตุจากการขาดน้ำในร่างกาย กล้ามเนื้อตึงหรืออ่อนแรงจากการทำกิจกรรมต่าง ๆ เป็นเวลานานหรือหนักเกินไป การใช้ยาบางชนิด เช่น ยาขับปัสสาวะ (Diuretics) หรือสแตติน (Statins) หรือส่วนประกอบต่าง ๆ ในเลือดต่ำ เช่น โปแตสเซียม แคลเซียม แมกนีเซียม หรือโซเดียม
ปวดข้อ อาจเกิดขึ้นจากการบาดเจ็บหรือโรคประจำตัว เช่น โรคข้ออักเสบ และโรคเก๊าท์
ปวดกล้ามเนื้อ มักเกิดจากการใช้กล้ามเนื้อมากเกินไป เช่น การเดินหรือยืนนาน ๆ การออกกำลังกายอย่างหนักหรือปวดกล้ามเนื้อจากการติดเชื้อในร่างกาย เป็นต้น
หน้าแข้งอักเสบ คืออาการปวดและบวมบริเวณหน้าแข้งจากการใช้หน้าแข้งมากเกินไป เช่น การกระโดด วิ่ง หรือเต้น หากไม่เข้ารับการรักษาหรือยังคงทำกิจกรรมดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง อาจทำให้กระดูกหักได้
กล้ามเนื้อเคล็ดหรือแพลง เกิดจากการยืดกล้ามเนื้อมากเกินไปจนทำให้เนื้อเยื่อ เส้นเอ็น หรือกล้ามเนื้อฉีกขาด ส่งผลให้เกิดอาการบวม อักเสบ และเจ็บปวดได้
กระดูกหัก กระดูกหักทำให้ปลายประสาทในเยื่อหุ้มกระดูกอักเสบและเสียหาย จึงทำให้กล้ามเนื้อรอบ ๆ กระดูกที่หักมีอาการตึง และส่งผลให้เกิดความเจ็บปวดมากขึ้น
เอ็นอักเสบ คือการอักเสบของเส้นเอ็น ซึ่งกระทบข้อต่อบริเวณใกล้เคียง โดยมักเกิดขึ้นที่เอ็นร้อยหวาย หรือกระดูกส้นเท้า
ภาวะความดันในกล้ามเนื้อสูง คือภาวะฉุกเฉินที่ผู้ป่วยต้องเข้ารับการผ่าตัด เพื่อลดความดันภายในกล้ามเนื้อ เพราะความดันที่เพิ่มสูงขึ้นทำให้เลือดไม่สามารถไหลเวียนได้ ผู้ป่วยจึงเกิดอาการชา ปวด และไม่สามารถขยับเท้าหรือข้อเท้าได้
อาการปวดขาในเด็ก พบได้บ่อยในช่วงอายุ 3-5 ปี และ 8-12 ปี สาเหตุอาจเกิดจากการเจริญเติบโตของกระดูกที่ยืดยาวเร็วกว่ากล้ามเนื้อ การใช้กล้ามเนื้อหรือทำกิจกรรมในช่วงกลางวันมากเกินไป โดยมักมีอาการปวดตึงที่กล้ามเนื้อน่อง ข้อพับเข่า หรือต้นขาเป็นเวลา 30 นาทีถึง 2 ชั่วโมง และมักเป็นช่วงเย็นหรือก่อนนอน บางครั้งอาจมีอาการหลังจากนอนหลับไปแล้ว ทำให้เด็กต้องตื่นขึ้นกลางดึก แต่พอบีบนวดสักพัก อาการก็จะค่อย ๆ ดีขึ้นและสามารถนอนหลับต่อได้ ตอนเช้าจะเดินวิ่งได้ตามปกติ อาการปวดขาในเด็กมักหายไปเองเมื่อเด็กโตขึ้น

กระดูกสันหลังเสื่อม (Spondylosis) เป็นอาการที่กระดูก หมอนรองกระดูก ข้อต่อ เส้นเอ็นกระดูก และกล้ามเนื้อหลังเสื่อมสภาพ ส่ง...
18/11/2020

