บ้านยาวรรณลดา

บ้านยาวรรณลดา จำหน่ายยาแผนปัจจุบัน อาหารเสริม สม? จำหน่ายยาแผนปัจจุบัน อาหารเสริม สมุนไพร เวชสำอางและอุปกรณ์ทางการแพทย์

19/10/2025

อย. ร่วมขับเคลื่อนนโยบายกระทรวงสาธารณสุข เพื่อรณรงค์ให้ประชาชนรอบรู้เพื่ออยู่อย่างมีคุณภาพชีวิต

ยาชุด อาจก่อให้เกิดอันตราย อย่างไรได้บ้าง ?

1. อาจลักลอบผสมสเตียรอยด์ (เกิดผลข้างเคียง เช่น อาการบวมน้ำ กระดูกพรุน กระเพาะอาหารทะลุ)
2. อาจมีตัวยาซ้ำซ้อนกัน ทำให้ได้รับยาเกินขนาด
3. อาจมีฤทธิ์ยาเสริมกัน ทำให้เกิดอันตรายจากยาเพิ่มขึ้น
4. อาจมียาที่ต้านฤทธิ์กัน ทำให้รักษาไม่ได้ผลเต็มที่

ใช้ยาอย่างปลอดภัยควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรทุกครั้งก่อนใช้

#อย #ยาชุด #ผลิตภัณฑ์ยา #สเตียรอยด์ #ยาซ้ำซ้อน #แพทย์ #เภสัชกร #ต้านฤทธิ์ #อันตราย #ผู้บริโภค

05/10/2025

คนชอบสับสนระหว่างเกาต์กับรูมาตอยด์มากๆ เพราะมันก็ข้ออักเสบเหมือนกัน สรุปแล้วมันต่างกันตรงไหน? เดี๋ยวแยกประเด็นให้ดูเลย


🔴เกาต์: เม็ดเลือดขาว กินผลึกยูริก ⮕ ปล่อยสารอักเสบ
🔵รูมาตอยด์: เม็ดเลือดขาว กิน โปรตีนพวกเดียวกันเอง (Citrullinated protein: ขอย่อว่า CP) ⮕ ปล่อยสารอักเสบ


🔴เกาต์: ผิดที่ยูริกตกตะกอน เม็ดเลือดขาวกินไปตามหน้าที่ เพราะมันคือสิ่งแปลกปลอมจริงๆ
🔵รูมาตอยด์: ผิดที่เม็ดเลือดขาว ไปจดจำโปรตีน CP ว่าเป็นเชื้อโรค


🔴เกาต์: มักอักเสบทีละข้อ คือข้อที่โดนผลึกตกสะสมมากๆ
🔵รูมาตอยด์: มักอักเสบหลายข้อ และเป็นสองข้างสมมาตรกัน เพราะภูมิคุ้มกันมันอาละวาดเป็นช่วงๆ แล้วทำทุกข้อที่มีโปรตีน CP เยอะ


มือ+นิ้ว ผิดรูปได้ทั้งสองโรค แตกต่างกัน
🔴เกาต์: ผลึกยูริก ก่อนอกข้อ (โทฟัส) ทำลายโครงสร้างรอบข้อ จนผิดรูป
🔵รูมาตอยด์: อักเสบจนทำลายกระดูก+เอ็นรอบๆ ทำให้เอ็นเสียหายแบบจำเพาะ เช่น นิ้วผิดรูปแบบคอหงส์/หรือแบบBoutonniere


🔴เกาต์: มักเจอในชาย เพราะชายมีระบบภูมิคุ้มกันแนวหน้าดุดัน ไล่กินผลึกรุนแรง
🔵รูมาตอยด์: มักเจอในหญิง เพราะหญิงมีการประสานระบบภูมิคุ้มกันแบบจำเพาะ ได้เร็วและเสถียร B cell ที่ผลิตแอนติบอดีใส่พวกเดียวกันเอง อยู่รอดได้มากกว่า


🔴พอเกาต์ผิดที่ยูริก การรักษาจึงมุ่งเน้นที่ควบคุมยูริก
🔵ส่วนรูมาตอยด์ผิดที่ตัวภูมิเลย การรักษาจึงมุ่งเน้นที่กดภูมิ

03/10/2025

ยานี้เรียกว่าอะไร ยาที่บางคนมักจะขอเวลาเจ็บคอ

❌ ยาแก้อักเสบ
❌ ยาแก้เจ็บคอ
✅ ยาปฏิชีวนะ ชื่อ อะมอกซีซิลิน (Amoxicillin)


เพราะมันออกฤทธิ์ยับยั้งการสร้างผนังเซลล์ของเชื้อแบคทีเรีย ทำให้แบคทีเรียถึงแก่กรรม เพราะน้ำแพร่เข้าจนตัวแตก แต่ทำอะไรไวรัสไม่ได้เลย


ส่วนยาแก้อักเสบจริงๆ น่ะ คือยากลุ่ม NSAIDs (Non-steroidal anti-inflammatory drugs) เช่น Ibuprofen, Mefenamic acid, Diclofenac(Voltar**) ซึ่งมักจะเรียกในชื่อยาแก้ปวด


เพราะมันออกฤทธิ์ “ยับยั้ง” การสร้างสารชื่อ prostaglandin
ซึ่งสารนี้ทำให้เนื้อเยื่อเกิดการอักเสบและเกิดการปวดด้วยนั่นเอง


ดังนั้นการใช้อย่างนี้ต้องมั่นใจว่า เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียจริงๆ โดยเฉพาะอาการเจ็บคอส่วนใหญ่มักเกิดจากเชื้อไวรัส บางทีก็ไม่เกี่ยวเลย ใช้เสียงเยอะจากไปคอนเสิร์ตอะไรแบบนี้

เพราะการใช้ยาปฏิชีวนะมากเกินความจำเป็น จะทำให้ร่างกายมีเชื้อดื้อยามากขึ้น เวลาติดเชื้อขึ้นมา จะหายาปฏิชีวนะจัดการยากขึ้น

แถมยังทำให้แบคทีเรียในลำไส้ตัวดีๆ ล้มตๅยไปด้วย ทำให้ตัวร้ายๆ ที่เหลืออยู่ ก่อความรุนแรงได้ เช่น สร้างสารอักเสบปั่นป่วนร่างกาย หรือถ้าซวยหนักคือ ยืดลำไส้ใหญ่และทำลายลำไส้เลย (Pseudomembranous colitis)

24/09/2025

#แมลงก้นกระดก / แมลงน้ำกรด / แมลงเฟรชชี่ / ด้วงก้นกระดก / ด้วงก้นงอน
เป็นชื่อเรียกหนึ่งของแมลงที่มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Paederus fuscipes ซึ่งเป็นแมลงขนาดเล็กประมาณ 7-8 มม. ลำตัวมีสีส้มสลับดำ มักอาศัยในเขตร้อนชื้น พบมากในช่วงฤดูฝนโดยแมลงจะชอบออกมาเล่นกับไฟตามบ้านเรือน
แม้จะเห็นตัวเล็ก ๆ แบบนี้ แต่พิษร้ายแรงมาก แมลงจะปล่อยสารพิษชื่อ ซึ่งมีฤทธิ์ระคายเคืองกับผิวหนัง ทำลายเนื้อเยื่อบริเวณที่โดน (บางแหล่งอ้างอิงกล่าวว่าพิษของมันอาจจะร้ายแรงกว่าพิษของงูเห่าด้วยซ้ำ) ทำให้มีอาการแสบร้อน คัน เป็นรอยไหม้และตุ่มน้ำพองได้ คนที่แพ้พิษของแมลงอาจจะทำให้มีไข้ คลื่นไส้ อาเจียน ได้ และหากเข้าตาก็จะทำให้ตาบอดได้เลย
อาการผื่นจะเกิดขึ้นภายหลังสัมผัสโดนในช่วง 24 ชั่วโมงและหากเป็นตามรอยพับแขน คอ หรือบริเวณผิวหนังที่ประกบกัน ก็จะเกิดผื่นบริเวณนั้นๆด้วย (kissing lesion) จากนั้น 2-3 วันจะเริ่มมีหนองเกิดขึ้น และตกสะเก็ดภายใน 7-10 วัน
เมื่อโดนพิษจากแมลงก้นกระดก สิ่งที่ควรทำคือ
รีบล้างด้วยน้ำเปล่า น้ำสบู่หรือน้ำเกลือล้างแผล
ประคบเย็นบริเวณที่โดน
หากแผลเล็ก สามารถหายได้เองใน 2-3 วันโดยไม่ต้องใช้ยา
หากมีอาการมาก แสบ แดง พุพอง ปวด ควรรีบไปพบแพทย์
ควรระวังการติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำบริเวณแผล โดยปกติควรทำความสะอาดแผลด้วยน้ำเกลือ ใส่ยาทาแผลชนิดฆ่าเชื้อ/สเตียรอยด์ลดอาการอักเสบของแผล และอาจะใช้ยาปฏิชีวนะหรือยาแก้ปวดร่วมในบางกรณีตามการพิจารณาของแพทย์
หลังจากหายแล้วอาจทิ้งรอยไว้ซักระยะหนึ่ง แต่จะค่อยๆจางไปเอง มักไม่ทำให้เกิดแผลเป็น
เมื่อพบเจอแมลงชนิดนี้ไม่ควรจับมาเล่นหรือสัมผัสโดนตัวของแมลงเด็ดขาด ควรเป่า สะบัดออก หรือหาถุงมาจับแมลง ตรวจสอบเสื้อผ้า หมอน มุ้งผ้าห่ม เสมอว่าไม่มีแมลงก้นกระดกแฝงตัวอยู่ สวมเสื้อผ้ามิดชิดเพราะแมลงมักจะเกาะบริเวณนอกร่มผ้าและปิดไฟดวงที่ไม่จำเป็นเพราะแมลงชอบออกมาเล่นกับหลอดไฟ

20/09/2025

วิตามิน D ตรวจเลือดก่อน ?
หรือแค่กินเลยก็ได้ แล้วใครบ้างที่ควรเสริม?
หลายคนชอบถามผมว่า
"อยากเริ่มกินวิตามิน D ต้องตรวจเลือดดูก่อนไหมครับหมอ?"
ถ้าคำตอบแบบเดิมคือ “แล้วแต่กรณี” แต่วันนี้มีข้อมูลใหม่ที่อาจเปลี่ยนแนวคิดนี้เลยครับ
เพราะ Endocrine Society เพิ่งออกคำแนะนำใหม่ล่าสุด (เมษายน 2025) ที่น่าสนใจมาก
โดยบอกว่า บางกลุ่มสามารถเสริมวิตามิน D ได้เลย โดยไม่ต้องตรวจเลือดก่อน
อาจดูขัดกับสิ่งที่เคยได้ยิน แต่แนวทางนี้อิงจากงานวิจัยหลายชิ้นที่สะสมมาตลอดหลายปี
ผมสรุปให้เข้าใจง่ายใน 5 ข้อว่า
ใครบ้างที่ควรเริ่มเสริม, เสริมเท่าไหร่, และจำเป็นต้องตรวจเลือดหรือไม่?👇
1. เด็ก 1–18 ปี ควรเสริมวิตามินดีเพื่อกันกระดูกอ่อน + ลดหวัด
เด็กในวัยที่พูดมา ยังเสี่ยง “โรคกระดูกอ่อน” ได้ ถ้าขาดวิตามินดี
การเสริมวิตามินดีช่วยลดปัญหานี้ และอาจลดการติดเชื้อทางเดินหายใจด้วย
• ขนาดที่ใช้ในงานวิจัย: 1,200 IU/วัน
• DRI ตามปกติ: 600 IU/วัน
2. ผู้สูงอายุ 75 ปีขึ้นไป เสริมเพื่อ “ลดโอกาสเสียชีวิต”
วิตามินดีอาจช่วยให้ร่างกายรับมือกับโรคต่างๆ ได้ดีขึ้นในผู้สูงอายุ
โดยเฉพาะกลุ่มที่ออกแดดน้อยหรือกินอาหารไม่หลากหลาย
•ขนาดที่ใช้ในงานวิจัย: 900 IU/วัน
• DRI: 800 IU/วัน
3. หญิงตั้งครรภ์ เสริมเพื่อปกป้องทั้งแม่และลูก
คำแนะนำนี้อาจทำให้หลายคนแปลกใจ เพราะบอกว่า หญิงตั้งครรภ์ควรได้รับวิตามินดีเสริมเพิ่มเติมทุกคน
โดยไม่ต้องตรวจเลือดก่อน ซึ่งจากงานวิจัยหลายชิ้นพบว่า อาจช่วยลดความเสี่ยงต่อ
•ครรภ์เป็นพิษ
•การเสียชีวิตในครรภ์
•คลอดก่อนกำหนด
•ทารกน้ำหนักน้อย
•และการเสียชีวิตของทารกแรกเกิด
ขนาดที่ศึกษา: 2,500 IU/วัน
4. คนที่เป็นภาวะก่อนเบาหวาน (Prediabetes) เสริมเพื่อชะลอเบาหวาน
ใครที่หมอบอกว่า “น้ำตาลยังไม่ถึงขั้นเบาหวานนะ แต่ระวังไว้หน่อย” นี่แหละครับคือกลุ่มภาวะก่อนเป็นเบาหวาน
ซึ่งคำแนะนำใหม่นี้ชี้ว่า การเสริมวิตามินดีอาจช่วยชะลอการเข้าสู่โรคเบาหวานชนิดที่ 2 ได้
• ขนาดที่ศึกษา: 3,500 IU/วัน
• ปริมาณแนะนำทั่วไป: ไม่เกิน 1,000 IU/วัน
5. คนทั่วไปที่สุขภาพดี “ไม่ต้องตรวจเลือด” แค่ได้ DRI ก็พอ
หไม่มีความจำเป็นต้องตรวจระดับวิตามินดีในเลือดเป็นประจำ
เพียงแค่ได้รับตามที่แนะนำในแต่ละช่วงอายุ ก็เพียงพอแล้ว
• อายุ 1–70 ปี: 600 IU/วัน
• อายุ 70 ปีขึ้นไป: 800 IU/วัน
ถ้าใครอยู่ในกลุ่มที่ผมพูดมาข้างต้น สามารถเริ่มเสริมวิตามิน D ได้เลย
โดยไม่ต้องตรวจเลือดก่อน
ถ้าเสริมในขนาดที่ปลอดภัยและตามคำแนะนำที่มีข้อมูลรองรับ
ก็ถือว่าเป็นการดูแลสุขภาพเชิงป้องกันที่ดีครับ
ใครมีลูกเล็ก ผู้ใหญ่ในบ้าน หรือกำลังตั้งครรภ์
อย่าลืมแชร์โพสต์นี้ให้เขาด้วยนะครับ ใครมีคำถามคอมเมนต์ไว้ได้เลยนะครับ

14/09/2025

🌡️🧪. 70% alcohol (เช่น ethyl alcohol, isopropyl alcohol) และ 2% chlorhexidine ต่างกันทั้งในเรื่อง กลไกการออกฤทธิ์, ความแรง, และ การใช้งาน ดังนี้

🔬 1. กลไกการออกฤทธิ์
• 70% Alcohol
• ทำลายผนังเซลล์จุลชีพ → ทำให้โปรตีนเสียสภาพ (protein denaturation)
• ออกฤทธิ์รวดเร็ว (ภายในไม่กี่วินาที)
• มีประสิทธิภาพสูงต่อ แบคทีเรียแกรมบวก, แกรมลบ, ไวรัสบางชนิด
• ไม่ค่อยมีฤทธิ์ต่อ สปอร์, เชื้อรา, ไวรัสไม่มีเยื่อหุ้ม (non-enveloped virus)
• 2% Chlorhexidine
• จับกับผนังเซลล์ → ทำให้รั่วซึมและเสียสมดุล
• ออกฤทธิ์ช้ากว่า alcohol แต่ ออกฤทธิ์ยาวนาน (residual effect) อยู่ได้หลายชั่วโมง
• มีประสิทธิภาพต่อ แกรมบวกสูงกว่าแกรมลบ แต่ยังครอบคลุมเชื้อรา และไวรัสบางชนิด
• ไม่ทำลายสปอร์

💡 2. ระยะเวลาและความคงทน
• Alcohol: ฆ่าเชื้อได้เร็ว แต่ หมดฤทธิ์ทันที เมื่อแห้งหรือระเหย
• Chlorhexidine: ออกฤทธิ์นานกว่า (เพราะจับกับโปรตีนบนผิวหนัง) → เหมาะสำหรับการป้องกันการเจริญเติบโตของเชื้อในระยะยาว

🏥 3. การใช้งานทางคลินิก
• 70% Alcohol
• ใช้เช็ดผิวหนัง ก่อนฉีดยา / เจาะเลือด / ทำหัตถการเล็กน้อย
• ใช้ทำความสะอาดอุปกรณ์, พื้นผิว
• ไม่เหมาะสำหรับใช้ในบริเวณที่มีบาดแผลใหญ่เพราะแสบและทำให้เนื้อเยื่อเสียหายได้
• 2% Chlorhexidine
• ใช้เตรียมผิวหนัง ก่อนผ่าตัด, เจาะ central line, ทำหัตถการใหญ่
• ใช้เป็นน้ำยาบ้วนปาก (แต่ความเข้มข้นต่ำกว่าคือ 0.12–0.2%)
• ใช้ฆ่าเชื้อบริเวณผิวหนังที่ต้องการการป้องกันยาวนาน

⚖️ 4. ข้อดี–ข้อเสีย
• Alcohol
✅ ฆ่าเชื้อเร็ว
❌ ไม่มีฤทธิ์ตกค้าง, แห้งแล้วหมดผล, ระคายเคืองผิว
• Chlorhexidine
✅ ออกฤทธิ์ยาวนาน, ลดโอกาสติดเชื้อหลังหัตถการ
❌ ออกฤทธิ์ช้ากว่า, อาจทำให้แพ้/ระคายเคือง, ไม่คุมเชื้อบางชนิดได้ดีเท่า alcohol

👉 ดังนั้นในทางปฏิบัติ มักใช้ร่วมกัน เช่น 2% chlorhexidine in 70% alcohol (chlora-prep) เพราะได้ทั้ง การฆ่าเชื้อเร็วจาก alcohol และ การป้องกันตกค้างจาก chlorhexidine

09/09/2025

⚠️ FDA ออกคำเตือนใหม่เกี่ยวกับยาต้านภูมิแพ้ Cetirizine และ Levocetirizine

อ่านรายละเอียดเชิงลึกและงานวิจัยฉบับเต็มได้ที่นี่:
https://ath1.short.gy/DA6u9P

**ข้อมูลนี้จัดทำขึ้นมาสำหรับแบ่งปันความรู้กับ บุคลากรทางการแพทย์ และผู้เชี่ยวชาญทางสุขภาพเท่านั้น หากสงสัยกรุณาปรึกษาแพทย์ หรือเภสัชกร**

แม้จะเป็นยาที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในการรักษา ลมพิษ (urticaria), โรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ (allergic rhinitis) และอาการคันจากหลายภาวะ แต่รายงานล่าสุดพบว่า การหยุดยาอย่างกะทันหันหลังใช้ต่อเนื่องนาน (หลายเดือน–หลายปี) อาจทำให้เกิด withdrawal pruritus หรืออาการคันรุนแรง ซึ่งบางรายกระทบถึงขั้นใช้ชีวิตประจำวันไม่ได้

📌 สิ่งที่ข้อมูลการศึกษา FDA พบ

รายงานเคสทั่วโลกกว่า 200 เคส

เกือบทั้งหมดใช้ยาต่อเนื่อง >3 เดือน

อาการคันเกิดขึ้นเฉลี่ย 2 วันหลังหยุดยา

เกือบทุกคนที่หยุดยาแล้วเริ่มใหม่ พบว่า อาการกลับมาเป็นซ้ำ

ในผู้ป่วยบางราย อาการรุนแรงจนต้องนอนพัก ไม่สามารถทำงานได้ หรือถึงขั้นเข้ารักษาในโรงพยาบาล

💊 วิธีที่ช่วยบรรเทาอาการในปัจจุบันคือ การกลับมาเริ่มยาใหม่ (restart) ซึ่งผู้ป่วยส่วนใหญ่ตอบสนองได้ดี และบางรายอาจค่อย ๆ ลดยาแบบ tapering เพื่อลดความเสี่ยงอาการคัน

👉 เภสัชกรและบุคลากรสาธารณสุขควรแจ้งเตือนผู้ป่วยที่ใช้ยานี้ต่อเนื่องเป็นเวลานานให้ทราบความเสี่ยง และเฝ้าระวังช่วงหลังหยุดยา

02/09/2025

𝐇. 𝐩𝐲𝐥𝐨𝐫𝐢 𝐞𝐫𝐚𝐝𝐢𝐜𝐚𝐭𝐢𝐨𝐧 𝐫𝐞𝐠𝐢𝐦𝐞𝐧𝐬 (𝐚𝐬 𝐩𝐞𝐫 𝐀𝐂𝐆 𝟐𝟎𝟐𝟒, 𝐅𝐃𝐀-𝐚𝐩𝐩𝐫𝐨𝐯𝐞𝐝 𝐩𝐚𝐜𝐤𝐬, 𝐚𝐧𝐝 𝐫𝐞𝐜𝐞𝐧𝐭 𝐭𝐫𝐢𝐚𝐥𝐬):

𝟏. 𝐎𝐩𝐭𝐢𝐦𝐢𝐳𝐞𝐝 𝐁𝐢𝐬𝐦𝐮𝐭𝐡 𝐐𝐮𝐚𝐝𝐫𝐮𝐩𝐥𝐞 𝐓𝐡𝐞𝐫𝐚𝐩𝐲 (𝐁𝐐𝐓) – 𝐏𝐫𝐞𝐟𝐞𝐫𝐫𝐞𝐝 𝐅𝐢𝐫𝐬𝐭-𝐥𝐢𝐧𝐞

Duration: 14 days
• PPI (standard dose, e.g., omeprazole 20 mg or equivalent) BID
• Bismuth subcitrate 120–300 mg QID (or subsalicylate 300 mg QID)
• Tetracycline 500 mg QID
• Metronidazole 500 mg TID–QID

𝟐. 𝐑𝐢𝐟𝐚𝐛𝐮𝐭𝐢𝐧-𝐛𝐚𝐬𝐞𝐝 𝐓𝐫𝐢𝐩𝐥𝐞 𝐓𝐡𝐞𝐫𝐚𝐩𝐲 (𝐒𝐚𝐥𝐯𝐚𝐠𝐞 / 𝐀𝐥𝐭𝐞𝐫𝐧𝐚𝐭𝐢𝐯𝐞)

Duration: 14 days
• PPI (standard dose, BID)
• Amoxicillin 1 g BID
• Rifabutin 150 mg BID (some regimens use 300 mg daily)

𝟑. 𝐕𝐨𝐧𝐨𝐩𝐫𝐚𝐳𝐚𝐧-𝐛𝐚𝐬𝐞𝐝 𝐓𝐡𝐞𝐫𝐚𝐩𝐲
(a) Vonoprazan–Amoxicillin Dual Therapy
(b) Vonoprazan Triple Therapy

(𝐚) 𝐕𝐨𝐧𝐨𝐩𝐫𝐚𝐳𝐚𝐧–𝐀𝐦𝐨𝐱𝐢𝐜𝐢𝐥𝐥𝐢𝐧 𝐃𝐮𝐚𝐥 𝐓𝐡𝐞𝐫𝐚𝐩𝐲: Duration: 14 days
• Vonoprazan 20 mg BID
• Amoxicillin 1 g TID (some trials used 750 mg QID)

𝐕𝐨𝐧𝐨𝐩𝐫𝐚𝐳𝐚𝐧 𝐓𝐫𝐢𝐩𝐥𝐞 𝐓𝐡𝐞𝐫𝐚𝐩𝐲 (𝐟𝐨𝐫 𝐚𝐫𝐞𝐚𝐬 𝐰𝐢𝐭𝐡 𝐥𝐨𝐰 𝐜𝐥𝐚𝐫𝐢𝐭𝐡𝐫𝐨𝐦𝐲𝐜𝐢𝐧 𝐫𝐞𝐬𝐢𝐬𝐭𝐚𝐧𝐜𝐞): Duration: 14 days

• Vonoprazan 20 mg BID
• Amoxicillin 1 g BID
• Clarithromycin 500 mg BID

𝟒. 𝐇𝐢𝐠𝐡-𝐃𝐨𝐬𝐞 𝐃𝐮𝐚𝐥 𝐓𝐡𝐞𝐫𝐚𝐩𝐲 (𝐇𝐃𝐃𝐓): Duration: 14 days

• High-dose PPI (e.g., esomeprazole 40 mg TID or rabeprazole 20 mg TID)
• Amoxicillin 750–1,000 mg TID–QID (± Metronidazole 500 mg TID in some regimens)

𝟓. 𝐇𝐲𝐛𝐫𝐢𝐝 𝐓𝐡𝐞𝐫𝐚𝐩𝐲: Duration: 14 days
• Days 1–7:
• PPI (BID)
• Amoxicillin 1 g BID
𝐃𝐚𝐲𝐬 𝟖–𝟏𝟒:
• Continue PPI + Amoxicillin
• Add Clarithromycin 500 mg BID + Metronidazole 500 mg BID

𝟔. 𝐑𝐞𝐯𝐞𝐫𝐬𝐞 𝐇𝐲𝐛𝐫𝐢𝐝 𝐓𝐡𝐞𝐫𝐚𝐩𝐲: Duration: 14 days
• Days 1–14 (full regimen):
• PPI (BID) + Amoxicillin 1 g BID + Clarithromycin 500 mg BID + Metronidazole 500 mg BID
• 𝐃𝐚𝐲𝐬 𝟖–𝟏𝟒 (𝐬𝐭𝐞𝐩-𝐝𝐨𝐰𝐧):
• Continue only PPI + Amoxicillin

𝐊𝐞𝐲 𝐏𝐨𝐢𝐧𝐭: 𝐂𝐥𝐚𝐫𝐢𝐭𝐡𝐫𝐨𝐦𝐲𝐜𝐢𝐧- 𝐨𝐫 𝐥𝐞𝐯𝐨𝐟𝐥𝐨𝐱𝐚𝐜𝐢𝐧-𝐜𝐨𝐧𝐭𝐚𝐢𝐧𝐢𝐧𝐠 𝐫𝐞𝐠𝐢𝐦𝐞𝐧𝐬 𝐬𝐡𝐨𝐮𝐥𝐝 𝐨𝐧𝐥𝐲 𝐛𝐞 𝐮𝐬𝐞𝐝 𝐢𝐟 𝐚𝐧𝐭𝐢𝐛𝐢𝐨𝐭𝐢𝐜 𝐬𝐮𝐬𝐜𝐞𝐩𝐭𝐢𝐛𝐢𝐥𝐢𝐭𝐲 𝐢𝐬 𝐜𝐨𝐧𝐟𝐢𝐫𝐦𝐞𝐝, 𝐝𝐮𝐞 𝐭𝐨 𝐡𝐢𝐠𝐡 𝐠𝐥𝐨𝐛𝐚𝐥 𝐫𝐞𝐬𝐢𝐬𝐭𝐚𝐧𝐜𝐞.

01/09/2025

ที่อยู่

3296
Bang Len
73130

เวลาทำการ

จันทร์ 09:30 - 21:30
อังคาร 09:30 - 09:30
พุธ 09:30 - 21:30
พฤหัสบดี 09:30 - 21:30
ศุกร์ 09:30 - 21:30
เสาร์ 09:30 - 21:30
อาทิตย์ 09:30 - 21:30

เบอร์โทรศัพท์

+66884954850

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ บ้านยาวรรณลดาผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

แชร์

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram