เครื่องวัดความดันอัตโนมัติ Omron, Yuwell ส่งฟรี มีบริการเก็บเงินปลายทาง

26/10/2025

26/10/2025

25/10/2025

26/09/2025

😴 นอนตะแคง ดีจริงไหม?
แล้วควรตะแคงข้างไหนดี? 🤔🛏️
การนอนหลับเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้เรามีสุขภาพดี แต่เคยสงสัยไหมคะว่า “ท่านอน” มีผลต่อร่างกายมากแค่ไหน? บางคนอาจเคยได้ยินว่าการนอนหงายดีที่สุด แต่จริงๆ แล้วการนอนตะแคงก็มีประโยชน์ต่อสุขภาพไม่แพ้กัน และอาจช่วยแก้ปัญหาสุขภาพได้หลายอย่างเลยค่ะ
✅ ข้อดีของการนอนตะแคง
การนอนตะแคงมีประโยชน์หลายอย่างที่หลายคนอาจยังไม่ทราบ เช่น
✔️ ช่วยลดอาการปวดหลังและข้อต่อ
การนอนตะแคงอย่างถูกต้องช่วยให้กระดูกสันหลังอยู่ในแนวตรง ลดแรงกดทับที่หลัง สะโพก และข้อต่อ เหมาะมากกับคนที่มีอาการปวดหลังเรื้อรัง หรือปวดกล้ามเนื้อบ่อยๆ
✔️ ช่วยลดการนอนกรนและภาวะหยุดหายใจขณะหลับ
การนอนหงายทำให้ทางเดินหายใจแคบลง จนเกิดการนอนกรนและภาวะหยุดหายใจ (Sleep Apnea)
การนอนตะแคงช่วยให้ทางเดินหายใจเปิดกว้างขึ้น ลดอาการนอนกรน และป้องกันโรคที่เกี่ยวข้อง เช่น ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ หรือภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะได้ค่ะ
✔️ ดีต่อสุขภาพสมอง 🧠✨
งานวิจัยพบว่าการนอนตะแคงช่วยให้สมองกำจัดของเสียได้ดีขึ้น ลดโอกาสเกิดโรคสมองเสื่อมและอัลไซเมอร์ ช่วยให้ของเหลวในสมองไหลเวียนได้ดี ลดการสะสมของสารพิษในสมอง
✔️ ดีต่อระบบย่อยอาหาร 🍽️
การนอนตะแคงที่ถูกวิธีช่วยให้ลำไส้ทำงานได้ดีขึ้น ลดอาการท้องอืด แน่นท้อง กรดไหลย้อน และช่วยเรื่องการขับถ่ายอีกด้วย
⛔ ข้อเสียของการนอนตะแคง (ที่ควรระวัง)
แม้ว่าการนอนตะแคงจะมีประโยชน์หลายอย่าง แต่ก็มีข้อเสียเล็กน้อย เช่น
❌ อาจทำให้ปวดไหล่หรือแขนชา 🤕
ไหล่ด้านที่เรานอนทับอาจถูกแรงกดมากเกินไป ทำให้ปวดหรือชาได้ วิธีแก้คือเลือกหมอนและฟูกที่รองรับสรีระได้ดี เพื่อลดแรงกดทับ
❌ อาจทำให้เกิดริ้วรอยบนใบหน้า 😱
หากใบหน้าสัมผัสหมอนนานๆ อาจทำให้เกิดริ้วรอยหรือรอยย่นก่อนวัยได้ วิธีป้องกันคือ ใช้ปลอกหมอนผ้าไหมที่นุ่มนวลต่อผิว หรือเปลี่ยนท่านอนบ่อยๆ ระหว่างคืนค่ะ
🤔 แล้วควรนอนตะแคงข้างไหนดี?
💙 นอนตะแคงซ้าย
- ช่วยลดอาการกรดไหลย้อน เพราะตำแหน่งของกระเพาะอาหารอยู่ต่ำกว่าหลอดอาหาร
- ช่วยให้ระบบไหลเวียนโลหิตดีขึ้นโดยรวม เนื่องจากตำแหน่งของหลอดเลือดและแรงโน้มถ่วงที่เอื้อต่อการไหลเวียนเลือดกลับสู่หัวใจ
- เหมาะกับคุณแม่ตั้งครรภ์ เพราะช่วยให้เลือดและออกซิเจนส่งถึงทารกได้ดีค่ะ
💛 นอนตะแคงขวา
- ช่วยลดแรงกดทับหัวใจ เพราะหัวใจอยู่ฝั่งซ้าย การนอนขวาจึงลดภาระได้เล็กน้อย
- เหมาะกับผู้ป่วยโรคหัวใจ หรือผู้ที่เคยผ่าตัดหัวใจ แพทย์อาจแนะนำให้นอนตะแคงขวาเพื่อลดภาระของหัวใจ
- แต่ไม่เหมาะกับผู้ที่มีปัญหากรดไหลย้อน เพราะท่านี้อาจทำให้น้ำย่อยจากกระเพาะไหลย้อนขึ้นมาง่ายกว่า
📌 สรุปก็คือ หากไม่มีปัญหาสุขภาพเฉพาะ เช่น โรคหัวใจ การนอนตะแคงซ้ายจะดีที่สุดสำหรับสุขภาพโดยรวมค่ะ เช่น ช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานดีขึ้น ลดอาการกรดไหลย้อน และส่งเสริมการไหลเวียนโลหิต แต่ก็แนะนำให้นอนสลับข้างบ้าง เพื่อไม่ให้ร่างกายถูกกดทับอยู่ในท่าเดียวตลอดคืนจนเกิดแรงกดทับที่ไหล่และสะโพกมากเกินไปค่ะ 😊
🛏️ เคล็ดลับนอนตะแคงให้ถูกต้อง เพื่อสุขภาพที่ดี
▪️ เลือกฟูกที่เหมาะสม - ควรเป็นฟูกแน่นปานกลาง (medium-firm) ไม่แข็งหรือนุ่มจนเกินไป
▪️ เลือกหมอนที่รองรับศีรษะและคอได้ดี - หมอนควรมีความสูงที่ช่วยให้ศีรษะและกระดูกสันหลังอยู่ในแนวเดียวกัน
▪️ วางหมอนระหว่างหัวเข่า - ช่วยลดแรงกดที่สะโพกและหลัง ทำให้กระดูกสันหลังอยู่ในแนวธรรมชาติ
▪️ งอเข่าเล็กน้อย - ช่วยลดแรงกดที่หลัง แต่ระวังอย่างองอมากจนเกินไป เพราะอาจทำให้ปวดหลังได้
▪️ อย่าก้มหัวหรือคางติดหน้าอก - วางศีรษะให้สบายในท่าเป็นกลาง ไม่ก้มจนรู้สึกเกร็งคอ
การนอนตะแคงเป็นท่านอนที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพหลายด้าน โดยเฉพาะตะแคงซ้ายที่ช่วยระบบย่อยอาหารและลดกรดไหลย้อน แต่ต้องระวังเรื่องปวดไหล่หรือแรงกดทับ ดังนั้นควรเลือกที่นอน หมอน และจัดท่านอนให้ถูกต้องด้วยนะคะ
คืนนี้ลองนอนตะแคงให้ถูกวิธี เพื่อให้คุณได้รับการพักผ่อนอย่างมีคุณภาพ และตื่นมาอย่างสดชื่นกันนะคะ 😴✨💖
#อย่าฝากชีวิตไว้กับหมอ #นอนตะแคง #นอนตะแคงซ้าย #นอนตะแคงขวา

09/09/2025

💡ปัจจัยที่ส่งผลต่อระดับ
ไขมันดี (HDL) และไขมันร้าย (LDL)
ที่คุณควรรู้เพื่อควบคุมให้สมดุล 👍🏿
เมื่อพูดถึง “คอเลสเตอรอล” หลายคนอาจนึกถึงโรคไขมันในเลือดสูง แต่จริงๆ แล้วคอเลสเตอรอลคือไขมันที่ร่างกายผลิตขึ้นเอง และยังได้รับเพิ่มจากอาหารที่เรากิน โดยแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก คือ
🔸 LDL (ไขมันร้าย) ไขมันชนิดไม่ดี มีโอกาสสะสมในหลอดเลือดสูง
🔹 HDL (ไขมันดี) ไขมันชนิดดี มีหน้าที่ช่วยกำจัดคอเลสเตอรอลส่วนเกินออกจากร่างกาย
แต่รู้หรือไม่ว่า นอกจากอาหารที่เรากินแล้ว ยังมีปัจจัยอื่นๆ อีกมากที่ส่งผลต่อระดับ LDL และ HDL ในร่างกายของเรา วันนี้มาดูกันค่ะว่า มีปัจจัยอะไรบ้างที่ทำให้ LDL สูงขึ้น และมีวิธีไหนบ้างที่ช่วยเพิ่ม HDL ได้อย่างมีประสิทธิภาพค่ะ
✅ ปัจจัยที่ช่วยให้ HDL (ไขมันดี) เพิ่มสูงขึ้น
1️⃣ ออกกำลังกายแบบแอโรบิก
การออกกำลังกายสม่ำเสมอ เช่น เดินเร็ว วิ่ง ว่ายน้ำ หรือปั่นจักรยาน เป็นวิธีที่ได้ผลดีที่สุดในการเพิ่ม HDL เพราะช่วยกระตุ้นระบบไหลเวียนโลหิตและการเผาผลาญไขมัน
2️⃣ กินไขมันดีจากธรรมชาติ
ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว เช่น น้ำมันมะกอก อะโวคาโด ถั่วชนิดต่างๆ และไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อนที่พบในปลาทะเล (แซลมอน ทูน่า) เมล็ดแฟลกซ์ จะช่วยเพิ่ม HDL และลดไขมันที่สะสมในหลอดเลือดได้ดีค่ะ
3️⃣ ลดน้ำหนักและไขมันส่วนเกิน
การลดน้ำหนัก โดยเฉพาะไขมันสะสมบริเวณท้อง ช่วยเพิ่มระดับ HDL ได้อย่างชัดเจน เพราะไขมันส่วนเกินส่งผลเสียต่อการเผาผลาญไขมันในเลือด
4️⃣ กินอาหารที่มีโอเมก้า-3 เป็นประจำ
โอเมก้า-3 จากปลาทะเล เช่น แซลมอน ทูน่า ซาร์ดีน จะช่วยเพิ่ม HDL และลดระดับไตรกลีเซอไรด์ในเลือดได้ดีค่ะ
5️⃣ ดื่มไวน์แดงได้เล็กน้อย
การดื่มไวน์แดงในปริมาณพอเหมาะ (ประมาณ 1 แก้วต่อวัน) เพราะในไวน์แดงนั้นมีสาร Resveratrol ที่ช่วยเพิ่มระดับ HDL ได้ แต่หากดื่มมากเกินไปก็ส่งผลเสียต่อร่างกายได้เช่นกันค่ะ
6️⃣ เลิกสูบบุหรี่
หากเลิกสูบบุหรี่ได้ ระดับ HDL จะเพิ่มขึ้นภายในระยะเวลาสั้นๆ และช่วยลดความเสี่ยงของการอักเสบในหลอดเลือดได้อีกด้วยค่ะ
🚨 ปัจจัยที่ทำให้ LDL (ไขมันไม่ดี) เพิ่มสูงขึ้น
1️⃣ กินไขมันอิ่มตัวมากเกินไป
เช่น เนื้อสัตว์ติดมัน นมไขมันเต็ม ไขมันสัตว์ น้ำมันปาล์ม และน้ำมันมะพร้าว ไขมันกลุ่มนี้กระตุ้นให้ตับผลิต LDL เพิ่มมากขึ้น
2️⃣ กินไขมันทรานส์
พบในขนมอบ เบเกอรี่ อาหารทอด อาหารแปรรูป ไขมันทรานส์ไม่เพียงเพิ่มระดับ LDL แต่ยังลดไขมันดี (HDL) และเพิ่มความเสี่ยงโรคหัวใจด้วย
3️⃣ กินคาร์โบไฮเดรตเชิงเดี่ยวและน้ำตาลสูง
ข้าวขัดขาว ขนมหวาน น้ำตาลทราย และเครื่องดื่มหวานจัด จะกระตุ้นให้ตับผลิตไขมันเพิ่มขึ้น ทำให้ LDL และไตรกลีเซอไรด์สูงขึ้นตามมา
4️⃣ ขาดการออกกำลังกาย
การไม่ค่อยเคลื่อนไหวร่างกายจะทำให้ LDL เพิ่มขึ้น และ HDL ลดต่ำลง การออกกำลังกายเป็นประจำจะช่วยให้ร่างกายเผาผลาญไขมันได้ดีขึ้น
5️⃣ โรคอ้วนและไขมันสะสมรอบเอว
ผู้ที่มีภาวะอ้วน โดยเฉพาะผู้ที่มีไขมันสะสมบริเวณหน้าท้อง ร่างกายจะผลิต LDL สูงขึ้น และยังกำจัด LDL ออกจากเลือดได้น้อยลง อีกทั้งยังเพิ่มความเสี่ยงของโรคเบาหวานและโรคหัวใจอีกด้วย
6️⃣ พันธุกรรมและโรคทางกรรมพันธุ์
บางคนอาจมีระดับ LDL สูงโดยกำเนิด เช่น โรค Familial Hypercholesterolemia ซึ่งร่างกายจะกำจัด LDL ออกจากเลือดได้ยากกว่าปกติ
7️⃣ สูบบุหรี่
การสูบบุหรี่จะเร่งให้ LDL เกิดการออกซิเดชันและสะสมในหลอดเลือดเร็วขึ้น อีกทั้งยังลดระดับ HDL ด้วย
8️⃣ ดื่มแอลกอฮอล์ปริมาณมาก
แอลกอฮอล์กระตุ้นให้ตับผลิต LDL และไตรกลีเซอไรด์เพิ่มขึ้น ซึ่งเสี่ยงต่อโรคไขมันพอกตับและโรคหัวใจได้
📊 ระดับคอเลสเตอรอลที่เหมาะสม ควรอยู่ที่เท่าไหร่?
เพื่อสุขภาพที่ดี ควรควบคุมระดับไขมันในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ดังนี้ค่ะ 👇
▪️ คอเลสเตอรอลรวม (Total Cholesterol): ต่ำกว่า 200 มก./ดล.
▪️ HDL (ไขมันดี): เพศชายควรสูงกว่า 40 มก./ดล., เพศหญิงควรสูงกว่า 50 มก./ดล.
▪️ LDL (ไขมันร้าย): ต่ำกว่า 130 มก./ดล. (หากมีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน หรือโรคหัวใจ ควรต่ำกว่า 100 มก./ดล.)
▪️ ไตรกลีเซอไรด์ (Triglycerides): ต่ำกว่า 150 มก./ดล.
หมายเหตุ: ค่าที่เหมาะสมอาจแตกต่างกันได้ตามสุขภาพแต่ละบุคคล ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจวัดอย่างแม่นยำค่ะ
✨ สรุปก็คือ การควบคุมอาหาร ออกกำลังกาย และปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการรักษาระดับไขมันให้สมดุลค่ะ เพราะไขมันในเลือดที่ผิดปกติมักไม่มีอาการชัดเจน การตรวจสุขภาพเป็นประจำจึงเป็นสิ่งจำเป็น ถ้าเราดูแลได้ตั้งแต่เนิ่นๆ ก็จะช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือดได้ในระยะยาวค่ะ 💖😊
อ้างอิง:
https://www.medparkhospital.com/disease-and-treatment/how-blood-lipids-different-from-each-other
https://www.bnhhospital.com/th/ไขมันในเลือดสูง
https://www.siphhospital.com/th/news/article/share/dyslipidemia
https://www.si.mahidol.ac.th/th/healthdetail.asp?aid=519
https://www.paolohospital.com/th-TH/samut/Article/Details/บทความ/HDL-และ-LDL-ต่างกันอย่างไร-
#อย่าฝากชีวิตไว้กับหมอ #ไขมันดี #ไขมันร้าย

27/05/2025

โควิดกลับมาระบาดอีกครั้งแล้วนะครับ ยอดผู้ติดเชื้อตอนนี้สูงกว่า 53,597 ราย!

Covid-19 สายพันธุ์ที่ระบาดในไทยปัจจุบันคือ สายพันธุ์ XEC ซึ่งเป็นหนึ่งในสายพันธุ์หลักของโลกมาตั้งแต่ปลายปี 2567 โดยอีกสายพันธุ์หนึ่งคือ LP.8.1 ที่กำลังระบาดในอเมริกา

ลักษณะเด่นของโควิดทั้งสองสายพันธุ์ คือ เป็นสายพันธุ์ที่พัฒนามาจากโอไมครอน มีอาการคล้ายกัน ความรุนแรงของอาการจะน้อยกว่า แต่สามารถแพร่ได้เร็วขึ้น โดยแพร่กระจายได้เร็วกว่าไข้หวัดใหญ่ 7 เท่า (ยังไม่มีข้อมูลเทียบกับโควิดด้วยกัน)

โดยเชื้อ XEC จะมีระยะฟักตัว 2-14 วัน หลังจากวันได้รับเชื้อ อาการทั่วไปจะคล้ายกับอาการไข้หวัดใหญ่ คือ คัดจมูก ไอ อ่อนเพลีย มีไข้ ปวดหัว เจ็บคอ และอาจมีอาการท้องเสียร่วมด้วย

จากข้อมูลในปัจจุบันพบว่า เครื่องตรวจ ATK ยังสามารถใช้ตรวจเชื้อโควิดได้ผลดี โดยเฉพาะยี่ห้อที่ใช้ตรวจโอไมครอนได้ แต่ก็อาจตรวจไม่พบในระยะแรก ๆ นะครับ หากใครป่วย หรือสงสัยว่าจะเป็น ก็อาจต้องตรวจซ้ำเป็นระยะๆ ครับ

ทั้งนี้ องค์การอนามัยโลกได้ระบุเพิ่มเติมว่า การฉีดวัคซีนประจำปี ยังสามารถป้องกันอาการรุนแรงได้ดี และเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการสู้กับ Covid-19 อยู่ครับ

ใครที่พบว่าตัวเองติดเชื้อโควิดแล้ว ควรพักรักษาตัวเพื่อรอให้อาการดีขึ้นก่อน และจะสามารถกลับมาใช้ชีวิตปกติได้ เมื่อตรวจ ATK เหลือแค่ 1 ขีดแล้วนะครับ (เอาชัวร์ไว้ก่อน) แต่ทั้งนี้ก็ควรใส่หน้ากากอนามัยต่อไปอีกซักระยะด้วยครับ เพื่อความสบายใจของคนรอบข้างนั่นเอง

ปัจจุบันนี้ Covid-19 จัดเป็นโรคประจำถิ่นแล้ว การระบาดจึงน่าจะกลับมาแบบนี้ทุกปีเหมือนกับไข้หวัดใหญ่ครับ ใครที่กังวลก็ควรฉีดวัคซีนกระตุ้นทุกปี โดยเฉพาะสำหรับเด็ก ๆ ที่เกิดหลังปี 2020 อาจต้องลองปรึกษาแพทย์ว่าควรฉีดวัคซีนเอาไว้ไหม

ส่วนผู้ใหญ่แบบเรา ๆ ช่วงนี้จะกลับมาใส่หน้ากาก พกแอลกอฮอล์กันอีกครั้ง ก็ไม่เสียหายนะคร้าบ ปลอดภัยไว้ก่อนจ้า

Ref.
https://bitly.cx/4LTr
https://bitly.cx/4lKK5
https://bitly.cx/sXqFn
https://bitly.cx/WQNJ

17/05/2025

23/01/2025

📌5 ขั้นตอนล้างจมูก👃
ลดอาการระคายเคืองจากฝุ่น

*แนะนำสำหรับกลุ่มคนปกติที่โดนฝุ่นมาก หรือเป็นโรคจมูกอักเสบภูมิแพ้

#ฝุ่นpm25 #ความรู้ทำให้ทุกอย่างเป็นไปได้

19/01/2025

🧠 หากกังวลว่า คุณจะเข้าข่ายความจําเสื่อมหรือไม่
ชีวจิตขอชวนมาทําแบบทดสอบง่าย ๆ ผ่านโปรแกรมประเมินสุขภาพสมองค่ะ
เพียงตอบคําถามว่า มีอาการทั้ง 11 ข้อต่อไปนี้หรือไม่
#ชีวจิต #อัลไซเมอร์

07/01/2025

7 วิธีผ่อนคลายความเครียดแบบทันใจ
ทำทันที หายทันที (มั้งนะ)🤔⁉️

1.ออกกำลังกาย วิ่ง เดิน ฯลฯ ทำยังไงก็ได้ให้เหงื่อออก เพราะจะทำให้ร่างกายได้หลั่งสารเอ็นดอร์ฟินส์ ซึ่งช่วยบรรเทาอาการปวด ลดความเครียด และปรับอารมณ์ให้ดีขึ้นได้ และการออกกำลังกายแม้ช่วงเวลาสั้น ๆ พบว่าสามารถช่วยลดความซึมเศร้าและความวิตกกังวลได้อีกด้วย

2.อาบน้ำ/ล้างหน้า/แปรงฟัน เพื่อทำให้ร่างกายสดชื่น
เคยมีคนบอกไว้ว่าถ้ารู้สึกเศร้าให้ไปอาบน้ำ เพราะมันจะทำให้เราได้รู้สึกเหมือนละทิ้งสิ่งไม่ดีออกไป ช่วยชำระร่างกายและจิตใจซึ่งสามารถปรับเอนเนอร์จี้เราให้ดีขึ้นได้อีกด้วย

3.ทำความสะอาดห้อง เช่น จัดห้อง ล้างห้องน้ำ ฯลฯ
มีผลการศึกษาพบว่า ส่วนหนึ่งของความรู้สึกเครียดมาจากการที่อาศัยอยู่ในสถานที่ที่ไม่สะอาด หรือเต็มไปด้วยสิ่งของที่รกรุงรังและระเกะระกะ การทำความสะอาดห้องให้เป็นระเบียบ นอกจากจะได้ห้องที่เหมาะสมกับการอยู่อาศัยแล้ว ก็ยังช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย ความเครียด ลงได้อีกด้วย

4.กินอาหารอร่อย ๆ
อาหารที่ดีมีผลต่อสภาพจิตใจของเรา โดยเฉพาะในผู้ป่วยซึมเศร้าและผู้ป่วยกลุ่มโรควิตกกังวล หากได้รับอาหารที่มีโภชนาการที่ดี จะช่วยให้กระบวนการรักษาได้ผลดียิ่งขึ้น เพราะสารอาหารจะช่วยบำรุงสมอง และเยียวยาจิตใจนั่นเอง

5.หายใจให้ลึกขึ้น
เพราะการหายใจช้าและลึก สามารถช่วยต้านกลไกของความตึงเครียดได้

6.ออกไปเที่ยว เปลี่ยนบรรยากาศ ฯลฯ
เพราะการมีสภาพแวดล้อมที่ดีจะช่วยให้เราคลายเครียดได้ โดยเฉพาะสภาพแวดล้อมที่มีธรรมชาติ

7.เขียนระบายแล้วโยนทิ้งไปซะ
อย่าเพิ่งไปพ่นสิ่งลบ ๆ ให้คนอื่น
การได้ระบายความเครียดหรือสิ่งที่กังวลออกมาจะช่วยให้เรารู้สึกเบาและจัดระเบียบความคิดได้มากขึ้น อย่าปล่อยให้ความเครียดหรือความคิดลบ ๆ ไหลวนไม่จบสิ้นอยู่ในหัว

#แก้เครียด
#เกลาไปพร้อมกัน
#เกลานิสัยอันตราย

Writer : kanompang

Ref.
https://hellokhunmor.com/%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B8%B7%E0%B9%89%E0%B8%AD/%E0%B9%84%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%AA%E0%B9%82%E0%B8%84%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%99%E0%B8%B2/%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%9A%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%8A%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%A5%E0%B8%94%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%94/
Work from home จนเครียด ลองทำงานบ้านสิ เพราะ ทำงานบ้านช่วยลดความเครียด ได้นะ
https://www.medparkhospital.com/lifestyles/endorphins
สารเอ็นดอร์ฟินส์ สารสุข สร้างประโยชน์ให้ร่างกาย

01/01/2025

Happy New Year 2025 🎊🎆🎈

27/12/2024

เดินทางปีใหม่ยังไง ไม่ต้องแวะฉี่บ่อย

ปีใหม่ คงเป็นช่วงที่หลายคนต้องเดินทางไกล ไม่ว่าจะกลับบ้าน หรือ ไปเที่ยวกัน

ซึ่งทริปปีใหม่เนี่ยเวลาไปเป็นกลุ่มแล้วเดินทางไกล ๆ มันจะมีปัญหานึงที่เกิดขึ้นบ่อย ๆ นั่นคือ “ปวดฉี่อ่ะ แวะปั๊มหน่อย” แล้วแต่ละคนก็ ดันชอบปวดไม่พร้อมกันอีก จะบังคับให้ลงไปฉี่พร้อมกัน บางทีก็ไม่ปวด ฉี่ไม่ออกอีก

แต่ทริปปีนี้ ปัญหานี้อาจหมดไป เพราะลุงมีทริกดี ๆ ตามหลักวิทยาศาสตร์มาฝาก

เพราะถ้าเราดื่มนํ้าแบบไม่คิดอะไร ซดเอา ๆ เนี่ย บางที 5-15 นาทีก็อยากเข้าห้องนํ้าอีกแล้วนะเอ้อ

ก่อนอื่นเราต้องรู้ก่อน ว่ากระเพาะปัสสาวะ เราเก็บนํ้าได้แค่ไหน

โดยตั้งแต่วัยรุ่น-ผู้ใหญ่ จะเก็บนํ้าได้ราว 473-710 มล. ตีไปคร่าวๆ ก็นํ้า 1 ขวดนั่นแหละ

แต่ไม่ใช่นํ้าที่เราดื่มทั้งหมดจะพุ่งตรงไปเป็นปัสสาวะทันทีนะ เพราะถ้าร่างกายเราต้องการนํ้า นํ้าจะถูกดึงไปในกระแสเลือดก่อน แล้วนํ้าส่วนเกินจะถูกส่งไปกระเพาะปัสสาวะ

ซึ่งกระเพาะปัสสาวะเราจะเริ่มปวดฉี่ ก็ต่อเมื่อมีนํ้าเข้าไปถึง 1 ใน 4 ของกระเพาะปัสสาวะแล้ว

ซึ่งเทคนิคคือ เมื่อขึ้นรถ ให้เราพกนํ้าขวด โดยในระหว่างเดินทาง ถ้าเราหิวนํ้าเมื่อไหร่ ก็ค่อย ๆ จิบไปเรื่อย ๆ ไม่ต้องรีบดื่มเผื่อ

แล้วพอใกล้จะถึงจุดพักรถซัก 20 นาที (อาจบรีฟคนขับให้บอกหน่อย) ให้เราดื่มนํ้าในขวดที่เหลือได้เต็มที่

เท่านี้เมื่อถึงจุดพักรถ เราก็จะรู้สึกปวดฉี่พอดิบพอดี ไม่ต้องทนอั้นฉี่ หรือ แวะปั๊มบ่อย ๆ แล้วหละคร้าบ

Ref.
https://shorturl.asia/rWgqT
https://shorturl.asia/6tuwx
https://shorturl.asia/cOv3o
https://shorturl.asia/wf8Md
https://shorturl.asia/2VQM1
https://shorturl.asia/vRXxq