กระดูกสันหลังเสื่อม (Spondylosis) เป็นอาการที่กระดูก หมอนรองกระดูก ข้อต่อ เส้นเอ็นกระดูก และกล้ามเนื้อหลังเสื่อมสภาพ ส่งผลให้กระดูกสันหลังขาดความยืดหยุ่นและติดแข็งมากขึ้น กระดูกสันหลังเสื่อมมักเกิดบริเวณกระดูกสันหลังส่วนคอ (Cervical Spine) กระดูกสันหลังส่วนอก (Thoracic Spine) และกระดูกสันหลังส่วนบั้นเอว (Low Back) แต่ที่พบได้มากที่สุดคือบริเวณกระดูกสันหลังส่วนคอและบั้นเอว กระดูกสันหลังเสื่อมเกิดจากการเสื่อมสภาพเมื่ออายุเพิ่มขึ้น โดยทั่วไปแล้วโรคนี้พบได้ในผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป แต่ปัจจุบันเริ่มพบในผู้ป่วยที่อายุต่ำกว่านั้นมากขึ้น หากความสามารถในการเคลื่อนไหวเริ่มผิดปกติหรือมีปัญหา มือ แขน เท้า และขามีอาการชาและอ่อนแรง ควรรีบไปพบแพทย์ เพื่อหาทางรักษาและช่วยป้องกันกระดูกสันหลังเสื่อมเพิ่ม

อาการของกระดูกสันหลังเสื่อม

อาการของกระดูกสันหลังเสื่อมจะปรากฎอาการปวดคอหรือปวดหลังแบบเป็น ๆ หาย แต่ผู้ป่วยบางรายอาจประสบกับอาการปวดเรื้อรัง หรือในบางครั้งอาการปวดอาจจะรุนแรงขึ้นเมื่อเปลี่ยนท่าทาง อาการอื่น ๆ ของกระดูกสันหลังเสื่อมมีดังนี้

ปวดบั้นเอว
กระดูกสันหลังติดแข็งและขยับตัวลำบาก
มือ แขน เท้า หรือขา ข้างใดข้างหนึ่งหรือทั้งสองข้างมีอาการชา อ่อนแรง หรือ เป็นเหน็บ
ปวดศีรษะในบางครั้ง
กลั้นปัสสาวะหรืออุจจาระไม่ค่อยอยู่
ในกรณีที่มีการกดเบียดเส้นประสาทรุนแรง จะทำให้เดินลำบาก เดินแล้วไม่สมดุล ไม่มั่นคงเหมือนจะหกล้ม โดยเฉพาะเวลาขึ้นบันได
สาเหตุของกระดูกสันหลังเสื่อม
กระดูกสันหลังเสื่อม คือการที่กระดูก หมอนรองกระดูก ข้อต่อ เส้นเอ็นกระดูก และกล้ามเนื้อหลังเสื่อมสภาพเมื่ออายุเพิ่มขึ้น จากการที่กระดูกสันหลังโค้งงอเป็นเวลานาน จนก่อให้เกิดแรงกดบนหมอนรองกระดูกและข้อต่อของกระดูกสันหลัง และเสียความยืดหยุ่นไป ยกตัวอย่างเช่น การนั่งติดต่อกันเป็นเวลานาน ๆ โดยเฉพาะการนั่งหลังค่อม พอลุกจากเก้าอี้กระดูกสันหลังจะถูกทำให้ตรงในทันทีจึงทำให้เกิดการเสียดทานขึ้น ร่างกายจึงสร้างกระดูกงอกออกมาจากข้อต่อเพื่อชดเชยความเสียหายที่เกิดขึ้น แต่ในบางครั้งกระดูกที่งอกขึ้นมานั้นมีขนาดใหญ่เกินไปจนเบียดกับเส้นประสาทและไขสันหลังทำให้เกิดอาการปวด ซึ่งมักพบทั่วไปในผู้สูงอายุ

การวินิจฉัยกระดูกสันหลังเสื่อม

แพทย์วินิจฉัยโรคกระดูกสันหลังเสื่อมจากอาการที่ผู้ป่วยเล่าให้ฟังว่ามีอาการปวดลักษณะดังกล่าว แล้วตรวจร่างกายเบื้องต้นสำหรับกระดูกสันหลังส่วนคอ โดยแพทย์จะให้ผู้ป่วยหันศีรษะจากซ้ายไปขวา และให้เอียงศีรษะไปที่บ่า สำหรับการตรวจกระดูกสันหลังส่วนบั้นเอวนั้น แพทย์อาจให้ผู้ป่วยก้มลงหรือเคลื่อนไหวหลังและเอวไปในทิศทางต่าง ๆ ทั้งหมดนี้เพื่อทดสอบว่าการเคลื่อนไหวนั้นถูกจำกัดหรือไม่ และเนื่องจากกระดูกสันหลังเสื่อมส่งผลให้เกิดปัญหาต่อการใช้มือและการเดิน แพทย์อาจทดสอบมือ แขน เท้าและขาของผู้ป่วยว่ายังรู้สึกตอบสนองต่อการสัมผัสหรือไม่ หากพบว่าผู้ป่วยมีปัญหาต่อการตอบสนองที่อาจบ่งบอกถึงความเสียหายของเส้นประสาท แพทย์อาจต้องขอเอกซเรย์เพื่อจะได้วินิจฉัยอาการเพิ่มเติมต่อไป

ภาวะกระดูกสันหลังเสื่อมกดทับเส้นประสาทปัจจุบันความเจ็บป่วยที่เกี่ยวข้องกับกระดูกสันหลังเป็นโรคที่พบได้บ่อยขึ้นและเป็นปัญ...
18/11/2020

ภาวะกระดูกสันหลังเสื่อมกดทับเส้นประสาท

ปัจจุบันความเจ็บป่วยที่เกี่ยวข้องกับกระดูกสันหลังเป็นโรคที่พบได้บ่อยขึ้นและเป็นปัญหาสำคัญที่ก่อให้เกิดอุปสรรคในการดำเนินชีวิตประจำวันของคนในวัยทำงาน และคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ เพราะนอกจากจะก่อให้เกิดความเจ็บปวดแล้ว แต่ยังทำให้ผู้ป่วยไม่สามารถทำงาน หรือใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างเต็มที่และมีความสุข

ภาวะความไม่มั่นคงของกระดูกสันหลัง(Unstable of spine) หรือปวดหลังจากกระดูกสันหลังไม่มั่นคง เมื่อกระดูกสันหลังเกิดความไม่มั่นคงก็จะทำให้เกิดปัญหาตามมา เพราะหน้าที่หลักของมันมี 2 อย่าง คือ 1) ช่วยปกป้องเส้นประสาทที่ออกมาจากสมอง และ 2) ช่วยรับน้ำหนัก ทำให้เราบิดตัวได้ ก้มได้ ยืนได้โดยไม่เจ็บปวด

กระดูกสันหลังไม่มั่นคงจะทำให้เกิดอาการอย่างไร
ไม่ว่าจะเป็นโรคอะไรที่เกี่ยวข้องกับกระดูกสันหลังจะทำให้เกิดอาการ 2 อย่าง คือ

1) ปวดหลัง หรือ

2) ปวดหลังร่วมกับอาการปวดร้าวลงสะโพกหรือลงขา หรือร่วมกับมีอาการชาหรืออ่อนแรงหรือว่าขาลีบ กระดูกสันหลังก็เหมือนกับบ้าน ถ้าเสาแข็งแรง ลมพัดไปพัดมาก็ยังมั่นคง แต่ถ้าเสาไม่แข็งแรง คนในบ้านก็จะรู้สึกไม่มั่นคงภาวะกระดูกสันหลังไม่มั่นคงก็เช่นเดียวกัน

สาเหตุที่ทำให้เกิดความไม่มั่นคงของกระดูกสันหลังคืออะไร
สาเหตุมีทั้งที่เกิดจากอุบัติเหตุและไม่ได้เกิดจากอุบัติเหตุ สาเหตุจากอุบัติเหตุก็เช่น รถชน หกล้ม ตกตึกทำให้กระดูกสันหลังเคลื่อนหรือหัก คนไข้จะนั่งไม่ได้ ส่วนสาเหตุที่ไม่ได้มาจากอุบัติเหตุจะแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ เกิดจากการเสื่อมสภาพตามธรรมชาติกับกลุ่มที่เกิดจากการติดเชื้อหรือเนื้องอก เราพบว่าในปัจจุบันโรคกระดูกสันหลังที่เกิดจากความเสื่อมสภาพนั้นมีคนไข้อยู่สองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งก็คือกลุ่มวัยทำงานอายุประมาณ 20-50 ปี อีกกลุ่มคือกลุ่มที่มีอายุมากเกิน 50-70 ปีไปแล้ว ในกลุ่มวัยทำงาน การเสื่อมสภาพที่จะเกิดได้บ่อยก็คือที่ตำแหน่งหมอนรองกระดูก นั่นคือภาวะที่เรียกว่า หมอนรองกระดูกเคลื่อน ซึ่งเป็นโรคที่พบบ่อยที่สุด

หมอนรองกระดูกในภาวะปกติจะทำหน้าที่เหมือนยางรถยนต์ที่รองรับระหว่างกระดูกสองชิ้น ทุกครั้งที่เราก้ม เงย หรือเคลื่อนไหวหมอนรองกระดูกจะเป็นตัวที่รับน้ำหนัก รับแรงกระแทกระหว่างกระดูก วันดีคืนดีที่หมอนรองกระดูกแตกหรือเคลื่อนก็จะทำให้เกิดความไม่มั่นคงในส่วนนี้ขึ้น เพราะฉะนั้นเวลาคนไข้เคลื่อนไหว เช่น ก้ม เงย หรือบิดตัวก็จะปวด คนไข้จะบอกว่านั่งนานไม่ได้ นั่งซักพักก็ปวดต้องนอน ยืนนานไม่ได้ เดินไกล ๆ ไม่ได้

ภาวะหมอนรองกระดูกเคลื่อนหรือเสื่อมเกิดขึ้นได้อย่างไร

สำหรับคนในวัยทำงานส่วนใหญ่จะเป็นการเสื่อมสภาพเอง ไม่ได้เกิดจากอุบัติเหตุ เพราะหมอนรองกระดุกจะเริ่มเสื่อมตั้งแต่อายุ 25 ปีขึ้นไป ซึ่งเราไม่ทราบสาเหตุ แต่ช่วงอายุของวัยทำงานที่พบบ่อยที่สุดคือ 30-40 ปี คนไข้มักจะมีปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เป็น คือ หนึ่งน้ำหนักตัวเยอะ ทำให้ต้องรับน้ำหนักมากตลอดเวลา สอง คือกลุ่มที่สูบบุหรี่จัด ซึ่งพบว่ากลุ่มคนที่สูบบุหรี่จะปวดหลังมากกว่ากลุ่มคนที่ไม่สูบบุหรี่อย่างมีนัยสำคัญ ข้อสาม ได้แก่คนที่ต้องนั่งทำงานนาน ๆ หรือต้องก้ม ๆ เงย ๆ ยกของหนักก็เป็นปัจจัยเสี่ยงที่พิสูจน์ได้ว่ามีผล

เพราะฉะนั้นเวลาที่หมอนรองกระดูกมันเคลื่อนหรือแตก สิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมาคืออาการรับน้ำหนักของกระดูกจะเสียไป การเคลื่อนไหวทุกจุดจะเกิดปัญหาหมด ปัญหาอีกอย่างที่ตามมาคือกระดูกที่เคลื่อนจะไปกดทับเส้นประสาท ซึ่งทำให้เกิดอาการอ่อนแรง ขาชา ขาไม่มีแรง แต่ในคนไข้บางคนอาจไม่มีอาการปวดหลังเลยก็ได้ เพราะไปโดนจุดที่หมอนรองกระดูกทั้งหมดยังทำงานได้ อาจแค่ปวดขาอย่างเดียว

อีกกลุ่มหนึ่งที่พบได้มากก็คือกลุ่มอายุหลัง 65 ปี ไปแล้ว กลุ่มนี้จะเป็นกระดูกเสื่อมเลย พอผ่านพ้นวัยไปกระดูกจะเริ่มเสื่อม เพราะผ่านการใช้งานมานาน ซึ่งเราจะเห็นลักษณะของกระดูกที่เริ่มมีการงอกมีการย้อยของกระดูก วันดีคืนดีกระดูกที่ย้อยเพราะแคลเซียมมาเกาะก็จะไปรบกวนเส้นประสาทในบ้าน อีกสิ่งหนึ่งที่มีผลต่ออาการคนไข้ก็คือกิจกรรมที่ทำ เพราะฉะนั้นหลักในการรักษาคนไข้คือต้องรู้ก่อนว่าเขาเป็นอะไร การเป็นโรคกระดูกสันหลังเสื่อมหรือไม่มั่นคงไม่ได้หมายความว่าต้องผ่าเสมอไป และไม่ใช่ว่าทุกคนจะมีอาการ คนไข้ที่กระดูกเสื่อมจนถึงจุดหนึ่งแล้วยังต้องทำงาน คนไข้กลุ่มนี้ที่จะเกิดปัญหา แต่ถ้าคนไข้สามารถ Balance ระหว่างกิจกรรมที่ทำกับอาการคนไข้ก็จะอยู่ได้ เช่นในคนที่น้ำหนักตัวมากก็ต้องพยายามลดน้ำหนักลงก็จะยืนได้นานขึ้น ก้มเงยมาก ๆ แล้วปวดก็ต้องก้มเงยให้น้อยลง หรือในคนอายุ 60-70 ปี มีโรคประจำตัว เช่น หัวใจและเบาหวาน โรคเรื้อรังประจำตัวจะทำให้คนไข้ไม่ active พอไม่ active อาการก็จะน้อย

โรคทางกระดูกสันหลังอื่น ๆ ที่พบบ่อย
โรคที่เจออีกโรคคือ โพรงกระดูกสันหลังตีบแคบ หรือที่เรียกว่า spinal canal stenosis โรคนี้มักพบในคนที่มีอายุ 65 ปีไปแล้วช่องทางเดินประสาทแคบลงจากการที่มีกระดูกงอกเข้ามา อาการสำคัญของคนไข้คือจะเดินไกลไม่ได้ เดิน ๆ ไปชัก 10-20 เมตรก็ก้าวขาไม่ออก หมดแรง ต้องพักซักระยะ โรคนี้อาการปวดหลังไม่ใช่อาการนำ แต่จะเป็นอาการหมดแรงก่อน เพราะฉะนั้นในคนไข้ที่มีสุขภาพดี การที่เดินไม่ไหวจะทำให้เขาอยากผ่าตัด แต่ในกลุ่มคนที่สุขภาพไม่ดีอยู่แล้ว มีโรคเรื้อรังประจำตัว เช่น หัวใจ หอบ จะเป็นข้อจำกัด ในการทำกิจกรรมของเขา อาการที่เกิดจากกระดูกก็จะไม่มาก ซึ่งจะปีหนึ่ง ๆ เราผ่าตัดกระดูกสันหลังประมาณ 800 กว่าราย ในจำนวนนี้ผมว่าครึ่งหนึ่งอายุเกิน 70 ปี

สาเหตุอื่น ๆ ของโรคทางกระดูกสันหลัง
สาเหตุอื่น ๆ ที่ไม่ได้เกิดจากความเสื่อมสภาพมีอีก 2 อย่างคือการติดเชื้อและเนื้องอก การติดเชื้อเป็นเรื่องที่เจอได้ค่อนข้างบ่อยในบ้านเราโดยเฉพาะในชนบทที่มีปัญหาเรื่องของสาธารณสุข เชื้อที่เป็นสาเหตุบ่อยคือเชื้อวัณโรค คนไข้รับเชื้อมาโดยไม่รู้ตัวและไม่มีอาการทางปอด วันดีคืนดีก็มาด้วยอาการปวดหลังและมีอัมพาตบางส่วนเดือนหนึ่ง ๆ ที่โรงพยาบาลจุฬาจะพบประมาณ 3-5 รายตลอดปี เป็นการติดเชื้อที่เจอได้บ่อย คนรับก็ไม่รู้ตัว เวลาไปเจอเชื้อถ้าร่างกายแข็งแรงก็กำจัดเชื้อได้ ถ้าร่างกายอ่อนแอ เชื้อก็จะไปตามเลือดและแฝงตัวตามจุดต่าง ๆ อาจทำให้เกิดกระดูกอักเสบและกระดูกทรุดตัวลง คนไข้ก็มาด้วยอาการกระดูกสันหลังทรุด อันนี้คือความไม่มั่นคงที่เกิดจากโรค

เนื้องอกก็เป็นอีกสาเหตุ ที่พบได้บ่อยคือเนื้องอกที่กระจายมาจากที่อื่น อีกกรณีหนึ่งคือกระดูกทรุดหรือหักจากมะเร็งที่กระจายมาโดยที่คนไข้ไม่รู้ตัวมาก่อน เมื่อไหร่ก็ตามที่สาเหตุไม่สมเหตุสมผล แต่โรคของคนไข้รุนแรง แสดงว่ากระดูกบริเวณนั้นมีความผิดปกติ เช่น แค่อุบัติเหตุเล็กน้อยแล้วเกิดกระดูกหัก ในคนเป็นมะเร็งที่เราทำคือเจาะเอาชิ้นเนื้อไปตรวจ แล้วเราก็หาต้นเหตุแล้วรักษา แต่ในการรักษากระดูกสันหลังไม่มั่นคง แนวโน้มจะเป็นการผ่าตัดทั้งสิ้น

โรคทางกระดูกสันหลังส่วนใหญ่ที่คนไข้เข้ารับการผ่าตัด
ส่วนใหญ่ที่ผ่าตัดคือโรคหมอนรองกระดูกเสื่อม ส่วนภาวะกระดูกสันหลังไม่มั่นคงเป็นอีกสาเหตุหนึ่ง โรคอีกโรคที่พบได้บ่อยในคนอายุน้อยประมาณ 20-50 ปี คือโรคกระดูกสันหลังเคลื่อนหรือที่เรียกว่า spondylolisthesis กระดูกสันหลังเคลื่อนก็อาจจะเป็นผลมาจากภาวะไม่มั่นคงของกระดูกสันหลังทำให้เกิดอาการปวดหลังได้ เมื่อมีสาเหตุใดก็ตามที่ทำให้กระดูกสันหลังอยู่ไม่ได้มันก็เคลื่อนตกลงมาทุกครั้งที่คนไข้เดิน บิดตัว ขยับตัวก็เกิดการเสียดสี เวลาก้มกระดูกจะตกไปข้างหน้า แอ่นก็เลื่อนกลับ และกระดูกที่เลื่อนก็จะรั้งเส้นประสาทไปด้วย ทำให้คนไข้ปวด เราแก้ไขด้วยการผ่าตัดใส่เหล็กดามดึงกระดูกกลับเข้าที่ พอก้มเงยกระดูกไม่ชนกัน คนไข้ก็หายปวด

กระดูกสันหลังเคลื่อนเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดความไม่มั่นคงของกระดูกสันหลังบริเวณเอวที่พบได้บ่อยที่สุด และทำให้เกิดการผ่าตัดได้บ่อยที่สุด พบคนไข้ได้ 2 ช่วงอายุ ช่วงอายุแรกที่พบบ่อยคือ 45 ปีขึ้นไป แต่ถ้าคนไข้ผ่านช่วงนี้ไปได้ก็จะไปผ่าตัดอีกทีหลัง 70 ปี การที่กระดูกเคลื่อนมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับงานที่เขาทำ ถ้าโรคของคนไข้รุนแรงมาก แต่ทำงานน้อยอาการก็จะเบา สิ่งที่เราเห็นในเอกซเรย์ไม่ได้แปลว่าจะทำให้คนไข้มีอาการเยอะเสมอไป แต่ถ้าคนไข้กระดูกเคลื่อนน้อยแต่ทำงานหนักอาการก็จะมาก เพราะฉะนั้นเวลาที่เราตัดสินใจรักษาก็จะดูอาการของคนไข้เป็นหลัก

ที่อยู่

Ban Na Yao

เบอร์โทรศัพท์

+66909961788

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ Dboone ดีบูน ฟื้นฟู บำรุงข้อ กระดูก เข่าเสื่อม ข้อเข่าเสื่อม 090-996-1788ผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ การปฏิบัติ

ส่งข้อความของคุณถึง Dboone ดีบูน ฟื้นฟู บำรุงข้อ กระดูก เข่าเสื่อม ข้อเข่าเสื่อม 090-996-1788:

แชร์

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram

ข้อเข่าเสื่อม

D BOO-NE ดีบูนเน่ #อาหารเสริม #สำหรับบำรุงกระดูก #บำรุงกระดูก และข้อ #ทนปวดอยู่ทำไม่..ปวดมานานแสนนาน..!! #หมอนรองกระดูกอักเสพ #ข้อเสื่อม #ข้ออักเสพ #กระดูกพรุน #นั่งก็ปวด เดินก็ปวด..มีเสียงดังก๊อบแก๊ป #ปวดข้อ #ปวดลูกสะบ้า #ปวดข้อต่อ #ปวดข้อศอก #ปวดสะโพก ร้าวถึงขา #ปวดกระดูกสันหลัง #ปวดขา #ปวดแขน #ปวดเอ็น #ข้อเข่าเสื่อม #กระดูกทรุด #ปวดสะโพก #ทุกปัญหา ดีบูน เอาอยู่...รู้เรื่อง…ดีขึ้นแน่นอน...

โรคข้อเข่าเสื่อม คือ ภาวะที่กระดูกอ่อนผิวข้อเข่า มีการสึกหรอและเสื่อมอย่างช้าๆ และจะเป็นมากขึ้นตามเวลาที่ผ่านไป พบได้บ่อยในผู้สูงอายุ ทำให้เกิดอาการปวดเข่า เข่าบวม ข้อยึดติด มีเสียงดังในเข่า เข่าผิดรูปไม่สามารถประกอบกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติ

โรคข้อเข่าเสื่อมนี้เกิดจากการเสื่อมตามอายุขัยส่วนใหญ่ เกิดกับข้อใหญ่ๆ เช่น ข้อสะโพก ข้อเข่าและข้อกระดูกสันหลัง ปัญหาปวดเข่าพบได้มากในผู้สูงอายุหญิงมากกว่าชาย เนื่องจากขนบธรรมเนียมไทยที่ต้องนั่งคุกเข่าพับเพียบ ขัดสมาธิ ซึ่งเป็นท่าที่ทำให้ข้อเข่าถูกกดพับ และเอ็นกล้ามเนื้อถูกยึดมาก การนั่งเช่นนั้นนานๆ ทำให้การหมุนเวียนของเลือดไปเลี้ยงเข่าไม่ได้ดี และเมื่อเข้าสู่วัยสูงอายุไม่ค่อยชอบออกกำลังกาย อีกทั้งต้องทำงานหนักไม่มีการพัก ประกอบกับน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น ทำให้เข่าต้องแบกน้ำหนักส่วนเกินนั้น กล้ามเนื้อจึงหย่อนสมรรถภาพลง จึงทำให้เป็นโรคเข่าเสื่อมได้ง่าย

สาเหตุหลักๆ ได้แก่