Vajira Nutrition

09/04/2024

Postbariatric surgery diet progression
Part 1: ความรู้เบื้องต้น

ผู้ป่วยบางรายที่เพิ่งจะเข้ารับการผ่าตัดลดขนาดกระเพาะ (bariatric surgery) แต่ไม่ได้รับคำแนะนำเกี่ยวกับวิธีการจัดการอาหารช่วงหลังผ่าตัด พอมาติดตามการรักษา เห็นว่าน้ำหนักตัวจะลดลงมาก ซึ่งดูผิวเผินดูน่าจะดีใจเพราะมันคือความตั้งใจแรกเริ่มของการผ่าตัดแบบนี้ แต่ผู้ป่วยกลับดูไม่สดชื่นกลับอ่อนเพลียเหี่ยวแห้ง ผมร่วงระนาว พอได้ตรวจดูกันจริง ๆ จึงได้พบว่าน้ำหนักตัว 15 kg ที่หายไปในช่วง 3 สัปดาห์ที่ผ่านมา เกือบทั้งหมดคือกล้ามเนื้อที่หายไป ส่วนไขมันนั้นหายไปเพียง 3 kg เท่านั้น

เกิดอะไรขึ้น เป็นเพราะอะไร และจะป้องกันอย่างไร? มาครับมา จะเล่าให้ฟัง

การผ่าตัดลดขนาดกระเพาะอาหารหรือ sleeve gastrectomy เป็นวิธีการผ่าตัดแบบหนึ่งที่ใช้ในการลดน้ำหนักในผู้ป่วยที่เป็นโรคอ้วน ซึ่งจะมีการตัดเอาส่วนของกระเพาะออกไปประมาณ 80% ทำให้กระเพาะอาหารมีปริมาณเหลืออยู่ประมาณ 100-150 mL ดังนั้นหลังการผ่าตัดผู้ป่วยจะรับประทานอาหารได้น้อยมากไปโดยปริยาย และในขณะเดียวกัน hormone ต่าง ๆ ที่เคยสร้างจากที่นี่ โดยเฉพาะ ghrelin ซึ่งเป็นตัวที่กระตุ้นให้เกิดความอยากอาหารก็หายไปด้วย ผู้ป่วยจึงไม่หิวบ่อยและกินได้น้อยลง น้ำหนักตัวก็จะลลดลงได้เร็ว

การรับประทานอาหารได้น้อยมีผลทำให้พลังงานและสารอาหารทั้งหมดที่ได้รับต่อวันลดลง ร่างกายก็ต้องนำเอาสารอาหารที่มีสะสมอยู่ออกมาใช้ ก็คือหมายถึงทั้งน้ำตาล โปรตีนในกล้ามเนื้อ และไขมัน รวมถึงวิตามินเกลือแร่ต่าง ๆ ซึ่งโดยธรรมชาติแล้วน้ำตาลจะถูกนำมาใช้ก่อนเป็นอันดับแรก เมื่อน้ำตาลเริ่มลดลงจนเริ่มจะไม่พอใจ ก็ต้องใช้จากโปรตีนหรือไขมันแทน

งั้นร่างกายเลือกใช้แบบไหน? ขึ้นกับระดับความเครียดของร่างกายครับ
- กรณีที่ร่างกายไม่เครียด ไม่รีบใช้พลังงานอะไรมาก ร่างกายก็จะเลือกเอาไขมันออกมาใช้ เพราะโปรตีนคือของสำคัญสำหรับชีวิต แต่ไขมันคือพลังงานสำรอง ไขมันในร่างกายก็จะค่อย ๆ ถูกดึงออกมาใช้เรื่อย ๆ
- กรณีที่ร่างกายเริ่มเครียด เช่น ขาดน้ำรุนแรง มีการออกแรงใช้พลังงานมาก ๆ ในช่วงเวลาสั้น ๆ เกิดการติดเชื้อ มีไข้ ฯลฯ จะมีฮอร์โมนของความเครียดหลั่งออกมา เช่น adrenaline, cortisol, glucagon, growth hormone ซึ่งฮอร์โมนกลุ่มนี้มีไว้สำหรับเพื่อกระตุ้นให้สร้างน้ำตาลให้มากขึ้นและกระตุ้นให้เซลล์ของร่างกายตื่นตัวพร้อมที่จะต่อสู้หรือจะหนีเอาตัวรอด (เพราะน้ำตาลจะถูกนำมาใช้เพื่อการสู้หรือการหนีให้รอดจึงต้องมีน้ำตาลไว้เยอะหน่อย) กระบวนการสร้างน้ำตาลขึ้นมาใหม่หรือ gluconeogenesis นี้ร่างกายเราสร้างได้ 2 ทางคือ มาจากหน่วยย่อยของ โปรตีนคือ amino acids ชนิดต่าง ๆ โดยดึงโปรตีนออกมาจากกล้ามเนื้อแล้วสลายออกจนเหลือส่วนของ amino acid ที่ใช้ได้ นำส่งไปที่ตับแล้วสร้างน้ำตาล กับการสร้างน้ำตาลจากไขมัน โดยส่วนหนึ่งของโครงสร้างไขมัน triglycerides นั้นมีส่วนที่เรียกว่า glycerol ซึ่งสามารถเอาไปใช้ได้

ช่วงร่างกายไม่เครียดเราไม่ได้อยากได้น้ำตาลมากขึ้น เราอยากได้พลังงาน เพราะงั้นจะมาจากแหล่งก็ได้ เราก็เลือกไขมันมาสร้างพลังงานซะเลย ถ้าไม่พอจริง ๆ ก็ค่อยเอาโปรตีนออกมา แต่ในช่วงที่ร่างกายเครียด เราไม่เพียงแต่อยากได้พลังงาน แต่เราอยากได้น้ำตาลมากกว่า ดังนั้นโปรตีนจึงเป็นตกเป็นเป้าหมาย

โปรตีนที่หายไปมาก จะมีผลกระทบกับการหายของแผล การต่อสู้กับการติดเชื้อ (ถ้ามี) และปัญหาอื่น ๆ อีกมาก ที่สำคัญคือในระยะยาวหาก protein ลดลงมากกว่าไขมันแบบนี้ไปเรื่อย ๆ โอกาสที่จะหายจากเบาหวาน (ในคนที่เป็นเบาหวานก่อนการผ่าตัด) หรือ diabetic remission จะริบหรี่ตามไปด้วย น่าเสียดายมาก

ผู้ป่วยหลังผ่าตัดลดขนาดกระเพาะ ในความจริงแล้วแม้จะเกิดร่างกายเครียดจากการผ่าตัดแต่มักจะไม่มาก เพราะทุกวันนี้เทคนิคการผ่าตัดใช้การส่องกล้องและใช้เวลาไม่นาน การสูญเสียกล้ามเนื้อจึงมักจะมีบ้างแต่ไม่มากนัก แต่ถ้ามีปัจจัยเรื่องความเครียดขึ้นมา สถานการณ์จะพลิกได้ง่าย ๆ

อะไรคือสาเหตุของความเครียด?
1. ร่างกายได้ได้รับน้ำไม่พอ ความที่กระเพาะอาหารมีความจุเหลือเพียง 100-150 mL ประมาณ lactasoy กล่องละห้าบาท (หากมีคนเกิดทัน) ดื่มน้ำแล้วก็จะเต็มกระเพาะเร็วมาก หรือบางครั้งอาเจียนออก แถมผู้ป่วยยังแทบจะไม่รู้สึกหิวเลย ทำให้น้ำที่ได้รับน้อยลง ร่างกายเครียดจากการขาดน้ำตามมา
2. ร่างกายขาดพลังงานอย่างรุนแรง จนทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ
3. การได้รับอาหารที่มีความเข้มข้นสูงเร็วเกินไป ทำให้ลำไส้ปรับตัวไม่ทันปล่อยน้ำจากภายในร่างกายเข้าไปรองรับอาหารที่เพิ่งเข้ามา น้ำในร่างกายเลยหายไปอย่างรวดเร็วและเกิดการขาดน้ำฉับพลัน (ภาวะนี้ทางการแพทย์คือ dumping syndrome) บางคนเป็นลมหมดสติได้ ก็เกิดความเครียดเช่นกัน

ถ้าอย่างนั้นจะทำอย่างไรดี? หากเราดูจากสาเหตุและกลไกของการเกิดปัญหา เราก็จะเห็นวิธีการป้องกันได้ไม่ยาก นั่นคือ

1. รักษาระดับน้ำในร่างกายให้เพียงพออยู่ตลอดเวลา โดยการพยายามจิบน้ำบ่อย ๆ ครั้งละน้อย ๆ (ประมาณ 30-50 mL) โดยตั้งเป้าหมายว่าให้ได้รวมกันอย่างน้อย 2-2.5 ลิตร

2. เมื่อได้รับคำแนะนำให้เริ่มรับประทานอาหาร ให้เริ่มด้วยอาหารเหลวใส เช่น น้ำหวาน หรือน้ำผลไม้ที่ใส (เช่นน้ำแอปเปิ้ลหรือน้ำทับทิม) โดยใช้วิธีจิบครั้งละน้อย ๆ เช่นกันเพื่อให้ร่างกายได้รับพลังงานจากน้ำตาล ไม่ควรรับประทานเร็วเกินไป เพราะถ้าอาหารเหลวมีความเข้มข้นมากกว่าน้ำ จะทำให้เกิด dumping ที่กล่าวไปข้างต้นได้อีก

3. ค่อย ๆ ปรับลักษณะอาหารอย่างช้า ๆ โดยเน้นให้มีโปรตีนในอาหารในสัดส่วนที่มากกว่าอาหารทั่วไปเพื่อชะลอการเสียโปรตีนในร่างกาย ซึ่งเรียกการจัดการนี้ว่า การปรับเพิ่มอาหารในระยะหลังผ่าตัดลดน้ำหนัก (postbariatric surgery diet progression) ซึ่งจะนำมาเล่าต่อในตอนหน้าครับ

เก็บไว้สำหรับแนะนำผู้ป่วยที่จะเข้ารับการผ่าตัด หรือเพิ่งจะผ่าตัดออกมากันนะครับ ผู้ป่วยจะได้ปลอดภัยและมีน้ำหนักตัวลดลงอย่างมีสุขภาพดีครับ

01/05/2023

ที่ผ่านมาเราทราบว่า โรคหืดนั้นเกิดขึ้นจากหลากหลายปัจจัย ทั้งจากพันธุกรรม สิ่งแวดล้อม โรคอ้วน การติดเชื้อ มลพิษทางอากาศ​ การสูบบุหรี่ ฯลฯ

แต่ทราบหรือไม่ครับว่า ปัจจัยหนึ่งที่นำมาซึ่งโรคหืดและโรคภูมิแพ้ชนิดต่าง ๆ นั้นส่วนหนึ่งนั้น ไม่ได้ไกลจากตัวเราเลย แต่อยู่อาศัยภายในร่างกายของเรานั่นเอง นั่นก็คือ "ไมโครไบโอม (microbiome)" หรือจุลินทรีย์ที่อาศัยอยู่ในร่างกายของเรานั่นเอง

มาทำความรู้จักกับเจ้า microbiome กันครับ กับความรู้จากสมาคมสภาองค์กรโรคหืดแห่งประเทศไทย เนื่องในวันโรคหืดโลก (World Asthma Day) 2 พฤษภาคม ครับ

🖍️ปัจจุบันเรามีข้อมูลจากการศึกษาวิจัยต่าง ๆ เกี่ยวกับโรคหืดและพบว่าการเกิดโรคและการปรากฏอาการของโรคนั้นมาจากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของกรรมพันธุ์ การติดเชื้อในทางเดินหายใจ สารก่อภูมิแพ้ชนิดต่าง ๆ และมลพิษในอากาศ ไปจนถึงโรคอ้วน แต่เชื่อหรือไม่ว่า ปัจจัยหนึ่งที่มีบทบาทกับการเป็นโรคหืดนั้นไม่ได้อยู่ไกลจากตัวเราเลย นั่นก็คือ เชื้อจุลินทรีย์ที่อาศัยอยู่ในร่างกายของเรานั่นเอง

🔸กลุ่มของเชื้อจุลินทรีย์ต่าง ๆ ที่อาศัยอยู่ในร่างกายของเรานั้นเรียกรวม ๆ กันว่าไมโครไบโอม (microbiome) ซึ่งตามปกติแล้วจะอาศัยอยู่บนผิวหนังและเยื่อบุผิวบริเวณต่าง ๆ ที่ร่างกายของเราต้องสัมผัสโดยตรงกับสิ่งแวดล้อม เช่นผิวหนัง ทางเดินอาหาร ทางเดินปัสสาวะ รวมไปถึงทางเดินหายใจของเรานั่นเองครับ ไมโครไบโอมในร่างกายของเรามีจำนวนจุลีนทรีย์อยู่รวม ๆ กันแล้วมีมากถึงเกือบ 100 ล้านล้านตัว และมีจำนวนสายพันธุ์ของเชื้อจุลินทรีย์รวมกันอยู่ในไมโครไบโอมของเรากว่า 1 หมื่นสายพันธุ์เลยทีเดียว

🔸ความที่มีสายพันธุ์ต่าง ๆ อยู่กว่า 10,000 สายพันธุ์ จึงมีสารพันธุกรรมและสารต่าง ๆ ที่จุลินทรีย์สร้างขึ้นมาได้นั้นแตกต่างกันไปด้วย ข้อมูลการศึกษาที่ผ่านมาพบว่า ในมนุษย์แต่ละคน ไมโครไบโอมที่อาศัยอยู่ในร่างกายนั้นก็แตกต่างกันไป และอาจจะมีความแตกต่างของสายพันธุ์ชนิดต่าง ๆ ของไมโครไบโอมในแต่ละบุคคลได้มากถึงร้อยละ 80-90 เลยทีเดียว

🔸ในอดีตที่ผ่านมาเรามองว่าเชื้อจุลินทรีย์เหล่านี้เพียงแต่มาเกาะติดและอาศัยอยู่กับเราเฉย ๆ โดยไม่ก่อโรคหรือทำอันตรายกับเรา และอาจจะมีส่วนช่วยบ้างในแง่ของการครอบครองพื้นที่เพื่อป้องกันไม่ให้เชื้อจุลินทรีย์อื่น ๆ ที่เป็นอันตรายมาเกาะแทนซึ่งอาจจะบุกรุกเข้าสู่ร่างกายและทำอันตรายกับเราได้

🔸ปัจจุบันข้อมูลการวิจัยต่าง ๆ เริ่มแสดงชัดมากขึ้นเรื่อย ๆ ว่า ไมโครไบโอมไม่ได้มีประโยชน์แต่เพียงเท่านั้น แต่ยังมีส่วนที่ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของเรามีการพัฒนาและตอบสนองต่อสารหรือจุลินทรีย์ชนิดต่าง ๆ ที่ผ่านเข้ามาสู่ร่างกายของเราได้อย่างเหมาะสม ด้วยการสร้างสารชนิดต่าง ๆ มากระตุ้นให้เยื่อบุผิวของทางเดินอาหารและทางเดินหายใจของเรามีการตอบสนองด้วยระบบภูมิคุ้มกันที่เหมาะสมไม่มากหรือน้อยเกินไป และข้อมูลการศึกษาในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ก็แสดงให้เห็นว่าโรคหรืออาการผิดปกติในร่างกาย มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับการเปลี่ยนแปลงของไมโครไบโอมในร่างกายของเรา และกว่าร้อยละ 90% ของโรคที่เรารู้จักกันในปัจจุบัน มีความเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับไมโครใบโอมไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง และหนึ่งในจำนวนนั้นก็คือ กลุ่มโรคภูมิแพ้และโรคหืดนั่นเองครับ

ในตอนต่อไปจะมาเล่าให้ฟังกันต่อว่า ไมโครไบโอมเหล่านี้มีบทบาทสำคัญต่อระบบภูมิคุ้มกันและการเกิดโรคภูมิแพ้ได้อย่างไรครับ

08/03/2023

เพราะโภชนาการนั้นสำคัญกับทุกด้านของชีวิต

วันนี้แอดมินเอาการประชุมวิชาการที่น่าสนใจมาเชิญชวนครับ
The Evolution of Asthma: From Past to Present and Future Trend
จัดโดยสมาคมสภาองค์กรโรคหืดแห่งประเทศไทย (TAC) ครับ

ความรู้เกี่ยวกับเรื่องอาหารและจุลินทรีย์ในลำไส้ (gut microbiome) ที่มีบทบาทเกี่ยวกับการเกิดโรคหืดและภูมิแพ้ตอนนี้เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ และยิ่งทำให้เห็นได้ชัดว่าอาหารสำคัญกับการเกิดโรค การดำเนินโรค และความรุนแรงของโรคอย่างไร

หัวข้อเรื่อง asthma wellness จะนำทุกท่านไปทำความรู้จักเรื่องนี้นะครับ และยังมีหัวข้ออื่น ๆ เกี่ยวกับโรคหืดและภูมิแพ้อีกมากมายที่น่าสนใจครับ

23-25 มีนาคม 2566 นี้ครับที่ Centara Grand, Central World

13/10/2022

มาเรียนรู้ด้านโภชนาการเพื่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยกันครับ

การประชุมวิชาการของสมาคมผู้ให้อาหารทางหลอดเลือดดำและทางเดินอาหารแห่งประเทศไทย SPENT สัญจร ครั้งนี้จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 9 แล้วนะครับ

สถานที่จัดในครั้งนี้เป็นโรงพยาบาลลำปาง จังหวัดลำปางครับ

มีหัวข้อที่น่าสนใจมากมาย โดยวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนการและโภชนศาสตร์คลินิก
• Malnutrition in hospitalized patient
• Refeeding syndrome
• Practical points in diet counseling for diabetic & CKD patients
• Basic principles of enteral formula prescription
• Maintenance & nursing care for enteral access devices & venous catheters ฯลฯ

รูปแบบการประชุมครั้งนี้เป็นแบบ on site รูปแบบเดียวนะครับ
ผู้สนใจสามารถลงทะเบียนเพื่อเข้าร่วมการประชุมในครั้งนี้ได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย โดยสแกน QR code ที่ให้มาด้วยแล้วครับ

ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.spent.or.th
e-mail: spentcenter@gmail.com
เบอร์ติดต่อ 08-7030-5301

25/07/2022

ประชาสัมพันธ์งานประชุมวิชาการประจำปีครั้งสำคัญที่ไม่ควรพลาดเป็นอย่างยิ่งจัดโดยสมาคมผู้ให้อาหารทางหลอดเลือดดำและทางเดินอาหารแห่งประเทศไทย (SPENT) นั่นก็คือการประชุม Nutrition Review ครั้งที่ 11 ประจำปี 2565 นั่นเองครับ ปีนี้มีทั้งในรูปแบบ online และ on site อีกเช่นเคยนะครับ

การประชุมจะจัดขึ้นในวันที่ 17-18 กันยายน 2565 นี้นะครับ ณ ห้องประชุมใหญ่ ชั้น 10 โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าครับ

สถานที่จัดประชุมใกล้อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เดินทางสะดวกมากมาประชุม on site ก็ได้แต่ต้องรีบหน่อยนะครับเพราะรับผู้เข้าร่วมในรูปแบบนี้เพียง 150 ท่านเท่านั้นครับ ด้วยสถานการณ์ covid-19 ที่ทำให้ต้องจำกัดผู้เข้าร่วมประชุมครับ อัตราค่าสมัครเข้าร่วมท่านละ 1500 บาทครับ

สำหรับท่านที่ไม่สะดวกเดินทาง สมัครเข้าร่วมประชุมแบบ online ก็ได้ครับ ได้รับความรู้เต็มที่ไม่แพ้กันอย่างแน่นอนครับ และถ้าสมัครตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคมถึง 26 สิงหาคมนี้ อัตราค่าสมัครเพียง 1200 บาทเท่านั้นนะครับ (ส่วน 26 สิงหาคมไปจนถึง 16 กันยายน ราคา 1300 บาท และ สมัครในวันประชุม ราคา 1500 บาทครับ) รับจำนวนจำกัด 1000 ท่านเท่านั้นด้วยนะครับ

เริ่มเปิดรับลงทะเบียนตั้งแต่ 1 สิงหาคม เป็นต้นไปนะครับ

สนใจดูรายละเอียดและติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ www.spent.or.th ครับ

22/07/2022

การตรวจวัดการใช้พลังงานของร่างกาย เป็นขั้นตอนหนึ่งของการประเมินทางด้านโภชนศาสตร์คลินิก เพื่อทราบถึงความต้องการพลังงานและสารอาหารของร่างกาย เนื่องจากแต่ละบุคคลมีความต้องการพลังงานและสารอาหารแตกต่างกันไปตามอายุ ขนาดของร่างกาย สภาวะทางสุขภาพและการทำงานของอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกายในขณะนั้น

วิธีการหนึ่งที่เรานำมาใช้ในการหาการใช้พลังงานของร่างกายก็คือวิธีอินไดเร็ค แคลอริเมตรี (indirect calorimetry) ซี่งอาศัยหลักการคือ ในกระบวนการสร้างพลังงานจากสารอาหารที่เรารับประทาน ร่างกายจะต้องใช้ออกซิเจนที่หายใจเข้าไปในการเข้าทำปฏิกิริยาเคมีกับสารอาหาร ผ่านกระบวนการทางเคมีต่าง ๆ จนสุดท้ายก็เกิดเป็นพลังงานออกมาให้ใช้ และผลผลิตสุดท้ายหลังที่เหลืออยู่ก็คือก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ซึ่งจะถูกกำจัดออกจากร่างกายด้วยการหายใจออก หากเราสามารถวัดปริมาณออกซิเจนที่ร่างกายใช้ รวมกับปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ผลิตออกมาได้ในช่วงเวลาหนึ่ง ๆ (เช่น ต่อนาทีหรือต่อชั่วโมง) ก็จะบอกได้ว่าในช่วงเวลานั้นมีการผลิตพลังงานขึ้นเท่าใด และนำไปคำนวณต่อได้ว่า ต่อวันจะเป็นพลังงานเท่าใด ซึ่งจะทำให้คาดคะเนได้ว่า หากต้องให้สารอาหารให้เพียงพอต่อการใช้ จะต้องให้พลังงานเท่าใดจึงจะเหมาะสมนั่นเอง

การจะทราบค่าพลังงานที่เหมาะสมและถูกต้องจะต้องมีวิธีการตรวจวัดที่แม่นยำและถูกต้อง ดังนั้นในขั้นตอนการวัดจึงต้องเตรียมตัวอย่างดี ผู้เข้ารับการตรวจจึงต้องทราบวิธีการเตรียมตัวที่ถูกต้องด้วย เราจึงเตรียมเอกสารเอาไว้สำหรับให้ข้อมูลเกี่ยวกับการเตรียมตัวเพื่อทำการตรวจ เพื่อให้การตรวจนี้ให้ผลตรวจที่มีความแม่นยำและเกิดประโยชน์ต่อผู้ป่วยหรือผู้รับการตรวจที่สุดครับ

22/07/2022

14/07/2022

วันนี้ Vajira Nutrition มีกิจกรรมวิชาการดี ๆ แถมฟรีมาบอกต่อครับ

ในอดีตหลายคนอาจเข้าใจว่าเมื่อเป็นเบาหวานแล้วจะไม่สามารถรักษาให้กลับเป็นปกติได้อีกและจะต้องใช้ยามากขึ้นเรื่อย ๆ ตามความเสื่อมของตับอ่อน แต่ในปัจจุบันเป็นที่ทราบกันชัดเจนมากขึ้นแล้วว่ากลไกการเกิดโรคเบาหวานนั้นส่วนหนึ่งเกิดขึ้นจากภาวะดื้อต่อฮอร์โมน insulin ซึ่งหากได้รับการจัดการดูแลแก้ไขอย่างถูกต้อง สามารถให้ร่างกายมีความไวต่อ insulin ดีขึ้น และควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้จนเข้าสู่สถานะที่เรียกว่าระยะสงบ (remission) ได้

กระบวนการจัดการต้องทำอะไรอย่างไร ใครมีบทบาทบ้าง ลงทะเบียนเข้าไปร่วมฟังกันเลยครับ งานนี้เข้าฟังได้ฟรี

ปล. ขออนุญาตชูป้ายไฟ นพ.ภูวดล พลพวก วิทยากรในการประชุมครังนี้ในฐานะเพื่อนแพทย์ศิษย์เก่าคณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยขอนแก่นรุ่นที่ 23 ของแอดมินครับ

11/07/2022

เพราะทุกสิ่งที่เรารับประทานเข้าไปจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายเราเสมอ ดังนั้นการเลือกรับประทานอาหารสำหรับร่างกายของเราจึงเปรียบเสมือนประติมากรรมที่เราเป็นผู้ลงมือทำด้วยตนเองทุกวัน

มาสร้างประติมากรรมชีวิตของเราด้วยการเลือกสิ่งที่ดีและมีประโยชน์ให้กับร่างกายอย่างมีศิลปะกันนะครับ

09/07/2022

July 7, 2022
เรื่อง The effects of L-carnitine supplementation on inflammatory markers, clinical status, and 28-days mortality in critically ill patients โดยผู้วิจัย Yahyapoor F et al. ลงในวารสาร Clinical ESPEN เดือนมิถุนายน (49) ปี 2022

แนวคิดของการศึกษานี้ มาจากการพบว่าผู้ป่วยในระยะวิกฤตมักมีการอักเสบที่รุนแรงจากสาเหตุต่าง ๆ และมีความต้องการใช้พลังงานมากขึ้น นำไปสู่การเกิดภาวะทุโภชนาการและภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ของภาวะทุโภชนาการตามมา การขาด L-carnitine ก็เป็นภาวะหนึ่งที่พบได้บ่อยและพบว่าสัมพันธ์กับความรุนแรงของความเจ็บป่วยและแนวโน้มของการเสียชีวิตในผู้ป่วยกลุ่มนี้ และมีข้อมูลการศึกษาพบว่าผู้ป่วยที่มีการอักเสบในร่างกาย (แสดงให้เห็นได้จากการค่า inflammatory marker ที่เพิ่มขึ้น) เมื่อได้รับ L-carnitine มีแนวโน้มการอักเสบลดลงอย่างชัดเจนแต่ยังไม่เคยมีการศึกษาเกี่ยวกับการใช้ L-carnitine ในผู้ป่วยระยะวิกฤตมาก่อน

ผู้วิจัยทำการศึกษาแบบ randomized, double-blind, placebo-controlled trial โดยแบ่งผู้ป่วยออกเป็นสองกลุ่มกลุ่มละ 27 คน กลุ่มหนึ่งให้ได้รับ liquid L-carnitine ในขนาด 1 g วันละ 3 ครั้ง นาน 7 วันร่วมกับ enteral feeding โดยให้ได้รับพลังงานงาน 25 kcal/kg/day ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งให้น้ำในขนาดเท่ากันร่วมกับ enteral feeding ในขนาดเดียวกันและการรักษาอื่น ๆ แบบเดียวกันทุกประการ วัดผลโดยการดูระดับ CRP, IL-6 และอัตราการเสียชีวิตภายใน 28 วันหลังเข้าร่วมการศึกษา

อาสาสมัครในการศึกษานี้เป็นผู้ป่วยที่มีการวินิจฉัยเป็นโรคทางอายุรศาสตร์ (ไม่ทราบการวินิจฉัยหลัก) และมีค่าคะแนน APACHE-II score เฉลี่ย 16 คะแนน SOFA score 8 คะแนน ได้รับพลังงานเฉลี่ยก่อนหน้าที่จะเข้าร่วมประมาณ 900 kcal/day หรือประมาณ 12.5 kcal/kg/day

ผลการศึกษาออกมาพบว่าอาสาสมัครในกลุ่มที่ได้รับ L-carnitine นั้น ณ วันที่ 7 ของการศึกษา มีระดับ CRP และ IL-6 ที่แสดงถึงการอักเสบในร่างกาย ลดลงจากตอนเริ่มต้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติเมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุม (p=0.009 สำหรับ CRP และ p