Thailand Association of Innovation Ophthalmologists

Thailand Association of Innovation Ophthalmologists Thailand Association of Innovation Ophthalmologists

จุฬาฯ ได้พัฒนาหลักสูตร และระบบการศึกษาอย่างต่อเนื่อง โดยในแต่ละหลักสูตรประกอบไปด้วยบุคลากรและคณาจารย์ที่มีคุณภาพ มีประสบการณ์ มีสื่อการเรียนการสอนที่ทันสมัย และเนื้อหาวิชาที่ครอบคลุมรอบด้าน อีกทั้งนิสิตมีโอกาสได้ฝึกปฏิบัติงานจริงในทุกๆ สาขาวิชา เพื่อให้นิสิตได้รับการศึกษาที่ดีที่สุด และนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อสังคมได้

ฟื้นฟูการมองเห็นโดยไม่ต้องผ่าตัดวิธีนี้ฟื้นคืนสายตฺาได้ภายฺในหนึ่งสัปฺดฺาห์โดยไม่ต้องผ่าตัดต้อหินต้อกระจก ต้อเนื้อ ต้อลม...
16/03/2021

ฟื้นฟูการมองเห็นโดยไม่ต้องผ่าตัด
วิธีนี้ฟื้นคืนสายตฺาได้ภายฺในหนึ่งสัปฺดฺาห์โดยไม่ต้องผ่าตัด
ต้อหิน
ต้อกระจก
ต้อเนื้อ ต้อลม
วุ้นตาเสื่อม
จอประสาทตาเสื่อมตามวัย
เบฺาหฺวานขึ้นตา
ตาแห้ง
เราช่วยให้คุณมองเห็นได้ดีขึ้น
https://ophthalmologist.ecwid.com

16/03/2021

ฟื้นฟูการมองเห็นโดยไม่ต้องผ่าตัด
วิธีนี้ฟื้นคืนสายตฺาได้ภายฺในหนึ่งสัปฺดฺาห์โดยไม่ต้องผ่าตัด
ต้อหิน
ต้อกระจก
ต้อเนื้อ ต้อลม
วุ้นตาเสื่อม
จอประสาทตาเสื่อมตามวัย
เบฺาหฺวานขึ้นตา
ตาแห้ง
เราช่วยให้คุณมองเห็นได้ดีขึ้น
https://ophthalmologist.ecwid.com

Computer vision syndrome คือ กลุ่มอาการทางตาที่เกิดจากการใช้สายตากับคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน โดยจะมีอาการดังกล่างข้างต้น  ...
16/03/2021

Computer vision syndrome คือ กลุ่มอาการทางตาที่เกิดจากการใช้สายตากับคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน
โดยจะมีอาการดังกล่างข้างต้น มีการศึกษาพบว่าประมาณ 90% ของผู้ที่ใช้คอมพิวเตอร์ต่อเนื่องมากกว่า 3 ชั่วโมงต่อวัน
เคยประสบกับหนึ่งในกลุ่มอาการนี้
ทั้งนี้อาจเกิดจากหลายปัจจัยร่วมกัน เช่นขณะเราจดจ่อกับการอ่านหนังสือหรือจ้องจอคอมพิวเตอร์ เราจะกระพริบตาน้อยลงจึงทำให้
เกิดอาการตาแห้งได้ง่ายขึ้น แสงสว่างภายในห้องที่ไม่เหมาะสม รวมทั้งการมีแสงสะท้อนจากจอคอมพิวเตอร์
การที่ตัวอักษรบนจอคอมพิวเตอร์ไม่เรียบคมชัดเท่าตัวพิมพ์บนหน้าหนังสือ หรือการมีความไม่นิ่งของสัญญาณในจอคอมพิวเตอร์
ซึ่งทำให้เราต้องใช้ความพยายามในการโฟกัสมากขึ้นจึงก่อให้เกิดอาการตาเมื่อยล้าได้ง่ายขึ้น ระยะห่างจากหน้าจอ ระดับสายตา
ในการมองจอคอมพิวเตอร์ หรือท่าทางในการนั่งทำงานที่ไม่เหมาะสม
แม้ว่ากลุ่มอาการนี้ไม่ได้ก่อให้เกิดอันตรายร้ายแรงต่อตาหรือการมองเห็น แต่มักก่อให้เกิดความไม่สบายตา และอาจเป็นปัญหา
รบกวนการทำงานหรือการใช้ชีวิตประจำวันได้ ซึ่งวิธีการง่ายๆที่จะช่วยป้องกันหรือหลีกเลี่ยง computer vision syndrome มีดังนี้คือ
1.ปรับระดับการมองเห็นและปรับท่าทางในการนั่งทำงานให้เหมาะสม
- จุดศูนย์กลางของจอคอมพิวเตอร์ควรห่างจากตาประมาณ 20-28 นิ้ว และต่ำจากระดับสายตา 4-5 นิ้ว
- แป้นพิมพ์ควรวางอยู่ในระดับต่ำกว่าจอ โดยให้ข้อมือและแขนขนานไปกับพื้น ข้อศอกตั้งฉาก ไม่อยู่ในลักษณะเอื้อมไปข้างหน้า
- ปรับระดับเก้าอี้โดยให้ฝ่าเท้าวางราบไปกับพื้น เข่าตั้งฉาก ต้นขาขนานไปกับพื้น อาจมีที่วางข้อศอกและแขนเพื่อลดอาการล้าที่หัวไหล่
แขน และข้อมือ
- เอกสารสิ่งพิมพ์ หรือหนังสือควรวางอยู่ในระดับและระยะเดียวกับจอ เพื่อไม่ต้องขยับหรือหันศีรษะและเปลี่ยนการปรับโฟกัสมากเกินไป
2. ปรับแสงสว่างจากภายนอกและจากจอคอมพิวเตอร์
- ปิดม่านหน้าต่าง เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้มีแสงแดดหรือแสงสว่างจากภายนอกส่องกระทบจอคอมพิวเตอร์แสงห้องทำงานที่สว่างเกินไปจะก่อ
ให้เกิดแสงสะท้อนที่จอได้ง่าย ทำให้รู้สึกไม่สบายตา
- อาจใช้แผ่นกันแสงสะท้อนติดหน้าจอภาพ
- ปรับความสว่างของหน้าจอและความแตกต่างของสีระหว่างพื้นจอและตัวอักษรให้สามารถมองเห็นได้คมชัดและสบายตาที่สุด
3. พักสายตาระหว่างการทำงาน
- หลังจากใช้สายตาเป็นเวลาติดต่อกันนาน 20 นาที ควรละสายตาออกจากจอคอมพิวเตอร์และมองออกไปในระยะไกล 20 วินาที
นอกจากนี้ทุกๆ 2 ชั่วโมง ควรพักสายตาหรือลุกจากโต๊ะทำงานเพื่อเป็นการป่อนคลายเป็นเวลาอย่างน้อย 15-20 นาที
4. กระพริบตาบ่อยขึ้น หรือหยอดน้ำตาเทียม เพื่อช่วยลดอาการตาแห้งและช่วยให้สบายตาขึ้น
5. พบจักษุแพทย์เพื่อตรวจวัดสายตา
แม้ว่าคุณจะไม่เคยมีปัญหาด้านสายตาและไม่จำเป็นต้องใช้แว่นสายตาหรือคอนแทคเลนส์ในชีวิตประจำวันมาก่อน แต่สายตาผิดปกติ
ที่ไม่ได้รับการแก้ไข ปัญหาในการปรับโฟกัส หรือภาวะสายตาที่เปลี่ยนแปลงตามอายุ อาจเป็นสาเหตุของอาการตาเมื่อยล้า ปวดตา
หรือ อาจซ้ำเติมให้อาการรุนแรงขึ้นได้ ดังนั้น จึงควรพบจักษุแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและรักษาที่ถูกต้อง

ตาวาว หรือ รูม่านตาสีขาว (Leukocoria)ในภาวะปกติเราจะเห็นรูม่านตามีสีดำ เมื่อรูม่านตามีสีขาวหรือมีลักษณะวาวคล้ายตาเพชรหรื...
16/03/2021

ตาวาว หรือ รูม่านตาสีขาว (Leukocoria)
ในภาวะปกติเราจะเห็นรูม่านตามีสีดำ เมื่อรูม่านตามีสีขาวหรือมีลักษณะวาวคล้ายตาเพชรหรือตาแมว เป็นอาการที่บ่งบอกถึงความผิดปกติในลูกตา ในผู้สูงอายุ สาเหตุที่พบบ่อยที่สุดคือต้อกระจก ซึ่งเป็นโรคที่สามารถผ่าตัดได้ และได้ผลดี แต่ถ้าเกิดขึ้นในเด็ก "ตาวาว"เป็นสัญญาณอันตราย เป็นภาวะเร่งด่วนที่ต้องรีบหาสาเหตุ และวินิจฉัยโดยเร็ว เพราะอาจเป็นโรคร้าย ที่สามารถส่งผลถึงขั้นสูญเสียการมองเห็นอย่างถาวร สูญเสียดวงตา หรือแม้กระทั่งเสียชีวิตได้
โรคมะเร็งจอตาในเด็ก (Retinoblastoma) เป็นสาเหตุของตาวาวในเด็กอันดับต้นๆ ในปีหนึ่งๆ จะมีเด็กที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคนี้ทั่วโลกมากกว่า 7,000 คน
ในอดีต เด็กที่เป็นโรคนี้มักจะเสียชีวิตแทบทุกราย เนื่องจากเซลล์มะเร็งสามารถลุกลามจากตาเข้าไปยังภายในสมองได้ แต่ในปัจจุบัน วิวัฒนาการของการรักษาได้ดีขึ้นเป็นอย่างมาก ทำให้อัตราการรอดชีวิตจากโรคนี้ในประเทศที่พัฒนาแล้ว สูงถึง 95-99% แต่ในประเทศที่กำลังพัฒนาบางประเทศเช่นประเทศในแถบแอฟริกา อัตราการรอดชีวิตอาจมีเพียงแค่ 50% การศึกษาในประเทศไทยที่โรงพยาบาลศิริราชเมื่อปี พ.ศ. 2552 พบว่าอัตราการรอดชีวิตอยู่ที่ 85% ซึ่งต่ำกว่าประเทศที่พัฒนาแล้วเล็กน้อย ทั้งนี้สาเหตุเนื่องมาจาก พ่อแม่ผู้ปกครองขาดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโรคมะเร็งจอตาในเด็กและภาวะตาวาวทำให้มักพาเด็กมาพบแพทย์เมื่อเซลล์มะเร็งลุกลามมากแล้ว การรักษาจึงได้ผลสำเร็จลดลง
นอกจากโรคมะเร็งจอตาในเด็กแล้ว อาการ “ตาวาว” ยังเป็นอาการนำของโรคอื่นๆ อีกหลายโรค เช่น ต้อกระจกในเด็ก, เลือดออกในวุ้นตา, Coats disease, ภาวะหลอดเลือดในตาไม่สลายตัว, จอตาลอก, เป็นต้น โรคเหล่านี้สามารถรักษาได้ การรักษาจะช่วยให้เด็กมีการมองเห็นที่ดีขึ้น และช่วยให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้ในอนาคต
ตาวาวในเด็ก เป็นเรื่องด่วน เรื่องสำคัญ และอาจเป็นอันตรายแก่ชีวิต พ่อแม่หรือผู้ปกครองควรหมั่นสังเกตบุตรหลานถึงความผิดปกติดังกล่าว ถ้าพบควรรีบพาบุตรหลานของท่านไปพบจักษุแพทย์เพื่อทำการรักษาโดยเร็ว

ปัจจุบันมีการพูดถึงการนวดตาที่จริงแล้วยังไม่มีหลักฐานใดๆยืนยันว่า การนวดตานั้นสามารถบรรเทา อาการ ผิดปกติทางสายตาอย่างถูก...
16/03/2021

