La-moon mind - ละมุนใจ

La-moon mind - ละมุนใจ เพื่อสุขภาพใจอันละมุน

Podcast EP4 คุยกันหลังดูซีรีส์ Adolescence วัยลนคนอันตราย ชวนทุกคนมาคุยกันหลังชมซีรีส์จบ ใครที่ไม่อยากโดนสปอยล์แนะนำให้ด...
17/04/2025

Podcast EP4 คุยกันหลังดูซีรีส์ Adolescence วัยลนคนอันตราย

ชวนทุกคนมาคุยกันหลังชมซีรีส์จบ ใครที่ไม่อยากโดนสปอยล์แนะนำให้ดูซีรีส์ก่อนแล้วค่อยมาฟังพวกเรานะคะ ส่วนใครดูที่ซีรีส์เรื่องนี้แล้ว คิดเห็นยังไง คอมเม้นท์มาคุยกับพวกเราได้ที่ใต้โพสต์เลยค่ะ

#ละมุนใจ #สุขภาพจิต

อย่าลืมกดติดตามเพื่อไม่พลาดตอนใหม่ ๆ ของเรา! ถ้าคุณมีคำถามหรือหัวข้อที่อยากให้เราพูดถึง สามารถคอมเมนต์บ....

Podcast EP3 เมื่อความ(เหมือนจะ)ตายเข้ามาทักทายเราแนะนำติชมกันเข้ามาได้นะคะ ใครมีคำถามหรืออยากฟังหัวข้อไหนจากพวกเราคอมเมน...
04/04/2025

Podcast EP3 เมื่อความ(เหมือนจะ)ตายเข้ามาทักทายเรา

แนะนำติชมกันเข้ามาได้นะคะ ใครมีคำถามหรืออยากฟังหัวข้อไหนจากพวกเราคอมเมนต์กันมาได้เลย อย่าลืมกดติดตามเพื่อไม่พลาดตอนใหม่ๆจากพวกเราค่ะ 🥰
#ละมุนใจ #สุขภาพจิต #สุขภาพใจ

อย่าลืมกดติดตามเพื่อไม่พลาดตอนใหม่ ๆ ของเรา! ถ้าคุณมีคำถามหรือหัวข้อที่อยากให้เราพูดถึง สามารถคอมเมนต์บ....

Podcast EP2 ละมุนใจมาแชร์หนังสือน่าอ่านแนะนำติชมกันเข้ามาได้นะคะ ใครมีคำถามหรืออยากฟังหัวข้อไหนจากพวกเราคอมเมนต์กันมาได้...
25/03/2025

Podcast EP2 ละมุนใจมาแชร์หนังสือน่าอ่าน

แนะนำติชมกันเข้ามาได้นะคะ ใครมีคำถามหรืออยากฟังหัวข้อไหนจากพวกเราคอมเมนต์กันมาได้เลย อย่าลืมกดติดตามเพื่อไม่พลาดตอนใหม่ๆจากพวกเราค่ะ 🥰
#ละมุนใจ #สุขภาพจิต #สุขภาพใจ

อย่าลืมกดติดตามเพื่อไม่พลาดตอนใหม่ ๆ ของเรา! ถ้าคุณมีคำถามหรือหัวข้อที่อยากให้เราพูดถึง สามารถคอมเมนต์บ....

Podcast ep แรก ของพวกเรา แนะนำติชมกันเข้ามาได้นะคะ ใครมีคำถามหรืออยากฟังหัวข้อไหนจากพวกเราคอมเมนต์กันมาได้เลย อย่าลืมกดต...
28/02/2025

Podcast ep แรก ของพวกเรา แนะนำติชมกันเข้ามาได้นะคะ ใครมีคำถามหรืออยากฟังหัวข้อไหนจากพวกเราคอมเมนต์กันมาได้เลย อย่าลืมกดติดตามเพื่อไม่พลาดตอนใหม่ๆจากพวกเราค่ะ 🥰

#ละมุนใจ #สุขภาพจิต #สุขภาพใจ #ความเครียด

อย่าลืมกดติดตามเพื่อไม่พลาดตอนใหม่ ๆ ของเรา! ถ้าคุณมีคำถามหรือหัวข้อที่อยากให้เราพูดถึง สามารถคอมเมนต์บ....

Happy Valentine's day ค่ะ
14/02/2025

Happy Valentine's day ค่ะ

มุมมองความรักที่มีวุฒิภาวะของอีริค ฟรอมม์

EP.11 : ใยรักจึงมีหึงหวง แย่งชิง อื้อฉาว(บทความนี้ใช้เวลาอ่านประมาณ 3 นาที)Bridgerton เป็นซีรีส์ Netflix Original ที่มีย...
30/01/2021

EP.11 : ใยรักจึงมีหึงหวง แย่งชิง อื้อฉาว
(บทความนี้ใช้เวลาอ่านประมาณ 3 นาที)

Bridgerton เป็นซีรีส์ Netflix Original ที่มียอดวิวสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ของทางช่องสตรีมมิ่ง เป็นเรื่องของการหาคู่ในวงสังคมคนชั้นสูงอังกฤษเมื่อ 200 กว่าปีก่อน วันนี้เพจละมุนใจ จะมาชวนสังเกตพฤติกรรมอันเป็นสากลของสังคมมนุษย์ในซีรีส์นี้ ผ่านมุมมองของ จิตวิทยาการวิวัฒนาการ (evolutionary psychology)

แย่งชิง หึงหวง และข่าวอื้อฉาว

เรื่องราวใน Bridgerton เกี่ยวกับวิถีชีวิตของชนชั้นสูงในยุคราวปี 1812 ของอังกฤษ ตามธรรมเนียม บ้านใดมีเด็กสาวอายุครบ 16 ปี ก็จะพากันมาเปิดตัวสู่วงสังคมอย่างเป็นทางการต่อหน้าราชวงศ์ และวงสังคม ซึ่งในทางปฏิบัติคือการประกาศว่าหญิงสาวผู้นี้พร้อมแล้ว สำหรับชายใดที่สนใจให้มาทำความรู้จัก ดูตัวกันได้ คบหากันได้ ส่วนแต่ละบ้านย่อมต้องการให้บุตรสาวได้แต่งงานกับฝ่ายชายที่เพรียบพร้อมที่สุด ในสถานการณ์เช่นนี้แน่นอนว่า การแข่งขัน แย่งชิง หึงหวง และ ข่าวอื้อฉาวย่อมเกิดขึ้น

สงครามรัก ทำไมจึงเป็นเรื่องอมตะ

เมื่อมีการปรารถนา ขัดแย้ง ต่อสู้ ช่วงชิง คู่ตุนาหงันคนเดียวกัน ย่อมต้องมีการดิสเครดิตกันและกัน เพื่อตัดคู่แข่ง รวมไปถึงการถูกจับจ้องนินทาว่าร้ายในวงสังคม ซี่งทำให้บางคนต้องทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะเป็นผู้ชนะในเกมส์แห่งความรัก สถานการณ์พวกนี้ไม่ได้มีแต่ใน Bridgerton แต่มีในทุกวัฒนธรรมและทุกยุคสมัย แม้กระทั่งทุกวันนี้ น่าแปลกไหมที่พฤติกรรมเหล่านี้ไม่เคยห่างหายไปจากสังคมมนุษย์ เพราะอะไรกันนะ?

จิตวิทยาวิวัฒนาการ (Evolutionary Biology)

จิตวิทยาวิวัฒนาการ เป็นวิชาการแขนงหนึ่งที่มีประโยชน์ในการอธิบายอารมณ์ ความคิด และพฤติกรรมของมนุษย์ โดยตั้งอยู่บนสมมุติฐานที่ว่า พฤติกรรมและความคิดของเราในวันนี้ มีรากฐานมาจากสัญชาตญาณที่สืบทอดมาทางพันธุกรรมมาจากวิธีที่บรรพบุรุษของเราใช้เอาตัวรอดและสืบพันธุ์มาตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์

เช่น การที่สมองมนุษย์ชอบรสหวาน เพราะเป็นรสของนํ้าตาลอันเป็นแหล่งพลังงาน มนุษย์ยุคดึกดำบรรพ์อยู่รอดมาได้ด้วยการเลือกกินของในป่าที่มีรสหวานก่อนรสอื่นๆ โดยไม่ต้องมีความรู้โภชนาการ หรือ การที่มนุษย์ยุคก่อนทอดทิ้งลูกอ่อนที่เจ็บป่วยโดยสัญชาตญาณ ก็เพื่อปกป้องไม่ให้ลูกคนอื่นๆ และตนเองติดโรคไปด้วย เพื่อเพิ่มโอกาสอยู่รอดของยีนตัวเองให้สืบทอดต่อไปได้ในป่าดึกดำบรรพ์ที่ยากลำบาก

ใยมนุษย์ต้องหาคู่

จิตวิทยาวิวัฒนาการอธิบายเรื่องนี้ว่า มนุษย์วิวัฒนาการการเลี้ยงลูกให้ได้ประสิทธิภาพมากขี้น โดยพ่อและแม่จับคู่กันเพื่อเลี้ยงลูก การอยู่เป็นคู่เพื่อเลี้ยงลูกจะเพิ่มโอกาสการอยู่รอดของทายาทยีนตัวเอง เพราะลูกมนุษย์ใช้เวลาหลายปีกว่าจะดูแลตนเองได้ (ต่างจากสัตว์อื่นเช่นแมวหรือสุนัขที่คลอดไม่กี่วัน ลูกก็วิ่งเองกินเองได้เลยทำให้มันไม่วิวัฒนาการเป็นสัตว์ที่เลี้ยงลูกเป็นคู่)

ในป่าดึกดำบรรพ์ แม่มนุษย์ที่ยุ่งกับการดูแลลูกจะไม่สามารถระวังภัยและหาอาหารได้ด้วยตัวคนเดียว ดังนั้นสมองเพศเมียจึงวิวัฒนาการให้เลือกตัวผู้ที่ดูเข้มแข็ง พึ่งได้ในการหาอาหาร ระวังสัตว์ป่า ให้ทั้งตนกับลูกได้เป็นเวลานาน ในขณะที่สมองของเพศชายก็วิวัฒนาการให้เลือกแม่ที่แลดูมีสุขภาพสมบูรณ์ และมีความสามารถในการดูแลทะนุถนอม เพื่อให้มั่นใจว่าจะสามารถดูแลทายาทของตนสืบต่อไปได้

ยิ่งกว่านั้น มนุษย์ไม่ได้อยู่กันแค่พ่อแม่ลูก มนุษย์อยู่กันเป็นหมู่เผ่า เป็นสังคม จึงไม่ต่างจากสัตว์อื่น ที่ย่อมมีการต่อสู้แย่งชิงเพศเมียที่โดดเด่น โดยผู้ชนะจะได้ส่งต่อยีนของตัวเองต่อไปในอนาคต พฤติกรรมการเลือกคู่แบบนี้ไม่ได้เกิดจากการคิดไตร่ตรอง ด้วยปัญญาหรือสติ แต่เงื่อนไขเหล่านี้อยู่ฝังในสัญชาติญาณบรรพบุรุษของเราทุกรุ่นที่ช่วยให้ยีนของเขาอยู่รอดจนมาถึงรุ่นเราตามการวิวัฒนาการ

การหึงหวง แย่งชิง ในมุมมองของจิตวิทยาวิวัฒนาการ

ตั้งแต่ดึกดำบรรพ์มา การที่มนุษย์ชายหญิงใช้เวลาและพลังงานในการเสาะหา เกี้ยวพา และต่อสู้ เพื่อให้ได้คู่ที่ปรารถนา และเมื่อมีทายาทแล้วก็คาดหวังการผูกมัดให้ดูแลกันไปเป็นระยะยาว ในทางปฏิบัติทั้งหมดนี้เป็นการลงทุนเพื่อการสืบพันธุ์ (Parental Investment) เพศชายลงทุนเพื่อที่จะผูกมัดเพศหญิงมาอยู่กับตนเพียงผู้เดียว จะได้แน่ใจได้ว่าทายาทที่ออกมาเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของตน ในขณะที่เพศหญิงลงทุนผูกมัด เพื่อประกันความมั่นคงว่าจะมีผู้ที่ดูแลตนและลูกๆ ของตนในอนาคต

จากการวิจัยทางจิตวิทยาวิวัฒนาการ เหตุของความหึงหวงแยกกลุ่มชายหญิงชัดเจนอย่างมีนัยยะสำคัญ เพศชายจะหึงหวงมากกว่าในแง่ความซื่อสัตย์ทางเพศสัมพันธ์ ในขณะที่เพศหญิงจะหึงหวงในแง่ความผูกพันธ์ทางอารมณ์มากกว่า

ส่วนความเข้มข้นของความหึงหวง ขึ้นอยุ่กับว่าบุคคลได้ลงทุนเพื่อการสืบพันธุ์ไปมากเพียงใด ซึ่งในบริบทของโลกสมัยใหม่คือ การวางแผนชีวิตร่วมกัน ความคาดหวังจากญาติๆ ทั้งสองฝ่าย การใช้เวลาร่วมกัน การแบ่งปันพักอาศัยอยู่บ้านเดียวกัน การลงทุนทางการเงินหรืออสังหาร่วมกัน ฯลฯ ปัจจัยเหล่านี้สามารถทำให้ระดับความหึงหวงเพิ่มขึ้นได้

แต่ไม่ใช่ว่ามนุษย์ทุกคนเมื่อลงทุนเพื่อการสืบพันธุ์ไปแล้วจะหึงหวงเท่ากัน จากการวิจัยพบว่าผู้ที่มีรูปแบบความผูกพันแบบ Anxious-Ambivalent จะมีระดับความหึงหวงมากขี้นกว่ารูปแบบความผูกพันอื่น เพราะรูปแบบความผูกพันนี้เริ่มขึ้นในวัยเยาว์ เวลาคาดหวังความรักและความปลอดภัยจากผู้ปกครอง แล้วกลับได้รับบ้างไม่ได้รับบ้าง ไม่แน่นอน ทําให้ผู้ที่มีความผูกพันรูปแบบนี้เชื่อใจผู้อื่นได้ยาก

นอกจากนี้ความหึงหวงก็เกี่ยวกับช่วงต่างๆในความสัมพันธ์ด้วยเหมือนกัน ในช่วงแรกของความสัมพันธ์เช่นตอนเพิ่งทำความรู้จักกัน ความหึงหวงจะเกิดน้อย หรือถ้าเกิดบ่อยก็ระดับไม่มากเมื่อเทียบกับเมื่อความสัมพันธ์ดำเนินไปยาวนานขึ้น

จากละคร ย้อนดูตัวเรา

จิตวิทยาวิวัฒนาการเป็นอีกหนึ่งแง่มุมที่สามารถใช้อธิบายพฤติกรรม ความคิดและอารมณ์ ที่มีมาแต่โบราณกาลจากวิถีต่างๆ ที่ทำให้มนุษยชาติอยู่รอดสืบมาจนทุกวันนี้ มนุษย์ชายหญิง”ลงทุน”ในกิจกรรมต่างๆ เพื่อเพิ่มโอกาสความสำเร็จในการสืบพันธุ์และมีทายาทที่แข็งแรง การลงทุนนี้มากับความคาดหวังต่างๆ โดยธรรมชาติ ซึ่งทำให้เกิดการหึงหวงแย่งชิงในรูปแบบต่างๆ ตามแต่พื้นฐานทางกายภาพและจิตวิทยาของแต่ละคน

เมื่อกลับมามองชีวิตรักและความสัมพันธ์ของตัวเราเอง พอจะนึกออกไหมคะว่ามีจุดใดที่คุณรู้สึกว่าจิตวิทยาวิวัฒนาการสามารถอธิบายได้ดี หรือมีจุดไหนที่คิดว่าต่างไปจากในบทความ ละมุนใจอยากเชิญชวนคุณมาแบ่งปันประสบการณ์และพูดคุยกันได้ในคอมเม้นต์ด้านล่างนี้นะคะ

อ้างอิง
- Zarate, Oscar. Introducing Evolutionary Psychology - a Graphic Guide. Icon Books Ltd, 2010. Kindle Edition.
- Josephs, Lawrence. The Dynamics of Infidelity: Applying Relationship Science to Psychotherapy Practice (p. 106). American Psychological Association. Kindle Edition.
- https://www.psychologytoday.com/us/blog/the-savvy-psychologist/202004/how-does-your-attachment-style-impact-your-relationships

โควิดเป็นสถานการณ์ที่มีผลทางจิตใจหลายด้าน ขอเชิญชวนมาฝึกทักษะการอยู่กับความไม่แน่นอนในกิจกรรมออนไลน์ (มีค่าใช้จ่าย) กับท...
29/01/2021

โควิดเป็นสถานการณ์ที่มีผลทางจิตใจหลายด้าน ขอเชิญชวนมาฝึกทักษะการอยู่กับความไม่แน่นอนในกิจกรรมออนไลน์ (มีค่าใช้จ่าย) กับทีมงาน Therapia นะคะ

กลับมาอีกครั้งสำหรับกิจกรรมออนไลน์ในหัวข้อ
"Dealing with Uncertainty : อยู่อย่างไรท่ามกลางความไม่แน่นอน"
(สำหรับบุคคลทั่วไป)
ตั้งแต่ปีใหม่ที่ผ่านมา หลายคนคงได้รับผลกระทบจากการระบาดอีกครั้งของไวรัสโคโรน่าหลังจากสถานการณ์เพิ่งฟื้นตัวในช่วงปลายปีที่แล้ว ที่สำคัญกว่านั้นคือเราทุกคนก็ยังคงไม่รู้ว่าในปี 2564 นี้จะเกิดอะไรขึ้นบ้างและเราจะต้องพบเจอกับอะไรในชีวิตต่อจากนี้
Therapia จึงอยากชวนทุกคนมาร่วมเรียนรู้วิธีรับมือกับ"ความไม่รู้" และ "ความไม่แน่นอน" ในปีนี้ด้วยการฝึกจัดการความคิด อารมณ์ ร่างกาย และพฤติกรรม เพื่อเตรียมแผนรับมือในแบบฉบับของตัวเองที่สามารถนำไปใช้ได้จริงด้วยหลักการปรับความคิดและพฤติกรรม (Cognitive Behavior Therapy : CBT)
กิจกรรมจะจัดขึ้นในวันเสาร์ที่ 30 มกราคม 2564 เวลา 18.00-20.00 น. ทาง Zoom โดยครั้งนี้มีคุณอาทิตา อุตระวณิชย์ นักจิตวิทยาการปรึกษา เป็นวิทยากรหลัก พร้อมด้วยทีมงาน Therapia เป็นผู้นำกระบวนการ
รายได้หลังหักค่าใช้จ่ายจะนำไปสมทบทุนโครงการนักบำบัดจิตอาสา Chula CBT เพื่อให้บริการจิตบำบัดด้วยการปรับความคิดและพฤติกรรมกับคนไทยทั่วประเทศ
วิธีการเข้าร่วม
ผู้ที่สนใจเข้าร่วม สามารถโอนค่าเข้าร่วมเข้าบัญชีด้านล่างนี้
พร้อมทั้งส่งหลักฐานการโอนมาทาง Inbox ของเพจ Therapia
ธนาคารกสิกรไทย
เลขที่บัญชี 076-1-96401-1
ชื่อบัญชี นายนนทวุฒิ ชีวิศรีรุ่งเรือง และ น.ส.อาทิตา อุตระวณิชย์
แล้วพบกันนะคะ
เพราะการดูแลใจเป็นเรื่องของทุกคน
ีต่อใจ

EP.10 : "คุณค่าของชีวิต" ในช่วงปีที่ยากลำบาก(บทความนี้ใช้เวลาอ่านประมาณ 2 นาที)ช่วงปีที่ผ่านมาถือว่าเป็นปีที่โหดร้ายสำหร...
28/12/2020

EP.10 : "คุณค่าของชีวิต" ในช่วงปีที่ยากลำบาก
(บทความนี้ใช้เวลาอ่านประมาณ 2 นาที)

ช่วงปีที่ผ่านมาถือว่าเป็นปีที่โหดร้ายสำหรับหลายๆ คนเลยทีเดียว จนบางครั้งอดตั้งคำถามกับตัวเองไม่ได้ว่า ถ้าชีวิตเกิดมาแล้วทุกข์ขนาดนี้ เราจะอยู่ไปเพื่ออะไร, ชีวิตเรามีแค่ทำงาน หาเงิน ใช้เงิน แล้วตายไปแค่นั้นจริงหรือ หากเป็นอย่างนั้นแล้วคุณค่าของชีวิตมันอยู่ที่ตรงไหน

ก่อนจะข้ามผ่านสู่ปีใหม่ในไม่อีกกี่วันข้างหน้า (ที่ใครบางคนก็อาจมองว่ามันเป็นเพียงแค่อีกปีหนึ่งเหมือนกับทุก ๆ ปีที่ผ่านมา) ใน EP นี้ ละมุนใจอยากชวนทุกคนมาตั้งคำถามถึงคุณค่าของชีวิต อย่างน้อย ให้เราได้กลับมาค้นหาสิ่งสำคัญที่หลงลืมไป เพราะใจไม่เคยได้หยุดพักจากความวุ่นวายภายนอก

นั่งหลับตาลงซักครู่ หายใจเข้าออกสบาย ๆ 2-3 นาที และถ้าหากคุณไม่ถือเคล็ดเรื่องความตายหรือกำลังอยู่ในช่วงอารมณ์เศร้าผิดปกติ เรามีตัวอย่างเรื่องราวสมมติด้านล่างนี้เป็นเครื่องมือหนึ่งในการค้นหาว่า สุดท้ายแล้ว สิ่งที่คุณต้องการจริงๆ ในชีวิตคืออะไร

จินตนาการว่า ณ ตอนนี้คุณไม่ได้มีชีวิตอยู่แล้ว เหลือเพียงวิญญาณที่ได้มาร่วมในงานศพของคุณเอง คุณกำลังมองดูและนั่งฟังภรรยา, ลูก ๆ, เพื่อน, เพื่อนร่วมงาน หรือคนอื่น ๆ ที่เคยได้ใช้ชีวิตร่วมกับคุณ กำลังกล่าวคำชื่นชมอำลาถึงตัวคุณ

“คุณอยากให้พวกเขาจดจำคุณในแบบไหน?”

ในฐานะสามี คุณอยากให้ภรรยาพูดถึงตัวคุณอย่างไร?
ในฐานะพ่อ คุณอยากให้ลูกพูดถึงตัวคุณอย่างไร?
ในฐานะพี่ชาย คุณอยากให้น้องพูดถึงตัวคุณอย่างไร?
ในฐานะเพื่อน คุณอยากให้เพื่อนพูดถึงตัวคุณอย่างไร?

โดยคำพูดเหล่านั้นไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง ไม่จำเป็นต้องตัดสินว่าคุณสมควรได้รับคำชื่นชมเหล่านั้นหรือไม่ ไม่จำเป็นต้องขึ้นกับมาตรฐานหรือวัฒนธรรมสังคม เป็นอะไรก็ได้ เพียงแค่เป็นสิ่งที่คุณอยากให้พวกเขาจดจำคุณ เป็นสิ่งที่คุณอยากฟังจริงๆ

ต่อมา เราอยากชวนคุณเขียนบันทึกออกมาโดยแยกเป็นหัวข้อๆ ได้แก่ การแต่งงาน/คู่ครอง/ความสัมพันธ์, ครอบครัว (พ่อแม่, พี่น้อง, ลูก), มิตรภาพ, อาชีพการงาน, การศึกษาและพัฒนาตัวเอง, สุขภาพ, การพักผ่อนหรืองานอดิเรก, งานด้านศาสนา/จิตวิญญาณ, พลเมืองของสังคม ฯลฯ คุณสามารถข้ามบางหัวข้อไปได้เลย หากมันไม่มีความสำคัญกับคุณ หรือเติมหัวข้ออื่นๆ นอกเหนือจากนี้ได้ หลังจากนั้นให้คะแนนความสำคัญของแต่ละหัวข้อ จาก 1-10 (1 คือ มีความสำคัญมากที่สุด และ 10 คือ มีความสำคัญน้อยที่สุด) เรียงลำดับออกมา

ยกตัวอย่างเช่น หัวข้ออาชีพการงาน คุณอยากเป็นคนเก่ง สามารถทำผลงานออกมาได้สมบูรณ์แบบ ได้รับการชื่นชมจากเพื่อนร่วมงานและหัวหน้า ถ้าอย่างนั้น ไม่ว่าผลงานจะดีเพียงใดแต่ไม่ได้รับคำชม คุณยังอยากทำมันให้ดีที่สุดอยู่หรือไม่ ถ้าคำตอบคือไม่ แปลว่าคุณให้คุณค่ากับการยอมรับจากคนอื่นมากกว่าผลงานที่ดีเลิศ

“คุณค่า” เป็นเรื่องของ ‘ทิศทาง’ เมื่อกำหนดทิศทางได้ถูกต้อง ต่อไป คุณจะสามารถ ‘เลือกกำหนดเป้าหมาย’ และ ‘วางแผนลงมือทำ’ แต่ละขั้นตอนได้อย่างชัดเจน คุณจะสามารถพบความสุขได้ตั้งแต่ ‘กระบวนการ’ และหากมีอุปสรรค คุณก็จะมีพลังฟันฝ่าหรือยอมรับกับสิ่งกีดขวางได้ง่ายกว่า หรือจะเปลี่ยนเป้าหมาย เปลี่ยนแผนการลงมือทำไปซักหน่อยก็ย่อมได้ เพราะคุณรู้แก่ใจว่าสิ่งที่คุณกำลังทำอยู่ มันนำไปสู่ทิศทางที่เข้าใกล้กับคุณค่าที่คุณให้ความหมายกับชีวิต

สมมติ คุณต้องการสวนดอกไม้ ก็ต้องเริ่มจากการเลือกแปลง คัดหาเมล็ดพันธุ์ของชนิดดอกไม้ หว่านลงดิน รดน้ำ ใส่ปุ๋ยอย่างสม่ำเสมอ แต่ใช่ว่าทุกเมล็ดจะกลายเป็นต้นไม้ที่ออกดอกสวยงาม เพราะยังมีปัจจัยอื่นที่เราควบคุมไม่ได้ เช่น ดินฟ้าอากาศ, โรคระบาดและศัตรูพืช ฯลฯ ที่ทำให้มันออกดอกช้าหรือไม่ออกดอกเลย หรือต้องเปลี่ยนใจเริ่มใหม่ เปลี่ยนเป็นดอกไม้พันธุ์อื่นที่เหมาะกับสภาพแวดล้อมมากกว่า ฉะนั้นหากใจไปจดจ่ออยู่ที่ ‘ดอกไม้’ ไม่ใช่การ ‘ปลูก’ ก็น่าเสียดายที่คุณมองข้ามความพยายามที่ได้ทุ่มเทลงไปเพื่อสวนดอกไม้ของคุณ

สุดท้ายนี้ ขอกล่าวสวัสดีปีใหม่ 2564 แอดมินขออวยพรให้ทุกคนมีสุขภาพใจอันละมุน รุ่มรวยความสุขเล็กๆ น้อยๆ ที่อาจซ่อนอยู่ในความปกติธรรมดา ได้ค้นพบ “คุณค่า” เพื่อนำมาใช้เป็นเข็มทิศนำทางให้เป็นปีที่ดีขึ้นสำหรับทุกคนค่ะ

แรงบันดาลใจจาก
- หนังสือ Acceptance and Commitment Therapy by Kelly G. Wilson, Kirk D. Strosahl and Steven C. Heyes, 2011
- ภาพยนตร์ Soul, 2020

EP.9 : “สิ่งสมควร” สาเหตุหนึ่งของความโกรธ(บทความนี้ใช้เวลาอ่านประมาณ 2 นาที)ในโพสต์ที่แล้วเราพูดถึงลักษณะของความโกรธกันไ...
03/12/2020

EP.9 : “สิ่งสมควร” สาเหตุหนึ่งของความโกรธ
(บทความนี้ใช้เวลาอ่านประมาณ 2 นาที)

ในโพสต์ที่แล้วเราพูดถึงลักษณะของความโกรธกันไป วันนี้แอดมินขอนำเสนอสาเหตุหนึ่งของความโกรธและวิธีรับมือซึ่งนำมาจากหนังสือ “Anger management for kids รับมือกับลูกขี้โมโห” เช่นเดิมค่ะ
ก่อนเข้าประเด็นหลัก เรามาทำความเข้าใจกับลำดับขั้นตอนของอารมณ์โกรธกันก่อนนะคะ ในที่นี้เราจะแบ่งออกเป็น 3ลำดับ
1. มีเหตุการณ์เกิดขึ้น เช่น รุ่นน้องเดินผ่านแต่ไม่ยอมทักเรา
2. ตัวเรารับรู้เหตุการณ์และตีความหมายของเหตุการณ์นั้น เมื่อเราเห็นว่ารุ่นน้องไม่ทัก เราก็ตีความไปว่ารุ่นน้องไม่ให้ความเคารพ
3. เราเกิดความรู้สึกโกรธ เพราะเราตีความว่ารุ่นน้องไม่ให้ความเคารพเรา

ช่วงระหว่างลำดับที่ 2 และ 3 จะมีการเปรียบเทียบระหว่าง “สิ่งที่เกิดขึ้นจริง” กับ “สิ่งที่เราคิดว่าควรจะเป็น” ซึ่งผลลัพธ์ของการเปรียบเทียบนี่แหละค่ะ จะเป็นตัวชี้วัดว่าเราจะโกรธหรือไม่โกรธกับเหตุการณ์นี้ ในหนังสือกล่าวว่า “สิ่งสมควร” ของเรานั้นเป็นบรรทัดฐานที่แสดงออกถึงความคาดหวัง ความต้องการของตัวเราเอง ซึ่งอาจจะไม่ใช่บรรทัดฐานของคนทุกคนในโลกความจริง เช่น ในวันเกิดควรมีการจัดงานวันเกิด เรารู้สึกมีความสุขเมื่อมีงานวันเกิด เราจึงชอบมีงานวันเกิดในทุกปี แต่ในความเป็นจริงไม่ใช่ทุกคนที่ชอบสังสรรค์ในวันเกิดตัวเอง บางคนก็อาจแค่อยากนอนอยู่บ้าน เล่นกับหมา หาอะไรอร่อยๆกินแค่นั้นก็ได้

ทีนี้เจ้าความโกรธของเราจะมาก็ตอนที่เหตุการณ์จริงไม่เป็นไปตาม “สิ่งสมควร” ที่เราคิดไว้ จากตัวอย่างด้าน ถ้าเรามีความคิดว่า “รุ่นน้องควรเคารพรุ่นพี่” “รุ่นน้องควรทักทายรุ่นพี่เมื่อเจอกัน” เมื่อสิ่งสมควรของเราไม่ตรงกับสิ่งที่เกิดขึ้น เราก็จะมีอารมณ์โกรธขึ้นมาทันที แล้วถ้าเราอยากรับมือกับความโกรธเหล่านี้ให้ดียิ่งขึ้น เราจะทำยังไงได้บ้าง มาดูกันเลยค่ะ
1. เขียนสิ่งสมควรของเราขึ้นมา เช่น ทุกคนควรตรงต่อเวลา
2. จัดแบ่งสถานการณ์ ตามความโกรธออกเป็น 3 ระดับนะคะ

ระดับที่หนึ่ง ไม่โกรธ: เมื่อการเหตุการณ์ตรงกับสิ่งสมควรของเรา มาก่อนเวลา ไม่โกรธ

ระดับที่สอง พอจะยอมรับได้: เหตุการณ์แตกต่างจากสิ่งสมควรของเราในระดับที่รับได้ มาสาย 10 นาที พอรับได้

ระดับที่สาม โกรธ: เหตุการณ์แตกต่างจากสิ่งสมควรของเรา มาสายมากกว่า 10 นาที ฉันโกรธ!

3. เมื่อเราเห็นความชัดเจนของตัวเองแล้ว ทีนี้ลองมาพิจารณาว่าเราสามารถเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับเหตุการณ์ระดับ 3 ได้มั้ย เช่น ถ้ามาสาย 10 นาทีเราอาจจะแค่เซ็งๆ (เทียบได้กับระดับ 2) ถ้าเป็น 30 นาทีเราถึงจะรู้สึกโกรธ
4. ฝึกความยืดหยุ่นของจิตใจ ใจกว้างและปล่อยวางเรื่องที่ไม่สำคัญลงบ้าง สิ่งสำคัญคือ เราควรแสดงให้คนอื่นเห็นชัดเจนว่า อะไรคือเรื่องที่เรายอมได้และอะไรที่เราไม่สามารถยอมได้จริงๆ

ทำไมเราจึงไม่ควรยึดติดและคาดหวังให้คนอื่นเป็นหรือทำตาม “สิ่งสมควร” ของเรา
1. บางเรื่องแม้เราจะมองว่ามันสมควรจริงๆนะ แต่คนอื่นๆก็อาจไม่เห็นด้วย
2. แม้แต่บางคนที่มีสิ่งสมควรในเรื่องเดียวกัน แต่ระดับความเข้มข้นก็อาจจะต่างกันไป เช่น คนเราไม่ควรมาสายนะ แต่นิยามความว่าสายของแต่ก็คนก็ไม่เท่ากัน
3. สิ่งสมควรสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามยุคสมัยและวัฒนธรรม สมัยก่อนหลายคนคิดว่าผู้หญิงควรดูแลบ้าน ดูแลสามี เมื่อยุคสมัยเปลี่ยน วัฒนธรรมเปลี่ยน สิ่งสมควรเดิมๆก็เปลี่ยนไปด้วย

การที่เราคาดหวังให้สิ่งต่างๆเป็นอย่างที่เราคิดว่าสมควรเป็น หรือคาดหวังให้คนอื่นทำในสิ่งที่เราคิดว่าสมควรทำ ก็อาจจะสร้างความโกรธและหงุดหงิดโดยเปล่าประโยชน์ เพราะไม่ใช่ทุกอย่างที่เราสามารถเป็นผู้กำหนดเองได้ ดังนั้นการเข้าใจความต้องการของตนเอง เข้าใจผู้อื่นและสิ่งรอบตัว การฝึกฝนความยืดหยุ่นทางด้านจิตใจ พูดคุยรับฟังกันอย่างเข้าใจก็สามารถช่วยลดความโกรธที่ไม่จำเป็นได้ค่ะ แล้วเพื่อนๆล่ะคะ เคยโกรธใครเพราะ ”สิ่งสมควร” อะไรกันบ้าง ลอง comment มาคุยกันด้านล่างได้เลยค่ะ

"จิตบำบัด" คืออะไร มีกี่แบบสปาใจ : SpaJai มาเล่าให้ฟังแล้วค่ะ
14/10/2020

"จิตบำบัด" คืออะไร มีกี่แบบ
สปาใจ : SpaJai มาเล่าให้ฟังแล้วค่ะ

ที่อยู่

Bangkok

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ La-moon mind - ละมุนใจผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

แชร์

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram