ไตเสื่อม ไตวาย ดูแล ฟื้นฟูด้วย D-Tide

ไตเสื่อม ไตวาย ดูแล ฟื้นฟูด้วย D-Tide ดี-ไทด์ ดูแลฟื้นฟูไต กระตุ้นการขับข?

 #ไตวาย (Kidney Failure หรือ Renal Failure) คือ ภาวะที่ไตสูญเสียความสามารถในการกรองของเสียออกจากเลือด ผู้ป่วยมักมีอาการเ...
29/01/2021

#ไตวาย (Kidney Failure หรือ Renal Failure) คือ ภาวะที่ไตสูญเสียความสามารถในการกรองของเสียออกจากเลือด ผู้ป่วยมักมีอาการเหนื่อยง่าย มึนงง ปัสสาวะน้อยลง มีอาการบวมที่ขาหรือเท้า ซึ่งเป็นผลมาจากการที่ร่างกายไม่สามารถขับของเสียและน้ำออกมาผ่านทางปัสสาวะได้ จึงทำให้เกิดของเสียและน้ำตกค้างในร่างกาย

ไตวายมี 2 ชนิด คือ ไตวายเฉียบพลันและไตวายเรื้อรัง ซึ่งทั้ง 2 ชนิดอาจมีอาการที่ต่างกัน ทำให้มีวิธีการดูแลรักษาแตกต่างกันออกไป ผู้ป่วยไตวายนั้นจำเป็นต้องได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม เพราะของเสียที่ตกค้างในร่างกาย รวมไปถึงภาวะไม่สมดุลของระดับน้ำและแร่ธาตุของร่างกายจะส่งผลให้ระบบการทำงานของร่างกายเกิดความผิดปกติ หากปล่อยไว้อาจทำให้เสียชีวิตได้

ไตวาย

อาการของโรคไตวาย
โรคไตวายอาจมีอาการที่แตกต่างกันไปตามชนิดของโรค ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ชนิด ดังนี้

ไตวายเฉียบพลัน (Acute Kidney Failure หรือ Acute Renal Failure)
เป็นอาการที่เกิดขึ้นได้อย่างทันทีทันใด โดยเริ่มจากปัสสาวะน้อยลง หรือไม่ปัสสาวะเลย มีอาการบวมที่ขาและเท้า เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน รู้สึกมึนงง อ่อนเพลีย หรือง่วงเหงาหาวนอนตลอดเวลา นอกจากนี้ยังอาจมีอาการปวดหลังบริเวณชายโครง หายใจถี่ ทั้งนี้บางรายอาจไม่แสดงอาการใด ๆ เลย หรือในกรณีที่อาการรุนแรง อาจมีอาการชักหรือหมดสติเข้าสู่ภาวะโคม่าแบบเฉียบพลัน

ไตวายเรื้อรัง (Chronic Kidney Failure หรือ Chronic Renal Failure)
อาการของไตวายเรื้อรังจะไม่เกิดขึ้นพร้อมกันในคราวเดียว แต่จะค่อย ๆ สำแดงอาการออกมาเป็นระยะ ไตวายเรื้อรังจะถูกแบ่งออกเป็น 5 ระยะตามระดับของค่าประเมินการทำงานของไต (Estimated Glomerular Filtration Rate - eGFR) หรือค่าที่ประมาณว่าในแต่ละนาทีไตสามารถกรองของเสียออกจากเลือดได้เท่าไหร่ ซึ่งคนปกติทั่วไปจะมีค่าประเมินการทำงานของไตอยู่ที่มากกว่า 90 มิลลิลิตรต่อนาที (ml/min) โดยระยะของไตวาย มีดังนี้

ระยะที่ 1
ในช่วงแรกของอาการไตวายเรื้อรังจะไม่มีอาการแสดงให้เห็นชัดเจน ซึ่งในระยะแรก ค่าการทำงานของไตจะอยู่คงที่ประมาณ 90 มิลลิลิตรต่อนาที ขึ้นไป แต่อาจพบไตอักเสบ หรือพบภาวะโปรตีนรั่วออกมาปะปนในเลือดหรือในปัสสาวะ
ระยะที่ 2
เป็นระยะที่การทำงานของไตเริ่มลดลง แต่มักจะยังไม่มีอาการใด ๆ แสดงให้เห็นนอกจากการตรวจค่าการทำงานของไตเช่นเดียวกัน ซึ่งค่าการทำงานของไตจะเหลือเพียง 60-89 มิลลิลิตรต่อนาที
ระยะที่ 3
ในระยะนี้ จะถูกแบ่งออกเป็นอีก 2 ระยะย่อย คือ 3A และ 3B ตามค่าการทำงานของไต โดย 3A จะมีค่าการทำงานของไตอยู่ที่ 45-59 มิลลิลิตรต่อนาที ส่วน 3B จะอยู่ที่ 30-44 มิลลิลิตรต่อนาที ซึ่งในระยะที่ 3 ก็มักจะยังไม่มีอาการใด ๆ สำแดงให้เห็น นอกจากค่าการทำงานของไตที่ทำงานลดลงอย่างต่อเนื่อง
ระยะที่ 4
อาการต่าง ๆ มักจะสำแดงในระยะนี้ นอกจากค่าการทำงานของไตจะลดลงเหลือเพียง 15-29 ml/min แล้ว ผู้ป่วยอาจจะมีอาการมึนงง เบื่ออาหาร น้ำหนักลด ผิวแห้งและคัน กล้ามเนื้อเป็นตะคริวบ่อยขึ้น อาจมีอาการบวมน้ำที่ตามข้อ ขา และเท้า ใต้ตาคล้ำ ปวดปัสสาวะบ่อย แต่ปริมาณปัสสาวะน้อยลง โลหิตจาง หรือรู้สึกไม่สบายเนื้อไม่สบายตัวตลอดเวลา
ระยะที่ 5
เป็นระยะสุดท้ายของภาวะไตวาย ค่าการทำงานของไตจะลดลงเหลือน้อยกว่า 15 มิลลิลิตรต่อนาที นอกจากอาการที่คล้ายกับระยะที่ 4 แล้ว อาจมีภาวะโลหิตจางที่รุนแรงขึ้น และอาจมีการตรวจพบการเสียสมดุลของแคลเซียม ฟอสเฟต หรือสารต่าง ๆ ที่อยู่ในเลือด นำมาสู่ภาวะกระดูกบางและเปราะหักง่าย ซึ่งหากไม่ได้รับการรักษาอาจเสียชีวิตได้
สาเหตุของโรคไตวาย
ไตวายสามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ซึ่งอาจเป็นสาเหตุที่ส่งผลเสียต่อไตโดยตรงหรือส่งผลต่อการทำงานของอวัยวะอื่น ๆ จนทำให้ไตเกิดการทำงานที่ผิดปกติตามไป โดยสาเหตุของไตวายทั้งแบบเฉียบพลันและเรื้อรังที่พบได้บ่อยมีดังนี้

การสูญเสียเลือดหรือน้ำในร่างกายมากเกินไป
ส่งผลให้ไตเสื่อมประสิทธิภาพในการทำงานลงอย่างเฉียบพลัน
ความดันโลหิตสูง
ส่งผลให้ผนังหลอดเลือดที่ไหลเวียนเลือดไปที่ไตผิดปกติ หากมีภาวะความดันโลหิตสูงเป็นระยะเวลานานโดยไม่ได้รับการรักษา อาจเป็นสาเหตุหนึ่งให้ไตเสื่อมได้ในที่สุด
โรคเบาหวาน
ระดับน้ำตาลในเลือดสูงส่งผลต่อไตทำให้ไตเสื่อม ผู้ป่วยที่เป็นเบาหวานจึงมีความเสี่ยงที่จะเป็นไตวายเรื้อรัง
อาการแพ้อย่างรุนแรง
อาการแพ้อย่างรุนแรงจนทำให้ระบบการทำงานในร่างกายล้มเหลว ส่งผลกระทบต่อการทำงานของไต
การทำงานของระบบต่าง ๆ ในร่างกายล้มเหลว
อาทิ หัวใจวาย หัวใจล้มเหลว ตับล้มเหลว ที่กระทบต่อระบบไหลเวียนเลือดทั่วร่างกายจนทำให้ไตได้รับเลือดไปไหลเวียนไม่เพียงพอ
การติดเชื้อ
การติดเชื้อไวรัส หรือแบคทีเรียบางชนิด เมื่อแพร่กระจายเข้าสู่กระแสเลือด เชื้อโรคเหล่านี้จะถูกพาไปยังไต และทำให้ไตถูกทำลาย
ผลข้างเคียงจากการใช้ยา
อาทิ ยาแอสไพริน (Aspirin) ยาไอบูโพรเฟน (ibuprofen) หรือ ยานาพรอกเซน (Naproxen) หากใช้ติดต่อกันเป็นเวลานานเกินไป หรือซื้อใช้เองโดยไม่อยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์หรือเภสัชกร อาจนำมาสู่ภาวะไตเสื่อม
ปัญหาเกี่ยวกับระบบทางเดินปัสสาวะ
โรคทางเดินปัสสาวะ อย่างลิ่มเลือดอุดตันในทางเดินปัสสาวะ ต่อมลูกหมากโตในเพศชาย นิ่วในไต หรือโรคมะเร็งที่ส่งผลให้เกิดก้อนเนื้อไปขัดขวางระบบทางเดินปัสสาวะจนทำให้ไตขับปัสสาวะออกมาไม่ได้ และเกิดภาวะเสื่อมของไตในที่สุด
ได้รับสารพิษ
เมื่อสารพิษเข้าสู่ร่างกาย ร่างกายจะพยายามขับออกมาทางปัสสาวะ ทำให้ไตทำงานหนักขึ้น สารพิษบางชนิดอาจทำลายไตจนทำให้ไตวายได้
นอกจากจากนี้โรคไตวายอาจเป็นภาวะแทรกซ้อนของโรคต่าง ๆ อย่างโรคไข้เลือดออกที่มีภาวะช็อก หรือเกิดจากอุบัติเหตุโดยตรงที่บริเวณไต ไม่เพียงเท่านั้น ความเสื่อมของไตตามอายุก็อาจทำให้เกิดภาวะไตวายได้เช่นกัน

การวินิจฉัยโรคไตวาย
ไตวายเป็นอาการที่มักไม่มีสัญญาณเตือนให้รู้ล่วงหน้า แต่จะเริ่มแสดงอาการก็ต่อเมื่อประสิทธิภาพในการทำงานของไตลดลง โดยอาการที่เข้าข่ายว่าผู้ป่วยเริ่มมีอาการไตวายมากสามารถสังเกตได้ว่า รู้สึกเหนื่อยง่าย ปัสสาวะน้อยลง มีอาการบวมที่ขาหรือเท้า ผิวหนังมีรอยช้ำง่ายกว่าปกติหรือมีเลือดไหลออกง่ายกว่าปกติ

ทั้งนี้หากแพทย์พบความผิดปกติที่อาจเป็นอาการของไตวาย แพทย์อาจส่งตรวจวินิจฉัยทางห้องปฏิบัติการเพิ่มเติม เพื่อระบุให้แน่ชัดว่าเป็นโรคไตวายหรือไม่ หรือถ้าหากเป็นไตวาย ผู้ป่วยมีอาการอยู่ในระยะใด ซึ่งวิธีการตรวจมีดังนี้

การตรวจปัสสาวะ
การตรวจปัสสาวะมีจุดประสงค์เพื่อตรวจหาปริมาณของปัสสาวะที่ร่างกายขับออกมาได้ รวมทั้งตรวจหาโปรตีนหรือเม็ดเลือดแดงและเม็ดเลือดขาวที่ปะปนออกมากับปัสสาวะ วิธีนี้จะบอกได้เบื้องต้นว่าไตยังทำงานได้ดีหรือไม่

การตรวจเลือด
จะแสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพในการกรองของไต ซึ่งถ้าหากมีภาวะไตวาย ปริมาณไนโตรเจน กรดยูเรีย (Blood Urea Nitrogen, BUN) และครีเอทินิน (Creatinine, Cr) ที่เป็นของเสียที่มาจากกล้ามเนื้อจะตกค้างในเลือดสูง ทั้งนี้ค่าปกติของคนทั่วไปจะอยู่ที่

BUN: ประมาณ 5-20 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร
Cr: ประมาณ 0.6-1.2 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตรในผู้ชาย และ 0.5-1.1 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตรในผู้หญิง
การหาค่าประเมินการทำงานของไต (eGFR)
นอกจากนี้อาจมีการหา eGFR เพิ่มเติมด้วย ซึ่งค่าดังกล่าวคือค่าที่จะแสดงให้เห็นว่าในแต่ละนาทีไตสามารถกรองเลือดได้เท่าใหร่ วิธีการคำนวณคือจะนำเอาค่าต่าง ๆ รวมทั้ง BUN และ Cr ในเลือดมาคำนวณเพื่อให้ได้ค่าดังกล่าว ซึ่งค่าปกติของคนทั่วไปที่ไม่มีปัญหาเกี่ยวกับไตจะอยู่ที่ 90 มิลลิลิตรต่อนาทีขึ้นไป

การเอกซเรย์ด้วยคอมพิวเตอร์ (CT Scan) และการตรวจอัลตราซาวด์ (Ultrasound)
การตรวจนี้จะแสดงให้เห็นภาพไตของผู้ป่วยซึ่งจะทำให้แพทย์สามารถสังเกตเห็นความผิดปกติของไต และระบบทางเดินปัสสาวะได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ซึ่งโดยปกติแพทย์มักจะใช้ร่วมกับวิธีการตรวจทางห้องปฏิบัติการ

นอกจากนี้แพทย์อาจผ่าตัดหรือใช้เข็มเจาะเพื่อนำตัวอย่างชิ้นเนื้อของไตไปตรวจในห้องปฏิบัติการเฉพาะเพื่อดูความผิดปกติ วินิจฉัยร่วมกับผลตรวจอื่น ๆ และลักษณะทางกายภาพของผู้ป่วย เพื่อวินิจฉัยว่าผู้ป่วยมีความผิดปกติของไตหรือไม่ และถ้ามี เป็นไตวายชนิดใด

การรักษาโรคไตวาย
เนื่องจากภาวะไตวายเป็นอาการที่มีทั้งแบบเฉียบพลันและเรื้อรัง จึงอาจมีลักษณะการรักษาที่แตกต่างกัน ดังนี้

ไตวายเฉียบพลัน
อาการไตวายที่เกิดขึ้นอย่างเฉียบพลันนั้นเกิดได้จากหลายสาเหตุ ดังนั้น วิธีการรักษาภาวะไตวายเฉียบพลันจึงจะต้องรักษาที่ต้นเหตุ และในช่วงการรักษาผู้ป่วยอาจต้องทำการฟอกไตจนกว่าการทำงานของไตจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ อีกทั้งแพทย์อาจทำงานร่วมกับนักโภชนาการเพื่อปรับเปลี่ยนการรับประทานที่ไม่ทำให้ไตทำงานหนักจนเกินไป

ทั้งนี้หากรักษาอาการไตวายแบบเฉียบพลันได้ตรงจุดก็อาจทำให้ผู้ป่วยสามารถกลับสู่ภาวะปกติได้ในระยะเวลาไม่กี่วันหรือไม่กี่สัปดาห์ แต่ในบางรายที่ไตมีความเสียหายร้ายแรง อาการไตวายอาจเปลี่ยนจากไตวายเฉียบพลันเป็นไตวายเรื้อรังได้ ซึ่งในกรณีนี้ แพทย์จะทำการตรวจวินิจฉัยถึงระยะของไตวายและวางแผนการรักษาใหม่อีกครั้ง

ไตวายเรื้อรัง
การรักษาอาการไตวายเรื้อรังที่ดีที่สุดคือการผ่าตัดปลูกถ่ายไต โดยระหว่างการรอการปลูกถ่ายไตจะต้องมีการรักษาเพื่อประคับประคองอาการไปก่อน ด้วยการใช้ยาเพื่อรักษาหรือควบคุมไม่ให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่ทำให้ไตยิ่งทำงานแย่ลง อาทิ การใช้ยาเพื่อรักษาสมดุลกรด-ด่างในร่างกาย ควบคู่กับการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดสูงของผู้ป่วยเบาหวาน หรือควบคุมระดับความดันโลหิตสูง และปริมาณไขมันในเลือด เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีวิธีการรักษาที่จะแบ่งออกเป็น 2 ช่วงใหญ่ ๆ ตามระยะของอาการดังนี้

ไตวายในระยะที่ 1-3
เป็นระยะไม่จำเป็นต้องทำการรักษา แต่จำเป็นที่จะต้องพบแพทย์เพื่อตรวจระบบการทำงานของไต โดยแพทย์จะนัดเพื่อตรวจค่าการทำงานของไตเป็นระยะ ๆ หรือในกรณีที่เริ่มมีค่าการทำงานไตที่ลดลงมากขึ้น อาจมีการตรวจเลือดถี่ขึ้นเพื่อติดตามอาการอย่างใกล้ชิด

ไตวายในระยะที่ 4-5
เป็นระยะที่ไตทำงานลดลงอย่างมาก จะต้องใช้การรักษาหลาย ๆ วิธีร่วมกันเพื่อประคับประคองอาการให้อยู่ในระดับคงที่เพื่อรอการผ่าตัดปลูกถ่ายไต อีกทั้งต้องมีการเฝ้าระวังภาวะบวมน้ำ ภาวะกระดูกเปราะบาง โรคโลหิตจาง และการติดเชื้อในไตร่วมด้วย

ในปัจจุบันการรักษาไตวายที่ใช้มี 2 วิธี ได้แก่

การฟอกไต (Dialysis)
เมื่อการทำงานของไตลดลงจนไตไม่สามารถกำจัดของเสียออกจากเลือดได้ แพทย์จะใช้การฟอกไตเพื่อกำจัดของเสียที่อยู่ภายในเลือดแทน ซึ่งอุปกรณ์ที่ใช้ในการฟอกไตจะจำลองการทำงานของไต โดยการฟอกไตจะแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ ดังนี้

การฟอกไตด้วยเครื่องไตเทียม (Hemodialysis)
วิธีนี้จะทำโดยการใช้อุปกรณ์ที่เรียกว่าไตเทียม ซึ่งในขั้นแรกแพทย์จะทำการผ่าตัดสร้างเส้นเลือดเชื่อมต่อระหว่างเครื่องกับหลอดเลือดดำและหลอดเลือดแดงเพื่อให้เลือดหมุนเวียนเข้าไปในเครื่องและถูกฟอกให้สะอาดก่อนที่จะถูกหมุนเวียนกลับเข้าสู่ร่างกาย โดยจะต้องได้รับการฟอกไตประมาณสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง ครั้งละ 3-4 ชั่วโมง และจะต้องมาเข้ารับบริการฟ้องไตที่โรงพยาบาลหรือสถานพยาบาลที่มีบริการฟอกไต
การฟอกไตทางช่องท้อง (Peritoneal Dialysis)
วิธีนี้เป็นการฟอกไตโดยใช้เนื้อเยื่อที่บริเวณช่องท้องในการกรองของเสียออกจากเลือดแทนไตร่วมกับน้ำยาฟอกไต ซึ่งวิธีนี้จะสะดวกและสามารถทำได้เองที่บ้าน อีกทั้งในขณะที่ฟอกไตก็สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ การฟอกไตด้วยวิธีนี้อาจต้องทำวันละ 3-4 ครั้ง โดยก่อนที่มีการฟอกไตด้วยวิธีนี้ แพทย์จะต้องทำการผ่าตัดเล็กเพื่อใส่ท่อเข้าไปที่บริเวณช่องท้อง จากนั้นเมื่อมีการฟอกไต ผู้ป่วยจะต้องเติมน้ำยาฟอกไตเข้าไป จากนั้นระบบไหลเวียนของเลือดจะทำให้ของเสียและน้ำส่วนเกินออกมาอยู่ในช่องท้อง เมื่อครบระยะเวลาที่กำหนดก็ระบายน้ำส่วนเกินพร้อมกับของเสียออกมาภายนอก
เนื่องจากการฟอกไตจะมีผลข้างเคียงหลายอย่างไม่ว่าจะเป็น ความดันโลหิตต่ำ เวียนศีรษะ อาเจียน หน้ามืด ไม่เพียงเท่านั้น วิธีการฟอกไตบางอย่างอาจไม่เหมาะกับสภาพร่างกายของผู้ป่วยอีกด้วย จึงต้องให้แพทย์ทำการวินิจฉัยและตัดสินใจร่วมกันกับผู้ป่่วยว่าวิธีการฟอกไตแบบไหนเหมาะสมมากที่สุด ซึ่งถ้าหากฟอกไตได้ผล ระดับของเสียในร่างกายที่สะสมอยู่จะลดลงได้

สำหรับการดูแลตนเอง เมื่อผู้ป่วยเริ่มได้รับการฟอกไต การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตเป็นเรื่องสำคัญ โดยผู้ได้รับการฟอกไตอาจต้องหลีกเลี่ยงอาหารที่มีรสเค็ม หรืออาหารที่มีฟอสฟอรัสและโพแทสเซียม อีกทั้งยังอาจต้องจำกัดการบริโภคอาหารที่มีน้ำเป็นส่วนประกอบ หรือดื่มน้ำให้อยู่ในปริมาณที่พอดีต่อความต้องการของร่างกาย ที่สำคัญคือควรรับประทานอาหารที่มีโปรตีนสูงขึ้น เพื่อเสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรง ทั้งนี้ ปริมาณอาหารและน้ำที่เหมาะสมนั้นมีความแตกต่างกันในผู้ป่วยแต่ละคน และควรปรึกษาแพทย์ทุกครั้ง

การผ่าตัดปลูกถ่ายไต (Kidney Transplant)
แม้ผู้ป่วยจะได้รับการฟอกไตแล้ว แต่ภาวะไตวายเรื้อรังจะไม่หายไป ซึ่งต้องได้รับการรักษาด้วยการผ่าตัดปลูกถ่ายไตเท่านั้น การปลูกถ่ายไตมีความยุ่งยากซับซ้อนหลายประการ และปริมาณไตที่ได้รับการบริจาคมักมีน้อยกว่าผู้ที่รอรับการบริจาค รวมทั้งไตที่ได้รับจากการบริจาคต้องสามารถเข้ากับร่างกายของผู้ป่วยได้

ทว่า หากผู้ป่วยได้รับการผ่าตัดก็สามารถใช้ชีวิตอยู่ได้ตามปกติ เพราะในปัจจุบันอัตราการรอดชีวิตจากการปลูกถ่ายไตอยู่ในระดับที่สูงมาก และผู้ป่วยที่ได้รับการปลูกถ่ายไตส่วนใหญ่สามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้มากกว่า 10 ปี

ดังนั้น ผู้ป่วยไตวายชนิดเฉียบพลันอาจสามารถรักษาให้หายได้ แต่ไตวายชนิดเรื้อรังต้องรักษาอย่างต่อเนื่องไปจนกว่าจะได้รับการปลูกถ่ายไต หากไม่ได้รับการปลูกถ่ายไตก็จำเป็นต้องรักษาด้วยการฟอกไตไปตลอดชีวิต ด้วยเหตุนี้ ผู้ป่วยไตวายชนิดเรื้อรังอาจต้องแบกรับภาระด้านค่าใช้จ่ายในการฟอกไตเป็นจำนวนสูงมาก อีกทั้งยังมีค่ารักษาเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น

ดังนั้น ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อภาวะไตวายเรื้อรัง อย่างผู้ป่วยโรคเบาหวานและภาวะความดันโลหิตสูง รวมไปถึงผู้ที่มีแนวโน้มเสี่ยงต่อโรคที่เกี่ยวข้องกับภาวะนี้ ควรศึกษาค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นเพื่อวางแผนด้านการเงินและด้านการรักษา ซึ่งอาจช่วยให้กระบวนการรักษาทำได้อย่างต่อเนื่องโดยไม่ติดปัญหาเรื่องค่าใช้จ่าย อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะไม่มีความเสี่ยงของโรคเหล่านี้ แต่วิถีชีวิตในปัจจุบัน อย่างการทำงานหนักจนไม่มีเวลาดูแลสุขภาพหรือการรับประทานอาหารที่ไม่มีประโยชน์อาจค่อย ๆ เพิ่มความเสี่ยงโดยไม่รู้ตัว จึงเป็นเรื่องใกล้ตัวที่ควรวางแผนป้องกันไม่ให้เกิดโรค

ภาวะแทรกซ้อนของโรคไตวาย
ไตวายเป็นอีกภาวะหนึ่งที่สามารถเกิดอาการแทรกซ้อนได้ ซึ่งอาการอาจรุนแรงจนถึงขั้นเสียชีวิต โดยอาการแทรกซ้อนที่พบได้บ่อยแบ่งตามชนิดของไตวายมีดังนี้

ภาวะแทรกซ้อนจากไตวายเฉียบพลัน
ไตวายเฉียบพลันอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น

ภาวะน้ำท่วมปอด
ภาวะไตวายเฉียบพลันสามารถส่งผลให้เกิดของเหลวส่วนเกินภายในร่างกายล้นเข้าไปในช่องเยื่อหุ้มปอดจนกลายเป็นภาวะน้ำท่วมปอด ทำให้หายใจลำบาก และอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
เยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ
เมื่อร่างกายไม่สามารถขับของเสียออกจากร่างกายได้ ของเสียจะคั่งอยู่ในกระแสเลือด หากของเสียเหล่านั้นเข้าสู่หัวใจ อาจทำให้เกิดภาวะเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบจนทำให้รู้สึกเจ็บหน้าอกได้
กล้ามเนื้ออ่อนแรง
ภาวะไตวายจะทำลายสมดุลของสารต่าง ๆ ในร่างกาย โดยเฉพาะโพแทสเซียมที่คั่งค้างเพราะร่างกายไม่สามารถขับออกไปจากร่างกายได้ หากร่างกายมีโพแทสเซียมสะสมในเลือดมากเกินไป อาจกระทบต่อการทำงานของกล้ามเนื้อทุกส่วน โดยเฉพาะกล้ามเนื้อหัวใจ และส่งผลให้หัวใจหยุดเต้นได้
ไตถูกทำลายอย่างถาวร ในภาวะไตวายเฉียบพลัน ไตอาจยังไม่ถูกทำลาย แต่ถ้าได้รับการรักษาที่ล่าช้าก็จะทำให้ไตถูกทำลายอย่างถาวรและกลายเป็นไตวายเรื้อรังได้
ภาวะแทรกซ้อนจากไตวายเรื้อรัง
อาการจากไตวายเรื้อรังอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อน ดังนี้

โรคหัวใจและหลอดเลือด
ไตวายเรื้อรังจะส่งผลโดยตรงต่อระบบไหลเวียนเลือด และยิ่งเพิ่มความเสี่ยงให้เกิดภาวะหลอดเลือดตีบแข็งมากขึ้น ซึ่งอาจทำให้ผู้ป่วยเป็นโรคหัวใจ หรือโรคหลอดเลือดสมองได้
โรคโลหิตจาง
นอกจากภาวะไตวายเรื้อรังจะทำให้มีของเสียตกค้างในกระแสเลือดมากขึ้นแล้ว ยังทำให้ไตไม่สามารถผลิตฮอร์โมนที่กระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดแดงได้ จนทำให้ผู้ป่วยเกิดภาวะโลหิตจาง
โรคกระดูกพรุน
เมื่อการทำงานของไตลดลงจากภาวะไตวายเรื้อรัง ฮอร์โมนที่ควบคุมปริมาณแคลเซียมในกระดูกก็จะบกพร่องไปด้วย ส่งผลให้เกิดภาวะกระดูกพรุนได้มากกว่าคนปกติ
การป้องกันโรคไตวาย
ไตวายอาจเกิดขึ้นได้กับทุกคน แต่ก็สามารถป้องกัน และชะลอการเกิดภาวะนี้ได้ด้วยการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต ลดปัจจัยเสี่ยงที่จะส่งผลเสียต่อไตในระยะสั้นและระยะยาว ดังนี้

หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ และการได้รับควันบุหรี่มือสอง
เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ หลีกเลี่ยงอาหารรสเค็ม โดยไม่ควรรับประทานเกลือเกินวันละ 6 กรัม
ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ควรออกกำลังกายให้ได้อย่างน้อยสัปดาห์ละ 150 นาที โดยออกกำลังกายให้หนักปานกลาง เพื่อลดปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดภาวะไตวาย ได้แก่ ความดันโลหิต ระดับน้ำตาลในเลือด เป็นต้น
ลดปริมาณการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม
หลีกเลี่ยงการใช้ยาต้านการอักเสบ อย่างไอบูโพรเฟนติดต่อกันเป็นเวลานาน
ผู้ที่ป่วยด้วยโรคประจำตัวอย่าง โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง หรือโรคไขมันในเลือด ควรรับประทานยาอย่างต่อเนื่อง เพื่อควบคุมไม่ให้อาการรุนแรงขึ้นและทำให้การทำงานของไตหนักขึ้น หรือทำให้ไตเสื่อมสภาพลง

ที่อยู่

802/18 ตรอกวัดจันทร์ใน ถนนเจริญกรุง แขวงบางโคล่ เขตบางคอแหลม
Bangkok
10120

เบอร์โทรศัพท์

+66990538118

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ ไตเสื่อม ไตวาย ดูแล ฟื้นฟูด้วย D-Tideผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

แชร์

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram