คลังยาบุศรา เพชรเกษม 81

คลังยาบุศรา เพชรเกษม 81 ข้อมูลการติดต่อ, แผนที่และเส้นทาง,แบบฟอร์มการติดต่อ,เวลาเปิดและปิด, การบริการ,การให้คะแนนความพอใจในการบริการ,รูปภาพทั้งหมด,วิดีโอทั้งหมดและข่าวสารจาก คลังยาบุศรา เพชรเกษม 81, เภสัชกรรม / ร้านขายยา, 320/174 หมู่บ้านบุศรา ซอย เพชรเกษม 81 แขวง หนองค้างพลู เขตหนองแขม, Bangkok.

07/12/2025
20/11/2025

หนาวนี้ เที่ยวปลอดภัยไม่ป่วยด้วยโรคติดต่อนำโดยแมลง ❄️🦟

โรคติดต่อนำโดยแมลงที่มากับฤดูหนาว คือ โรคสครับไทฟัส และ โรคไข้มาลาเรีย 🏔️

👉โรคสครับไทฟัส มีพาหะนำโรค คือ ตัวไรอ่อน 🕷️
👉โรคไข้มาลาเรีย มีพาหะนำโรค คือ ยุงก้นปล่อง 🦟
👉ป้องกันตนเองจากโรคสครับไทฟัส และโรคไข้มาลาเรีย โดย

🧥สวมเสื้อผ้าให้มิดชิด
🧴ใช้สารทากันแมลง
🛏️ เมื่อต้องพักค้างแรมในป่า ควรนอนในมุ้ง

เมื่อกลับจากท่องเที่ยวแล้วมีอาการไข้ ปวดศีรษะ หนาวสั่น ควรรีบพบแพทย์พร้อมแจ้งประวัติเดินทาง 🏥📝

#โรคไข้มาลาเรีย #โรคสครับไทฟัส #รู้ทันโรคแมลง #กรมควบคุมโรค
---------------------------------
ที่มา : กองโรคติดต่อนำโดยแมลง กระทรวงสาธารณสุข
รู้ทันโรคแมลง
---------------------------------
⏬สามารถติดตามข่าวสารโรคและภัยสุขภาพอีกช่องทางหนึ่ง
ทาง
📌facebook กดดู รู้โรค by กรมควบคุมโรค
https://shorturl-ddc.moph.go.th/kZAEc
📌X กรมควบคุมโรค
https://shorturl-ddc.moph.go.th/hFJ3A
📌TikTok กรมควบคุมโรค
https://shorturl-ddc.moph.go.th/DDahM
📌IG: ddcthailand_official
https://shorturl-ddc.moph.go.th/n4F36
📌LINE กรมควบคุมโรค
https://shorturl-ddc.moph.go.th/aYYBH
📌คลังสื่อโรคและภัยสุขภาพ กรมควบคุมโรค
https://shorturl-ddc.moph.go.th/AwhOH

#แชร์บอกต่อ #กดดูรู้โรค
#กรมควบคุมโรค
#สายด่วนกรมควบคุมโรค1422
#กรมควบคุมโรคห่วงใยอยากเห็นคนไทยมีสุขภาพดี💖

20/11/2025

⚠️ 🌳 เตือนนักท่องเที่ยวเข้าป่ากางเต็นท์สัมผัสอากาศหนาว ระวังถูกตัวไรอ่อนกัด เสี่ยงป่วยด้วยโรคไข้รากสาดใหญ่

---------------------------------
ที่มา : สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 10 - สคร.10 อุบลราชธานี
---------------------------------
⏬สามารถติดตามข่าวสารโรคและภัยสุขภาพอีกช่องทางหนึ่ง
ทาง
📌facebook กดดู รู้โรค by กรมควบคุมโรค
https://shorturl-ddc.moph.go.th/kZAEc
📌X กรมควบคุมโรค
https://shorturl-ddc.moph.go.th/hFJ3A
📌TikTok กรมควบคุมโรค
https://shorturl-ddc.moph.go.th/DDahM
📌IG: ddcthailand_official
https://shorturl-ddc.moph.go.th/n4F36
📌LINE กรมควบคุมโรค
https://shorturl-ddc.moph.go.th/aYYBH
📌คลังสื่อโรคและภัยสุขภาพ กรมควบคุมโรค
https://shorturl-ddc.moph.go.th/AwhOH

#แชร์บอกต่อ #กดดูรู้โรค
#กรมควบคุมโรค
#สายด่วนกรมควบคุมโรค1422
#กรมควบคุมโรคห่วงใยอยากเห็นคนไทยมีสุขภาพดี💖

20/11/2025

*** น้ำมูกเขียว ***

อาการเป็นหวัดน้ำมูกใสเป็นสิ่งที่เจอได้
และแน่นอนว่าเกินกว่า 80% เกิดจากเชื้อไวรัสจึงหายเอง

แล้วอาการน้ำมูกที่เป็นสีเขียว 7-10 วันแรกของเด็กที่เป็นหวัด " บ่งชี้ว่าเป็นการติดเชื้อแบคทีเรีย หรือไม่ ?? "

ซึ่งจำเป็นต้องได้รับยาปฏิชีวนะ หรือไม่

คำตอบคือ >> "น้ำมูกสีเขียว" เพียงอย่างเดียว ไม่ได้บอกว่าเป็นการติดเชื้อแบคทีเรีย

สีเขียวที่อยู่ในน้ำมูก เกิดจากสารที่มีชื่อว่า myeloperoxidase ซึ่งอยู่ในเม็ดเลือดขาวที่ชื่อว่านิวโทรฟิว ซึ่งเป็นเซลล์เม็ดเลือดขาวที่ทำหน้าที่ในการจับกินและทำลายเชื้อโรค ณ จุดที่มีการติดเชื้อ

มีการศึกษาพบว่า ในเด็กที่เป็นหวัด มากกว่า 50% มีน้ำมูกเขียวหรือเหลืองภายในวันที่ 3–5

สีไม่ได้สัมพันธ์กับแบคทีเรีย

สีเป็นส่วนหนึ่งของการตอบสนองภูมิคุ้มกันตามปกติ ครับ 😄😄

และมีการศึกษาหนึ่ง ที่พิมพ์ลงในวารสารทางการแพทย์ Lancet ปี 2017 ศึกษาในผู้ป่วยเด็กและผู้ใหญ่ที่เป็นหวัด พบว่า

76% ของเด็กมี nasal discharge (น้ำมูก)สีเหลืองหรือเขียวในช่วง 1 สัปดาห์แรก

ไม่สามารถใช้สีทำนายว่าเป็นแบคทีเรียได้เลย

ดังนั้น " น้ำมูกเขียวอย่างเดียว" ไม่ได้เป็นตัวบอกว่าต้องกินยาปฏิชีวนะนะครับ

บางทีกุมารแพทย์แบบผมก็ลำบากใจ
พอไม่ให้ก็จะถูกตั้งคำถาม เพราะความเคยชินที่เคยได้รับมาตลอด

แต่บางรายก็มีความจำเป็นเช่น

ไข้สูง + น้ำมูกเสมหะเขียวและไอรุนแรง
น้องดูไม่สบายตัว + ตรวจไม่พบไวรัสอื่นๆ

>> กรณีดังกล่าวอาจไม่ต้องรอให้ถึง 7-10 วัน ซึ่งสิ่งนี้ แพทย์จะเป็นผู้พิจารณาตามลักษณะอาการของคนไข้ครับ

[>>> เพราะฉะนั้น

29/10/2025

>>> หวานแต่น้ำตาลไม่พุ่ง

ร้านคลังยาบุศราเริ่มใช้สิทธิ์วันแรกได้เลยจ้า
29/10/2025

ร้านคลังยาบุศราเริ่มใช้สิทธิ์วันแรกได้เลยจ้า

18/10/2025

❗สิ่งที่พ่อแม่ควรรู้ก่อนให้ลูกกิน “น้ำมันปลา” หรือ “น้ำมันตับปลา”❗

ทุกวันนี้มีหลายบ้านที่ให้ลูกกินน้ำมันปลาหรือน้ำมันตับปลาอยู่แล้ว
และอีกหลายบ้าน…อาจกำลังจะซื้อ เพราะเห็นโฆษณาว่าดี
หรือโดนป้ายยาจากอินฟลูเอนเซอร์ในโซเชียล

แต่ของที่ “ดูดีและมีประโยชน์” ถ้าให้โดยที่ยังรู้ไม่พอ...
👉 ก็อาจ “เป็นโทษ” มากกว่า “ได้ประโยชน์” ได้เหมือนกัน

โดยเฉพาะในเด็กเล็ก ที่ไม่ใช่แค่ผู้ใหญ่ตัวจิ๋ว
ร่างกายเขายังบอบบาง การสะสมของสารบางอย่างอาจเกิดผลเสียได้มากกว่าที่คิด



1️⃣ ก่อนอื่น… น้ำมันปลา "ไม่เหมือนกับ" น้ำมันตับปลา
ชื่อคล้ายกัน แต่ไม่เหมือนกันนะครับ!

🥄 น้ำมันตับปลา (Cod liver oil)
→ สกัดจาก "ตับปลาทะเล" เช่น ปลาค็อด
→ อุดมไปด้วยวิตามิน A และ D ในปริมาณสูง
→ มี DHA เล็กน้อย (ไม่ใช่แหล่งหลัก)

🐟 น้ำมันปลา (Fish oil)
→ สกัดจาก “เนื้อปลา หนัง หัว หาง” ของปลาทะเลน้ำลึก
→ มีกรดไขมันดีในกลุ่มโอเมก้า-3 (Omega3) ได้แก่...
✅ DHA (Docosahexaenoic acid)
✅ EPA (Eicosapentaenoic acid)



2️⃣ ทำไมพ่อแม่ถึงนิยมกัน?

🔍 โอเมก้า-3 เป็นชื่อของกลุ่มกรดไขมันดี
ซึ่งในกลุ่มนี้ตัวที่ถูกพูดถึงบ่อยที่สุดก็คือ DHA

เพราะเป็นไขมันสำคัญที่พบมากในสมองและจอประสาทตา
→ มีบทบาทกับพัฒนาการสมอง การมองเห็น และระบบประสาทของเด็กเล็ก

พ่อแม่ก็อยากให้ลูกฉลาด พัฒนาการดี
ก็เลยพยายามหาเสริมให้ลูกกินกัน

จึงไม่แปลกที่ทุกวันนี้จะเห็นผลิตภัณฑ์หลายอย่าง
ทั้งนมกล่อง นมผง ไข่ไก่ โยเกิร์ต ฯลฯ
มีการ “เสริม DHA” เข้าไปเพื่อใช้เป็นจุดขาย



3️⃣ เด็กต้องการ DHA เท่าไหร่? ได้จากไหนบ้าง?

👉 เด็ก

18/10/2025

📌 RIP เด็กน้อยวัย 5 เดือน เสียชีวิตจาก “ลำไส้ติดเชื้อ”

ก่อนอื่น…
ผมขอแสดงความเสียใจกับคุณพ่อคุณแม่ของน้องที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์นี้ด้วยนะครับ ไม่มีพ่อแม่คนไหนอยากให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับลูกตัวเองแน่นอน

📖 เรื่องราวที่เกิดขึ้น…
คุณแม่ของน้องได้ออกมาเล่าเหตุการณ์ไว้แบบนี้ครับ

📆 วันที่ 30 กันยายน
น้องมีอาการอาเจียน 5–6 ครั้ง
หมอวินิจฉัยว่า ลำไส้ติดเชื้อ + ขาดน้ำ
จึงให้นอนโรงพยาบาลเพื่อให้น้ำเกลือ + ยาฆ่าเชื้อ + ยาแก้อาเจียน

🌙 คืนนั้นเริ่มมีอาการ ท้องเสีย + ไข้สูง เพิ่มขึ้น

📆 วันที่ 1 ตุลาคม
ยังมี ไข้สูง + ท้องเสียต่อเนื่อง

📆 เช้าวันที่ 2 ตุลาคม เวลา 7.30 น.
น้องดิ้นแล้ว เส้นให้น้ำเกลือหลุด
พยาบาลพยายามเจาะใหม่แต่ไม่สำเร็จ
คุณแม่จึงขอให้ “พักก่อน” เพราะกลัวน้องเจ็บ

🕒 เวลา 15.35 น.
น้องยังกินไม่ได้ + ถ่ายเยอะมาก
มีความพยายามเจาะเส้นให้น้ำเกลืออีกครั้ง แต่ก็ยังหาไม่ได้

จนสุดท้าย…

🕔 เวลา 17.10 น.
น้องเกิด อาการชัก → หมดสติ → หัวใจหยุดเต้น และเสียชีวิต

จากเรื่องนี้…
เลยอยากชวนพ่อแม่มาทำความเข้าใจว่า
📌 “การติดเชื้อในลำไส้ของเด็กเล็ก”
สามารถนำไปสู่การเสียชีวิตได้อย่างไร?
และมีอะไรที่ควรระวังบ้าง?

======================

🦠 1.ลำไส้ติดเชื้อในเด็กเล็ก เป็นเรื่องที่เจอได้บ่อยในเด็ก

เริ่มตั้งแต่ช่วงวัย 4-6 เดือนจนไปถึง1-2ขวบ
เด็กจะเอาของเข้าปาก สำรวจสิ่งต่างๆ ด้วยปากตลอดเวลา

👶 พฤติกรรมนี้เรียกว่า “Oral Exploration”
เป็นธรรมชาติของเด็กวัยนี้ที่ใช้ปากเป็นเครื่องมือเรียนรู้
ทั้งดูดมือ กัดของเล่น เอาทุกอย่างเข้าปากหมด

สิ่งที่พ่อแม่ต้องทำคือ
👉 รักษาความสะอาดของมือเด็ก ของเล่น ขวดนม และของที่อยู่รอบตัวเสมอ
เพราะสิ่งสกปรกเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ อาจเป็นจุดเริ่มต้นของ “การติดเชื้อ” ได้

อีกหนึ่งสาเหตุที่เจอบ่อยคือ
🍼 ขวดนมล้างไม่สะอาดหรือเครื่องนึ่งขวดนมไม่สะอาดพอ
ก็อาจพาเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายลูกได้เช่นกันครับ

======================

💧 2.เมื่อลำไส้ติดเชื้อ การ “เติมน้ำและเกลือแร่” ให้ร่างกายลูก คือสิ่งสำคัญที่สุด

สิ่งที่อยากให้พ่อแม่เข้าใจก่อนเลยคือ
เวลาเด็กติดเชื้อในลำไส้ เด็กจะสูญเสียน้ำและเกลือแร่จำนวนมากจากการ
➡️ อาเจียน
➡️ ถ่ายเหลว
➡️ ไข้ทำให้ร่างกายระเหยน้ำออกเพิ่มขึ้นอีก

น้ำที่หายไปจากร่างกายนี้ ถ้าไม่ได้รับการชดเชยอย่างทันเวลา
จะทำให้เด็ก “ขาดน้ำ” ซึ่งเป็นภาวะที่อันตรายมากในเด็กเล็กครับ

🍼 ถ้าเด็กยังพอกินได้
ให้พยายามป้อนนมหรือเกลือแร่ ORS บ่อยๆ ทีละน้อยๆ

ไม่จำเป็นต้องรอให้กินทีละขวดใหญ่
แต่ให้จิบบ่อยๆ ทุก 10–15 นาที ก็ช่วยชดเชยน้ำได้ครับ

🚨 ถ้าเด็กเริ่มกินได้น้อยลง งอแงมากผิดปกติ

ควรรีบพาไปโรงพยาบาลทันที
เพื่อให้หมอช่วยประเมินว่า
❗️ ขาดน้ำแล้วหรือยัง
❗️ ต้องนอนรพ.ให้น้ำเกลือทางเส้นเลือดหรือไม่

🧷 วิธีสังเกตว่า “ลูกเริ่มขาดน้ำ”
• ปากแห้ง ลิ้นแห้ง
• ร้องไห้ไม่มีน้ำตา
• ปัสสาวะน้อยลง
• ซึมลง ไม่ยิ้ม ไม่เล่น

ในเด็กที่ยังใส่แพมเพิส
คนเลี้ยงมักจะตอบได้ว่าปัสสาวะน้อยลงกว่าปกติหรือไม่
ถ้าดูน้อยลง ก็เป็นสัญญาณเตือนที่ต้องระวัง

======================

🔬 3. สาเหตุของการติดเชื้อในลำไส้
แพทย์จะต้องแยกว่าเชื้อที่ติดมาคือ “ไวรัส” หรือ “แบคทีเรีย”?

👉 ถ้าเป็นเชื้อไวรัส (ซึ่งพบได้บ่อยมากกว่า)
อาการมักจะดีขึ้นเองใน 2–3 วัน ไม่ต้องให้ยาฆ่าเชื้อแบคทีเรีย
หมอจะให้รักษาตามอาการ เช่น ยาลดไข้ ยาแก้อาเจียน และให้น้ำให้เพียงพอ

👉 แต่ถ้าเป็นแบคทีเรีย บางชนิด
อาการอาจรุนแรงกว่า เช่น ถ่ายเป็นมูกเลือด ปวดท้องมาก หรือมีไข้สูงไม่ลด
หมอจะพิจารณาให้ยาฆ่าเชื้อแบคทีเรียร่วมด้วย

บางกรณีอาจจะต้องเจาะเลือดหรือเก็บอุจจาระส่งตรวจเพื่อดูว่าเชื้อแบบไหน
ซึ่งจะช่วยให้วางแผนการรักษาได้ตรงจุดขึ้นครับ

======================

⚠️ 4. เด็กเล็กขาดน้ำง่ายกว่าผู้ใหญ่ และนั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้ชักและหัวใจหยุดเต้น

เด็กแค่อาเจียนหรือท้องเสียเพียงไม่กี่ครั้ง
ก็ทำให้เด็กเล็กเข้าสู่ภาวะ “ขาดน้ำ” ได้เร็วกว่าที่เราคิด
ซึ่งเป็นจุดที่แตกต่างจากผู้ใหญ่

ในเคสนี้…

น้องมีอาการ ถ่ายเหลวหลายครั้ง + กินไม่ได้เลย
แต่ไม่ได้รับ “น้ำเกลือหรือสารน้ำทดแทน” เลยตลอดช่วงเวลา
ตั้งแต่ 7.30 น. (สายน้ำเกลือหลุด)
จนถึง 15.30 น. (พยายามเจาะเส้นอีกครั้งแต่ไม่สำเร็จ)

รวมเวลาแล้วประมาณ 8 ชั่วโมงเต็ม
ที่ร่างกายมีแต่ “เสีย” โดยไม่มี “เติม”

เมื่อเด็กขาดน้ำนานเกินไป
ร่างกายจะเริ่มเสียสมดุลอย่างรวดเร็ว
• ความดันเริ่มลดลง
• หัวใจทำงานหนัก
• เกลือแร่ เช่น โซเดียม-โพแทสเซียม ลดต่ำลง
• เลือดเริ่มเป็นกรด

และสิ่งที่ตามมาคือ
🧠 เด็กจะชัก → 😵‍💫 หมดสติ และ ❤️ หัวใจหยุดเต้น

======================

🩸 5. การเจาะเลือดเด็ก ไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้เด็กชักหรือหัวใจหยุดเต้น

ไม่มีใครอยากเห็นเด็กต้องเจ็บตัว
โดยเฉพาะเวลาที่ต้องเจาะเลือดหลายครั้ง

ความเจ็บจากเข็มอาจดูน่ากลัว
แต่ไม่ใช่ต้นเหตุที่ทำให้เด็กชักหรือหัวใจหยุดเต้น

สิ่งที่พาร่างกายเข้าสู่จุดวิกฤต คือ
⚠️ ภาวะขาดน้ำ และ
⚠️ เกลือแร่ผิดสมดุล

ซึ่งได้อธิบายไว้ในช่วงก่อนหน้าแล้ว



👶 เด็กเล็กเป็นกลุ่มที่เจาะเลือดได้ยากอยู่แล้ว
เพราะเส้นเลือดมีขนาดเล็กมากกและเด็กก็มักจะดิ้นมาก
ในบางเคส แม้จะใช้คนที่เชี่ยวชาญ
ก็ยังอาจต้องพยายามหลายครั้ง

สิ่งที่ทำให้เจาะยากขึ้นอีกคือ “ภาวะขาดน้ำ”
ซึ่งจะทำให้เส้นเลือดลีบเล็กลง มองไม่เห็น
หลายครั้งจึงเห็นว่าต้องพยายามเจาะหลายจุด หลายครั้ง
เพื่อให้สามารถให้น้ำและยาเข้าสู่ร่างกายให้ได้

======================

🦴 6. แล้วถ้าหาเส้นไม่ได้เลยจริงๆ ทำยังไง?

6.1 ในภาวะฉุกเฉิน เช่น หัวใจหยุดเต้น หรือเด็กเริ่มช็อค
หมอจะใช้วิธี “เจาะโพรงกระดูก” (Intraosseous access)
เพื่อให้น้ำเกลือและยาเข้าไปในร่างกายได้ทันที

📍 ถ้าสังเกตในภาพ จะเห็นบริเวณหน้าแข้งของน้อง
มีอุปกรณ์ฝังอยู่บริเวณกระดูกขา
นั่นแหละครับ คือจุดที่เจาะเข้าไปในโพรงกระดูก

6.2 ในเคสที่ไม่ฉุกเฉินมาก หมอจะใช้วิธีเจาะเข้าเส้นเลือดดำใหญ่ที่คอหรือขาหนีบ (central line)

แต่การทำหัตถการเหล่านี้ในเด็กเล็ก
ถือเป็นงานที่ยาก ต้องอาศัยทีมแพทย์ที่มีความชำนาญเฉพาะทางจริงๆ
เช่น
👨‍⚕️ หมอเด็กที่ดูแลผู้ป่วยวิกฤต (ICU)
🫁 หมอเด็กเฉพาะทางโรคทางเดินหายใจหรือหัวใจ
💉 หรือวิสัญญีแพทย์ (หมอดมยา)

ซึ่งถ้ารพ. ไม่มีแพทย์ที่ทำได้
ก็จะต้องส่งตัวต่อไปรพ.ที่สามารถทำได้ครับ

======================

❤️ สรุปสั้นๆ

การติดเชื้อในลำไส้ของเด็กเล็ก เป็นเรื่องที่เจอได้บ่อย
แต่ถ้า “ขาดน้ำ” และ “ไม่ได้รับสารน้ำทดแทน” อย่างเพียงพอ
อาจนำไปสู่เหตุการณ์ที่รุนแรงได้จริงๆ

18/10/2025

*** Good Food มาก่อน Good fast ***

ต่อจากโพสต์ เมื่อเช้า... ลิ้งค์ในคอมเม้นต์

เริ่มที่ "ปรับอาหาร" แล้ว เมื่อจะลดเวลากิน มันจะง่าย
และ "ไม่เครียด"

การปรับอาหารก่อน อันได้แก่

*** ลด ไปจนถึง งด น้ำตาลของหวาน ***
(ค่อยๆ ทำใน 2 -3 อาทิตย์)
เป้าคือ "งด" น้ำตาล และ ของหวาน เพื่อตัดการเสพติด

*** ปรับลด คาร์บในแต่ละวันลง ***
กินเป็น คาร์บเชิงซ้อน ตามธรรมชาติ
ลด และ งด คาร์บแปรรูป อาหารแปรรูปขั้นสูง (UPF)

>>> ทำไม แนวทางดังกล่าว จึงช่วยลดความเครียดลงได้ เมื่อทานคาร์โบไฮเดรตน้อยลง ตับอ่อนไม่จำเป็นต้องหลั่งอินซูลินออกมา
ในปริมาณมากและบ่อยครั้ง

เปิดสวิตช์การเผาผลาญไขมัน >> เมื่อระดับอินซูลินต่ำลง ร่างกายจะสามารถเข้าถึงและ
นำไขมันที่สะสมไว้ออกมาใช้เป็นพลังงานได้ง่ายขึ้น

ลดความอยากอาหาร >> การควบคุมคาร์โบไฮเดรตช่วยให้ระดับน้ำตาลในเลือดคงที่มากขึ้น
ลดอาการหิวโหยหรืออยากของหวานระหว่างมื้อ

** 3. สร้างความยืดหยุ่นทางเมแทบอลิซึมอย่างยั่งยืน **
แนวทางนี้เปรียบเสมือนการ "ฝึกซ้อม" ให้ร่างกายค่อยๆ เก่งขึ้นในการใช้ไขมันเป็นพลังงาน
แทนที่จะ "บังคับ" ด้วยการอดอาหารยาวนาน

เมื่อคุณทานมื้ออาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตต่ำ ร่างกายจะใช้กลูโคสจากมื้อนั้นไปก่อน

ในระหว่างมื้อ ร่างกายจะสลับไปใช้พลังงานจากไขมันได้อย่างง่ายดาย
เพราะไม่มีอินซูลินในระดับสูงมาขัดขวาง

การฝึกแบบนี้ซ้ำๆ จะทำให้เซลล์ต่างๆ (โดยเฉพาะไมโทคอนเดรีย)
มีความสามารถในการเผาผลาญไขมันได้ดีขึ้นเรื่อยๆ
นี่คือ แก่นแท้ของ "Metabolic Flexibility"

วิธีที่ดีที่สุดอาจไม่ใช่ การเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง

คือ ปรับแต่อาหาร แต่ยังกินถี่เหมือนเดิม

หรือ Fast ได้นาน แต่อาหารไม่ปรับ

แต่เป็นการผสมผสานข้อดีของทั้งสองแนวทางเข้าด้วยกัน

สิ่งที่ควรทำก็คือ

"ลดปริมาณคาร์โบไฮเดรตและทานไขมันดีให้พอเหมาะ" ร่วมกับ
"ทำการอดอาหารแบบไม่หักโหม (Gentle Fasting)"

โดย ควรกำหนด กำหนดกรอบเวลากินอาหาร 12-14 ชั่วโมง
จะกินเช้า และงดกินเร็ว หรือ จะกินสายแล้วงานกินเช้า ก็ได้

เพียงแต่ "พระอาทิตย์ตกแล้ว ความไวต่ออินซูลินลดลง"
ไม่กินมื้อเย็นหลัง 18 น.น่าจะช่วยได้มากกว่าครับ

ด้วยแนวทางนี้ คุณจะยังได้ประโยชน์จากการพักของระบบย่อยอาหาร
และกระบวนการ Autophagy ในช่วงกลางคืน บ้าง

และระยะเวลา 12-14 ชั่วโมงนั้นสั้นพอที่จะไม่สร้างความเครียดที่รุนแรง
ต่อระบบฮอร์โมนของผู้หญิงส่วนใหญ่

>>> เมื่อ คุณใช้ไขมันได้เก่งขึ้น มีความยื้ดหยุ่นของการใช้พลังงานจากทุกแหล่ง

18/10/2025

🧡 วิตามินเอกับคุณแม่ตั้งครรภ์: ยังจำเป็นต่อพัฒนาการลูก แต่ต้องรู้ขนาดที่ “พอดี”

ผู้หญิงหลายคนเคยได้ยินว่าวิตามินเอจะทำให้ลูกพิการ จนหลีกเลี่ยงวิตามินเอ ทั้งที่จริงแล้ว วิตามินเอมีความสำคัญมากต่อการตั้งครรภ์ เพียงแต่ต้องได้รับในปริมาณที่เหมาะสม ไม่มากหรือน้อยเกินไป และไม่รับในส่วนประกอบที่อันตรายนั่นเอง

🌱 ประโยชน์ของวิตามินเอ
วิตามินเอมีบทบาทสำคัญในการ
• พัฒนาอวัยวะของทารกหลายๆด้าน เช่น ดวงตา หัวใจ ปอด สมอง และระบบประสาท เห็นไหมครับว่าประโยชน์และสำคัญไม่น้อย ขาดไปอาจไม่ดีเลย
• เสริมภูมิคุ้มกัน ช่วยให้ร่างกายแม่และลูกต้านการติดเชื้อได้ดีขึ้นด้วย
• ดูแลสุขภาพของเยื่อบุผิว เช่น ผิวหนัง เยื่อบุตา และเยื่อบุทางเดินหายใจ
• อาจช่วยป้องกันภาวะ “ตาบอดกลางคืน” ในหญิงตั้งครรภ์ได้

WHO และ ACOG จึงยืนยันว่า Vitamin A มีความสำคัญโดยบอกไว้ว่า หากหญิงตั้งครรภ์ได้รับอาหารครบถ้วนหรือรับวิตามินก่อนคลอดตามปกติ จะเพียงพอต่อความต้องการ โดยไม่จำเป็นต้องเสริมวิตามินเอเพิ่มเติม เพราะเชื่อว่าถ้าทานได้ครบหมู่ปริมาณจะเพียงพอ

••••••••

คราวนี้ถึงจุดสำคัญคือ ….
⚠️ ตัวที่อันตรายและควรหลีกเลี่ยง

อันตรายของวิตามินเอเกิดจากการได้รับ “มากเกินไป” โดยเฉพาะในรูปแบบ เรตินอล (retinol) หรืออนุพันธ์ของมันที่เรียกว่า เรตินอยด์ (retinoids) ซึ่งพบได้ใน
• ยา isotretinoin (ยารับประทานรักษาสิว): ห้ามใช้เด็ดขาดในหญิงตั้งครรภ์ เพราะก่อความพิการแต่กำเนิดของใบหน้า หัวใจ และสมองของทารก

การรักษาสิวในคนท้องทำได้นะครับ มีการรักษาหลายแบบ แต่หลีกเลี่ยงยาตัวนี้ชื่อนี้ครับ

• ครีมหรือเซรั่มที่มีกรดวิตามินเอ เช่น tretinoin, retinol: แม้ซึมผ่านผิวน้อย แต่เพื่อความปลอดภัยควรหลีกเลี่ยงตั้งแต่เริ่มวางแผนมีบุตรไว้ก่อนครับ

การได้รับวิตามินเอขนาดสูงในช่วงไตรมาสแรกสัมพันธ์กับความเสี่ยงต่อความผิดปกติของทารกในหลายระบบ เช่น ระบบประสาทและโครงกระดูก สำหรับคำว่าระดับสูง สูงแค่ไหนเดี๋ยวมาเล่าต่อกันครับ

📏 ปริมาณที่เหมาะสมและระดับที่ปลอดภัย

หญิงตั้งครรภ์ควรได้รับวิตามินเอประมาณ 770 ไมโครกรัมเรตินอลเทียบเท่า (RAE) หรือราว 2,500 IU ต่อวัน เพื่อรองรับการสร้างอวัยวะของทารก และ ไม่ควรเกิน 3,000 µg RAE (10,000 IU ต่อวัน) ซึ่งเป็นระดับสูงสุดที่ปลอดภัย

CDC และ RCOG แนะนำให้หลีกเลี่ยงอาหารเสริมที่มีวิตามินเอมากกว่า 5,000–8,000 IU ต่อวัน และหลีกเลี่ยงอาหารที่มีวิตามินเอสูงมาก เช่น ตับ ตับบด และน้ำมันตับปลา เพราะอาจทำให้ได้รับวิตามินเอเกินขนาดโดยไม่รู้ตัว

••••••••

💊 วิธีเลือกวิตามินก่อนคลอดอย่างปลอดภัย

✅ เลือกสูตรที่มีวิตามินเอในรูป “เบต้าแคโรทีน” ซึ่งเป็นสารตั้งต้น ร่างกายจะเปลี่ยนเท่าที่ต้องการ ไม่สะสมจนเกิดพิษ
✅ อ่านฉลากทุกครั้ง เลือกผลิตภัณฑ์ที่ระบุปริมาณวิตามินเอไม่เกินเกณฑ์แนะนำ และไม่รับประทานซ้ำหลายชนิด
✅ วิตามินก่อนคลอดมาตรฐานกินวันละ 1 เม็ดเพียงพอแล้ว
✅ หยุดใช้ยาและครีมที่มีกรดวิตามินเอ ที่ระบุว่ามีสารที่เล่าประมาณอย่างน้อย 1 เดือนก่อนเริ่มตั้งครรภ์
✅ เลือกผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการรับรองคุณภาพ (USP, NSF, หรือ อย.) เพื่อมั่นใจว่าไม่มีการปนเปื้อนโลหะหนักหรือสารต้องห้าม

🔍 ดังนั่น
วิตามินเอไม่ใช่ของอันตราย แต่ “ขนาดที่มากเกินไป” ต่างหากที่เสี่ยงสำหรับคนท้อง

การได้รับจากอาหารธรรมชาติ เช่น ผักผลไม้สีเหลือง–ส้ม ไข่ และนม รวมถึงวิตามินก่อนคลอดทั่วไป ถือว่าปลอดภัยและเพียงพอ
เพียงรู้หลัก “ไม่เสริมเกิน – ไม่ใช้ยาเรตินอยด์” ก็สามารถได้รับประโยชน์จากวิตามินเอต่อสุขภาพแม่และลูกได้เต็มที่ครับ

18/10/2025

💡 การดูแลตัวเองเมื่อ “ตั้งครรภ์และเลี้ยงแมว”

หลายคนเลี้ยงแมวเป็นครอบครัวอยู่แล้ว พอรู้ว่าตั้งครรภ์ก็เริ่มกังวลว่า “จะติดเชื้อจากแมวไหม?”
ความจริงแล้ว…ถ้าดูแลถูกวิธี สามารถอยู่กับแมวได้อย่างปลอดภัย เพียงแค่รู้จักวิธีป้องกัน “เชื้อท็อกโซพลาสมา” (Toxoplasma gondii)

⚠️ เชื้อท็อกโซพลาสมาคืออะไร?

เป็นเชื้อปรสิตชนิดหนึ่งที่พบได้ใน “อุจจาระแมว” โดยเฉพาะแมวที่เคยออกไปล่าสัตว์หรือกินอาหารดิบ เช่น เนื้อสด ปลา หรือหนู
ถ้าเชื้อนี้เข้าร่างกายคนตั้งครรภ์ อาจแพร่สู่ลูกในท้องได้

👶 ถ้าติดเชื้อขณะตั้งครรภ์จะเกิดอะไรขึ้น?

เชื้อนี้อาจทำให้เกิด “ท็อกโซพลาสโมซิสในทารก”
ผลที่อาจเกิดขึ้น ได้แก่
• แท้ง หรือคลอดก่อนกำหนด
• ศีรษะโต น้ำในสมอง (hydrocephalus)
• การมองเห็นผิดปกติ หรือจอประสาทตาอักเสบ
• พัฒนาการช้าในระยะยาว

ช่วงที่อันตรายที่สุด:
• ถ้าแม่ติดเชื้อ ในช่วงอายุครรภ์ 10–24 สัปดาห์ (ไตรมาสที่ 2 ต้น ๆ)
→ โอกาสติดลูกไม่มากนัก แต่ถ้าติดแล้ว มักรุนแรง
• ถ้าแม่ติดเชื้อ ในช่วงปลายครรภ์ (ไตรมาสที่ 3)
→ ลูกติดเชื้อได้ง่ายกว่า แต่ความรุนแรงมักน้อยลง

ดังนั้น ควรป้องกันตลอดการตั้งครรภ์ จะดีที่สุดเลยครับ

🩺 สิ่งที่สูติแพทย์อยากให้ “คนท้องทาสแมวตั้งครรภ์” เน้นการปฏิบัติเพื่อความปลอดภัย

1. เรื่องแมวและกระบะทราย
• หลีกเลี่ยงการตักอึแมว ถ้ามีคนอื่นช่วยได้จะดีที่สุดครับ
• แต่ถ้าต้องทำเองจริง ๆ ขณะท้องแนะนำให้
• ใส่ถุงมือทุกครั้ง
• ล้างมือด้วยสบู่ให้สะอาดหลังทำนานอย่างน้อย 20 วินาที
• เปลี่ยนทรายแมวทุกวัน เน้นว่าอยากให้ทุกวัน (เชื้อจะเริ่มอันตรายหลังผ่านไปเกิน 24 ชม.)
• อย่าให้แมวออกไปนอกบ้าน หรือกินเนื้อดิบเพราะเป็นแหล่งที่จะเอาเชื้อเข้าบ้านนั่นเอง

2. เรื่องอาหาร
• งดอาหารดิบ เช่น ลาบ เนื้อหมูดิบ ปลาดิบ หรือเนื้อย่างไม่สุก
• ผักผลไม้ต้องล้างให้สะอาดก่อนกิน
• ใช้เขียงมีดแยกสำหรับอาหารดิบและสุก
• ล้างมือก่อนกินอาหารทุกครั้ง

3. เรื่องทำสวนหรือดิน
• ใส่ถุงมือเวลาทำสวนหรือจับดิน เพราะอาจมีอุจจาระแมวอยู่ในดิน
• ล้างมือให้สะอาดหลังทำเสร็จทุกครั้ง
• ถ้ามีสนามหญ้าหรือกระบะทรายเด็ก ให้ปิดคลุมไว้ป้องกันแมวมาใช้เป็นห้องน้ำโดยที่เราอาจไม่ทันรู้ตัว

🐾 เรื่องที่อยากให้สบายใจเวลาอยู่ใกล้แมว
• การ “กอด ลูบตัว หรือเล่นกับแมว” โดยทั่วไปไม่ทำให้ติดเชื้อ
• แมวที่เลี้ยงในบ้าน กินอาหารสำเร็จรูป ไม่ล่าสัตว์ → ความเสี่ยงต่ำมาก
• สิ่งสำคัญคือ “หลีกเลี่ยงการสัมผัสอุจจาระแมวโดยตรง”

💬 สรุปสั้น ๆ สำหรับคุณแม่ท้องที่เป็นทาสแมว

“อยู่กับแมวได้ ปลอดภัยได้ แค่ล้างมือ กินสุก อยู่สะอาด หลีกเลี่ยงอึแมว” นะครับ

ที่อยู่

320/174 หมู่บ้านบุศรา ซอย เพชรเกษม 81 แขวง หนองค้างพลู เขตหนองแขม
Bangkok
10160

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ คลังยาบุศรา เพชรเกษม 81ผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

แชร์

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram