05/11/2025
#โรควิตกกังวลกับความเจ็บป่วย ( Illness Anxiety Disorder)
~~•*•~~•*•~~•*•~~•*•~~•*•~~•*•~~•*•~~•*•
วันนี้เรามารู้จักอีกโรคหนึ่งทางจิตเวชกันครับ ... นั่นคือโรคกังวลว่าจะเป็นโรค 🙂
ภาวะนี้ เดิมที(ในเกณฑ์การวินิจฉัยฉบับ DSM-IV) เรียกว่าโรค hypochondriasis
ส่วนในการวินิจฉัยทางจิตเวชในปัจจุบัน (DSM-5) ใช้คำว่า illness anxiety disorder ซึ่งในภาษาไทยผมแปลตรงตัวเลยว่า
“โรควิตกกังวลกับความเจ็บป่วย”
> อาการเด่น คือ
ผู้ป่วยจะกังวลหมกมุ่นว่าตัวเองเป็นโรคร้ายแรงอะไรบางอย่าง โดยความกังวลนี้เป็นอย่างรุนแรง ต่อเนื่อง และไม่หายไป แม้แพทย์จะตรวจยืนยันแล้วว่าไม่เป็นอะไรก็ตาม (หรืออาการนั้นอาจหายไปแล้วก็ตาม)
> พบได้บ่อยแค่ไหน?
พบได้ร้อยละ 1-2 ในประชากรทั่วไป
และพบมากถึงร้อยละ 3-8 ของผู้ป่วยในคลินิกหรือโรงพยาบาล
> อาการของโรควิตกกังวลกับความเจ็บป่วย
โรคนี้จะมีอาการเด่น 3 ข้อดังต่อไปนี้
1. ผู้ป่วยจะกังวลและหมกมุ่นว่าตัวเองป่วยหรือกำลังจะป่วยด้วยโรคทางกายที่ร้ายแรงบางอย่าง
2. ผู้ป่วยส่วนใหญ่ไม่ได้มีอาการทางกายที่รุนแรงหรือชัดเจน หรือถ้ามีก็เป็นเพียงอาการเล็กน้อย/ชั่วคราว ที่ไม่ได้บ่งชี้ว่าเป็นโรคที่รุนแรง
3. ความกังวลและหมกมุ่นนี้ไม่หายไป แม้จะไปตรวจ และแพทย์ไม่พบความผิดปกติที่ร้ายแรงก็ตาม ทำให้ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักมีพฤติกรรมไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจซ้ำๆ
จุดสำคัญ ก็คือ
ผู้ที่ป่วยมักจะมีอาการทางกายเพียง *เล็กน้อย*ที่ *พบได้ทั่วไป* หรือคนส่วนใหญ่ก็เป็น
เช่น ปวดหัว แสบลิ้นปี่ ปวดหลัง หรือปวดกล้ามเนื้อ เป็นต้น
แต่ ผู้ป่วยจะมีความกังวล *อย่างมาก* ว่าจะเป็นโรคร้ายแรง
เช่น ปวดหัวก็กลัวว่าจะเป็นเนื้องอกในสมอง หรือแสบท้องก็กังวลว่าจะเป็นมะเร็ง
* แม้ว่าจะได้รับการตรวจอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว *
ผู้ป่วยจึงมักไปตรวจกับแพทย์ แต่ถึงแม้ว่าแพทย์กี่คนๆจะตรวจ และบอกว่าไม่ได้เป็นโรคร้ายแรง หรือตรวจไม่พบความผิดปกติอะไร ผู้ป่วยก็ยังไม่หายกังวล หรือหายก็หายเพียงไม่นาน เมื่อมีอาการอีกก็กลับมากังวลใหม่
ทำให้ผู้ป่วยมักมีพฤติกรรมไปพบแพทย์ซ้ำๆ โดยอาจจะเป็นแพทย์คนเดิมหรือเปลี่ยนแพทย์คนใหม่ไปเรื่อยๆ เพื่อขอตรวจซ้ำๆ
ผู้ป่วยส่วนหนึ่งนอกจากไปพบแพทย์แล้วอาจหาข้อมูลด้วยตัวเอง เช่น ค้นหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ต ซึ่งผู้ป่วยหลายคนยิ่งอ่าน ก็ยิ่งกังวลมากขึ้น หรือกลัวว่าจะเป็นโรคอื่นๆ (ที่พึ่งอ่านเจอ) มากขึ้น
> การดำเนินโรค
โรควิตกกังวลกับความเจ็บป่วยนี้ส่วนใหญ่จะพบในวัยผู้ใหญ่ ในขณะที่เด็กกับวัยรุ่นแทบจะไม่เป็นเลย
โดยตัวโรคมักเป็นแบบเรื้อรัง ผู้ป่วยจะอาการติดต่อกันหลายปี
โดยมีอาการรุนแรงเป็นพักๆ ในช่วงที่มีความเครียดในชีวิต หรือบังเอิญมีความเจ็บป่วยทางกายเกิดขึ้น
> การรักษา
ยาหลักคือ ยาต้านเศร้า(antidepressant) บวกกับยาตัวช่วย เช่น ยาคลายกังวล จะช่วยให้อาการดีขึ้น
นอกจากนี้การปรับพฤติกรรม และวิธีคิด รวมถึงการทำจิตบำบัดจะช่วยให้ดีขึ้นได้
แต่ดีที่สุดคือใช้ทั้งสองอย่างร่วมกัน
แต่...
ส่วนใหญ่ผู้ป่วยไม่ได้มาพบจิตแพทย์หรอกครับ แต่จะไปวนเวียนอยู่กับแพทย์สาขาอื่นๆ เพราะความกังวลนั้นเป็นความกลัวว่าจะเป็นโรคอะไรสักอย่าง ... ทำให้ผู้ป่วยมักปฏิเสธการพบจิตแพทย์
-------------------------------------------------
คำแนะนำสำหรับแพทย์สาขาอื่นๆ ก็คือ
1. ให้การตรวจรักษาที่เหมาะสม โดยเน้นที่การอธิบายและให้ความรู้ความเข้าใจถึงผลการตรวจ จะช่วยให้ผู้ป่วยกังวลน้อยลง
2. นัดผู้ป่วยมาพบแพทย์เป็นระยะอย่างสม่ำเสมอ ไม่ว่าผู้ป่วยจะมีอาการหรือไม่ก็ตาม
การให้ความมั่นใจว่าแพทย์ติดตามดูอาการอยู่ตลอดจะช่วยให้ผู้ป่วยสบายใจมากขึ้น และไม่เปลี่ยนแพทย์ไปเรื่อยๆ
3. ในขณะเดียวกันการตรวจพิเศษต่างๆ (เช่น เจาะเลือด หรือเอกซเรย์คอมพิวเตอร์) ควรทำเฉพาะเมื่อมีข้อบ่งชี้ทางการแพทย์จริงๆ เท่านั้น ไม่ควรตรวจตามที่ผู้ป่วยต้องการ เพราะมักไม่ช่วยอะไร และผู้ป่วยมักจะขอตรวจเพิ่มไปเรื่อยๆ
~~•*•~~•*•~~•*•~~•*•~~•*•~~•*•~~•*•~~•*•
เครดิตบทความ : หมอคลองหลวง
เครดิตภาพ : https://images.app.goo.gl/XePQgUCt48JSbMHD7