พยาบาลประจำโรงงาน

พยาบาลประจำโรงงาน บริการจัดทีมแพทย์และพยาบาลประจำโร? ให้บริการแพทย์และพยาบาลประจำโรงงาน ซึ่งให้บริการด้านสุขภาพและอาชีวอนามัยของพนักงานประจำห้องพยาบาลในสถานประกอบการ

วิธีแก้โรคนอนไม่หลับมีกลุ่มคนมากมายที่มีอาการของโรคนอนไม่หลับ และถึงขั้นทานยานอนหลับเลยทีเดียว จากการวิเคราะห์พฤติกรรมแล...
11/08/2012

วิธีแก้โรคนอนไม่หลับ

มีกลุ่มคนมากมายที่มีอาการของโรคนอนไม่หลับ และถึงขั้นทานยานอนหลับเลยทีเดียว จากการวิเคราะห์พฤติกรรมและผลกระทบยืนยันว่า คนส่วนใหญ่เป็นหนุ่มสาวที่มีอายุระหว่าง 25-35 ปี ซึ่งมีความเคร่งเครียดหลักจากสภาวะกดดันเรื่องความก้าวหน้าในการงาน และค่าครองชีพ การนอนไม่หลับยังส่งผลให้เกิดอาการซึมเศร้า หดหู่ ที่กระทบต่อประสิทธิภาพการทำงาน และความคิดสร้างสรรค์อีกด้วย

อันดับแรกเราลองมาเช็กดูกันดีกว่าว่าวันนี้คุณมีอาการเข้าใกล้วงจรนอนไม่หลับแค่ไหน
1.หลับตานานแล้ว แต่สมองยังไม่หยุดคิด
2.มักรู้สึกตัวระหว่างนอนหลับเป็นระยะๆ
3.ระหว่างหลับรู้สึกว่าสมองยังคิดและกังวล
4.ไม่อยากตื่นทั้งที่รู้สึกว่านอนมานานแล้ว
5.ความคิดตื้อตันไม่ทันใจ
6.ง่วงนอนระหว่างวัน
7.รู้สึกซึมเศร้าอย่างไม่มีสาเหตุ
8.ปวดหัว และอ่อนเพลียง่าย
9.ตื่นด้วยความงัวเงียไม่แจ่มใส แม้จะอาบน้ำและแปรงฟัน

หากมีอาการเหล่านี้เกินกว่า 5ข้อก็ถือได้ว่าเข้าใกล้โรคนอนไม่หลับเลยทีเดียว ดังนั้นเราจึงมาแก้ไขด้วยวิธีดังต่อไปนี้
1.เข้านอนก่อน 4 ทุ่ม และตื่น 6 โมงเช้า เพราะนี่คือช่วงที่เหมาะสมที่สุดในการพักผ่อนร่างกาย
2.สะสาง วางแผนสิ่งที่กังวลที่จะทำในวันต่อไปให้เรียบร้อยเพื่อลดอาการวิตกจริต และคิดซ้ำซาก
3.บอกกับตัวเองว่าการเครียดกังวล และใช้สมองในช่วงที่ต้องนอนหลับนั้นเปล่าประโยชน์ เนื่องจากสติ สัมปชัญญะ และความอ่อนล้าของร่างกายคืออุปสรรค ดังนั้น นอนหลับให้สนิทแล้วตื่นมาคิดอย่างแจ่มใส ย่อมให้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพดีกว่า
4.ถ้าคุณนอนหลับยาก ควรออกกำลังกายในช่วงเย็น หรือ 4-6 ชั่วโมงก่อนนอน แต่อย่าทำใกล้เวลานอน
5.ปรับอุณหภูมิห้องให้เย็นระหว่าง 17-25 องศาเซลเซียส แล้วจะหลับง่ายสบายบอดี้
6.เสริมเครื่องฟอกอากาศในห้องนอนเพื่อเพิ่มปริมาณออกซิเจนที่สมดุล จะนอนหลับลึกได้ต่อเนื่อง
7.ความมืดมิดและไร้เสียง คือเคล็ดลับที่จะทำให้หลับได้สนิทและยาวนาน
8.ดื่มหรือรับประทานอาหารที่มีองค์ประกอบของกรด อะมิโน Tryptophan จากโปรตีน อย่างธัญพืช หรือเครื่องดื่ม Whole Grains ก่อนนอน จะช่วยกระตุ้นให้ร่างกายปล่อยสาร Niacin จากวิตามินบี 5 ทำให้สมองและร่างกายผ่อนคลาย และง่วงนอนง่ายขึ้น
9.สร้างกิจวัตรใหม่ด้วยการเข้านอนและตื่นให้เป็นเวลาเดียวกันทุกวัน ลองทำแค่ 1 อาทิตย์ ติดต่อกัน ร่างกายก็คุ้นเคยแล้ว
10.หลีกเลี่ยงการดื่มชา กาแฟ และช็อกโกแลตระหว่างวัน เพราะกาเฟอีนที่ผสมอยู่จะทำให้ร่างกายตื่นตัว

http://www.factorynurse.com/

กรมควบคุมโรคย้ำไทยยังไม่พบการระบาดของโรคไข้หวัดนก 100% แต่ได้สั่งสำรองยาทาร์มิฟลูไว้แล้ว กระทรวงสาธารณสุข ย้ำประเทศไทยยั...
06/07/2012

กรมควบคุมโรคย้ำไทยยังไม่พบการระบาดของโรคไข้หวัดนก 100% แต่ได้สั่งสำรองยาทาร์มิฟลูไว้แล้ว

กระทรวงสาธารณสุข ย้ำประเทศไทยยังไม่พบการระบาดของโรคไข้หวัดนก 100% แต่ได้สั่งสำรองยาทาร์มิฟลูไว้พร้อมรักษาประชาชน หลังยังพบการระบาดต่อเนื่องในประเทศจีนและล่าสุดพบที่เม็กซิโก

นายแพทย์พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวถึงพบการระบาดของโรคไข้หวัดนกในจีนและเม็กซิโก ว่า ขณะนี้แม้ประเทศไทยจะปลอดการระบาดโรคไข้หวัดนกมานานเกือบ 5 ปี ตั้งแต่ปี 2551 แต่กระทรวงสาธารณสุขยังคงมาตรการเฝ้าระวังอย่างเต็มที่และต่อเนื่อง ด้วยการกำชับ อสม.ทั่วประเทศเป็นเครือข่ายเฝ้าระวังสัตว์ปีกป่วย-ตาย ประสานปศุสัตว์ให้ลงพื้นที่ทันทีเพื่อกำจัดซากอย่างเหมาะสม พร้อมพิสูจน์ซากหาเชื้อไข้หวัดนกทุกครั้ง แต่ไม่เคยพบว่าสัตว์ปีกที่ตายในประเทศไทยจะมีเชื้อไข้หวัดนกแต่อย่างใด จึงขอให้ประชาชนมั่นใจ เพราะแม้จะมีการระบาดในประเทศข้างเคียง แต่การที่ประเทศไทยเป็นประเทศส่งออกมากกว่านำเข้าสัตว์ปีก ความเสี่ยงที่จะได้รับเชื้อจึงมีน้อยมาก อย่างไรก็ตามกระทรวงสาธารณสุขได้จัดเตรียมยาทาร์มิฟูล ไว้แล้วกว่า 4 ล้านเม็ด พร้อมให้บริการรักษาได้ทันทีหากเกิดการระบาดและติดจากสัตว์สู่คนจริง

ทั้งนี้ยังได้กำชับไปยังด่านกักกันโรค โดยเฉพาะในจังหวัดตามแนวชายแดนติดกับประเทศเพื่อนบ้าน ขอให้เพิ่มความระมัดระวังตรวจตราการนำเข้าสัตว์ปีกทุกชนิดให้มากขึ้น

ขอบคุณข้อมูลกระทรวงสาธารณสุข
http://www.factorynurse.com/

โรครุมเร้าวัยทำงาน "เครียด-ไม่ออกกำลังกาย"กระทรวงสาธารณสุขสำรวจพบวัยแรงงานไทยแบกโรค เหตุสภาพแวดล้อมทำงานไม่เหมาะสม ขณะที...
25/06/2012

โรครุมเร้าวัยทำงาน "เครียด-ไม่ออกกำลังกาย"

กระทรวงสาธารณสุขสำรวจพบวัยแรงงานไทยแบกโรค เหตุสภาพแวดล้อมทำงานไม่เหมาะสม ขณะที่ใช้ชีวิตส่วนใหญ่ในที่ทำงานเผย ค่าเฉลี่ยใช้เวลาทำงานสูงคนละ 53,000 ชั่วโมง ขณะที่แรงงานเกษตรกรรมมีอัตราป่วยจากสารเคมีสูงปีละ 2,000 ราย
สถานการณ์คนวัยทำงานของไทยน่าห่วงหลังพบ 1 ใน 10 คนแบกโรคเรื้อรัง นายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึง ผลสำรวจสุขภาพคนวัยทำงาน ที่จัดร่วมกับกระทรวงแรงงาน และกระทรวงอุตสาหกรรมพบว่าในกลุ่มของวัยทำงานอายุ 15-59 ปี ที่เป็นกำลังหลักของครอบครัว
นอกจากนี้ คนกลุ่มใหญ่ที่สุดของประเทศ จำนวนเกือบ 40 ล้านคน หรือราว 2 ใน 3 ของประชากรทั้งหมด ซึ่งใช้เวลาส่วนใหญ่ในการทำงาน 8-9 ชั่วโมง โดยตลอดอายุทำงานใช้เวลาเฉลี่ย 53,000 ชั่วโมง ดังนั้น สถานที่ทำงานจึงมีอิทธิพลต่อชีวิตและสุขภาพคนวัยนี้อย่างมาก เปรียบเสมือนเป็นบ้านหลังที่สองของคนทำงาน
อย่างไรก็ตาม ผลสำรวจสุขภาพแรงงานไทยล่าสุดในปี 2552 พบว่า กว่า 1 ใน 10 ของวัยแรงงาน ป่วยเป็นโรคเรื้อรัง ที่พบสูงสุด 3 อันดับแรก คือ โรคหัวใจและหลอดเลือดร้อยละ 32 รองลงมาโรคเบาหวานร้อยละ 21 และโรคทางเดินหายใจเรื้อรังเช่นภูมิแพ้ร้อยละ 19 และพบว่ากว่า 1 ใน 4 ของการบาดเจ็บเกิดขึ้นจากอุบัติเหตุบนท้องถนน โดยเป็นรถจักรยานยนต์ร้อยละ 27
นอกจากนี้ ยังพบปัญหาอื่นๆ เช่น โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ โรคที่เกิดจากการสูบบุหรี่ การดื่มสุรา การใช้สารเสพติด ตลอดจนปัญหาสุขภาพอันเกิดจากการทำงาน เช่น วัตถุหรือสิ่งของบาด ทิ่มแทงอวัยวะต่างๆ ซึ่งล้วนแต่สามารถป้องกันได้ทั้งสิ้น
ทั่วโลกป่วยจากงาน 160 ล้านคน
ด้าน นพ.ไพจิตร์ วราชิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า องค์การอนามัยโลก ระบุว่า ขณะนี้ ประชากรโลกที่อยู่ในวัยทำงาน มีความเสี่ยงต่อเกิดปัญหาสุขภาพและความไม่ปลอดภัยจากการทำงานประมาณ 1,900 ล้านคน ในจำนวนนี้เป็นแรงงานเด็ก 170 ล้านคน และในทุกๆ ปีจะมีวัยทำงานเจ็บป่วยจากการทำงานมากกว่า 160 ล้านคน โดยร้อยละ 51 เจ็บป่วยด้วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ได้แก่ โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง โรคหอบหืดและมะเร็ง ร้อยละ 8 บาดเจ็บจากอุบัติเหตุ และอีกร้อยละ 8 เกิดความเครียดจากการทำงาน

ประชากรไทยสู่วัยสูงอายุ
ขณะที่ นพ.พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า การพัฒนาสุขภาพของกลุ่มวัยทำงานมีความสำคัญต่อความมั่นคงของสถาบันครอบครัว เนื่องจากโครงสร้างประชากรไทยในอนาคต จะมีประชากรกลุ่มวัยเด็กและสูงอายุเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นวัยที่ต้องพึ่งพิงวัยทำงาน ในปี 2553 วัยแรงงาน 100 คน เฉลี่ยต้องดูแลวัยพึ่งพิง 48 คน และจะเพิ่มเป็น 60 คนในอีก 15 ปีข้างหน้าจากจำนวนผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้น ล่าสุดประเทศไทยมีผู้ที่ทำงานในระบบอุตสาหกรรมต่างๆ ประมาณ 15 ล้านคน มีสถานประกอบการทั่วประเทศ 389,953 แห่ง

สาวโรงงานป่วย 2 แสนคน/ปี
นพ.สมเกียรติ ศิริรัตนพฤกษ์ ผู้อำนวยการสำนักโรคจากการประกอบอาชีพและสิ่งแวดล้อม กรมควบคุมโรค กล่าวว่า โรคที่เกิดจากการทำงาน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มแรงงาน แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มแรงงานที่ทำงานในโรงงานอุตสาหกรรมและกลุ่มแรงงานในภาคเกษตรกรรม โดยในกลุ่มแรงงานโรงงานอุตสาหกรรม จากข้อมูลสำนักงานกองทุนทดแทน สำนักงานประกันสังคม ได้มีการรายงานผู้ป่วยและบาดเจ็บอยู่ที่ 200,000 รายต่อปี หรือร้อยละ 12
ในจำนวนนี้ร้อยละ 90 เกิดจากอุบัติเหตุระหว่างการทำงาน โดยเฉพาะเครื่องจักรอุตสาหกรรม อาทิเช่น แขนขาด นิ้วถูกตัด เป็นต้น อีกร้อยละ 8 เกิดจากภาวะโรคที่เกิดจากการทำงาน ซึ่งในกลุ่มนี้ส่วนใหญ่ 3,000-4,000 ราย มีความผิดปกติทางการกล้ามเนื้อ หรืออาการแพ้จากเสรีเคมี โรคปอดที่เกิดจากฝุ่นผง และยังมีปัญหาทางด้านการได้ยิน

เกษตรกรป่วยสารเคมี 2,000 คน/ปี
ส่วนกลุ่มเกษตรกร จากข้อมูลสำนักระบาดพบว่า การเจ็บป่วยอันดับแรกส่วนใหญ่เกิดจากพิษสารเคมีกำจัดศัตรู โดยมีรายงานจำนวน 1,000-2,000 รายต่อปี โดยตัวเลขผู้ป่วยนี้เชื่อว่าเป็นการรายงานที่ต่ำกว่าความเป็นจริง เนื่องจากเชื่อว่ามีเกษตรกรจำนวน ที่มีอาการเจ็บป่วยเล็กน้อยไม่มาโรงพยาบาล นอกจากนี้ ยังไม่นับรวมผู้ป่วยที่ได้รับสารเคมีสะสมจนเป็นมะเร็งที่ไม่สามารถตรวจสอบได้ และแม้ว่าแพทย์จะตรวจพบเป็นมะเร็งแต่ก็ไม่กล้ายืนยันว่าเกิดจากสารเคมีศัตรูพืช ส่วนการเจ็บป่วยอันดับต่อมาเกิดจากการได้รับบาดเจ็บจากการทำเกษตรกรรม หรือถูกสัตว์มีพิษกัด รวมไปถึงปัญหากล้ามเนื้อ กระดูก
"แรงงานที่เจ็บป่วยทั้ง 2 กลุ่ม ล้วนแต่เป็นตัวเลขการรายงานที่ต่ำกว่าความเป็นจริงทั้งหมด เนื่องจากหลายโรคต้องใช้ระยะเวลาจึงจะมีอาการปรากฏ อย่างกรณีของโรคเยื่อหุ้มปอด นอกจากนี้ ยังมีระบบการติดตามผู้ป่วยไม่ต่อเนื่อง การย้ายงานของแรงงานเอง" ผู้อำนวยการสำนักโรคจากการประกอบอาชีพและสิ่งแวดล้อม
นพ.สมเกียรติ กล่าวว่า ที่ผ่านมา ได้มีความพยาบาลในการคัดกรองโรค โดยในกลุ่มโรงงานอุตสาหกรรมทางกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคมเองก็มีกฎหมายบังคับ กำหนดให้นายจ้างต้องดูแลสุขภาพของแรงงาน การดูแลเรื่องความปลอดภัยจากการทำงาน นอกจากนี้ ยังมีการกำหนดให้ต้องมีการตรวจสุขภาพแรงงานในทุกปี แต่ยอมรับว่าที่ผ่านมา มีบางโรงงานที่ไม่ปฏิบัติ

ชี้แรงงานไทยไม่สนใจสุขภาพ
ขณะที่ในส่วนภาคการเกษตร ทางกลุ่มงานอาชีวเวชศาสตร์ได้มีการดำเนินนโยบายการเฝ้าระวังการเจ็บป่วยที่เกิดจากการทำงานภาคการเกษตรเช่นกัน โดยประสานไปยังโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ให้มีการเจาะเลือดเพื่อเก็บตัวอย่างตรวจ ซึ่งพบว่ามีถึงร้อยละ 30 ที่พบสารเคมีตกค้างในเลือด พร้อมกันนี้ ยังให้มีการตรวจสุขภาพ
นพ.สมเกียรติ กล่าวต่อว่า ยอมรับว่าแรงงานไทยส่วนใหญ่สนใจดูแลสุขภาพตนเองน้อยกว่าที่ควรจะเป็น เนื่องจากคนกลุ่มนี้ส่วนใหญ่เป็นผู้ที่หาเช้ากินค่ำ ต้องหารายได้เพื่อใช้สำหรับดำเนินชีวิตในแต่ละวัน ทำให้ต้องทำงานที่เสี่ยง หลีกเลี่ยงได้ยาก เพราะไม่เช่นนั้นก็ไม่มีรายได้ ซึ่งหากภาวะเศรษฐกิจดีขึ้นการทำงานเหล่านี้ก็จะลดลง

คนไทยป่วยโรคหัวใจเพิ่มขึ้น
ส่วนกรณีนายธราวุธ นพจินดา ผู้สื่อข่าวสายกีฬาเสียชีวิตด้วยอาการหัวใจวายเฉียบพลันการเสียชีวิตนั้น นพ.สุขุม กาญจนพิมาย รองอธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กล่าวว่า โรคดังกล่าวถือเป็นโรคทางพันธุกรรม แม้จะไม่มีปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ ร่วมด้วยคนในครอบครัวก็สามารถเป็นโรคดังกล่าวได้ และจากการตรวจสอบประวัติพบว่าพี่ชายของนายธราวุธก็เสียชีวิตด้วยโรคเดียวกัน
ส่วนคนไทยเป็นโรคหัวใจเยอะ ส่วนใหญ่จะเกิดในผู้ชายอายุ 40 ปี ขึ้นไป ผู้หญิงอายุ 50 ปีขึ้นไปหรือหลังหมดประจำเดือน โดยแต่ละปีมีผู้ป่วยรายใหม่เพิ่มขึ้นกว่า 17,000 ราย ประมาณครึ่งหนึ่งจะเสียชีวิตจากอาการหัวใจวายเฉียบพลัน ทั้งนี้ เป็นเพราะพฤติกรรมการใช้ชีวิตเปลี่ยนไปมาก นิยมรับประทานอาหารแบบตะวันตกมากขึ้น ทำให้ได้รับสารอาหารไม่ครบ 5 หมู่ น้ำหนักตัวเกิน ขาดการออกกำลังกาย สูบบุหรี่ ทำงานหนักและพักผ่อนไม่เพียงพอ ทำให้มีโอกาสเป็นโรคหัวใจมากกว่าปกติ 3-4 เท่า

แนะจัดที่ทำงานให้สะอาด-น่าอยู่
อย่างไรก็ตาม กระทรวงสาธารณสุขจะประสานความร่วมมือกับหน่วยงานเกี่ยวข้อง อาทิเช่น กระทรวงแรงงาน กระทรวงอุตสาหกรรม เน้นเป้าหมายหลัก 3 เรื่อง คือ ไม่ให้วัยทำงานเจ็บป่วยจากโรคเรื้อรัง ป่วยจากการทำงาน และบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ โดยจะมีการให้ความรู้การบริโภคอาหารที่สมดุล รณรงค์ไม่สูบบุหรี่ ลดการดื่มแอลกอฮอล์ ส่งเสริมการออกกำลังกาย การจัดการความเครียด
และจัดสภาพแวดล้อมที่ทำงานให้สะอาด ปลอดภัย น่าทำงาน โดยในปีแรกนี้ตั้งเป้าเชิญชวนสถานประกอบการเข้าร่วมโครงการ อย่างน้อยจังหวัดละ 1 แห่ง สถานประกอบการโดยมีสถานประกอบการเข้าร่วมนำร่อง 3 แห่ง ได้แก่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด บริษัท ฮอนด้า ออโต้โมบิล ประเทศไทย จำกัด และบริษัท แคนนอน ไฮ-เทค (ประเทศไทย) จำกัด
เกษตรกรมีอัตราป่วยจากสารเคมีสูง ปีละ2,000ราย

ขอบคุณข้อมูล กระทรวงสาธารณสุข

http://www.factorynurse.com/

อย.เตือนอย่าใช้'พาราเซตามอล'พร่ำเพรื่อ อย.เตือน "พาราเซตามอล" ไม่ใช่ยาวิเศษรักษาได้ทุกอาการปวดบอกคนไทยอย่าใช้ยาแก้ปวดพร่...
24/06/2012

อย.เตือนอย่าใช้'พาราเซตามอล'พร่ำเพรื่อ

อย.เตือน "พาราเซตามอล" ไม่ใช่ยาวิเศษรักษาได้ทุกอาการปวดบอกคนไทยอย่าใช้ยาแก้ปวดพร่ำเพรื่อ หากใช้ไม่ถูกนอกจากไม่บรรเทาอาการ ซ้ำร้ายอาจได้รับอันตรายจากผลข้างเคียง แนะปฏิบัติตามฉลากยา หากไม่เข้าใจให้ปรึกษาเภสัชกรก่อน
นพ.พงศ์พันธ์ วงศ์มณีรองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา(อย.)เปิดเผยว่าจากข้อมูลการใช้ยาแก้ปวดของคนไทยพบว่ามีการใช้ยาแก้ปวดกันอย่างแพร่หลายโดยเฉพาะ"พาราเซตามอล" ซึ่งส่วนใหญ่มัก
เข้าใจว่า เป็นยาแก้ปวดสามารถรักษาได้ทุกอาการปวด ในความเป็นจริงแล้ว อย.ขอเตือนว่า เป็นความเข้าใจผิด เนื่องจากยาแก้ปวดแต่ละชนิดมีประสิทธิภาพในการรักษา และความปลอดภัยในการใช้ยาแตกต่างกัน โดยทั่วไปแบ่งยาแก้ปวดออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มยาแก้ปวดที่ใช้ระงับปวดที่รุนแรงถึงรุนแรงมากที่สุด แต่ไม่มีฤทธิ์ลดไข้ เช่น มอร์ฟีน (morphine) ทรามาดอล (Tramadol) ยากลุ่มนี้จะออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทส่วนกลาง ใช้ระงับความเจ็บปวดที่รุนแรงจากอวัยวะภายใน เช่น ปวดนิ่วในไต ปวดกล้ามเนื้อหัวใจจากภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด ปวดจากบาดแผลที่มีขนาดใหญ่ เช่น หลังการผ่าตัด การคลอดลูก โรคมะเร็ง จึงมักใช้กับคนไข้ในโรงพยาบาลหรือคลินิกเป็นส่วนใหญ่ยากลุ่มดังกล่าวอาจก่อให้เกิดอาการข้างเคียงสูงโดยเฉพาะ ทรามาดอล (Tramadol) ซึ่งจะทำให้มีอาการคลื่นไส้ มึนงง อาเจียน กดระบบหายใจอีกทั้งยังอาจมีอาการทางจิตประสาท เช่นอารมณ์แปรปรวน เฉื่อยชา ไม่กระตือรือร้น และหากได้รับยาเกินขนาดจะทำให้เกิดภาวะอื่นๆตามมา เช่น อาเจียน ระบบหัวใจและหลอดเลือดล้มเหลว ชักและระบบหายใจทำงานช้าลงจนถึงขั้นหยุดหายใจได้
นพ.พงศ์พันธ์ กล่าวต่อว่า ยาแก้ปวดอีกกลุ่มคือ กลุ่มยาแก้ปวดที่ใช้สำหรับอาการปวดไม่รุนแรง เช่น พาราเซตามอล แอสไพรินยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (Nonsteroidal anti-inflammatory drugs : NSAIDs)ซึ่งมีฤทธิ์แก้ปวด ลดไข้ และต้านการอักเสบ แต่ไม่ควรใช้ติดต่อกันนานๆ โดยเฉพาะยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) เนื่องจากจะมีผลต่อระบบต่างๆ ในร่างกาย ได้แก่ ระบบทางเดินอาหาร ทำให้คลื่นไส้ ปวดท้อง เป็นแผลบริเวณทางเดินอาหาร ระบบหัวใจและหลอดเลือด ทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น อาจรุนแรงทำให้กล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน หลอดเลือดสมองอุดตัน ระบบประสาทส่วนกลาง ทำให้ง่วงซึม มึนงง ซึมเศร้า ระบบเลือด จะขัดขวางการเกาะกลุ่มของเกล็ดเลือด มีผลต่อการทำงานของไต โดยทำให้ไตบวม ระดับโปตัสเซียมและโซเดียมในเลือดสูงและไตวาย และมีผลต่อผิวหนัง โดยมีอาการผื่น คัน ผิวหนังพอง บางรายอาจมีการแพ้แสงแดดอีกด้วย นอกจากนี้ ยาพาราเซตามอลที่มีการใช้อย่างแพร่หลายนั้นหากใช้ยาเกินปริมาณที่แนะนำอาจจะนำไปสู่การเกิดพิษต่อตับ จนนำไปสู่ภาวะตับวาย และเสียชีวิตในที่สุด

http://www.factorynurse.com/

วิธีดูแลสุขภาพช่วงยูโร2012นายสง่า ดามาพงษ์ ผู้จัดการแผนงาน โภชนาการเชิงรุก สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สส...
24/06/2012

วิธีดูแลสุขภาพช่วงยูโร2012


นายสง่า ดามาพงษ์ ผู้จัดการแผนงาน โภชนาการเชิงรุก สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวถึงการดูแลสุขภาพในช่วงการรับชมฟุตบอลยูโร 2012 ว่า ในช่วงการแข่งขันฟุตบอลจะมีการถ่ายทอดในช่วงเวลาดึก พฤติกรรมการดูฟุตบอลจะมีผลต่อสุขภาพในหลายด้าน อาทิ ทำให้นอนดึก พักผ่อนไม่เพียงพอ เกิดอาการซึมเศร้าในช่วง เช้าวันใหม่ เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนสูง เพราะอดนอน ร่างกายเผาผลาญอาหารได้ลดลง มีการสะสมไขมันในปริมาณที่มากเกินไป เกิดความเครียดเมื่อรู้สึกตื่นเต้นลุ้นเชียร์ทีมที่ตนเองชื่นชอบ ร่างกายขาดการเคลื่อนไหว ที่สำคัญคือการรับประทานอาหารไม่เป็นเวลา กินจุบกินจิบ ทำให้ได้รับอาหารที่ให้พลังงานสูงจนเกิดความอ้วนได้ ตลอดจนภูมิคุ้มกันร่างกายลดลงตามไปด้วย
นายสง่า กล่าวว่า หากจำเป็นต้องนอนดึกและตื่นเช้า ต้องทำให้ร่างกายสดชื่นเร็วที่สุด คือ 1.กินอาหารเช้าที่มีคุณภาพ คือ อาหารครบ 5 หมู่ มีผัก ไขมัน แป้ง โปรตีน และรับประทานอย่างเพียงพอ 2.กินน้ำหรือผลไม้ที่มีวิตามินซี เช่น น้ำส้มคั้น น้ำมะนาว ช่วยทำให้หลอดเลือดขยายตัว กระตุ้นปลายประสาท และทำให้ร่างกายรู้สึกสดชื่นขึ้น ไม่ควรกินกาแฟ เพราะช่วยทำให้สดชื่นแค่ชั่วคราวเท่านั้น 3.หลีกเลี่ยงอาหารระหว่างมื้อที่มีรสหวาน 4.ระหว่างวันพยายามขยับร่างกายลุกขึ้นยืดเหยียด เพื่อให้เลือดหมุนเวียนไปเลี้ยงปลายประสาทได้ดีขึ้น หากเป็นไปได้ควรงีบหลังมื้อกลางวันเพียง 10-15 นาที จะทำให้รู้สึกสดชื่นมากขึ้น 5.หากต้องนอนดึกควรกินอาหารมื้อเย็นมากกว่าเดิมเล็กน้อย เพื่อไม่ให้เกิดความหิวในช่วงกลางคืน และเปลี่ยนจากขนมกรุบกรอบเป็นผลไม้ที่มีรสหวานน้อยแทน เช่น ส้มโอ ฝรั่ง ชมพู่ แก้วมังกร แอปเปิ้ล หลีกเลี่ยงผลไม้ที่มีรสหวาน เช่น ทุเรียน ขนุน ลิ้นจี่ เป็นต้น และดื่มน้ำเปล่ามากๆ จะช่วยลดความเครียดได้
"การดูฟุตบอลยูโรไม่ให้เสียสุขภาพ ควรจัดระเบียบชีวิตของตัวเองใหม่ โดยเลือก รับชมคู่ที่ชื่นชอบ เพราะหากดูทุกคู่ร่างกาย ก็จะทรุดโทรมได้ง่าย วันไหนที่ต้องดูบอลเวลาดึกก็ให้เข้านอนเร็วขึ้น เช่น ฟุตบอลมีตอนตี 1 ก็ต้องรีบเข้านอนแต่หัวค่ำเพื่อตื่นมาดูช่วงดึกได้" นายสง่า กล่าว

http://www.factorynurse.com/

นอนหลับข้างคนรัก “ดีต่อสุขภาพ”เป็นที่ทราบกันดีว่า คู่แต่งงานที่มีชีวิตสมรสราบรื่นนั้น มักจะเป็นผู้ที่มีความสุขในชีวิต แล...
15/06/2012

นอนหลับข้างคนรัก “ดีต่อสุขภาพ”

เป็นที่ทราบกันดีว่า คู่แต่งงานที่มีชีวิตสมรสราบรื่นนั้น มักจะเป็นผู้ที่มีความสุขในชีวิต และมีสุขภาพดี รวมถึงมีอายุยืนยาวกว่าผู้ที่ไม่ได้แต่งงาน หรือแต่งงาน แต่ชีวิตสมรสไม่ราบรื่น และจากงานวิจัยของสหรัฐอเมริกาชิ้นล่าสุด ก็ได้ค้นพบความจริงที่สำคัญอีกหนึ่งข้อ นั่นก็คือ การนอนหลับข้างๆ คนที่รักกันนั้นมีส่วนสำคัญต่อการมีคุณภาพชีวิตที่ดีของมนุษย์ด้วยเช่นกัน

โดย ดร.Wendy Troxel นักวิจัยและนักจิตวิทยาจากมหาวิทยาลัยพิตต์สเบิร์ก สหรัฐอเมริกาเผยว่า การได้นอนหลับข้างๆ ใครสักคน ช่วยเพิ่มความรู้สึกปลอดภัยให้กับมนุษย์ และช่วยลดการหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอล ซึ่งเกี่ยวโยงกับความวิตกกังวลได้ และความรู้สึกปลอดภัยนั้นจะยิ่งเพิ่มขึ้นหากคนที่นอนข้างๆ คือ คนที่รักกันนั่นเอง

ตรงกันข้ามกับคนที่ไร้คู่ หรือต้องเผชิญกับความวิตกกังวลเป็นประจำนั้น จะทำให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอลออกมามากขึ้น และนั่นก็ทำให้โปรตีนชนิดหนึ่งที่มีชื่อว่า Cytokine ในร่างกายเพิ่มขึ้น ซึ่งมีผลต่อการเกิดโรคหัวใจ โรคซึมเศร้า หรือส่งผลให้ภูมิต้านทานในร่างกายทำงานผิดปกติได้ และการมีคนนอนหลับอยู่ข้างๆ ก็คือ แนวทางที่สามารถลดระดับโปรตีนตัวนี้ลงอย่างได้ผล แถมไม่เสียสตางค์แต่อย่างใด

นอกจากนั้น การมีคนที่รักกันนอนข้างๆ ยังช่วยเพิ่มระดับของฮอร์โมน Oxytocin ที่ช่วยสร้างความสุข และความผูกพันให้เกิดขึ้นในตัวของคนสองคนได้อีกด้วย โดยประโยชน์ของสาร Oxytocin มีมากมายหลายประการ เช่น ช่วยลดการอักเสบติดเชื้อ ช่วยในการทำงานของหัวใจ และสามารถป้องกันโรคมะเร็งบางชนิดได้

“การเมกเลิฟอาจเป็นหนทางหนึ่งที่ทำให้ร่างกายหลั่งสาร Oxytocin แต่การนอนหลับข้างๆ กัน หรือการพูดคุยกันบนเตียงอย่างมีความสุขก็สามารถทำให้ร่างกายหลั่งสารชนิดนี้ออกมาได้เช่นกัน” ดร.เดวิด แฮมมิลตัน นักวิทยาศาสตร์เจ้าของหนังสือ Why Kindness Is Good For You กล่าวเสริม

นอกจากนั้น ในการศึกษาของมหาวิทยาลัยนอร์ธแคโรไลนา ที่ได้สอบถามความคิดเห็นจากผู้หญิง 59 คน (แต่งงานหรือใช้ชีวิตคู่แล้ว) โดยให้พวกเธอจดบันทึกสถิติการกอดที่พวกเธอได้รับในช่วงเวลาที่นักวิจัยกำหนด และให้นักวิจัยมาทำการวัดระดับของสาร Oxytocin ในกระแสเลือด ซึ่งพบว่า ผู้หญิงที่ได้รับการกอดมากที่สุด มีระดับสาร Oxytocin มากที่สุดเช่นกัน ไม่เพียงเท่านั้น ในงานวิจัยอีกชิ้นหนึ่งของ ดร.Troxel (เผยแพร่ในปี 2009) ก็ระบุว่า ผู้หญิงที่มีชีวิตคู่ราบรื่น แน่นแฟ้นนั้นจะนอนหลับได้เร็วกว่าผู้หญิงโสด รวมถึงไม่ค่อยตื่นในตอนกลางดึกด้วย

ถึงการมีคนนอนข้างๆ จะมีข้อดีมากมายขนาดนี้ แต่เหตุที่สาวไทยส่วนหนึ่งยังคงหวงความโสดเอาไว้ อาจเป็นเพราะยังไม่เจอคนที่ดีมากพอที่พวกเธอจะสามารถนอนข้างๆ ได้อย่างมั่นใจก็เป็นได้

หรือผู้ชายไทยจะเถียงว่าไม่จริง...


ที่มา: สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ

ระวังยุงกัดในหน้าฝนปัจจุบันประเทศไทยยังประสบปัญหาเกี่ยวกับโรคติดเชื้อหลายชนิดที่มียุงเป็นพาหะนำโรคมาสู่คน ได้แก่ ไข้มาลา...
28/05/2012

ระวังยุงกัดในหน้าฝน

ปัจจุบันประเทศไทยยังประสบปัญหาเกี่ยวกับโรคติดเชื้อหลายชนิดที่มียุงเป็นพาหะนำโรคมาสู่คน ได้แก่ ไข้มาลาเรีย ไข้เลือดออก และไข้สมองอักเสบ ซึ่งเป็นอันตรายถึงตายได้ จึงเป็นสาเหตุที่เด็กเจ็บป่วย พิการ หรือเสียชีวิตปีละมากๆทั้งที่เป็นโรคซึ่งสามารถป้องกันได้ ดังนั้น ทุกคนจึงต้องรับผิดชอบ ร่วมมือกันอย่างจริงจังในการป้องกันไม่ให้ยุงกัด และควบคุมโรคด้วยการทำลายแหล่งเพาะพันธุ์ยุง

ไข้มาลาเรีย หรือจับไข้หนาวสั่น เกิดจากการถูกยุงก้นปล่องที่มีเชื้อมาลาเรียกัด ในประเทศไทยพบมากในท้องที่ตามป่าเขาและชายแดน ซึ่งพบว่า เป็นสาเหตุการตายของเด็ก และการเติบโตไม่สมวัย ส่วนในหญิงตั้งครรภ์มักมีอาการรุนแรงมีภาวะโลหิตจางมากอาจแท้ง หรือถึงแก่ชีวิตได้

ไข้เลือดออก และโรคชิกุนกุนยา เกิดจากการถูกยุงลายที่มีเชื้อไวรัสกัด พบมากในชุมชนที่มีคนอยู่หนาแน่นทั้งในเขตเมืองและชนบท

ไข้สมองอักเสบ อาการรุนแรงถึงขั้นสมองพิการอย่างถาวรและเสียชีวิตได้ เกิดจากการถูกยุงรำคาญที่มีเชื้อไวรัสแจแปนนีสบีกัด พบได้ในชนบทที่มีไร่นาและการเลี้ยงสัตว์ เช่น หมู วัว ควาย
เราจะลดอัตราการเจ็บป่วยและการตายจากโรคที่มียุงเป็นพาหะนำโรคได้โดยความร่วมมือของหน่วยงานภาครัฐ องค์กรท้องถิ่น ชุมชน และภาคเอกชน โดยการร่วมกันดูแลสิ่งแวดล้อม กำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงในบ้านเรือน และในชุมชน ตลอดจนการใช้มุ้งลวด และหรือมุ้งกันยุง

27/05/2012

นักวิชาการด้านสุขภาพผู้หญิง เสนอให้ กระทรวงสาธารณสุข เพิ่มการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกให้มีประสิทธิภาพและครอบคลุมมากขึ้น เนื่องจากมีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคและประหยัดงบประมาณมากกว่าการจัดซื้อวัคซีนเอชพีวีในราคาเข็มละ 500 บาท

การเสวนาในหัวข้อ "วัคซีนมะเร็งปากมดลูก ราคานี้ได้ไม่คุ้มเสีย" นักวิชาการด้านสุขภาพผู้หญิงเรียกร้องให้ กระทรวงสาธารณสุข ทบทวนแนวคิดการจัดซื้อฉีดวัคซีนเอชพีวี ฉีดให้เด็กหญิงอายุ 12 ปี คนละ 3 เข็ม เพื่อป้องกันโรคมะเร็งปากมดลูกตลอดชีวิต ในราคาเข็มละ 500 บาท เนื่องจากเป็นราคาที่แพงเกินจริง นพ.ยศ ตีระวัฒนานนท์ หัวหน้าโครงการประเมินเทคโนโลยีและนโยบายด้านสุขภาพ เปิดเผยว่า ต้นทุนที่แท้จริงของการผลิตวัคซีนชนิดนี้ อยู่ที่ราคา 90 บาท ดังนั้นหากคำนวณจากงบประมาณที่ต้องใช้รักษาผู้ป่วยมะเร็งปากมดลูกในอนาคต ภายใต้เงื่อนไขที่ไม่ต้องฉีดซ้ำ ราคาวัคซีนที่คุ้มทุนควรอยู่ที่ราคาเข็มละไม่เกิน 190 บาท นอกจากนี้ยังต้องพิจารณาความคุ้มทุนด้านประสิทธิภาพในการป้องกัน เพราะวัคซีนนี้สามารถป้องกันไวรัสก่อมะเร็งได้เพียง 2 สายพันธุ์ และยังไม่มีข้อมูลยืนยันว่า สามารถป้องกันการเกิดโรคในระยะยาวได้เกินกว่า 10 ปี

ในวงเสวนา ยังเสนอทางเลือก ให้กระทรวงสาธารณสุข หันกลับมาพัฒนาระบบการตรวจคัดกรองให้มีคุณภาพและครอบคลุมมากขึ้น ถึงร้อยละ 80 โดยเฉพาะวิธีการตรวจคัดกรองด้วยกรดน้ำส้ม หรือ วีไอเอ ที่มีต้นทุนเพียงครั้งละ 100 บาท และการตรวจด้วยวิธีแปบสเมียร์ ที่มีต้นทุนครั้งละ 200 บาท ซึ่งเป็นวิธีการป้องกันที่มีประสิทธิภาพ และ ใช้งบประมาณน้อยกว่าการฉีดวัคซีน

ขณะที่ข้อมูลการขึ้นทะเบียนโรคมะเร็งปากมดลูกของกรมการแพทย์ ระบุว่า ปัจจุบันมีผู้ป่วยรายใหม่ปีละ 6,000 คน พบมากสุดในช่วงอายุ 45-60 ปี ส่วนอัตราการเสียชีวิตพบปีละ 2,000 คน

ที่มา: ThaiPBS

เตือนประชาชนระวังเห็ดมีพิษช่วงหน้าฝนสาธารณสุขจังหวัดอุบลราชธานี เตือนประชาชน ให้ระวังในการเลือกซื้อเห็ดมารับประทาน หลังพ...
25/05/2012

เตือนประชาชนระวังเห็ดมีพิษช่วงหน้าฝน

สาธารณสุขจังหวัดอุบลราชธานี เตือนประชาชน ให้ระวังในการเลือกซื้อเห็ดมารับประทาน หลังพบชาวบ้านป่วยเพราะรับประทานเห็ดพิษแล้ว 17 คน

นพ.สุรพร ลอยหา นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดอุบลราชธานี เปิดเผยว่าในช่วงนี้เป็นช่วงต้นฤดูฝนจะมีเห็ดตามธรรมชาติเป็นจำนวนมาก แต่มีประชาชนนำเห็ดพิษมารับประทานและป่วยจากเห็ดพิษเป็นประจำทุกปี โดยเห็ดบางชนิดมีอันตรายถึงชีวิตเพราะมีพิษมาก เช่น เห็ดตับเต่าบางชนิด เห็ดระโงกหิน เห็ดสมองวัว เห็ดน้ำหมึก เห็ดหิ่งห้อย เห็ดเกล็ดดาว เป็นต้น ซึ่งบางชนิดจัดเป็นยาเสพติดใครครอบครองมีความผิดตามกฎหมาย เช่น เห็ดขี้ควาย เห็ดขี้วัว ซึ่งในปีนี้พื้นที่จังหวัดอุบลราชธานี พบผู้ป่วยจากการรับประทานเห็ดพิษแล้วจำนวน 17 คน เป็นชาว อำเภอบุณฑริก 9 คน ชาวอำเภอขื่องใน 4 คน ชาวอำเภอวารินชำราบ 2 คน ชาวอำเภอสำโรง 1 คน และชาวอำเภอศรีเมืองใหม่ 1 คน พร้อมแนะนำว่า เห็ดที่ไม่ควรนำมาบริโภค คือ เห็ดที่เป็นสีน้ำตาล เห็ดที่มีหมวกเห็ดสีขาว เห็ดที่มีปลอกหุ้มโคน เห็ดที่มีวงแหวนใต้หมวก เห็ดที่มีโคนอวบใหญ่ เห็ดที่มีปุ่มปม เห็ดที่มีลักษณะคล้ายสมองหรืออานม้า เห็ดตูมที่มีเนื้อในสีขาว เห็ดที่ขึ้นใกล้กับมูลสัตว์หรือขึ้นบนมูลสัตว์ เป็นต้น

ส่วนเห็ดธรรมชาติที่นำมารับประทานได้ เช่น เห็ดโคน เห็ดจูน เห็ดไข่ห่าน เห็ดเผาะ เห็ดตับเต่าบางชนิด และเห็ดลม เป็นต้น สำหรับอาการของผู้ที่รับประทานเห็ดพิษเข้าไป ถ้าเป็นพิษที่ร้ายแรงจะแสดงอาการภายใน 6-24 ชั่วโมง ภายหลังรับประทาน ผู้ป่วยอาจเสียชีวิตภายใน 4-10 ชั่วโมง หากพบ ผู้รับประทานเห็ดพิษเข้าไป ต้องรีบปฐมพยาบาลโดยทำให้ผู้ป่วยอาเจียน นำเศษอาหารที่ตกค้างออกให้มากที่สุด แล้วรีบนำส่งแพทย์ พร้อมตัวอย่างเห็ดพิษที่รับประทาน เพื่อให้สามารถรักษาผู้ป่วยได้เร็วที่สุด

องค์การอนามัยโลกประมาณการ "คนไทย" มีเชื้อวัณโรคแอบแฝงถึง 20 ล้านคนองค์กรอนามัยโลกประมาณการคนไทยมีเชื้อวัณโรคแอบแฝงที่ปอด...
25/05/2012

องค์การอนามัยโลกประมาณการ "คนไทย" มีเชื้อวัณโรคแอบแฝงถึง 20 ล้านคน

องค์กรอนามัยโลกประมาณการคนไทยมีเชื้อวัณโรคแอบแฝงที่ปอดสูงถึง 20 ล้านคน และ มีผู้เสียชีวิตจากโรคนี้ประมาณปีละ 11,000 ราย โดยสาเหตุส่วนหนึ่งมาจาก การแพร่ระบาดของโรคเอดส์ที่ทำให้ผู้ป่วยมีภูมิคุ้มกันบกพร่อง

นพ.พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ อธิบดีกรมควบคุมโรค เปิดเผยว่า ปัจจุบันวัณโรคได้กลับมาแพร่ระบาดอีกครั้ง ซึ่งสาเหตุหนึ่งมาจากการแพร่ระบาดของโรคเอดส์ที่ทำให้ผู้ป่วยมีภูมิคุ้มกันบกพร่องทำให้ป่วยเป็นวัณโรคมากขึ้น และ ส่งผลให้ไทยเป็น 1 ใน 22 ประเทศของโลกที่ยังมีปัญหาวัณโรครุนแรง

ขณะที่มีผู้เสียชีวิตจากโรคนี้ประมาณปีละ 11,000 ราย โดยองค์การอนามัยโลกประมาณการว่า ประชากรไทยมีเชื้อวัณโรคมาแอบแฝงอยู่ที่ปอดประมาณร้อยละ 30 หรือ 20 ล้านคน และกลายเป็นผู้ป่วยรายใหม่ปีละประมาณ 94,000 คน ในจำนวนนี้ร้อยละ 50 อยู่ในระยะแพร่เชื้อ และ ร้อยละ 16 ติดเชื้อเอชไอวีร่วมด้วย
สำหรับสถานการณ์ผู้ติดเชื้อเอชไอวีอธิบดีกรมควบคุมโรคคาดว่า มียอดสะสมรวมกว่า 1,100,000 ราย มีชีวิตอยู่ประมาณ 480,000 ราย โดยร้อยละ 84 ติดเชื้อจากการมีเพศสัมพันธ์

ส่วนสาเหตุที่ทำให้จำนวนผู้ป่วยวัณโรคและเอดส์ในประเทศไทยยังมีจำนวนมากนั้น เกิดจากความยากจน แรงงานเคลื่อนย้าย สภาพแออัดภายในเรือนจำที่เอื้อต่อการแพร่กระจายเชื้อวัณโรค และผลกระทบจากการระบาดของโรคเอดส์ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

ที่อยู่

Bang Rak
10500

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ พยาบาลประจำโรงงานผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

แชร์

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram

ประเภท