ปัจจุบันมีการพูดถึงการนวดตาที่จริงแล้วยังไม่มีหลักฐานใดๆยืนยันว่า การนวดตานั้นสามารถบรรเทา อาการ ผิดปกติทางสายตาอย่างถูกต้อง... นอกจากนี้การนวดตาอาจทำให้เกิดผลเสียขึ้นได้เช่น
การนวดตาโดยการกดแรงไปที่ดวงตาโดยตรง จะเป็นการเพิ่มแรงดันในดวงตา ลูกตาที่มีลักษณะกลมจะผิดรูป และอาจส่งผลให้ จอประสาทตาลอก เลนร์ตาเคลื่อน เลือดออกในวุ้นตา และความดันในตาสูงก็จะทำให้เป็นต้อหินได้
ดังนั้นเราควรหลีกเลี่ยงการนวดตาเพราะจะเกิดอันตรายได้
การพักผ่อนสายตาที่ดีที่สุดคือ เมื่อเราจ้องมองหน้าคอมเป็นเวลานานๆ ให้ออกมามองบริเวณอื่นหรือ มองออกไปไกลๆ เป็นเวลา 15 - 20 นาที หรือจะหลับตา เป็นระยะเวลาสั้น เพื่อถนอมสายตาให้อยู่คู่กับเราไปนานๆ นะครับ
หนังสือชี้แจงเกี่ยวกับการนวดตาเพื่อรักษาโรคตา
เนื่องจากในปัจจุบันได้มีคลิปวิดิโอการรักษาโรคตาด้วยการนวดตาเผยแพร่อยู่ในสื่อสังคมออนไลน์ ซึ่งในคลิปวิดิโอดังกล่าวได้แสดงวิธีการนวดตาเพื่อรักษาโรคจุดรับภาพเสื่อม(age-related macula degeneration: AMD) รวมถึงโรคต้อหิน(glaucoma) และการนวดตาในเด็กเพื่อป้องกันการเกิดภาวะสายตาสั้น(myopia) นอกจากนี้ยังมีการอธิบายถึงความเสี่ยงของการใช้คอมพิวเตอร์เป็นเวลานานในคนเอเชียอาจทำให้ตาบอด ซึ่งทำให้ผู้ที่ได้รับชมเกิดความสับสนและเข้าใจผิดในข้อมูลดังกล่าว
ทางชมรมต้อหินแห่งประเทศไทยมีความกังวลในข่าวสารที่ไม่ถูกต้องตามหลักวิชาการของการนวดตา ที่ได้มีการเผยแพร่อยู่ในปัจจุบัน ทางชมรมต้อหินแห่งประเทศไทยจึงต้องการนำข้อเท็จจริงทางวิชาการมาเผยแพร่ให้แก่ผู้ที่สนใจจะได้มีความข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการนวดตา
โดยปกติแล้วตาของคนเรามีความตึงตัวของลูกตาอยู่ในระดับหนึ่งอยู่แล้ว โดยความตึงตัวของลูกตานี้เราเรียกว่าความดันในตา(intraocular pressure) ซึ่งโดยปกติคนเราจะมีความดันในตาไม่เกิน 21มิลลิเมตรปรอท ซึ่งการนวดตาหรือกดตาแรงๆจะทำให้ความดันในตาสูงขึ้น ถึงแม้ว่าหลังนวดตาอาจพบว่าความดันในตาอาจจะลดลงช่วงสั้นๆ ความดันในตาที่สูงขึ้นนี้ถ้ามีการกดที่แรงมากอาจทำให้ความดันขึ้นสูงได้ถึง 80 มิลลิเมตรปรอท โดยความดันในตาที่สูงระดับนี้สามารถทำให้เกิดภาวะเส้นเลือดแดงหรือเส้นเลือดดำของจอตาอุดตันได้(retinal artery or retinal vein occlusion) ซึ่งจะทำให้เกิดการสูญเสียการมองเห็นอย่างถาวร นอกจากนี้ความดันในตาที่สูงขขึ้นในระหว่างที่นวดตาหรือกดตายังเพิ่งความเสี่ยงของการเกิดโรคต้อหินอีกด้วย ดังนั้นจากเหตุผลดังกล่าวจะเห็นได้ว่าการนวดตานั้นไม่ได้ทำให้โรคต้อหินดีขึ้นแต่จะทำให้ผู้ป่วยที่เป็นต้อหินมีอาการแย่ลง และในขณะเดียวกันยังเพิ่มความเสี่ยงทำให้คนที่ไม่เป็นต้อหินกลายเป็นต้อหินได้ด้วย โดยเฉพาะการนวดตาในเด็กจึงไม่สมควรทำเป็นอย่างยิ่ง นอกจากนี้ในปัจจุบันยังไม่มีงานวิจัยทางการแพทย์ใดที่บอกว่าการนวดตาจะช่วยลดโอกาสการเกิดภาวะสายตาสั้นได้
ในส่วนของโรคจุดรับภาพเสื่อมนั้นเกิดจากการเสื่อมสภาพของจอตา(retina) ทำให้ร่างกายสร้างเส้นเลือดใหม่ที่ไม่ปกติ(neovascular membrane)ตรงจุดรับภาพ ซึ่งผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้จะสูญเสียการมองเห็นจากการเสื่อมของจอตาหรือจากมีเลือดออกในชั้นจอตาจากเส้นเลือดใหม่ที่ไม่ปกติ การรักษาโรคนี้จึงมุ่งเน้นไปที่การกำจัดเส้นเลือดใหม่ที่ผิดปกติให้หมดไปเพื่อไม่ให้เกิดเลือดออกในชั้นจอตาและการป้องกันการเกิดโรคซำ้ ซึ่งจากข้อเท็จจริงข้างต้นการนวดตาเพื่อไปเพิ่มการไหลเวียนเลือดบริเวณจอตาแล้วจะทำให้โรคจุดรับภาพเสื่อมดีขึ้นจึงไม่เป็นความจริง ในทางกลับกันการนวดตาอาจทำให้เส้นเลือดที่ผิดปกติดังกล่าวแตกและทำให้การดำเนินโรคของผู้ป่วยแย่ลงได้ นอกจากนี้การนวดตายังอาจทำให้เกิดโรคทางตาอื่นๆได้อีกเช่น จอตาลอก(retinal detachment) เลือดออกในตา(hyphema) เลนส์แก้วตาเคลื่อน(lens subluxation) เป็นต้น ในเรื่องของการใช้คอมพิวเตอร์เป็นเวลานานแล้วอาจทำให้ตาบอดได้ในคนเอเชีย ในปัจจุบันยังไม่เคยมีรายงานทางการแพทย์มาก่อนว่าการใช้สายตากับคอมพิวเตอร์จะทำให้ตาบอดได้ไม่ว่าจะเป็นคนเชื้อชาติใด
โดยสรุปจากที่ได้กล่าวมาทั้งหมดการนวดตามีผลเสียดังต่อไปนี้
1. ทำให้ความดันในตาสูงขึ้นซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงของการเป็นต้อหิน
2. อาจทำให้เกิดการอุดตันของเส้นเลือดจอตา
3. การนวดตาอาจทำให้โรคจุดรับภาพเสื่อมแย่ลงได้จากการมีเลือดออกในชั่นจอตา
4. การนวดตามิได้ช่วยให้ภาวะสายตาสั้นดีขึ้น
5. การนวดตาอาจทำให้เกิดการบาดเจ็บของอวัยวะภายในลูกตาได้
ในปัจจุบันประชาชนมีความสนใจและใส่ใจสุขภาพตนเองมากขึ้น ในขณะเดียวกันในยุคที่มีการใช้อินเตอร์เนตอย่างแพร่หลาย ทำให้ประชาชนสามารถเข้าถึงแหล่งข้อมูลทางด้านสุขภาพได้อย่างง่ายดาย แต่ควรจะใช้วิจารณญาณก่อนนำข้อมูลที่ได้มาใช้ ถ้าไม่แน่ใจควรจะปรึกษาแพทย์หรือแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือก่อนตัดสินใจนำข้อมูลนั้นมาใช้ เพราะบางครั้งถ้าข้อมูลทึ่ได้มาไม่ถูกต้องหรือเข้าใจผิด การนำข้อมูลนั้นไปใช้อาจทำให้เกิดโทษได้

16/03/2021

บางครั้งนิยมเรียกว่า multifocal Lenses หรือ progressive lenses ในที่นี้ขอเรียกว่า ‘PAL’
PAL ใช้สำหรับผู้ที่มีสายตาสูงวัย (Presbyopia) ซึ่งบ้านเรามักเรียกว่าสายตายาว จึงทำให้สับสนกับสายตายาว (long-sightedness) ที่พบในเด็กบางคน สำหรับสายตายาวนี้ถ้าสายตายาวไม่มากจนเกินไปก็มักจะสามารถเพ่งจนเห็นได้ชัดเจนทั้งไกลและใกล้ ส่วนสายตาสูงวัยเป็นการเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติที่เกิดขึ้น เมื่ออายุประมาณ 40 ปี ทำให้คนที่เดิมมีสายตาปกติกลับมองในระยะใกล้ยากขึ้น เหมือนกล้องถ่ายภาพที่ปรับภาพไม่ชัดนั่นเอง อาการที่บ่งบอกว่ามีสายตาสูงวัยได้แก่ อ่านหนังสือในระยะปกติไม่ชัดต้องถือไกลจนเกือบสุดมือ อ่านยากเมื่อมีแสงน้อย ไม่สามารถอ่านเมนูอาหารในภัตตาคารและอาจมีอาการเมื่อยล้าตา ปวดศีรษะเมื่ออ่านหนังสือหรือใช้สมาร์ทโฟนไปสัก ระยะหนึ่ง
เมื่อมีอาการของสายตาสูงวัยแล้วเราก็ต้องมีตัวช่วย มีเลนส์หลายชนิดที่ช่วยให้เราอ่านหนังสือหรือทำงานใกล้ได้ ดีขึ้น เช่น
1. เลนส์ชั้นเดียว (Single Reading Lenses) เห็นเฉพาะในระยะอ่านใกล้ มองไกลไม่ชัด
เหมาะกับคนที่มองไกลได้ แต่มองใกล้ไม่ชัดระยะเดียว และกิจกรรมประจำวันไม่ต้องมองหลายระยะทั้งไกลทั้งใกล้พร้อมกันมาก เช่นประชุมที่มองกระดาน แล้วก้มมองกระดาษไปๆมาๆด้วยอาจจะไม่สะดวกนัก
หยิบมาใส่เวลามองใกล้ แต่พอจะมองไกลก็ต้องถอดแว่นออก
2. เลนส์สองชั้น (Bifocal Lenses) เป็นเลนส์ที่เราเห็นรุ่นปู่ ย่า ตา ยายใช้มานานแล้ว ลักษณะคือส่วนบนของเลนส์ไว้มองไกล ส่วนล่างไว้อ่านหนังสือหรือทำงานใกล้ แต่เลนส์แบบนี้ขาดระยะกลางซึ่งเป็นระยะที่เราใช้ดูคอมพิวเตอร์ ระยะที่มองหน้าปัดรถขณะขับรถ การที่มีรอยต่อระหว่างส่วนบนและส่วนล่างทำให้ดูไม่สวยงามและเมื่อ เลื่อนสายตาจากไกลมาใกล้จะรู้สึกถึงภาพกระโดด (jumping of images)
3. PAL คือเลนส์ที่ออกแบบให้มองชัดทุกระยะตั้งแต่ไกลจนถึงระยะอ่านหนังสือหรือทำงานใกล้ โดยส่วนบน เป็นส่วนแก้ไขสายตามองไกลหากมีสายตาผิดปกติไม่ว่าจะเป็นสายตาสั้น ยาวหรือเอียง แล้วค่อยๆเพิ่มกำลัง (ค่า addition) ลงมาเรื่อยๆ มากที่สุดที่ส่วนล่าง เพื่อการอ่านหนังสือหรือทำงานใกล้ให้ชัดที่สุด ส่วนระยะทาง ที่จากบนถึงล่าง (corridor) จะสั้นหรือยาวขึ้นอยู่กับดีไซน์ของเลนส์แต่ละชนิดโดยค่า addition อยู่ในช่วงตั้งแต่ 0.75 ถึง 3.50 ไดออพเตอร์ (diopters) หรือที่เรียกกันง่ายๆว่าตั้งแต่ 75 ถึง 350 ยิ่งสูงอายุค่า addition ยิ่งมากขึ้น
PAL มีการเปลี่ยนแปลงกำลังเลนส์ที่ซับซ้อนกว่าเลนส์สองชั้น เพื่อช่วยให้ผู้สูงวัยสามารถมองเห็นชัดเจนในทุก ระยะในเสี้ยววินาทีอย่างเป็นธรรมชาติที่สุดเหมือนเมื่อครั้งยังหนุ่มสาว แบ่งง่ายๆเป็นสามส่วนดังรูป
เลนส์ส่วนบนไว้มองไกล ส่วนล่างไว้มองใกล้ ส่วนที่อยู่ระหว่างบนและล่างคือส่วนกลางที่ใช้ดูระยะสุดแขน ดู คอมพิวเตอร์ ดูหน้าปัดรถ ส่วนกลางนี้แคบกว่าส่วนอื่นและมีส่วนที่เห็นภาพบิดเบี้ยวอยู่ด้านข้างดังรูปด้านบน (unwanted cylinder) จึงมีการพัฒนา PALให้ดียิ่งขึ้นเพื่อให้ส่วนที่ภาพบิดเบี้ยวนี้น้อยที่สุด เราเริ่มมี PALใช้มามากกว่า 100 ปีแล้ว แต่การพัฒนาอย่างก้าวกระโดดเริ่มมาเมื่อประมาณปีค.ศ. 2000
PALมีหลายชนิด ราคาต่างกันขึ้นอยู่กับลักษณะ รุ่นและยี่ห้อ สามารถแบ่งPALเป็นสี่ชนิดดังนี้
1. Standard PAL เป็นเลนส์ที่มาทดแทนเลนส์สองชั้น ใช้งานได้ดีพอสมควรและราคาย่อมเยา การเลือกกรอบ มีความสำคัญมาก ขนาดของกรอบต้องมีพื้นที่สำหรับส่วนที่จะค่อยๆเปลี่ยนสายตาจากไกลลงมาใกล้ เพื่อ ให้มีส่วนอ่านที่กว้างพอ รุ่นนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีสายตามองไกลที่ผิดปกติไม่มากและสายตาสูงวัยก็ยังน้อย
2. Advanced PAL มีดีไซน์ที่ดีขึ้น ทำให้ใช้ได้ทั้งกับแว่นตากรอบใหญ่และกรอบเล็ก แต่ถ้าหากใช้กรอบเล็ก การปรับตัวจะยากขึ้นสำหรับผู้ที่ใช้ PAL เป็นครั้งแรกเพราะระยะจากบนลงล่างแคบดังนั้นจะเกิดภาพบิดเบี้ยวด้านข้างมาก
3. Premium PAL ด้วยเทคโนโลยีที่คิดค้นมากขึ้น ทำให้การออกแบบและการขัดเลนส์มีความแม่นยำเนื่องจาก กระบวนการขัดถูกควบคุมโดยระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งมีการนำการวัดค่าต่างๆมาคำนวณเป็นค่าเฉพาะของแต่ ละบุคคล (Customized Lenses) เช่น การเคลื่อนไหวของลูกตา ระยะห่างระหว่างลูกตาทั้งสองข้าง ระยะห่าง ระหว่างลูกตากับกรอบแว่นตา และลักษณะของกรอบแว่นตา เป็นต้น ทำให้มุมมองกว้างขึ้นทุกระยะ ความ บิดเบี้ยวด้านข้างน้อยลงมาก มี PAL บางรุ่นสามารถเลือกโซนได้ว่าอยากได้ส่วนไหนกว้างเป็นพิเศษ เช่น เน้นให้ส่วนอ่านกว้างสำหรับผู้ที่ชอบอ่าน หรือเน้นส่วนไกลกว้างมากๆเพื่อเล่นกีฬา นอกจากนั้นยังสามารถเลือก กรอบได้แทบทุกขนาด ผู้สวมใส่ใช้เวลาปรับตัวน้อยลง อีกทั้งยังพัฒนาเรื่องการเคลือบเลนส์กันแสง สะท้อน กันรังสียูวี (UV) ตัดแสงสีฟ้าบางส่วน เปลี่ยนสีเมื่อโดนแสงแดด กันรอยขีดข่วน และกันรอยนิ้วมือ ดังนั้นราคาของ Premium PAL จึงแพงกว่าเลนส์อื่นๆ เพราะราคาของ PAL จะสูงขึ้นตามเทคโนโลยีและการ ค้นคว้าทดลองก่อนที่จะได้เลนส์นั้นๆจะออกสู่ตลาด
4. Computer PAL หรือ Office Lenses ออกแบบเพื่อใช้ในออฟฟิศให้ผู้สวมใส่เห็นชัดตั้งแต่ประมาณ 16 นิ้วถึง 16 ฟุต (40 เซนติเมตรถึง 480 เซนติเมตร) เหมาะกับผู้ที่ต้องการเห็นชัดในระยะกลางและระยะใกล้ เช่น ทำงานคอมพิวเตอร์ ทันตแพทย์ นักบัญชี และช่างผม เป็นต้น ถ้าผู้ใดใช้คอมพิวเตอร์มากกว่า 4 ชั่วโมงต่อวัน เลนส์ชนิดนี้จะเหมาะมาก เพราะจะช่วยทำให้ตาไม่เมื่อยล้า ศรีษะอยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้องไม่ต้องเงยหรือก้ม หน้าดูคอมพิวเตอร์มากเกินไป
PAL มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ดังนี้
* ข้อดี
1. เห็นได้ชัดทุกระยะ โดยใช้ตากวาดมองหรือปรับหน้าเพียงเล็กน้อย
2. ไม่มีรอยต่อบนเลนส์ ทำให้ดูสวยงาม ดูอ่อนเยาว์กว่าเลนส์สองชั้น และไม่ต้องมองลอดแว่นเหมือนเมื่อใช้ เลนส์อ่านชั้นเดียว ซึ่งทำให้เสียบุคลิก
3. ไม่มีภาพกระโดด (Image Jump)
4. สะดวกในการทำงาน เพราะไม่ต้องถอดเปลี่ยนแว่นหลายอันไปมา
* ข้อเสีย
1. ราคาสูงกว่าเลนส์ชนิดอื่น
2. ภาพบิดเบือนด้านข้างเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับชนิดของPAL
3. ถึงแม้การวัดจะถูกต้องแม่นยำแล้ว แต่ก็มีบางรายที่อาจปรับตัวช้าหรือปรับตัวไม่ได้
ปัจจุบันคนเราสามารถใส่ PALได้ถึง 90 - 98% โดยจะประสบความสำเร็จมากถ้าเริ่มใส่ตั้งแต่อายุน้อยคือประมาณอายุ 40-45 ปีเพราะค่า Addition ยังน้อยและภาพบิดเบือนด้านข้างก็น้อยด้วย ในการเลือกชนิดของเลนส์ ความบางของเลนส์และดีไซน์ของ PAL ต้องอาศัยการซักประวัติ ประวัติสายตา การใช้ชีวิต (Life Style) และชนิดของงานที่ทำ คนที่มีสายตาผิดปกติมาก เช่น สายตาสั้นมาก ยาวมาก เอียงมากหรือเริ่มใส่ตอนอายุมาก ก็จะยิ่งปรับตัวยากกว่า
โดยสรุปการประกอบแว่นตาPALให้ประสบความสำเร็จในการสวมใส่และปรับตัวได้ มีองค์ประกอบมากมาย ดังเช่น
1. การวัดสายตาที่แม่นยำโดยผู้เชี่ยวชาญ
2. การเลือกกรอบแว่นตาที่เหมาะสม ต้องไม่ใหญ่ ไม่เล็กและไม่โค้งจนเกินไป
3. การเลือกชนิด PAL ต้องดูจากการใช้งาน การใช้ชีวิตประจำวัน และความผิดปกติของสายตา
4. การซักประวัติและการวัดรายละเอียดให้ถูกต้องแม่นยำของค่าเฉพาะบุคคล เช่น การมอง ลักษณะลูกตาและ กรอบแว่นตา เป็นต้น
5. การประกอบและส่งมอบแว่น PAL ช่างต้องปรับดัดหน้าแว่นให้สวมใส่สบาย สอนการปรับตัวและการใช้งาน เพื่อให้เห็นชัดทุกระยะและการดูแลรักษาเลนส์
การปรับตัวมีได้ตั้งแต่ในชั่วโมงแรกจนถึงสองสัปดาห์ อาการข้างเคียงมีปวดศีรษะ มึนศรีษะหรือคลื่นไส้ใน ช่วงแรกซึ่งอาจต้องถอดพักเป็นระยะเมื่อมีอาการและใส่เมื่ออาการหาย แต่หากปรับตัวได้แล้วเราจะเห็นชัดทุกระยะใน เสี้ยววินาที เห็นภาพชัดเหมือนใส่แว่นชั้นเดียวและสะดวกในการทำงาน

ตาแห้ง (Dry eye หรือ Xerophthalmia) เป็นภาวะที่ฟิล์มน้ำตา หรือ Tear film ที่ฉาบอยู่บริเวณผิว/เนื้อเยื่อส่วนหน้าของลูกตา ...
16/03/2021

ตาแห้ง (Dry eye หรือ Xerophthalmia) เป็นภาวะที่ฟิล์มน้ำตา หรือ Tear film ที่ฉาบอยู่บริเวณผิว/เนื้อเยื่อส่วนหน้าของลูกตา (Ocular surface) มีจำนวนหรือคุณภาพไม่เพียงพอที่จะหล่อลื่นผิว/เนื้อเยื่อส่วนหน้าของลูกตา จึงก่อให้ผิว/เนื้อเยื่อส่วนหน้าของลูกตาเกิดการระคายเคือง จึงก่อให้เกิดอาการแสบตา ตาแห้ง ระคายเคืองตา ไม่สบายตา
ในภาวะปกติ ฟิล์มน้ำตาที่ผิว/เนื้อเยื่อส่วนหน้าของลูกตามีด้วยกัน 3 ชั้น จากชั้นนอกสุดไปถึงชั้นในสุด ได้แก่
1. ชั้นไขมัน สร้างจากต่อมที่เรียกว่า Meibomian gland ที่อยู่ภายในเปลือกตา/หนังตา
2. ชั้นสารน้ำ สร้างจากต่อมน้ำตาที่เรียกว่า Lacrimal gland
3. ชั้นน้ำเมือก สร้างจากเซลล์ที่เรียกว่า Goblet cell ในเยื่อบุตาและในกระจกตา
ทั้งนี้ - หากน้ำตาชั้นไขมันบกพร่อง มักเกิดจากโรคของเปลือกตา/หนังตาที่มีการ เสีย หายของต่อม Meibomian gland (เช่น ผู้ป่วยโรค Rosacea/โรคผิวหนังชนิดหนึ่ง โรคเปลือกตา/หนังตาอักเสบเรื้อรัง) ซึ่งเรียกว่า ภาวะต่อม Meibomian ไม่ทำงาน (Meibomian gland dysfunction เรียกย่อว่า ภาวะ MGD)
- หากชั้นสารน้ำบกพร่อง จะเกิดภาวะ Keratoconjunctivitis sicca เรียกย่อว่า ภาวะ KCS เช่น ในโรค Sjogren (โรคโอโตอิมมูน/โรคภูมิต้านตนเองชนิดหนึ่งซึ่งมีผลให้ต่อมต่างๆที่มีหน้า ที่สร้างสารหล่อลื่น/สารน้ำ เสียหายทำงานได้น้อยลง จึงส่งผลให้เกิดภาวะเนื้อเยื่อต่างๆแห้งผิด ปกติ)
ภาวะต่อมน้ำตาไม่ทำงาน, ภาวะตาปิดไม่สนิทจากอัมพาตของกล้ามเนื้อใบหน้า, ตลอดจนโรคเอดส์
- หากขาดน้ำเมือก มักพบใน ภาวะลูกตาได้รับภยันตรายจากสารเคมี,
โรคออโตอิมมูน/โรคภูมิต้านตนเอง, ภาวะขาดวิตามินเอ, โรคริดสีดวงตาเรื้อรัง ตลอดจนจากการแพ้ยาต่างๆที่ทำให้เกิดความผิดปกติของผิวหนังรอบ ๆตาร่วมกับเยื่อบุตา (เช่น โรคสะตีเวนส์จอห์นสัน/Steven’s Johnson syndrome)
** ตาแห้งมีสาเหตุ/ปัจจัยเสี่ยงจากอะไร?
สาเหตุ/ปัจจัยเสี่ยงของตาแห้ง ได้แก่
- มีการสร้างน้ำตาน้อยกว่าปกติ จากพยาธิสภาพของต่อมต่างๆที่สร้างน้ำตา (อ่านเพิ่มเติมในบทความ กายวิภาคและสรีรวิทยาของตา หัวข้อ กายวิภาคและสรีรวิทยาของระ บบน้ำตา)
- ส่วนประกอบของน้ำตาผิดปกติ เนื่องจากน้ำตาระเหยเร็วกว่าปกติ ทำให้น้ำ ตาค่อนข้าง Hypertonic /มีความเข้มข้นมากเกินไป (บางคนใช้คำว่า เค็มเกินไป = too salt) น้ำตาชนิดนี้จะทำลายปลายประสาทที่มาเลี้ยงเยื่อบุตาและกระจกตา ทำให้ทำงานไม่ได้สมดุล จึงมีการสร้างน้ำตาน้อยลง
- อายุมากขึ้น เซลล์ต่อมน้ำตาจะเสื่อมเช่นเดียวกับเซลล์ทุกชนิดของร่างกาย การสร้างน้ำตาจึงน้อยลง
- เป็นโรคเบาหวาน เพราะจะส่งผลให้เกิดการอักเสบโดยไม่มีการติดเชื้อของเซลล์ต่อมน้ำตา จึงสร้างน้ำตาลดลง
- ทำ เลสิก (Lasik) มา ซึ่งการทำ เลสิก จะมีการตัดเส้นประสาทที่มาเลี้ยงกระจกตา (Corneal nerve) ทำให้ไม่มีตัวกระตุ้นให้สร้างน้ำตา ทำให้การสร้างน้ำตาลดลงชั่วคราวช่วง 1-6 เดือนแรก หลังจากนั้นการสร้างน้ำตาก็จะกลับมา
- ใช้คอนแทคเลนส์/เลนส์สัมผัส (Contact lens) พบได้ประมาณครึ่งหนึ่งของผู้ใช้ ที่มีภาวะตาแห้ง
- ตาที่ได้รับอุบัติเหตุทำให้หนังตา ไม่แนบกับผิวลูกตา น้ำตาจึงระเหยได้ง่าย ตาจึงแห้งง่าย
- การใช้ยาบางชนิดประจำ เช่น ยาหยอดตารักษาต้อหิน ยารับประทานที่มีฤทธิ์ต้านการทำงานของระบบประสาท (Anticholinergic drug) รวมทั้งประสาทต่อมน้ำตา จึงลดการสร้างน้ำตา เช่น ยาลดความดันโลหิต ยาคลายเครียด ยารักษาภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ ยารักษาโรคพาร์กินสัน (Parkinson disease) ยาบรรเทาโรคหวัด ยารักษาโรคภูมิแพ้ในกลุ่มแอนติฮีสตามีน (Antihistamine) เป็นต้น
** ตาแห้งมีอาการอย่างไร?
อาการที่เข้ากับโรคตาแห้ง ได้แก่
-มีความรู้สึกฝืดในตาเหมือนไม่มีน้ำหล่อเลี้ยง
-ระคายเคืองตา
-ไม่สบายตา เหมือนมีสิ่งแปลกปลอมในตา
-ตาพร่า แพ้แสง
-ตามัวลง อาจเห็นภาพๆเดียวซ้อนเป็น 2 ภาพได้
ทั้งนี้ อาการต่างๆที่กล่าวข้างต้น จะเป็นมากขึ้นเมื่อใช้สายตามากขึ้น เช่น อ่านหนังสือ ขับรถ ทำงานอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ หรือ ดูทีวี อยู่ในสิ่งแวดล้อมบางภาวะ เช่น ที่มีลมพัดแรง อยู่บนเครื่องบิน อยู่ในห้องแอร์ เป็นต้น
***แพทย์วินิจฉัยภาวะตาแห้งได้อย่างไร?
แพทย์วินิจฉัยภาวะตาแห้งได้จาก
จากอาการ และประวัติที่มีปัจจัยเสี่ยงดังกล่าวข้างต้นในหัวข้อสาเหตุ/ปัจจัยเสี่ยง
ตรวจบริเวณใบหน้ารอบๆดวงตา เพื่อดูโรคต่างๆที่อาจเป็นสาเหตุ เช่น
-ลักษณะของโรค Rosacea
-ภาวะหนังตาที่ผิดปกติ
-ขนตาที่เขี่ยผิวลูกตา
-ดูขอบหนังตาเพื่อดูรูเปิดของต่อม Meibomian
-ดูผิวกระจกตาที่ไม่เรียบ
-ร่วมกับเมือกที่ผิวลูกตามีลักษณะผิวปกติ
ซึ่งในรายที่เป็นรุนแรง ผิวกระจกตาจะขรุขระบางลง จนบางรายมีรอยทะลุของกระจกตาได้ อาจมีการตรวจเฉพาะพิเศษอื่นๆเพิ่มเติม เช่น เพื่อดูคุณภาพของน้ำตา เป็นต้น ทั้งนี้ขึ้นกับ อาการผู้ป่วย สาเหตุ และดุลพินิจของจักษุแพทย์
**ตาแห้งมีผลเสียอย่างไร?
ภาวะตาแห้ง นอกจากก่อให้เกิดอาการไม่สบายตา แสบตา เคืองตา ตาสู้แสงไม่ได้ ทำให้ทำงานได้ไม่เต็มที่แล้ว อาจก่อให้เกิดพยาธิสภาพอย่างอื่น เช่น
-กระจกตาถลอก ผิวกระจกตาอาจหลุดลอกออกมา ยิ่งก่อให้เกิดความเจ็บ ปวดมากขึ้น อีกทั้งมีโอกาสติดเชื้อต่างๆได้ง่ายขึ้นด้วย เช่น เชื้อแบคทีเรีย เป็นต้น เนื้อเยื่อชั้นเนื้อเยื่อบุผิว (Epithelium) ของเยื่อตา และของกระจกตามีการเปลี่ยนแปลง (Squamous metaplasia) ผิวลูกตาจะดูไม่สดใส กระจกตาเป็นแผล เกิดเป็นจุดๆทั่วไป (Punctale keratitis) ซึ่งทำให้เจ็บตา ตาสู้แสงไม่ได้
-กระจกตาเป็นแผล ติดเชื้อต่างๆได้ง่าย (Corneal ulcer)
-มีหลอดเลือดเกิดใหม่เข้ามายังกระจกตา (Corneal neovascularization) ทำให้กระจกตาขุ่นขาว ไม่ใส ทำให้ตาแดง และตาพร่ามัวลง
-เมื่อเป็นตาแห้งแบบที่รุนแรงนานๆเข้า กระจกตาจะเกิดเป็นแผลเป็น บางลง และบางรายถึงขั้นกระจกตาทะลุได้
*** รักษาภาวะตาแห้งอย่างไร?
แนวทางการรักษาภาวะตาแห้ง มักจะแนะนำทำเป็นขั้นๆไป คือ
1. ปรับสิ่งแวดล้อม หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงต่างๆ หลีกเลี่ยงสถานที่มีฝุ่นละออง ควันบุหรี่ ที่เป่าผมไม่ให้ใกล้ตา หลีกเลี่ยงการใช้พัดลม หรือ อยู่ในห้องแอร์นานๆ หากจำเป็นต้องทำงานหน้าคอมพิวเตอร์ ควรจัดโต๊ะและเครื่องคอมพิวเตอร์ ตลอดจนการใช้แว่นตาที่เหมาะสม
2. รักษาโรคที่เป็นสาเหตุ เช่น เปลือกตา/หนังตาอักเสบ ทำให้มีการทำลายต่อม Meibomian ซึ่งหากมีภาวะหนังตาอักเสบ ควรรักษาความสะอาดขอบตา ลดการใช้ยาต่างๆที่ทำให้มีการสร้างน้ำตาน้อยลง ดังได้กล่าวแล้วในหัวข้อ สาเหตุ/ปัจจัยเสี่ยง เป็นต้น
3. การชดเชยน้ำตา ด้วย
ใช้น้ำตาเทียม ซึ่งอาจเป็นรูปของน้ำใส เป็นเจล หรือ ขี้ผึ้ง
- แบบน้ำใสใช้ง่าย ไม่ทำให้ตามัว แต่ต้องหยอดบ่อย เพราะยาหมดอย่างรวดเร็ว
- แบบเจล หรือ ขี้ผึ้งอยู่ในตาได้นานกว่า แต่อาจเหนียวเหนอะหนะ ทำให้ตามัวลงมักนิยมใช้ก่อนนอน
น้ำตาเทียมชนิดใส มี 2 แบบ คือ
- ชนิดมีสารกันเสีย มักบรรจุในรูปแบบเป็นขวด สามารถใช้ได้นานถึงประมาณ 1 เดือน
- และชนิดรูปแบบที่เป็นกะเปาะ ไม่มีสารกันเสีย จึงใช้ได้ไม่เกิน 24 ชม. มักทำในรูปกะเปาะพลาสติคเล็กๆ มีน้ำตาเทียมอยู่ 4-8 หยด
ในกรณีตาแห้งมากต้องใช้น้ำตาเทียมบ่อยเกินวันละ 4 ครั้ง ควรใช้แบบไม่มีสารกันเสีย หากใช้แบบมีสารกันเสียวันละหลายๆหยด ตัวสารกันเสียอาจทำอันตรายต่อผิวกระจกตาได้
4. ใช้ยาที่เป็นสารน้ำเหลืองจากเลือด (Serum) ของตัวเราเอง เรียกว่า Autologus serum ในปัจจุบันพบว่าการใช้น้ำเหลืองจากเลือดของเราเอง อาจช่วยลดการอัก เสบของเซลล์และเนื้อเยื่อต่างๆของลูกตาและต่อมน้ำตา เพราะมีสารต่อต้านเชื้อโรค ตลอดจนสารเร่งการฟื้นตัวกลับคืนสู่ปกติของเนื้อเยื่อได้ดีขึ้น
5. ใช้เครื่องช่วยที่เรียกว่า Moist chamber เป็นวัสดุคล้ายแว่นตาเพิ่มความชุ่มชื้นให้ลูกตา (ไม่เป็นที่นิยม และยังไม่มีจำหน่ายในบ้านเรา)
ภาวะตาแห้ง ขาดความสมดุลของผิวตา มักจะก่อให้เกิดการอักเสบแบบไม่ติดเชื้อได้ จึงอาจต้องให้ยาหยอดตาในกลุ่มสเตียรอยด์ เพื่อลดการอักเสบชนิดไม่ติดเชื้อได้ ซึ่งต้องใช้อย่างระมัดระวัง ภายใต้การดูแลและควบคุมของแพทย์
6. ปัจจุบันมีการใช้ยากดภูมิคุ้มกันต้านทานโรค (Immunosuppressant) บางชนิด เช่น ยา Cyclosporine ชนิดหยอด เพื่อลดการอักเสบชนิดไม่ติดเชื้อของเนื้อเยื่อของลูกตาและของต่อมน้ำตา เป็นต้น
7. อาหารที่มี โอเมกา 3 (Omega 3 fatty acid) ซึ่งมีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ อาจช่วยลดการอักเสบ
ในบางคนอาจช่วยให้ภาวะตาแห้งดีขึ้นได้การพยายามลดการระเหยของน้ำตาด้วยวิธีผ่าตัด หรือ ปรับกายวิภาคของเนื้อ เยื่อส่วนต่างๆของตา เช่น
8. การอุดท่อระบายน้ำตา (Punctual plug) เป็นการอุดบริเวณช่องทางที่ไหลออกของน้ำตา (Punctum) ลงสู่โพรงจมูก ซึ่งมีทั้งชนิดอุดชั่วคราว และชนิดอุดถาวร
หรือ Punctal cautery ใช้จี้บริเวณช่องทางที่น้ำตาไหลออกจากตา ซึ่งเป็นการอุดบริเวณไหลออกของน้ำตาแบบถาวรไปเลย
9. ปัจจุบันมีการใช้คอนแทคเลนส์ชนิดพิเศษที่เรียก Scleral lens ซึ่งมีความโค้งที่แตกต่างจากคอนแทคเลนส์ธรรมดา ทำให้อุ้มน้ำตาอยู่ได้มากขึ้น
10. การเย็บเปลือกตา/หนังตา บน-ล่าง เข้าหากันบางส่วน (Tarsorrhaphy) ในผู้ป่วยบางรายที่มีความผิดปกติของเปลือกตา/หนังตา
*** ดูแลตนเองอย่างไร? ควรพบแพทย์เมื่อไร?
การดูแลตนเอง คือ เมื่อมีอาการดังกล่าวในหัวข้อ สาเหตุ/ปัจจัยเสี่ยง และอาการไม่ดีขึ้นภายใน 2-3 วัน ควรพบจักษุแพทย์ แต่ถ้ามีตามัว เห็นภาพไม่ชัดเจน ควรต้องรีบพบจักษุแพทย์ภายใน 24 ชั่วโมงเสมอ เพื่อให้ได้รับการวินิจฉัยหาสาเหตุที่ชัดเจน เพื่อการรักษาแต่เนิ่นๆ
เมื่อทราบว่า เป็นภาวะตาแห้ง การดูแลตนเอง การพบจักษุแพทย์ คือ
-ปฏิบัติตามจักษุแพทย์ และพยาบาลแนะนำ
-ใช้น้ำตาเทียมอย่างถูกต้องตามจักษุแพทย์/แพทย์แนะนำ
-ป้องกัน รักษา ควบคุมโรคที่เป็นปัจจัยเสี่ยง
-ปรับพฤติกรรมที่เป็นปัจจัยให้เกิดภาวะตาแห้ง เช่น ในเรื่องการใช้คอมพิวเตอร์ รู้ จักใช้แว่นตาเพื่อป้องกันแสงแดด ฝุ่นละออง และเลิกสูบบุหรี่ เป็นต้น
-สังเกตการใช้ยาควบคุมโรคอื่นๆ และการใช้ยาต่างๆ ว่า มีผลต่อภาวะตาแห้งหรือ ไม่ เพื่อแจ้ง แพทย์ พยาบาล เภสัชกร เพื่ออาจปรับเปลี่ยนยา
-รู้จักวิธีที่ถูกต้องในการใช้คอนแทคเลนส์ เมื่อต้องใช้คอนแทคเลนส์
กินอาหารมีประโยชน์ 5 หมู่ให้ครบถ้วนในทุกวัน (จำกัด แป้ง หวาน เค็ม ไขมัน กินผัก ผลไม้ เพิ่มขึ้น) เพื่อลดโอกาสเซลล์ต่างๆรวมทั้งเซลล์ของลูกตา และต่อมน้ำ ตาเสื่อมก่อนวัย
-กินอาหารมีโอเมกา 3 อย่างพอเพียง ถึงแม้การศึกษาต่างๆยังไม่ชัดเจนว่ามีประ โยชน์ในการรักษาหรือป้องกันภาวะตาแห้งอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ เพราะยังไม่พบโทษจากสารอาหารชนิดนี้ อาหารที่มีโอเมกา 3 สูง เช่น ปลาทะเล (เช่น trout, salmon, tuna, cod, mackerel, herring) และไข่ที่ผสม โอเมกา 3
-พบจักษุแพทย์ก่อนนัด หรือ รีบพบจักษุแพทย์ เมื่อมีอาการผิดปกติทางตาต่อ เนื่องและไม่ดีขึ้นหลังการรักษา โดยเฉพาะเมื่อมีปัญหาทางสายตา หรือ ตามัวลง
***ป้องกันตาแห้งได้อย่างไร?
-การป้องกันภาวะตาแห้ง คือ การหลีกเลี่ยง งด เลิก และการป้องกัน รักษา ควบคุม สิ่งต่างๆที่เป็นสาเหตุ/ปัจจัยเสี่ยง ดังกล่าวแล้วในหัวข้อ สาเหตุ/ปัจจัยเสี่ยง เช่นเดียวกับที่ได้กล่าวแล้วในหัวข้อ การดูแลตนเอง ที่สำคัญ คือ
-กินอาหารมีประโยชน์ 5 หมู่ให้ครบถ้วนในทุกวัน ร่วมกับการออกกำลังกายสม่ำ เสมอ เพื่อป้องกันโรคต่างๆที่เป็นสาเหตุ/ปัจจัยเสี่ยงของภาวะตาแห้ง
-รู้วิธีที่ถูกต้องในการใช้คอนแทคเลนส์เมื่อจะใช้คอนแทคเลนส์
-เลิกบุหรี่ ไม่สูบบุหรี่
-รู้วิธีที่ถูกต้องในการใช้งานคอมพิวเตอร์
-รู้จักใช้แว่นตาเพื่อปกป้องลูกตา

ที่อยู่

254 Phayathai Road
Bangkok
10330

เบอร์โทรศัพท์

+66647713597

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ Thailand Association of Innovation Ophthalmologistsผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ การปฏิบัติ

ส่งข้อความของคุณถึง Thailand Association of Innovation Ophthalmologists:

แชร์

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram