สมุนไพรเพื่อสุขภาพ By Piyamat

สมุนไพรเพื่อสุขภาพ By Piyamat จำหน่ายสมุนไพร ลดเบาหวาน ความดัน บำรุงหัวใจ สมอง ลดไขมันในเลือด ลดหิว สลายไขมัน ฯลฯ

วุ้นในตาเสื่อม      เห็นหยากไย่ลอยไปลอยมา หรือเห็นเงาดำเคลื่อนที่อยู่ในตา สัญญาณนี้บ่งชี้ว่าวุ้นในตาเสื่อม และหากละเลยไม...
24/11/2020

วุ้นในตาเสื่อม
เห็นหยากไย่ลอยไปลอยมา หรือเห็นเงาดำเคลื่อนที่อยู่ในตา สัญญาณนี้บ่งชี้ว่าวุ้นในตาเสื่อม และหากละเลยไม่สนใจสัญญาณเตือนอาจตาดับ มองไม่ชัดถาวร !

เห็นหยากไย่ลอยไปลอยมา หรือเห็นเงาดำเคลื่อนที่อยู่ในตา สัญญาณนี้บ่งชี้ว่าวุ้นในตาเสื่อม และหากละเลยไม่ส...

 #ฟื้นฟูสายตา  #มองชัด  #ลดเบาหวาน  #ต้านมะเร็งฯลฯ☕ #โกจิเบอร์รี่ดำ  #พืชมหัศจรรย์  #โภชนาการเพียบ..🔹มีสารต้านอนุมูลอิสร...
12/11/2020

#ฟื้นฟูสายตา #มองชัด #ลดเบาหวาน #ต้านมะเร็งฯลฯ☕ #โกจิเบอร์รี่ดำ #พืชมหัศจรรย์ #โภชนาการเพียบ..
🔹มีสารต้านอนุมูลอิสระมากกว่าโกจิเบอร์รี่ธรรมดา 50 เท่า
🔹มีคุณค่าจากวิตามิน C มากกว่า 20 เท่า
🔹มีคุณค่าจากวิตามิน E มากกว่า 50 เท่า
🔹มีสารอาหารมากกว่า บลูเบอร์รี่ 18 เท่า
🍒🍒🍒🍒
🎉พิเศษๆ❗(ปกติห่อล่ะ 250 บาท 🛍️ 50 กรัม)
🛍️1 ห่อ 190 ฿
🛍️2 ห่อ 350 ฿
🛍️3 ห่อ แถมฟรี 1 ห่อ 570 ฿
🔹🔹🔹🔹
✅ฟื้นฟูสายตา เห็นชัดขึ้น ใน 20 วัน
✅ลดความดันโลหิต ใน 1 เดือน
✅ลดน้ำตาล คอเรสเตอรอล
✅ต้านมะเร็ง
✅บำรุงปอด ตับ ไต
✅สร้างภูมิคุ้มกัน
✅นอนหลับง่าย
✅ชะลอวัย
🔹🔹🔹🔹
☕วิธีการรับประทาน☕
แช่กับน้ำอุ่นเพื่อรับประทาน : เพียง 1 กรัม ต่อน้ำอุ่น 1 แก้วกาแฟ (อุณหภูมิที่ร้อนเกินไปจะทำลายสารแอนโธไซยานิน ที่มีประโยชน์ ควรใช้อุณหภูมิประมาณ 50-75 องศา ) รอประมาณ 5 นาที ดื่มน้ำให้หมดก่อน และค่อยทานเม็ดตามหรือทานไปพร้อมกันได้เลย
***ถ้าต้องการดื่มเย็น สามารถแช่เย็นดื่มได้ โดยชงด้วยน้ำอุ่นแล้วรออุณหภูมิปกติก่อน หรือผสมในเครื่องดื่มได้หลากหลาย
ดื่มได้ตลอดทั้งวัน แต่ไม่ควรเกินวันละ 20 กรัม
☕☕☕☕
สีที่ได้จะเป็นสีม่วง หรือสีฟ้าขึ้นอยู่กับ ความเป็นกรด เป็นด่างของน้ำ
🍵น้ำเป็นกรด 👉ได้สีม่วง
🍵น้ำเป็นด่าง 👉ได้สีฟ้า
#เก๋ากี้ดำ #สมุนไพรจีน

🌺🌺🌺🌺🌺🌺🌺

โกจิเบอร์รี่ดำ เป็นพืชหายากที่ปลูกได้ที่ระดับความสูง 3000 เมตร ในพื้นที่แห้งแล้งเฉพาะ โดยปลูกขึ้นเฉพาะแถบทะเลทรายตะวันตกของประเทศจีนเท่านั้น ทำให้โกจิเบอร์รี่ดำถือเป็นพืชหายาก มีคุณค่าทางโภชนาการสูง และมีราคาสูงกว่าเบอร์รี่ทั่วไป

โกจิเบอร์รี่ดำ มีคุณค่าทางโภชนาการสูงกว่าโกจิเบอร์รี่ทั่วไป โดยเฉพาะ เหล็ก ทองแดง ซิงค์ แม๊กเนเซียม และ แอนโธไซยานิน (Anthocyanin)

โกจิเบอร์รี่ดำจะมีสาร antioxidant ธรรมชาติอยู่สูงจึง ทำให้ตัวผลมีสีออกดำๆ ม่วงๆ ซึ่งจากการวิจัยทางวิทยาศาสตร์พบว่า
🔹มีสาร antioxidant มากกว่าโกจิเบอร์รี่ธรรมดา 50 เท่า จะสามารถดูดซึมได้ดีกว่าโกจิเบอร์รี่แบบธรรมดาซึ่งจะช่วยในการบำรุงสุขภาพ
🔹มีคุณค่าจากวิตามิน C มากกว่า 20 เท่า
🔹มีคุณค่าจากวิตามิน E มากกว่า 50 เท่า
🔹มีสารอาหารมากกว่า บลูเบอร์รี่ 18 เท่า
🔹มีส่วนประกอบของกลูโคไซด์ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระตามธรรมชาติ ชลอความเสื่อมของเซลล์ เพิ่มภูมิต้านทาน ชลอความชรา
🔹มีสารแอนโธไซยานินซึ่งมีมากในเก๋ากี้ดำช่วยกำจัดอนุมูลอิสระ ช่วยจำกัดการแพร่ขยายของเซลล์มะเร็ง
🔹สารแอนโธไซยานิน ช่วยปรับปรุงการไหลเวียนของเลือด ทำให้หลอดเลือดแข็งแรง
🔹สารแอนโธไซยานิน ช่วยปกป้องผิวหนังจากริ้วรอยที่เกิดจากอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นหนึ่งในคุณลักษณะที่ทรงประสิทธิภาพของสารต้านอนุมูลอิสระ
🔹สารลูทีน ช่วยในการมองเห็น บำรุงสายตา ป้องกันการล้าของสายตา
🔹ผลเก๋ากี้ดำ ช่วยป้องกันและรักษาเบาหวาน ปกป้องตับ ต่อต้านเนื้องอก ลดความเสี่ยงการเกิดโรคหลอดเลือดต่างๆ เช่นหลอดเลือดหัวใจ หรือ สมองอุดตัน
🔹ช่วยบำรุงทั้งในด้านตับและไต

สามารถสั่งซื้อทางที่ให้แล้วนะครับ
04/11/2020

สามารถสั่งซื้อทางที่ให้แล้วนะครับ

ลองเข้ามาดูร้านค้าออนไลน์ร้านนี้ใน Shopee! ดาวน์โหลดแอปเลยตอนนี้ที่: http://goo.gl/RSLPA9

"น้ำมันรำข้าว" ต้านอนุมูลอิสระ-ลดน้ำตาลในเลือด ประโยชน์เพียบ!
18/09/2020

"น้ำมันรำข้าว" ต้านอนุมูลอิสระ-ลดน้ำตาลในเลือด ประโยชน์เพียบ!

ทำไมคนส่วนใหญ่มักนิยมใช้น้ำมันรำข้าวเป็นวัตถุดิบในการปรุงอาหารเพื่อสุขภาพ?

ผักเชียงดา สรรพคุณไม่ธรรมดา เป็นสมุนไพรลดน้ำตาลในเลือดชื่อเสียงเรียงนามผักเชียงดาต้องบอกว่าโหดมาก โดยแปลได้ว่าผักฆ่าน้ำต...
10/09/2020

ผักเชียงดา สรรพคุณไม่ธรรมดา เป็นสมุนไพรลดน้ำตาลในเลือด

ชื่อเสียงเรียงนามผักเชียงดาต้องบอกว่าโหดมาก โดยแปลได้ว่าผักฆ่าน้ำตาล ส่วนสรรพคุณของผักเชียงดาก็ไม่ธรรมดาเอาซะเลย
ผักเชียงดา

ผักเชียงดามีสรรพคุณเด่นมากเรื่องมีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือด เพราะถูกใช้เป็นยารักษาเบาหวานในแถบประเทศเอเชียมานานหลายร้อยปีแล้ว แถมผักเชียงดายังมีรสชาติอร่อย นำไปทำเมนูอาหารได้หลายอย่าง รวมทั้งยังมีการนำมาแปรรูปเป็นชาเชียงดา เป็นแคปซูลเชียงดา จัดจำหน่ายในรูปผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพและมีการส่งออกไปขายยังต่างประเทศอีกด้วยนะคะ ดังนั้นเราจะไม่รู้จักผักเชียงดาก็คงไม่ได้แล้วล่ะเนอะ

* ผักเชียงดา ชื่อเสียงธรรมดาซะที่ไหน

ผักเชียงดามีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Gymnema inodorum (Lour.) Decne. ซึ่งคำว่า Gymnema มีรากศัพท์มาจากภาษาฮินดู "Gurmar" ที่แปลว่าผู้ฆ่าน้ำตาล เนื่องจากในผักเชียงดามีสารสำคัญที่มีฤทธิ์ยับยั้งการขนส่งน้ำตาลและชะลอการดูดซึมน้ำตาลในลำไส้เล็กนั่นเอง

และด้วยความที่ผักเชียงดาเป็นผักพื้นบ้านทางภาคเหนือ ชื่อของผักเชียงดาในภาษาเหนือจึงมีให้เรียกอย่างหลากหลาย อาทิ ผักเซี่ยงดา เซ่งดา เจียงดา ผักกูด ผักว้น ผักม้วนไก่ หรือผักเซ็ง เป็นต้น ส่วนภาคกลางจะเรียกกันว่า ผักจินดา

ชื่อเสียงเรียงนามผักเชียงดาต้องบอกว่าโหดมาก โดยแปลได้ว่าผักฆ่าน้ำตาล ส่วนสรรพคุณของผักเชียงดาก็ไม่ธรร....

ใบมะรุม สรรพคุณสุดเด็ด จัดว่าเป็นซูเปอร์ฟู้ด    มะรุม อีกหนึ่งความมหัศจรรย์ของสมุนไพรไทย ที่ใครก็ต่างยกย่องว่าประโยชน์ขอ...
10/09/2020

ใบมะรุม สรรพคุณสุดเด็ด จัดว่าเป็นซูเปอร์ฟู้ด
มะรุม อีกหนึ่งความมหัศจรรย์ของสมุนไพรไทย ที่ใครก็ต่างยกย่องว่าประโยชน์ของมะรุมนั้นเด็ดจริง
ใบมะรุม

ต้นมะรุมหาไม่ยากเลยในบ้านเรา แต่เชื่อว่าหลายคนยังไม่รู้จักมะรุมกันมากนัก ซึ่งนี่ล่ะที่เป็นความพลาดอย่างแรง เพราะมะรุมเป็นพืชสมุนไพรที่ประโยชน์มากล้น เผลอ ๆ อาจเทียบชั้นกับซูเปอร์ฟู้ดอื่น ๆ ได้สบาย

1. วิตามิน C มากกว่าส้ม 7 เท่า (วิตามิน C สร้างภูมิต้านทาน)
2. มีแคลเซียม มากกว่านม 4 เท่า (ช่วยเรื่องกระดูกพรุน และ แคลเซี่ยมจากพืชร่างกายดูดซึมได้ดีกว่ากว่าแคลเซี่ยมอื่นๆ)
3. มีวิตามินเอ มากกว่าแครอท 4 เท่า (วิตามินเอ ช่วยเรื่องการมองเห็น และผิวพรรณ)
4. มีโปรตีน มากกว่านม 2 เท่า (โปรตีนซ่อมแซมร่างกาย)
5. โปรแตสเซียม มากกว่ากล้วย 3 เท่า (โปรแตสเซียมช่วยเรื่องเซลล์ประสาท ให้ทำงานปรกติ)
6. ใยอาหารสูงมาก
7. แคลอรีต่ำ
8. อุดมไปด้วยกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกายมากถึง 8 ชนิด ได้แก่ ไอโซลิวซีน​ (ISOLEUCINE),​ ลิวซีน (LEUCINE), ไลซีน (LYSINE), เมไธโอนีน (METHEONINE), ฟีนิลอะลานีน (PHENYLALAINE), ทรีโอนีน (THREONINE), ทริทโอยีน (TRYTOHYAN) และกรดอะมิโนวาลีน (VALINE) ซึ่งล้วนแต่เป็นกรดอะมิโนจำเป็นที่ร่างกายผลิตขึ้นเองไม่ได้

ทำไมวงการแพทย์ยกให้มะรุมเป็นพืชมหัศจรรย์?
เพราะว่า สารอนุมูลอิสระที่มีจำนวนมากในใบมะรุมสาร ที่ช่วยป้องกัน และ บรรเทาโรคร้ายหลายโรค อาทิ มะเร็ง เบาหวาน ความดันโลหิต เพิ่มปริมาณซีดี 4 เกาต์ และโรคใหม่ในหนุ่มสาว คือโรคตาบอดและโรคสายตาจากคอมพิวเตอร์ โรคไขข้อจากการพิมพ์นานๆ การนั่งท่าผิดปรกตินานๆ จนเกิดอาการไขข้อ

สรรพคุณจาก นิตยสารหมอชาวบ้าน

1. ใช้รักษาโรคขาดอาหารในเด็กแรกเกิดถึง 10 ขวบ และลดสถิติการเสียชีวิต พิการ และตาบอดได้เป็นอย่างดี
2. ใช้รักษาผู้ป่วยเป็นโรคเบาหวานให้อยู่ในภาวะควบคุมได้
3. รักษาโรคความดันโลหิตสูง
4. ช่วยเพิ่มและเสริมสร้างภูมิต้านทานให้แก่ร่างกาย ทานผลิตผลจากมะรุมในระหว่างตั้งครรภ์ เด็กที่เกิดมาจะไม่ติดเชื้อHIV นอกจากนี้ถ้ารับประทานอย่างน้อยอาทิตย์ละ 3 ครั้งยังช่วยให้คนทั่วๆไปสามารถสร้างภูมิคุ้มกันให้กับตัวเอง ช่วยรักษาผู้ป่วยโรคเอดส์ให้อยู่ในภาวะควบคุมได้ การรักษาโรคเอดส์ที่ประสพผลสำเร็จในกลุ่มประเทศแอฟริกา
5. ถ้ารับประทานสม่ำเสมอจะช่วยป้องกันไม่ให้เป็นโรคมะเร็ง แต่ถ้าหากเป็นก็จะช่วยให้การรักษาพยาบาลง่ายขึ้น ในบางกรณีสามารถหยุดการเจริญเติบโตของโรคร้ายได้ ถ้าใช้ควบคู่ไปกับยาแพทย์แผนปัจจุบัน หากผู้ป่วยด้วยโรคมะเร็งได้รับการรักษาด้วยรังสี การดื่มน้ำมะรุมจะช่วยให้การแพ้รังสีฟื้นตัวเร็วขึ้นและมีร่างกายที่แข็งแรง
6. ช่วยรักษาโรคไขข้ออักเสบ โรคเกาต์ โรคกระดูกอักเสบ โรคมะเร็งในกระดูก โรครูมาติซั่ม บำรุงข้อกระดูก
7. รักษา โรคตาเกือบทุกชนิด เช่น โรคตามืดตามัวเพราะขาดสารอาหารที่จำเป็น โรคตาต้อ เป็นต้น หากรับประทานสม่ำเสมอ จะทำให้ตามีสุขภาพที่สมบูรณ์
8. รักษาโรคลำไส้อักเสบ โรคเกี่ยวกับท้อง ท้องเสีย ท้องผูก โรคพยาธิในลำไส้
9. รักษาปอดให้แข็งแรง รักษาโรคทางเดินของลมหายใจ และโรคปอดอักเสบ

ผลข้างเคียงหรือโทษจากมะรุม

-หญิงตั้งครรภ์หากรับประทานในปริมาณที่มากจนเกินไปก็อาจจะทำให้แท้งบุตรได้

-ผู้ป่วยเลือดก็ไม่ควรรับประทานและควรศึกษาวิธี การรับประทาน มะรุม เช่นกัน เพราะจะทำให้เม็ดเลือดแตกง่าย

-เกาต์ ก็ไม่ควรรับประทานในปริมาณที่มากจนเกินไป เพราะมะรุมมีโปรตีนที่ค่อนข้างสูงมาก แต่ทั้งนี้ก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะไม่ปลอดภัย เพราะคนไทยนิยมนำมาประกอบอาหารมานานมากแล้ว

มะรุม ในส่วนของใบมะรุมควรรับประทานใบสดๆ ที่ไม่แก่หรืออ่อนเกินไป และไม่ควรถูกความร้อนนานเกินไป เพื่อให้ได้ประโยชน์ของสารอาหารอย่างเต็มที่ ซึ่งการใช้ใบมาประกอบอาหารสิ่งที่ต้องระวังก็คือ ไม่ควรให้เด็กทารกในวัยเจริญเติบโตถึง 2 ขวบรับประทานในปริมาณที่มากเกินไป เพราะใบมะรุมมีธาตุเหล็กสูง หรือเด็กที่อายุ 3-4 ขวบควรรับประทานแต่เพียงเล็กน้อย และไม่ว่าจะวัยไหนก็ตามควรศึกษาวิธีการทานมะรุมไม่ควรรับประทานในปริมาณมากเกินไป เพราะอาจจะทำให้ท้องเสียได้ (ไม่ได้เกิดกับทุกคน)ควรเลือกรับประทานอาหารให้หลากหลายด้วยเช่นกัน

เพชรสังฆาต สรรพคุณแก้ริดสีดวง พ่วงประโยชน์ช่วยลดน้ำหนัก          เพชรสังฆาต สมุนไพรไทยที่ไม่ได้มีดีแค่ช่วยระบาย รักษาริด...
10/09/2020

เพชรสังฆาต สรรพคุณแก้ริดสีดวง พ่วงประโยชน์ช่วยลดน้ำหนัก

เพชรสังฆาต สมุนไพรไทยที่ไม่ได้มีดีแค่ช่วยระบาย รักษาริดสีดวงทวารก็ได้ แต่ยังช่วยลดน้ำหนัก และมีประโยชน์ต่อสุขภาพนานับปการ อย่าเพิ่งสบประมาทว่าเป็นแค่ไม้ประดับ ถ้ายังไม่ได้รู้ถึงสรรพคุณ..

ไม่ได้มีดีแค่ช่วยระบาย รักษาริดสีดวงทวารก็ได้ แต่ยังช่วยลดน้ำหนัก และมีประโยชน์ต่อสุขภาพนานัปการ

โกจิเบอร์รี่หรือเก๋ากี่  #ซุปเปอร์ฟูด (Super Food) ชะลอวัย ต้านอนุมูลอิสระ บำรุงผิวและสายตา บำรุงรักษาสุขภาพจากภายในสู่ภ...
07/09/2020

โกจิเบอร์รี่หรือเก๋ากี่ #ซุปเปอร์ฟูด (Super Food) ชะลอวัย ต้านอนุมูลอิสระ บำรุงผิวและสายตา บำรุงรักษาสุขภาพจากภายในสู่ภายนอก
🍒เก๋ากี้หรือโกจิเบอร์รี่ (Gojiberry) เป็นผลไม้ชนิดหนึ่งในตระกูลเบอร์รี่มีต้นกำเนิดในประเทศจีน ทิเบต ดินแดนเทิอกเขาหิมาลัย มีบันทึกในประวัติศาสตร์ย้อนไปถึง 2,000 ปี ที่กล่าวถึงว่าเป็นสมุนไพรส่วนประกอบในตำรับยาแพทย์จีนโบราณ เป็นที่นิยมในกลุ่มชนชั้นสูงในอดีตจัดเป็นสมุนไพรตำรับยาอายุวัฒนะ อีกชนิดหนึ่งรวมถึงสมัยปัจจุบันนี้ยังจัดเป็นซุปเปอร์ฟูด (Super Food) อีกด้วย
ผลจากการวิจัยของ Dr.Earl Mindell กล่าวถึง เก๋ากี้หรือโกจิเบอร์รี่ว่าทรงคุณค่าทางโภชนาการมากที่สุดโดยมีกรดอะมิโน 19 ชนิด มีแร่ธาตุที่ร่างกายต้องการรวม 21 ชนิด ได้แก่ สังกะสี เหล็ก ทองแดง แคลเซียม ฟอสฟอรัส ซิลีเนียม และเจอร์มาเนียม (ทำลายเซลล์มะเร็ง) มีวิตามินซีสูงกว่าส้มถึง 500 เท่า มีวิตามินบี 1 บี 2 บี 6 และวิตามินอี ปรับความดันโลหิตให้เป็นปกติ ฟื้นฟูเซลล์ที่ถูกทำลายจากสารเคมีหรือรังสีให้กลับสู่ภาวะปกติได้เร็วขึ้น มีแอนตี้ออกซิแดนซ์ ต่อต้านอนุมูลอิสระจากการทำลายเซลล์และชะลอความชรามากที่สุดในโลก สรรพคุณและประโยชน์จากเก๋ากี้ที่ส่งผลดีต่อระบบภายในของเรารวมถึงผลดีต่อรูปลักษณ์ภายนอกด้วยมีมากมายดังต่อไปนี้
ป้องกันไขมันอุดตันไขมันส่วนเกินและเบาหวาน
โกจิเบอร์รี่เร่งการเผาผลาญไขมันได้ดีจึงช่วยป้องกันความเสี่ยงในการเป็นไขมันอุดตัน ทำให้ร่างกายสามารถเผาผลาญพลังงานที่มาจากน้ำตาลได้ดีทำให้ลดความเสี่ยงในการเป็นโรคเบาหวานได้ และจากการทดลองใช้สารโพลีแซคคาไรด์ในโกจิเบอร์รี่กับกลุ่มทดลองพบว่าสามารถทำให้ลดระดับน้ำตาลในเลือดได้
ในโกจิเบอร์รี่มีสารโพลีแซคคาไรด์ 4 ชนิด คือ LBP-1 , LBP-2 , LBP-3 , LBP-4 ที่มีส่วนในการลดน้ำหนักร่างกายโดยกระบวนการเปลี่ยนไขมันให้เป็นพลังงาน ทำให้ไม่เกิดไขมันสะสมในร่างกาย ลดโอกาสการเป็นโรคเบาหวานจากการปรับให้น้ำตาลและอินซูลินในเลือดมีความสมดุล และสารดังกล่าวยังสามารถปรับความดันเลือดให้เป็นปกติป้องกันการเกิดโรคอ้วน โรคความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดหัวใจ
บำรุงสมองป้องกันอัลไซเมอร์ คลายเครียด เพิ่มสุขภาวะต่อการหลับนอน
สารสำคัญชนิดหนึ่งในโกจิเบอร์รี่คือ บีเทน (Betaine) มีคุณสมบัติให้เกิดการสร้างสารโคลีน (Choline) เป็นสารประกอบสำคัญสำหรับสมองช่วยเสริมสร้างและพัฒนาสมอง ความจำ จึงมีส่วนป้องกันโรคอัลไซเมอร์
ผลการวิจัยของการดื่มน้ำโกจิเบอร์รี่โดย Amagase H. ต่อระบบการทำงานภายในร่างกายพบว่าการดื่มน้ำโกจิเบอร์รี่ติดต่อกัน 14 วัน ทำให้การนอนหลับดีขึ้น ระบบภูมิคุ้มกันดีขึ้น การเคลื่อนไหวต่าง ๆ ของร่างกายดีขึ้น ความเครียดความกังวลน้อยลงมีสุขภาพจิตที่ดีขึ้น มีผลดีขึ้นต่อความจำระยะสั้น สมาธิ
บำรุงสายตา
โกจิเบอร์รี่อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระปริมาณสูง โดยเฉพาะสารซีแซนทีน ไดปาล์มีเตท (Zeaxanthin Dipalmitate) เป็นสารที่เป็นส่วนประกอบในจอตา ผลจากงานวิจัยมหาวิทยาลัยมิชิแกน สหรัฐอเมริกา พบว่าซีแซนทีนชะลออาการเสื่อมของประสาทตา จอประสาทตา ส่งเสริมการมองเห็นของผู้สูงอายุได้ รวมถึงงานวิจัยของศาสตราจารย์เบซิล มหาวิทยาลัยซิดนีย์ ออสเตรเลีย พบว่าสารเทารีน (Taurine) ในโกจิเบอร์รี่มีผลดีต่อการมองเห็นของผู้ป่วยเบาหวาน ลดความเสี่ยงการเกิดโรคตาบอดสำหรับผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 1 ชนิดที่ 2 ได้ และยับยั้งการตายของเซลล์ในจอประสาทตาได้
ต้านอนุมูลอิสระบำรุงผิวพรรณ ต้านเซลล์มะเร็ง
การวิจัยเกี่ยวกับสารต้านอนุมูลอิสระในโกจิเบอร์รี่พบว่าโกจิเบอร์รี่ 100 กรัม จะมีค่า ORC (Oxygen Radical Absorbance Capacity) สูงถึง 25,300 หน่วย เป็นยาอายุวัฒนะหรือซุปเปอร์ฟูด ที่ชะลอวัย ยับยั้งการเกิดริ้วรอยของผิวพรรณ ดูแลรักษาผิวพรรณให้สวยงาม เปล่งปลั่ง สดใส ไม่หมองคล้ำ มีภูมิต้านทานต่อรังสี UV
วิตามินซีที่มีอยู่มากในโกจิเบอร์รี่ที่มากกว่าส้มถึง 500 เท่า บำรุงผิวพรรณ สร้างเซลล์ผิวใหม่ ชะลอการเกิดริ้วรอยก่อนวัย ยับยั้งการเกิดฝ้าที่เกิดจากเม็ดสีเมลานิน ที่สำคัญยังสร้างคอลลาเจนให้กับเนื้อเยื่อด้วย
และมีผลการศึกษาจากวารสาร Agricultural and Food Chemistry ปี 2008 กล่าวถึงการที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูงมากในโกจิเบอร์รี่จึงสามารถปกป้องเซลล์ร่างกายจากการถูกทำลายด้วยเซลล์มะเร็ง ซ่อมแซมเซลล์ที่เกิดการอักเสบ ปกป้องเซลล์จากความเสื่อมและป้องกันการเกิดเนื้องอกได้ และงานวิจัยเกี่ยวกับประสิทธิภาพของโกจิเบอร์รี่ต่อมะเร็งลำไส้ใหญ่บ่งชี้ว่าสารโพลีแซคคาไรด์โกจิเบอร์รี่อาจเป็นสารต้านมะเร็งได้
จะเห็นได้ว่าเก๋ากี้หรือโกจิเบอร์รี่นี้เป็นสุดยอดอาหาร ซุปเปอร์ฟูดและยาอายุวัฒนะ สำหรับผู้คนในสมัยโบราณนานมาจนถึงปัจจุบัน เป็นอาหารที่มีประโยชน์อย่างมากสำหรับผู้คนในยุคสมัยนี้อย่างยิ่งด้วย ซึ่งดูแลบำรุงสุขภาพผู้คนเราจากระบบการทำงานภายในเรื่องภูมิคุ้มกัน ไขมัน เบาหวาน สมอง ความจำ ส่งผลดีออกมาสู่ภายนอกในเรื่องสายตาการมองเห็น ผิวพรรณและสุขภาพจิตที่ดี นอนหลับง่าย
ซึ่งการรับประทานโกจิเบอร์รี่จากอดีตจนถึงปัจจุบันมีทั้งการนำมาทำเป็นน้ำผลไม้ นำมาเป็นส่วนประกอบในอาหารเช่น ซุป ต้มตุ๋นยาจีน และนำมาเป็นผลไม้อบแห้ง

“พุทราจีน” (Jujube) เป็นอีกหนึ่งพืชผลไม้ที่จัดว่าเป็นสมุนไพรอายุวัฒนะของชาวจีนมาตั้งแต่สมัยโบราณ ถูกพบในประเทศอินเดีย โด...
05/09/2020

“พุทราจีน” (Jujube) เป็นอีกหนึ่งพืชผลไม้ที่จัดว่าเป็นสมุนไพรอายุวัฒนะของชาวจีนมาตั้งแต่สมัยโบราณ ถูกพบในประเทศอินเดีย โดยมีหลวงจีนเดินทางไปปฏิบัติธรรมที่อินเดีย แล้วนำพุทราเข้ามาในประเทศจีน ทำให้เกิดเป็นพุทราจีนขึ้น ต้นพุทราจีนจึงถือว่าเป็นพืชในยุคที่ศาสนาพุทธกำลังเฟื่องฟู ต้นกำเนิดพุทราจีนมาจากทางตอนใต้ของประเทศจีน คนจีนถือว่าพุทราจีนเป็นผลไม้แห่งความอุดมสมบูรณ์ ความร่ำรวย ความเจริญรุ่งเรือง ผลของพุทราจีนช่วยให้พลังงานและความสดชื่น โดดเด่นในด้านของการบำรุงสายตา และบำรุงผิวพรรณให้สวยใส การกินพุทราจีนถือเป็นเคล็ดลับบำรุงผิวของสาวชาวจีนมานานกว่าพันปี พุทราจีนมีชื่อท้องถิ่นหลายชื่อ ทางภาคเหนือเรียกว่า “มะตัน” ทางภาคอีสานเรียกว่า “บักทัน”

พุทราจีนมีหลากหลายพันธุ์ อาทิ พันธุ์พื้นเมือง พันธุ์แอปเปิ้ล (เนื้อสีขาว) พันธุ์บอมเบย์ หรือพันธุ์สาลี่ (เนื้อสีเหลือง) พันธุ์สามรส และพันธุ์เจดีย์ พุทราจีนส่วนใหญ่มีรสหวาน เนื้อกรอบ บางพันธุ์ออกรสเปรี้ยวอมฝาด มีเมล็ดเม็ดเดี่ยวอยู่กลางผล ผลสุกแล้วจะเป็นสีแดงอมเหลือง ผลที่ยังไม่สุกจะเป็นสีเขียวอ่อนๆ พุทราจีนเป็นไม้ยืนต้น มีหนาม ลำต้นขนาดเล็ก ในประเทศไทยมีการเพาะปลูกต้นพุทราจีนมากในจังหวัดสมุทรปราการ

สรรพคุณของ "พุทราจีน" แหล่งรวมแร่ธาตุที่ร่างกายต้องการ
พุทราจีนเป็นแหล่งรวมแร่ธาตุและวิตามินที่ร่างกายต้องการ อุดมไปด้วยวิตามินเอ ที่ช่วยรักษาโรคผิวหนังที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ลดรอยแผลเป็น จุดด่างดำ บำรุงสายตา และยังอุดมไปด้วยวิตามินบี 1 (ไทอะมีน) ที่ช่วยบำรุงประสาท วิตามินบี 2 (ไรโบฟลาวิน) ที่ช่วยบำรุงเล็บและเส้นผม วิตามินบี 3 (ไนอะซิน) ที่ช่วยเผาผลาญไขมันและช่วยเพิ่มพลังงานในการย่อยอาหาร วิตามินบี 6 (ไพริด็อกซิน) ที่ช่วยป้องกันโรคหัวใจและนิ่วในไต และยังมีวิตามินซี ที่ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานของร่างกายให้แข็งแรง แก้ไข้หวัด และยังช่วยบำรุงผิวให้สดใส นอกจากวิตามินเหล่านี้ พุทราจีนยังมีแร่ธาตุที่มีประโยชน์มากมาย อาทิ แคลเซียม ธาตุเหล็ก แมกนีเซียม สังกะสี และฟอสฟอรัส

20 ประโยชน์และสรรพคุณของพุทราจีน
1. พุทราจีนมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยชะลอวัย และเสริมสร้างภูมิต้านทานโรค

2. พุทราจีนบำรุงผิวให้มีสุขภาพดี ลดรอยด่างดำ เสริมสร้างชั้นผิวหนังให้แข็งแรง

3. สรรพคุณของเมล็ดพุทราช่วยลดไข้ แก้หวัด

4. พุทราจีนมีสรรพคุณช่วยขับสารพิษ ขับเหงื่อ ขับปัสสาวะ

5. ประโยชน์ของพุทราจีนช่วยแก้ท้องเสีย แก้อาการถ่ายเหลวเป็นน้ำ

6. พุทราจีนช่วยบำรุงหัวใจ ช่วยป้องกันหลอดเลือดหัวใจอุดตัน

7. พุทราจีนช่วยบำรุงเลือด ทำให้ผิวพรรณมีน้ำมีนวล มีเลือดฝาด

8. สรรพคุณของพุทราจีนช่วยบรรเทาอาการคันจากโรคผิวหนัง

9. พุทราจีนมีประโยชน์ช่วยแก้อาการผื่นคันตามผิวหนัง

10. พุทราจีนช่วยแก้อาการอ่อนเพลียของสตรีหลังคลอดบุตร

11. พุทราจีนเป็นยาอายุวัฒนะ ช่วยให้ฟื้นไข้ หายเหน็ดเหนื่อย

12. พุทราจีนช่วยชะลอกระบวนการเสื่อมสภาพของเซลล์ต่างๆ ในร่างกาย

13. พุทราจีนช่วยต่อต้านเชื้อแบคทีเรียและอาการอักเสบของผิว

14. พุทราจีนสามารถกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวให้มีการซ่อมแซมตัวเอง

15. พุทราจีนช่วยบำรุงผิวพรรณให้กระชับ ลดการอักเสบบริเวณผิวหนัง

16. พุทราจีนช่วยผลัดเซลล์ผิวชั้นนอกที่เสื่อมสภาพ

17. บำรุงประสาท ช่วยลดความเครียด ทำให้สมองปลอดโปร่ง

18. สรรพคุณของพุทราจีนช่วยให้หลับสบาย แก้อาการนอนไม่หลับ

19. ประโยชน์ของพุทราจีนบำรุงสายตา บรรเทาอาการตามัว ฝ้าฟาง

20. พุทราจีนช่วยป้องกันเส้นเลือดแข็งตัว และลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด

ประโยชน์ของพุทราจีน
พุทราจีนเป็นสมุนไพรจีนที่นอกจากจะอุดมไปด้วยสารอาหารที่ทรงคุณค่า นำไปประกอบอาหารคาวหวานได้หลากหลาย อีกทั้งยังถือเป็นผลไม้มงคลที่มีความหมายที่ดีในด้านความอุดมสมบูรณ์ เมนูพุทราจีน ได้แก่ พุทราจีนเชื่อม พุทราจีนแห้ง ไก่ตุ๋นพุทราจีน พุทราจีนต้มหัวหอม รวมไปถึงเครื่องดื่มอย่าง น้ำกระเจี๊ยบแดงพุทราจีน เป็นต้น ความพิเศษของพุทราจีน คือเมื่อนำไปต้มกับสมุนไพรชนิดอื่นๆ จะช่วยส่งเสริมประสิทธิภาพ และช่วยบำรุงร่างกายได้ดี เพราะพุทราจีนมีสรรพคุณทางยาที่ช่วยบำรุงส่วนต่างๆ ของร่างกาย เช่น บำรุงหัวใจ บำรุงเลือด และบำรุงกำลัง

มะตูม ผลไม้สมุนไพร แก้สารพัดโรค“มะตูม” เป็นอีกหนึ่งสมุนไพรไทยที่หลายๆ คนคงจะรู้จักกันเป็นอย่างดี แต่จะมีสักกี่คนที่รู้สร...
05/09/2020

มะตูม ผลไม้สมุนไพร แก้สารพัดโรค
“มะตูม” เป็นอีกหนึ่งสมุนไพรไทยที่หลายๆ คนคงจะรู้จักกันเป็นอย่างดี แต่จะมีสักกี่คนที่รู้สรรพคุณของมะตูม
มะตูม ถูกจัดให้เป็นยาสมุนไพรไทยที่สามารถแก้ได้สารพัดโรค และยังเป็นไม้มงคลอีกด้วย ตามตำราปลูกต้นไม้ในบ้านไทยโบราณ กำหนดให้ปลูกมะตูมเอาไว้ในบริเวณบ้านเพื่อความเป็นสิริมงคลของผู้อยู่อาศัย โดยให้ปลูกทางทิศหรดี (ตะวันตกเฉียงใต้) ของบ้าน มีบางตำราให้ปลูกทางทิศอุดร (เหนือ) ซึ่งท่านอาจเลือกทิศได้ตามความเหมาะสม และยังมีความเชื่อทางไสยศาสตร์ของชาวฮินดู เชื่อว่าไม้มะตูมเป็นไม้ศักดิ์สิทธิ์ ส่วนใบมะตูมเป็นใบไม้ที่ป้องกันเสนียดจัญไรและขับภูตผีปีศาจได้

ประโยชน์ของมะตูม

รักษาเบาหวาน
สำหรับประโยชน์มะตูมในการรักษาเบาหวานนั้น ยังไม่เป็นแน่ชัดว่ามะตูมนั้นสามารถรักษาเบาหวานได้จริงหรือไม่ แต่คนส่วนใหญ่จะเชื่อว่ามะตูมนั้นสามารถรักษาเบาหวานได้ ประเด็นนี้จึงถูกนำไปศึกษากับหนูทดลองที่ป่วยเป็นโรคนี้ ผลปรากฎว่าหนูที่กินเปลือกมะตูมไป 28 วัน มีระดับน้ำตาลในเลือดลดลง และมะตูมยังมีสารสกัดอินซูลิน และ สามารถควบคุมไขมันในเลือดได้

ป้องกันโรคมะเร็ง
หลายๆ คนคงเคยได้ยินเกี่ยวกับสรรพในการรักษาโรคมะเร็งของมะตูม ซึ่งก็มีงานออกมาแล้วว่ามะตูมนั้นสามารถยับยั้งเซลล์มะเร็งต่อมน้ำเหลือง และ มะเร็งระบบประสาทนิวโรบลาสโตมา นอกจากนี้แล้ว การรับประทานมะตูมยังส่งผลดีต่อโรคมะเร็งตับ เนื่องจากมีการทดลองกับหนูที่ป่วยเป็นมะเร็งตับ มีอาการตับอักเสบเลยทดลองด้วยการให้กินสารสกัดมะตูม จึงส่งผลให้การเจริญเติบโตของเนื้อร้ายนั้นลดลง

บรรเทาอาการท้องเสีย
มะตูมนั้นมีสรรพคุณทางยา slotxo หลายชนิดแต่ที่คนส่วนใหญ่ทราบกันดี ก็คงเป็นเรื่องบรรเทาอาการท้องเสีย แต่ไม่เพียงแค่อาการท้องเสียเท่านั้น ท้องอืด ปวดท้อง ลดไข้ ขับเสมหะ และ โรคบิด ก็สามารถบรรเทาอาการได้ เพราะในมะตูมนั้นมีสารสกัดที่ช่วยยับยั้งเชื้อบิดชิเกลล่า และ ยังลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคบิดอีกด้วย

รักษาแผลในกระเพาะอาหาร
สาเหตุส่วนใหญ่ของแผลในกระเพาะอาหารนั้นเกิดจาก การติดเชื้อ การทานเผ็ด หรือ อาหารรสจัด ก็มีส่วนที่ทำให้เป็นแผลในกระเพาะในอาหาร แทงบอลออนไลน์ มะตูมสดนั้นสามารถรักษาแผลในกระเพาะอาหารได้ เพราะมะตูมนั้นมีฤทธิ์ต้านการอักเสบ และ ช่วยสมานแผลได้

10 สรรพคุณของมะตูม

1.มะตูมกับการบำรุงธาตุ ผลที่ยังไม่สุกมากของมะตูมนั้น สามารถนำมาทำเป็นยาบำรุงร่างกาย จะเหมาะอย่างยิ่งสำหรับคนธาตุไฟ

2. มะตูมนั้นเป็นผลไม้ที่ทานได้ทั้งสด และ แห้ง โดยสรรคุณทางยาจะแตกต่างกันออกไป อย่างแบบสด ก็จะช่วยเรื่องของกระเพาะอาหาร การขับถ่าย ขับเสมหะ ถ้าแบบแห้งจะนิยมนำมาต้มเป็นยาบำรุง เช่น พวกรักษาเบาหวาน แก้ร้อนใน ป้องกันโรคมะเร็ง เป็นต้น

3. มะตูมกับการรักษาไข้จับสั่น ทุกส่วนของมะตูมไม่ว่าจะเป็น ลำต้น ราก และเปลือก สามารถช่วยรักษาไข้จับสั่นได้

4.มะตูมช่วยลดความดันโลหิตสูงได้

5.มะตูมนั้นช่วยแก้พิษจากฝี และ ลดอาการปวด อักเสบ ของฝีได้ดี

6.มะตูมนั้นสามารถช่วยขับปัสสาวะ ขับลม และช่วยรักษาโรคลำไส้อักเสบได้

7.มะตูมนั้นถ้านำมาต้มจะช่วยแก้การหายน้ำ และ ทำให้ชุ่มคอ แก้เจ็บคอ
8.มะตูมสามารถรักษาอาการท้องผูกเรื้อรังได้ หากทานเป็นประจำ

9.มะตูมช่วยลดกรดในกระเพาะอาหารและบรรเทาอาการท้องเสียได้ดี

10.มะตูมสามารถนำมาต้มเป็นยาระบาย และ ฆ่าพยาธิได้

“กระเจี๊ยบแดง” สุดยอดสมุนไพร ลดความดัน ไขมัน บำรุงหัวใจ     กระเจี๊ยบแดง ถือเป็นอีกหนึ่งพืชสมุนไพรที่มีประโยชน์ต่อร่างกา...
05/09/2020

“กระเจี๊ยบแดง” สุดยอดสมุนไพร ลดความดัน ไขมัน บำรุงหัวใจ
กระเจี๊ยบแดง ถือเป็นอีกหนึ่งพืชสมุนไพรที่มีประโยชน์ต่อร่างกายเป็นอย่างมาก นิยมปลูกสำหรับนำดอกมาใช้ประโยชน์บริโภค ในรูปแบบเครื่องดื่ม อาหาร กระทั่งเป็นยารักษาโรค ขณะที่ทุกส่วนของต้นก็มากสรรพคุณและประโยชน์
สารพัด ไม่ว่าจะเป็นส่วนดอก ส่วนต้น หรือส่วนใบ ล้วนมากประโยชน์
สรรพคุณของกระเจี๊ยบแดง
คราวนี้เรามาดูสรรพคุณของกระเจี๊ยบแดงกันบ้างดีกว่า กระเจี๊ยบแดง สรรพคุณจะแรงฤทธิ์เหมือนสีที่แจ่มจรัสไหม ตามมาดูกันค่ะ
1. ลดไข้
ในกระเจี๊ยบมีสารพฤกษเคมีที่สำคัญ คือ สารต้านอนุมูลอิสระทั้งสารในกลุ่มฟีนอลิก สารกลุ่มฟลาโวนอยด์ และสารในกลุ่มแอนโธไซยานิน ซึ่งจากข้อมูลทางวิชาการแสดงให้เห็นว่า สารพฤกษเคมีดังกล่าวมีฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระ ลดไข้ และต้านการอักเสบ โดยสรรพคุณของกระเจี๊ยบจะช่วยลดอุณหภูมิในร่างกายให้อยู่ในระดับที่สมดุล พร้อมกำจัดเชื้อไวรัสหรือเชื้อแบคทีเรีย ที่เป็นสาเหตุของไข้หวัดได้อย่างอยู่หมัด ไม่ว่าไข้สูงแค่ไหน แค่ดื่มน้ำกระเจี๊ยบก็ลดไข้ได้แน่นอน
2. ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง ช่วยป้องกันหวัด
เนื่องจากกระเจี๊ยบแดงมีสารแอนโทไซยานิน (Anthocyanin) ซึ่งเป็นสารสีแดงในกลุ่มเดียวกับที่พบในผลไม้อย่างบลูเบอร์รี แต่กระเจี๊ยบแดงจะมีสารชนิดนี้มากกว่าบลูเบอร์รีถึง 50% นอกจากนี้วิตามินซีในกระเจี๊ยบยังมีส่วนช่วยเสริมความแข็งแรงให้ระบบภูมิคุ้มกันร่างกายด้วยนะคะ
3. แก้ไอ ละลายเสมหะ
ในตำรับยาแผนโบราณพบว่าใบกระเจี๊ยบมีฤทธิ์แก้ไอ ละลายเสมหะ ขับเมือกมันในลำคอให้ไหลลงสู่ทวารหนัก ทั้งยังช่วยแก้โรคพยาธิตัวจี๊ดได้อีกต่างหาก
4. ขับปัสสาวะ
มีการศึกษาที่ยืนยันว่า กระเจี๊ยบแดงมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรียในทางเดินปัสสาวะ โดยสารในกระเจี๊ยบแดงจะทำให้ปัสสาวะเป็นกรดจึงช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียในทางเดินปัสสาวะได้
ช่วยรักษาโรคทางเดินปัสสาวะ นิ่วในไต แก้โรคนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ ลดอาการกระเพาะปัสสาวะอักเสบ มีอาการปวดแสบ
โดยใช้กระเจี๊ยบแห้งบดเป็นผงประมาณ 3 กรัม นำมาชงกับน้ำเดือด 1 ถ้วย ใช้ดื่มวันละ 3 ครั้ง ประมาณ 7 วัน หรือจนกว่าจะหาย ซึ่งจากรายงานการวิจัยพบว่า ผู้ป่วยที่ดื่มน้ำกระเจี๊ยบแดงขนาด 3 กรัม ชงกับน้ำเดือด 1 แก้ว ดื่มวันละ 3 ครั้ง เป็นระยะเวลา 1 ปี พบว่าผู้ป่วยกว่า 80% มีปัสสาวะที่ใสขึ้นกว่าเดิม และยังพบว่าปัสสาวะมีความเป็นกรดมากขึ้น จึงช่วยในการฆ่าเชื้อในทางเดินปัสสาวะได้เป็นอย่างดี
5. แก้กระหาย ให้ร่างกายสดชื่น
ดอกกระเจี๊ยบมีรสเปรี้ยว เพราะมีวิตามินซี และกรดซิตริก จึงช่วยขับน้ำลายและแก้กระหาย โดยนำดอกกระเจี๊ยบตากแห้ง ต้มในน้ำเดือดเป็นน้ำกระเจี๊ยบหอมหวานชื่นใจ
6. ช่วยรักษาแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้อักเสบ
ด้วยการใช้ผลแห้งนำมาบดเป็นผง ใช้รับประทานครั้งละ 1 ช้อนโต๊ะแล้วดื่มน้ำตาม วันละ 3-4 ครั้ง, ช่วยรักษาแผลในกระเพาะอาหาร ป้องกันการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร
7. ลดไขมันในเลือด
ส่วนเมล็ดของกระเจี๊ยบแดงมีสรรพคุณช่วยลดไขมันและคอเลสเตอรอลในเลือด โดยนำเมล็ดกระเจี๊ยบตากแห้งมาบดให้เป็นผง จากนั้นนำมาชงกับน้ำร้อนหรือต้มน้ำดื่ม ช่วยลดไขมันในเลือด บำรุงเลือด ขับน้ำดี
8. ป้องกันโรคหัวใจ
สารแอนโธไซยานินที่ทำให้กลีบเลี้ยงของดอกกระเจี๊ยบมีสีแดง เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยทำให้เลือดไม่หนืด ช่วยลดไขมันเลวในเส้นเลือด จึงป้องกันไม่ให้หลอดเลือดแข็งตัว ป้องกันหัวใจขาดเลือด และลดความเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจ โดยนิยมนำกระเจี๊ยบแดงไปต้มกับพุทราจีน เพื่อบำรุงหัวใจ
9. ป้องกันโลหิตจาง
กระเจี๊ยบแดงมีธาตุเหล็ก ซึ่งเป็นแร่ธาตุที่สำคัญของฮีโมโกลบิน อีกทั้งความเป็นกรดของสารพฤกษเคมีในดอกกระเจี๊ยบแดงยังช่วยเพิ่มการดูดซึมและการกระจายแร่ธาตุต่าง ๆ ในร่างกาย ส่งผลให้กระเจี๊ยบแดงช่วยป้องกันภาวะโลหิตจางได้
10. ลดน้ำตาลในเลือด
จากการศึกษากับผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ที่ได้รับชากระเจี๊ยบแดง 3 กรัม ชงกับน้ำร้อน 150 มิลลิลิตร ติดต่อกันเป็นเวลา 1 เดือน พบว่า ระดับน้ำตาลในเลือดของอาสาสมัครลดลงสูงสุดจาก 162.1 เป็น 112.5 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร จากกลไกทางชีวภาพของสารพฤกษเคมีที่ช่วยลดการย่อยและการดูดซึมน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยวและโมเลกุลคู่ผ่านการยับยั้งเอนไซม์แอลฟา-อะไมเลส แลแอลฟา-กลูโคซิเดส
11. ลดความดันโลหิต
จากการศึกษาทางคลินิกในอาสาสมัครที่มีความเสี่ยงภาวะความดันโลหิตสูง โดยให้อาสาสมัครดื่มชากระเจี๊ยบแดง 1.25 กรัม ชงกับน้ำร้อน 240 มิลลิลิตร วันละ 3 ครั้ง ติดต่อกันเป็นเวลา 6 สัปดาห์ พบว่า ความดันโลหิตของอาสาสมัครลดลง 7.2 มิลลิเมตรปรอท (ขณะหัวใจบีบตัว) และ 3.1 มิลลิเมตรปรอท (ขณะหัวใจคลายตัว)
12. ช่วยรักษาไตพิการ
น้ำกระเจี๊ยบมีส่วนช่วยในการป้องกันและรักษาอาการของโรคไตพิการ รวมถึงช่วยป้องกันภาวะไตวายในคนที่มีปัญหาไตผิดปกติด้วย ซึ่งน้ำกระเจี๊ยบจะทำหน้าที่ในการขับเอาสารพิษในไตออกมาในรูปของปัสสาวะ พร้อมกระตุ้นให้ไตมีการทำงานที่ปกติมากขึ้น เพียงแค่ดื่มน้ำกระเจี๊ยบบ่อยๆ เท่านั้น
การศึกษาในคลินิกที่ให้อาสาสมัครดื่มน้ำกระเจี๊ยบแดง 24 กรัมต่อวัน พบว่า สารพฤกษเคมีในกระเจี๊ยบแดงมีส่วนช่วยขับครีเอตินิน กรดยูริก ซิเตรต ทราเทรต แคลเซียม โพแทสเซียม และฟอสเฟต
13. ป้องกันโรคมะเร็ง
ไม่อยากเป็นมะเร็ง แค่ดื่มน้ำกระเจี๊ยบบ่อยๆ เป็นประจำ ก็สามารถป้องกันและยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งได้เป็นอย่างดี เพราะน้ำกระเจี๊ยบมีสารแอนโทไซยานินและสารโพลีฟีนอล ที่มีฤทธิ์ในการยับยั้งเซลล์ผิดปกติ และช่วยสลายเซลล์มะเร็งในระยะแรก หรือหากเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย การดื่มน้ำกระเจี๊ยบก็สามารถบรรเทาและยืดอายุของผู้ป่วยมะเร็งได้เช่นกัน
14. ช่วยชะลอความแก่และต่อต้านอนุมูลอิสระ
การดื่มน้ำกระเจี๊ยบสามารถต่อต้านอนุมูลอิสระและชะลอความแก่ได้อย่างดีเยี่ยม เพราะกระเจี๊ยบแดงมีสารโพลีฟีนอล ชนิด Protocatechuic Acid ที่มีส่วนช่วยในการต่อต้านอนุมูลอิสระ พร้อมลดเลือนริ้วรอยก่อนวัย ให้ผิวดูอ่อนเยาว์ขึ้นอย่างเห็นได้ชัด อีกทั้งในคนที่มีปัญหาผิวแห้งกร้าน ผิวหมองคล้ำจากการโดนแดดเผา น้ำกระเจี๊ยบแดงก็สามารถฟื้นบำรุงผิวให้ดูกระจ่างใสและเรียบเนียนขึ้นได้
15. ช่วยให้ระบบขับถ่าย ทำงานได้ดีขึ้น
สำหรับใครที่มีปัญหาอุจจาระแข็ง ท้องผูกหรือมีปัญหาการขับถ่ายบ่อยๆ การดื่มน้ำกระเจี๊ยบก็ช่วยได้ดีไม่น้อยเลยทีเดียว เพราะกระเจี๊ยบมีสรรพคุณเป็นยาระบายอ่อนๆ ช่วยหล่อลื่นลำไส้ ทำให้อุจจาระนิ่มขึ้น จึงสามารถแก้ปัญหาอาการท้องผูกได้อย่างดีเยี่ยม นอกจากนี้น้ำกระเจี๊ยบยังช่วยแก้อาการอาหารไม่ย่อย และลดอาการจุกเสียดแน่นท้องอีกด้วย
ข้อควรระวังของกระเจี๊ยบแดง
โทษและความเป็นพิษของกระเจี๊ยบแดงก็มีเหมือนกันนะคะ โดยจากการศึกษาพบว่า สารสกัดดอกกระเจี๊ยบแดงในปริมาณที่มากเกินไปมีผลต่อการสร้างอสุจิและจำนวนอสุจิที่ลดลง จึงไม่ควรกินกระเจี๊ยบแดงในปริมาณมาก หรือติดต่อกันเป็นระยะเวลานานเกินไป
นอกจากนี้ ผู้ป่วยที่มีการทำงานของไตบกพร่องก็ไม่ควรทานกระเจี๊ยบแดง รวมทั้งสตรีมีครรภ์และสตรีให้นมบุตร ควรหลีกเลี่ยงการกินกระเจี๊ยบแดงติดต่อกันเป็นเวลานานเช่นกันค่ะ เพราะผลการศึกษาในหนูทดลองพบว่า อาจทำให้ลูกหนูเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ช้าลง
ส่วนกระเจี๊ยบแดงที่ถูกใช้มากที่สุดก็เป็นกลีบเลี้ยงหรือที่หลายคนเข้าใจว่าเป็นส่วนดอกของกระเจี๊ยบนั่นเองค่ะ และนอกจากทำน้ำกระเจี๊ยบดื่มแก้กระหายแล้ว เรายังสามารถนำยอดและใบอ่อนของกระเจี๊ยบมาปรุงอาหาร หรือคั้นเอาสีแดงของกลีบดอกมาแต่งสีอาหารได้ด้วยนะคะ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
กองโภชนาการ กรมอนามัย, ฐานข้อมูลพรรณไม้ องค์การสวนพฤกษศาสตร์, โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชฯ, ศูนย์การศึกษาต่อเนื่องทางเภสัชศาสตร์, สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
- medthai.com › กระเจี๊ยบแดง
- www.pobpad.com › กระเจี๊ยบ-คุณค่าทางโภชนาการ

“กระเจี๊ยบแดง” สุดยอดสมุนไพร ลดความดัน ไขมัน บำรุงหัวใจ     กระเจี๊ยบแดง ถือเป็นอีกหนึ่งพืชสมุนไพรที่มีประโยชน์ต่อร่างกา...
05/09/2020

“กระเจี๊ยบแดง” สุดยอดสมุนไพร ลดความดัน ไขมัน บำรุงหัวใจ
กระเจี๊ยบแดง ถือเป็นอีกหนึ่งพืชสมุนไพรที่มีประโยชน์ต่อร่างกายเป็นอย่างมาก นิยมปลูกสำหรับนำดอกมาใช้ประโยชน์บริโภค ในรูปแบบเครื่องดื่ม อาหาร กระทั่งเป็นยารักษาโรค ขณะที่ทุกส่วนของต้นก็มากสรรพคุณและประโยชน์
สารพัด ไม่ว่าจะเป็นส่วนดอก ส่วนต้น หรือส่วนใบ ล้วนมากประโยชน์
สรรพคุณของกระเจี๊ยบแดง
คราวนี้เรามาดูสรรพคุณของกระเจี๊ยบแดงกันบ้างดีกว่า กระเจี๊ยบแดง สรรพคุณจะแรงฤทธิ์เหมือนสีที่แจ่มจรัสไหม ตามมาดูกันค่ะ
1. ลดไข้
ในกระเจี๊ยบมีสารพฤกษเคมีที่สำคัญ คือ สารต้านอนุมูลอิสระทั้งสารในกลุ่มฟีนอลิก สารกลุ่มฟลาโวนอยด์ และสารในกลุ่มแอนโธไซยานิน ซึ่งจากข้อมูลทางวิชาการแสดงให้เห็นว่า สารพฤกษเคมีดังกล่าวมีฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระ ลดไข้ และต้านการอักเสบ โดยสรรพคุณของกระเจี๊ยบจะช่วยลดอุณหภูมิในร่างกายให้อยู่ในระดับที่สมดุล พร้อมกำจัดเชื้อไวรัสหรือเชื้อแบคทีเรีย ที่เป็นสาเหตุของไข้หวัดได้อย่างอยู่หมัด ไม่ว่าไข้สูงแค่ไหน แค่ดื่มน้ำกระเจี๊ยบก็ลดไข้ได้แน่นอน
2. ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง ช่วยป้องกันหวัด
เนื่องจากกระเจี๊ยบแดงมีสารแอนโทไซยานิน (Anthocyanin) ซึ่งเป็นสารสีแดงในกลุ่มเดียวกับที่พบในผลไม้อย่างบลูเบอร์รี แต่กระเจี๊ยบแดงจะมีสารชนิดนี้มากกว่าบลูเบอร์รีถึง 50% นอกจากนี้วิตามินซีในกระเจี๊ยบยังมีส่วนช่วยเสริมความแข็งแรงให้ระบบภูมิคุ้มกันร่างกายด้วยนะคะ
3. แก้ไอ ละลายเสมหะ
ในตำรับยาแผนโบราณพบว่าใบกระเจี๊ยบมีฤทธิ์แก้ไอ ละลายเสมหะ ขับเมือกมันในลำคอให้ไหลลงสู่ทวารหนัก ทั้งยังช่วยแก้โรคพยาธิตัวจี๊ดได้อีกต่างหาก
4. ขับปัสสาวะ
มีการศึกษาที่ยืนยันว่า กระเจี๊ยบแดงมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรียในทางเดินปัสสาวะ โดยสารในกระเจี๊ยบแดงจะทำให้ปัสสาวะเป็นกรดจึงช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียในทางเดินปัสสาวะได้
ช่วยรักษาโรคทางเดินปัสสาวะ นิ่วในไต แก้โรคนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ ลดอาการกระเพาะปัสสาวะอักเสบ มีอาการปวดแสบ
โดยใช้กระเจี๊ยบแห้งบดเป็นผงประมาณ 3 กรัม นำมาชงกับน้ำเดือด 1 ถ้วย ใช้ดื่มวันละ 3 ครั้ง ประมาณ 7 วัน หรือจนกว่าจะหาย ซึ่งจากรายงานการวิจัยพบว่า ผู้ป่วยที่ดื่มน้ำกระเจี๊ยบแดงขนาด 3 กรัม ชงกับน้ำเดือด 1 แก้ว ดื่มวันละ 3 ครั้ง เป็นระยะเวลา 1 ปี พบว่าผู้ป่วยกว่า 80% มีปัสสาวะที่ใสขึ้นกว่าเดิม และยังพบว่าปัสสาวะมีความเป็นกรดมากขึ้น จึงช่วยในการฆ่าเชื้อในทางเดินปัสสาวะได้เป็นอย่างดี
5. แก้กระหาย ให้ร่างกายสดชื่น
ดอกกระเจี๊ยบมีรสเปรี้ยว เพราะมีวิตามินซี และกรดซิตริก จึงช่วยขับน้ำลายและแก้กระหาย โดยนำดอกกระเจี๊ยบตากแห้ง ต้มในน้ำเดือดเป็นน้ำกระเจี๊ยบหอมหวานชื่นใจ
6. ช่วยรักษาแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้อักเสบ
ด้วยการใช้ผลแห้งนำมาบดเป็นผง ใช้รับประทานครั้งละ 1 ช้อนโต๊ะแล้วดื่มน้ำตาม วันละ 3-4 ครั้ง, ช่วยรักษาแผลในกระเพาะอาหาร ป้องกันการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร
7. ลดไขมันในเลือด
ส่วนเมล็ดของกระเจี๊ยบแดงมีสรรพคุณช่วยลดไขมันและคอเลสเตอรอลในเลือด โดยนำเมล็ดกระเจี๊ยบตากแห้งมาบดให้เป็นผง จากนั้นนำมาชงกับน้ำร้อนหรือต้มน้ำดื่ม ช่วยลดไขมันในเลือด บำรุงเลือด ขับน้ำดี
8. ป้องกันโรคหัวใจ
สารแอนโธไซยานินที่ทำให้กลีบเลี้ยงของดอกกระเจี๊ยบมีสีแดง เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยทำให้เลือดไม่หนืด ช่วยลดไขมันเลวในเส้นเลือด จึงป้องกันไม่ให้หลอดเลือดแข็งตัว ป้องกันหัวใจขาดเลือด และลดความเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจ โดยนิยมนำกระเจี๊ยบแดงไปต้มกับพุทราจีน เพื่อบำรุงหัวใจ
9. ป้องกันโลหิตจาง
กระเจี๊ยบแดงมีธาตุเหล็ก ซึ่งเป็นแร่ธาตุที่สำคัญของฮีโมโกลบิน อีกทั้งความเป็นกรดของสารพฤกษเคมีในดอกกระเจี๊ยบแดงยังช่วยเพิ่มการดูดซึมและการกระจายแร่ธาตุต่าง ๆ ในร่างกาย ส่งผลให้กระเจี๊ยบแดงช่วยป้องกันภาวะโลหิตจางได้
10. ลดน้ำตาลในเลือด
จากการศึกษากับผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ที่ได้รับชากระเจี๊ยบแดง 3 กรัม ชงกับน้ำร้อน 150 มิลลิลิตร ติดต่อกันเป็นเวลา 1 เดือน พบว่า ระดับน้ำตาลในเลือดของอาสาสมัครลดลงสูงสุดจาก 162.1 เป็น 112.5 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร จากกลไกทางชีวภาพของสารพฤกษเคมีที่ช่วยลดการย่อยและการดูดซึมน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยวและโมเลกุลคู่ผ่านการยับยั้งเอนไซม์แอลฟา-อะไมเลส แลแอลฟา-กลูโคซิเดส
11. ลดความดันโลหิต
จากการศึกษาทางคลินิกในอาสาสมัครที่มีความเสี่ยงภาวะความดันโลหิตสูง โดยให้อาสาสมัครดื่มชากระเจี๊ยบแดง 1.25 กรัม ชงกับน้ำร้อน 240 มิลลิลิตร วันละ 3 ครั้ง ติดต่อกันเป็นเวลา 6 สัปดาห์ พบว่า ความดันโลหิตของอาสาสมัครลดลง 7.2 มิลลิเมตรปรอท (ขณะหัวใจบีบตัว) และ 3.1 มิลลิเมตรปรอท (ขณะหัวใจคลายตัว)
12. ช่วยรักษาไตพิการ
น้ำกระเจี๊ยบมีส่วนช่วยในการป้องกันและรักษาอาการของโรคไตพิการ รวมถึงช่วยป้องกันภาวะไตวายในคนที่มีปัญหาไตผิดปกติด้วย ซึ่งน้ำกระเจี๊ยบจะทำหน้าที่ในการขับเอาสารพิษในไตออกมาในรูปของปัสสาวะ พร้อมกระตุ้นให้ไตมีการทำงานที่ปกติมากขึ้น เพียงแค่ดื่มน้ำกระเจี๊ยบบ่อยๆ เท่านั้น
การศึกษาในคลินิกที่ให้อาสาสมัครดื่มน้ำกระเจี๊ยบแดง 24 กรัมต่อวัน พบว่า สารพฤกษเคมีในกระเจี๊ยบแดงมีส่วนช่วยขับครีเอตินิน กรดยูริก ซิเตรต ทราเทรต แคลเซียม โพแทสเซียม และฟอสเฟต
13. ป้องกันโรคมะเร็ง
ไม่อยากเป็นมะเร็ง แค่ดื่มน้ำกระเจี๊ยบบ่อยๆ เป็นประจำ ก็สามารถป้องกันและยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งได้เป็นอย่างดี เพราะน้ำกระเจี๊ยบมีสารแอนโทไซยานินและสารโพลีฟีนอล ที่มีฤทธิ์ในการยับยั้งเซลล์ผิดปกติ และช่วยสลายเซลล์มะเร็งในระยะแรก หรือหากเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย การดื่มน้ำกระเจี๊ยบก็สามารถบรรเทาและยืดอายุของผู้ป่วยมะเร็งได้เช่นกัน
14. ช่วยชะลอความแก่และต่อต้านอนุมูลอิสระ
การดื่มน้ำกระเจี๊ยบสามารถต่อต้านอนุมูลอิสระและชะลอความแก่ได้อย่างดีเยี่ยม เพราะกระเจี๊ยบแดงมีสารโพลีฟีนอล ชนิด Protocatechuic Acid ที่มีส่วนช่วยในการต่อต้านอนุมูลอิสระ พร้อมลดเลือนริ้วรอยก่อนวัย ให้ผิวดูอ่อนเยาว์ขึ้นอย่างเห็นได้ชัด อีกทั้งในคนที่มีปัญหาผิวแห้งกร้าน ผิวหมองคล้ำจากการโดนแดดเผา น้ำกระเจี๊ยบแดงก็สามารถฟื้นบำรุงผิวให้ดูกระจ่างใสและเรียบเนียนขึ้นได้
15. ช่วยให้ระบบขับถ่าย ทำงานได้ดีขึ้น
สำหรับใครที่มีปัญหาอุจจาระแข็ง ท้องผูกหรือมีปัญหาการขับถ่ายบ่อยๆ การดื่มน้ำกระเจี๊ยบก็ช่วยได้ดีไม่น้อยเลยทีเดียว เพราะกระเจี๊ยบมีสรรพคุณเป็นยาระบายอ่อนๆ ช่วยหล่อลื่นลำไส้ ทำให้อุจจาระนิ่มขึ้น จึงสามารถแก้ปัญหาอาการท้องผูกได้อย่างดีเยี่ยม นอกจากนี้น้ำกระเจี๊ยบยังช่วยแก้อาการอาหารไม่ย่อย และลดอาการจุกเสียดแน่นท้องอีกด้วย
ข้อควรระวังของกระเจี๊ยบแดง
โทษและความเป็นพิษของกระเจี๊ยบแดงก็มีเหมือนกันนะคะ โดยจากการศึกษาพบว่า สารสกัดดอกกระเจี๊ยบแดงในปริมาณที่มากเกินไปมีผลต่อการสร้างอสุจิและจำนวนอสุจิที่ลดลง จึงไม่ควรกินกระเจี๊ยบแดงในปริมาณมาก หรือติดต่อกันเป็นระยะเวลานานเกินไป
นอกจากนี้ ผู้ป่วยที่มีการทำงานของไตบกพร่องก็ไม่ควรทานกระเจี๊ยบแดง รวมทั้งสตรีมีครรภ์และสตรีให้นมบุตร ควรหลีกเลี่ยงการกินกระเจี๊ยบแดงติดต่อกันเป็นเวลานานเช่นกันค่ะ เพราะผลการศึกษาในหนูทดลองพบว่า อาจทำให้ลูกหนูเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ช้าลง
ส่วนกระเจี๊ยบแดงที่ถูกใช้มากที่สุดก็เป็นกลีบเลี้ยงหรือที่หลายคนเข้าใจว่าเป็นส่วนดอกของกระเจี๊ยบนั่นเองค่ะ และนอกจากทำน้ำกระเจี๊ยบดื่มแก้กระหายแล้ว เรายังสามารถนำยอดและใบอ่อนของกระเจี๊ยบมาปรุงอาหาร หรือคั้นเอาสีแดงของกลีบดอกมาแต่งสีอาหารได้ด้วยนะคะ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก
กองโภชนาการ กรมอนามัย, ฐานข้อมูลพรรณไม้ องค์การสวนพฤกษศาสตร์, โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชฯ, ศูนย์การศึกษาต่อเนื่องทางเภสัชศาสตร์, สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
- medthai.com › กระเจี๊ยบแดง
- www.pobpad.com › กระเจี๊ยบ-คุณค่าทางโภชนาการ

ที่อยู่

Ban Pak Kret

เบอร์โทรศัพท์

+66868759888

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ สมุนไพรเพื่อสุขภาพ By Piyamatผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ การปฏิบัติ

ส่งข้อความของคุณถึง สมุนไพรเพื่อสุขภาพ By Piyamat:

แชร์

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram

Our Story

จำหน่ายสมุนไพร ลดอาการปวด บวม อักเสบของกล้ามเนิ้อ เส้นเอ็น ความดัน บำรุงหัวใจ สมอง ลดไขมันในเลือด ลดหิว สลายไขมัน ฯลฯ