Ramathibodi Student Well-being Center - RASW

Ramathibodi Student Well-being Center - RASW ให้บริการการปรึกษาทางจิตวิทยา สำหรับนักศึกษาคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี
และแบ่งปันความรู้ทางสุขภาพใจ สำหรับผู้ที่สนใจ

27/10/2025
น้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวงข้าพระพุทธเจ้าผู้บริหาร คณาจา...
25/10/2025

น้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ
สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ
พระบรมราชชนนีพันปีหลวง

ข้าพระพุทธเจ้า
ผู้บริหาร คณาจารย์ บุคลากร และนักศึกษา
มหาวิทยาลัยมหิดล

น้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณตราบนิรันดร์
สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ
พระบรมราชชนนีพันปีหลวง

ข้าพระพุทธเจ้า
ผู้บริหาร คณาจารย์ บุคลากร และนักศึกษา
มหาวิทยาลัยมหิดล

23/10/2025

คุณหายใจมากกว่า 20,000 ครั้งต่อวัน แต่คุณมั่นใจได้ยังไงว่ากำลังทำถูกวิธี? — วิดีโอของ Dr. Sid Warrier เปิดหัวมาให้ผมได้ตั้งคำถามกับตัวเองเหมือนกันครับ ว่าเรากำลังหายใจถูกวิธีอยู่ไหมน๊า..?⁣

Dr. Sid Warrier เล่าว่าเมื่อเราไม่ทันตระหนักรู้ตนเอง เรามักจะปล่อยให้ตัวเองหายใจโดยอัตโนมัติ (ก้านสมอง (Brainstem) เข้าควบคุมการหายใจโดยที่เราไม่รู้ตัว) — ในทางตรงข้าม ทันทีที่เราหันกลับมาโฟกัสที่ลมหายใจ สมองส่วน Prefrontal Cortex จะเข้ามามีบทบาททันที แปลว่า เมื่อคุณควบคุมการหายใจอย่างมีสติ คุณกำลังควบคุมอารมณ์ของคุณทางอ้อมไปด้วย ⁣ ซึ่งนี้คือจุดเริ่มต้นของคำว่า "สติ" (Mindfulness) ⁣ ⁣

ซึ่งรูปแบบการหายใจของตัวเราสามารถบ่งบอกถึงสภาวะอารมณ์ปัจจุบันได้ (นี่เป็นเครื่องมือชั้นดีในการฝึก Self-Awareness ด้วยครับ!):⁣
→ หายใจเร็วและตื้น: มักจะบ่งบอกถึงสภาวะทางอารมณ์ที่ วิตกกังวล หรือตื่นตัวสูง⁣
→ หายใจช้าและลึก: บ่งบอกถึงสภาวะที่ "สงบ" "มีสติ" มากกว่า ⁣⁣

─────⁣
✦ 4 เทคนิคการหายใจ (ที่ได้รับการสนับสนุนจากวิทยาศาสตร์)⁣

ในช่วงกลางวิดีโอ Dr. Sid Warrier นำเสนอ 4 เทคนิคการหายใจที่สามารถทำได้ทุกที่ทุกเวลา เพื่อจัดการกับสภาวะอารมณ์ของตนเอง (Self-Management): ⁣⁣


① 4x4 Baseline Breathing (ลมหายใจแบบ 4x4)⁣

เป็นรูปแบบการหายใจที่ง่ายที่สุดที่สามารถทำได้ตลอดทั้งวัน (เน้นการจัดการความเครียดในชีวิตประจำวัน)⁣

วิธีปฏิบัติ:⁣
◌ หายใจเข้าลึก ๆ ทางจมูก เป็นเวลา 4 วินาที⁣
◌ หายใจออกช้า ๆ ทางจมูก เป็นเวลา 4 วินาที⁣
◌ ทำซ้ำไปเรื่อย ๆ ตราบเท่าที่คุณสามารถรักษาจังหวะไว้ได้ ⁣⁣

— ประโยชน์: เทคนิคนี้เป็นวิธีที่ง่ายที่สุดในการทำให้จิตใจสงบลง เพราะการหายใจช้าและลึก เหมือนเป็นการส่งสัญญาณไปยังสมองว่า "ทุกอย่างเรียบร้อยดี"⁣


② Resonance Frequency Breathing⁣

หรือที่เรียกว่า "Reset Breathing" เป็นวิธีรีเซ็ตร่างกายให้กลับเข้าสู่สภาวะ Parasympathetic (สงบ/ผ่อนคลาย) ได้อย่างรวดเร็ว⁣

วิธีปฏิบัติ:⁣
◌ หายใจเข้าช้า ๆ ทางจมูก เป็นเวลา 4 วินาที⁣
◌ หายใจออกทางปาก เป็นเวลา 6 วินาที ⁣

*เทคนิคเสริม: ในขณะที่หายใจออก ให้ลองฮัมเพลง (Humming) หรือ สวดมนต์ 'โอม' (Chanting) ไปด้วย⁣

— ประโยชน์: การหายใจออกที่ยาวขึ้นจะกระตุ้นเส้นประสาทเวกัส (Vagus nerve) ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของระบบประสาทพาราซิมพาเทติก ที่ช่วยให้ร่างกายเปลี่ยนจากโซนตื่นตัว (Sympathetic) ไปสู่โซนสงบ (Parasympathetic) และยังช่วยให้หลับง่ายขึ้น (ช่วยในการจัดการตนเองก่อนนอน) ⁣ ⁣
ช่วงเวลาที่แนะนำ: ทำวันละครั้งในตอนเช้าเมื่อนั่งสมาธิ และอีกครั้งในเวลากลางคืนก่อนนอน ⁣⁣


③ Stomach Exhalation (Kapalbhati) (หรือกะปาละบาติ)⁣
การหายใจแบบโยคะที่ช่วยเพิ่มความตื่นตัวและสมาธิ⁣

วิธีปฏิบัติ:⁣
◌ แขม่วกล้ามเนื้อหน้าท้อง เพื่อตั้งใจหายใจออกทางจมูก สั้น ๆ เร็วๆ ติดต่อกัน (Short Bursts)⁣
◌ ผ่อนกล้ามเนื้อหน้าท้อง ปล่อยให้การหายใจเข้าเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ (เป็นการเน้นการหายใจออก)⁣
◌ ทำซ้ำต่อเนื่องเป็นจำนวนครั้งตามที่กำหนด⁣

— ประโยชน์: กระตุ้นระบบประสาทอัตโนมัติ ทำให้ร่างกายเข้าสู่สภาวะ มีสมาธิและกระฉับกระเฉง มากขึ้น⁣


④ Physiological Sigh (การถอนหายใจทางสรีรวิทยา)⁣
เป็นวิธีที่ร่างกายใช้ในการรีเซ็ตตัวเองทันที ในช่วงเวลาที่มีความเครียด (ผมขอเรียกมันว่า "เครื่องมือจัดการความเครียดเร่งด่วน" นะครับ 😊)⁣

วิธีปฏิบัติ:⁣
◌ หายใจเข้าครั้งที่ 1: หายใจเข้าลึกๆ ทางจมูกให้เต็มปอด⁣
◌ หายใจเข้าครั้งที่ 2: สูดอากาศเพิ่มอีกนิดทางจมูกอย่างรวดเร็ว (เป็นการ "เติมเต็ม" ปอดให้มากที่สุด)⁣
◌ จากนั้น หายใจออกทางปากช้าๆ ให้ยาวนานที่สุดเท่าที่จะทำได้⁣
◌ ทำซ้ำ 3-4 ครั้ง หรือจนกว่าจะรู้สึกสงบลง⁣

— ประโยชน์: เป็น "Breathing Hack" ที่ช่วยรีเซ็ตระบบประสาทอัตโนมัติ ทำให้คุณสงบลงได้ทันที และตัดสินใจได้ดีขึ้น (ช่วยในการควบคุมแรงกระตุ้นและจัดการความเครียด) ⁣⁣

─────⁣
✦ ลมหายใจ คือ เครื่องมือสำคัญที่อยู่กับตัวคุณเสมอครับ! คุณไม่จำเป็นต้องโหลดแอปหรืออุปกรณ์ใด ๆ เพียงแค่มีร่างกาย, จิตใจ, ความตระหนักรู้, และความสม่ำเสมอ เท่านั้นเอง ก็สามารถเริ่มต้นได้เลย⁣

นอกจากนั้น "การฝึกการหายใจ" ยังพัฒนาการตระหนักรู้ในตนเอง (Self-awareness)⁣
และการจัดการตนเอง (Self-management) สองคีย์สำคัญใน #การเรียนรู้ทางอารมณ์และสังคม (Social and Emotional Learning หรือ SEL) อีกด้วยครับ⁣


รับชมวิดีโอฉบับเต็ม:⁣ https://www.youtube.com/watch?v=7-jJqXU25wo




ผู้เขียน: Armer Khanachang
─────⁣
#การเรียนรู้ทางอารมณ์และสังคม⁣



→ ถ้ายัง Aware ตัวเองไม่ได้ ☘️⁣
จะ Manage ตัวเองได้อย่างไร!?

20/10/2025

การหายใจเป็นหนึ่งใน ‘ทางลัด’ ที่เชื่อมกับระบบประสาทอัตโนวัติและอารมณ์ได้ค่ะ ถ้าคุณเคยได้ยินว่า เครียด/กังวล ให้หายใจช้า-ลึก ควบคุมจังหวะหายใจ อันนี้ช่วยได้ค่ะ


นั่นเพราะกะบังลมของเรา มีเซนเซอร์รับแรงอยู่ (Mechanoreceptor) หากหดตัวแรง - ค่อยเป็นค่อยไป มันจะส่งสัญญาณย้อนไปที่ก้านสมอง (Vagus - NTS)

เชื่อมต่อกับวงจรอารมณ์ (Hippocampus - Amygdala)
และระบบ Parasympathetic (DMV nucleus) ได้ค่ะ


ผลคือสภาพ amygdala ที่เตือนภัยหนัก จะเริ่มสงบลงได้บ้าง และระบบประสาท parasympathetic ที่สูงขึ้น จะช่วยลดการตื่นตัว ลดชีพจรลง

ยิ่งชีพจรกลับมาปกติ สมองส่วน Anterior insula ที่กำลังรับรู้การเปลี่ยนแปลงชีพจร ก็จะสงบตาม

เป็นหนึ่งในวิธีที่สอนกันมานาน และปรากฏว่ามันมีวงจรประสาทในวิทยาศาสตร์จริงๆ


แต่อย่างไรก็ตาม กรณีถ้าเป็น Panic disorders บางคนอาจทำแล้วกระตุ้น Panic แต่บางคนทำแล้ว ช่วยคุม Panic ได้ดีขึ้นนะคะ

ดังนั้นอาจจะต้องเน้นด้วยว่า ถ้าจะหายใจลึก ต้องควบคุมให้อัตรามันช้าด้วยค่ะ ซึ่งพอเราควบคุมให้มันช้า การหายใจมักจะเน้นหนักไปที่กล้ามเนื้อกะบังลมค่ะ (Slow/diaphragmatic breathing)

จากบทความรวบรวมงานวิจัยของ Banushi et al. (2023)
การฝึกหายใจช้า ช่วยลด Panic, ลดวิตกกังวลได้, ค่าการแปรผันของชีพจร (HRV) ดีขึ้น บ่งบอกว่า ร่างกายอยู่ในสภาพ parasympathetic มากขึ้นค่ะ

16/10/2025

จัดการความวิตกกังวลด้วยง่ายๆ ด้วย เทคนิค "ลอยแพความคิด" หรือ Cognitive Defusion เป็นวิธีการสำคัญในแนวทางการบำบัดด้วยการยอมรับและผูกพัน (Acceptance and Commitment Therapy: ACT) ที่ช่วยให้ผู้มีภาวะวิตกกังวล เปลี่ยนความสัมพันธ์ กับความคิดที่กระตุ้นความกลัว โดยมองความคิดเหล่านั้นเป็นเพียง "คำพูดในหัว" ไม่ใช่ "ความจริง" หรือ "ภัยคุกคาม" ที่ต้องตอบสนอง
5 วิธีใช้เทคนิค "ลอยแพความคิด" เมื่อความคิดวิตกกังวลเริ่มถาโถม เป้าหมายคือการ สร้างระยะห่างทางจิตวิทยา เพื่อลดอำนาจของความคิดวิตกกังวล และช่วยให้คุณกลับมาสนใจกับสิ่งที่คุณกำลังทำอยู่ได้

1. การติดป้ายกำกับความคิด (Labeling the Thought)
การเปลี่ยนวิธีการพูดถึงความคิดในหัวจะทำให้คุณแยกตัวเองออกจากมันได้
* จาก: "ฉันกำลังจะล้มเหลว"
* เป็น: "ฉันกำลังมีความคิดว่า 'ฉันกำลังจะล้มเหลว'" (I'm having the thought that I will fail.)
* อีกวิธี: พูดว่า "สวัสดี ความวิตกกังวล" หรือ "นั่นคือเสียงของ ความคิดที่คาดการณ์อนาคต" การตั้งชื่อให้ประเภทของความคิดจะช่วยลดความรุนแรงลง

2. การจินตนาการเป็น "แพ" หรือ "เมฆ" (The Raft/Cloud Metaphor)
ใช้ภาพในจินตนาการเพื่อปล่อยวางความคิด
* ความคิดบนแพ: จินตนาการว่าความคิดที่วิตกกังวลแต่ละประโยคถูกเขียนลงบนใบไม้ หรือกระดาษ แล้ววางลงบน แพเล็ก ๆ ในลำธาร หรือ สายพานลำเลียง ปล่อยให้มันไหลหรือเคลื่อนที่ออกไปจากสายตาของคุณโดยที่คุณไม่จำเป็นต้องตามไป
* ความคิดบนเมฆ: จินตนาการว่าความคิดนั้นถูกเขียนอยู่บน ก้อนเมฆ และเฝ้าดูเมฆเหล่านั้นลอยผ่านท้องฟ้าไปอย่างช้า ๆ

3. การร้องเพลงความคิด (Singing the Thought)
เปลี่ยนความคิดที่ร้ายแรงให้กลายเป็นเรื่องไร้สาระ เพื่อลดน้ำหนักของมัน
* เลือกความคิดที่ทำให้คุณวิตกกังวลที่สุด (เช่น "ฉันไม่มีทางทำได้ดี")
* ลอง ร้องความคิดนั้นออกมา โดยใช้ทำนองเพลงที่คุณคุ้นเคยและตลก (เช่น เพลงสุขสันต์วันเกิด หรือเพลงเด็ก) การทำเช่นนี้ทำให้สมองของคุณรับรู้ว่าความคิดนี้ไม่ได้จริงจังหรืออันตรายอย่างที่คิด

4. การให้ "สมองนักวิตก" มีชื่อเรียก (Naming the Worrier)
แยกตัวตนของคุณออกจากสมองส่วนที่วิตกกังวลอย่างต่อเนื่อง
* ตั้งชื่อให้ส่วนที่ชอบวิตกกังวลในใจคุณ (เช่น "คุณนักวิจารณ์" "ปีศาจน้อย" หรือ "ยัยจูดี้")
* เมื่อเกิดความคิดวิตกกังวล ให้พูดกับตัวเองว่า: "อ๋อ นั่นเป็นแค่ คุณนักวิจารณ์ กำลังบ่นอีกแล้ว" หรือ "ขอบคุณ ยัยจูดี้สำหรับความคิดนั้น แต่ฉันไม่ต้องการมันในตอนนี้"

5. การพูดคำนั้นซ้ำ ๆ อย่างรวดเร็ว (Repetition and Distancing)
ลดความหมายของคำที่น่ากลัวให้เป็นเพียงแค่เสียง
* เลือกคำที่เป็นแกนของความกลัวของคุณ (เช่น "ตาย" "ล้มเหลว" หรือ "หายนะ")
* พูดคำนั้นซ้ำ ๆ ดัง ๆ หรือในใจอย่างรวดเร็วเป็นเวลา 30 วินาที
* เมื่อคุณพูดซ้ำไปเรื่อย ๆ คุณจะพบว่าคำนั้นจะสูญเสียความหมายทางอารมณ์ไป และกลายเป็นเพียงเสียงที่ไร้ความหมาย
หลักการเบื้องหลังการปล่อยวาง (Acceptance)
แก่นแท้ของ "การลอยแพความคิด" คือการ ยอมรับ ว่าความคิดวิตกกังวลจะเกิดขึ้นได้เป็นปกติ (The thoughts are normal, but they are not facts) คุณไม่ได้พยายาม กำจัด หรือ ต่อสู้ กับความคิดนั้น แต่คุณแค่เลือกที่จะ ไม่สนใจ และ ไม่ยอมให้ความคิดนั้นกำหนดการกระทำ ของคุณ การฝึกฝนเหล่านี้ช่วยให้คุณสามารถมีชีวิตอยู่ร่วมกับความวิตกกังวลได้ และยังคงทำกิจกรรมที่มีความหมายในชีวิตต่อไปได้ โดยไม่ถูกความคิดที่น่ากลัวฉุดรั้งไว้
กดติดตามเราเอาไว้นะ เราพร้อมที่จะเป็นพื้นที่หัวใจให้โปรดจำไว้ว่าเธอไม่ได้อยู่คนเดียวนะ และการหาความช่วยเหลือก็เป็นเรื่องที่ดีมากๆ เพื่อสุขภาพกายและใจของเธอเอง
หากเธอยังมีอาการคิดวน คิดเยอะ คิดอะไรซ้ำๆ จนทำให้เกิดภาวะวิตกกังวลหรืออาการย้ำคิดย้ำทำ จนเป็นแพนิค เราพร้อมที่จะเป็น Safe Zone และ Safe Person ให้เธอเองนะ ทักปรึกษาเราได้นะ 🤟🧐
#วิตกกังวล #คิดมาก #คิดเยอะ #คิดวน #ฟุ่งซ่าน #คิดอะไรซ้ำๆ #ภาวะวิตกกังวล #เครียด #เครียดสะสม #นอนไม่หลับ #หลับยาก #แพนิค

15/10/2025

การรับมือกับ "ความผิดหวัง"
ด้วยแนวทาง "Growth Mindset"

🙂1. ด้านมุมมองต่อ "ความผิดหวัง"

ภาวะ Fixed Mindset
จะเห็น "ความผิดหวัง"
คือ "ตัวเอง เป็นคนล้มเหลว"
ทำให้รู้สึกเสียเซลฟ์
ด้อยค่าตัวเอง
จนเกิดความรู้สึกเจ็บปวด
รู้สึกหมดแรง
ไม่กล้าเริ่มลงมือใหม่

ภาวะ Growth Mindset
จะเห็นว่า "ความผิดหวัง"
คือ
"โอกาสที่เห็นความจริงในอีกด้านหนึ่ง"
ที่แม้เจ็บปวด
แต่ทำให้เราตาสว่าง
ทำให้เรารู้ว่า
ความเป็นจริง (ที่ไม่เหมือนที่เราหวัง)
คืออะไร

มันจึงเป็น feedback ที่ล้ำค่า
ที่ชีวิตมอบให้

ความผิดหวัง
ทำให้เรารู้ว่า
เราหวังผิดไปจากธรรมชาติความเป็นจริง

เมื่อเรา "ตระหนักรู้" ในสิ่งนี้
โอกาส "เรียนรู้" จึงได้เปิดขึ้น
ซึ่งนำมาสู่การช่วยให้เห็น
แนวทางที่ดีกว่า ที่เหมาะสมกว่า
ในครั้งต่อไป
จากความเข้าใจความเป็นจริง

ไม่ใช่จากการคาดหวังไปเอง
ตามมุมมองเดิมๆ ที่ไม่ทันได้เข้าใจความเป็นจริง

------------------------------
🙂2. แนวทางการฝึกเพื่อบ่มเพาะภาวะ growth mindset

1). ปรับการถามตนเองเพื่อส่งเสริมการเติบโต

เปลี่ยนจากที่จะถามตัวเองว่า
“ทำไมเราล้มเหลว”
"ทำไมเราแย่ขนาดนี้"
มาเป็น
“เราได้เรียนรู้อะไรบ้างจากสิ่งนี้”

2). ฝึกมองผลที่เกิดขึ้นอย่างเหมาะสม
ผลที่เกิดจากเหตุการณ์หนึ่ง
ไม่ได้เป็นการตัดสินคุณค่าในตัวเรา
แต่มัน คือ การ feedback เรา
ในด้านหนึ่งเท่านั้น

ซึ่งการรับฟัง feedback เป็น “ขั้นตอน” สำคัญ
ที่ช่วยส่งเสริมการพัฒนาตัวเรา
สู่เวอร์ชั่นที่ใช่กว่าเดิมต่อไป
(level up)

3). ยอมรับความรู้สึก
ความผิดหวัง ส่งผลทำให้จิตใจ
รู้สึกย่ำแย่ได้
เช่น รู้สึกเศร้า เจ็บปวด ร้าวราน อับอาย
การฝึกยอมรับทุกความรู้สึกที่เกิดขึ้นตามจริง
ว่าเป็นเรื่องธรรมชาติของใจที่จะรู้สึกไม่ดีได้

จะช่วยให้ใจรู้สึกสงบ และ ผ่อนคลายขึ้น
ลดภาวะใจปั่นป่วน
ลดภาวะใจทรมานลง

เพิ่มภาวะใจที่มั่นคง และ มีพลัง

4). การส่งความรักความเมตตาให้ตัวเองอย่างอ่อนโยน (self-compassion)
เช่น
- การ self-talk ส่งพลังใจให้ตัวเอง และ ตั้งหลักใหม่ใส่ใจ focus ในสิ่งที่เราสามารถทำได้ด้วยตัวเรา
- การ self-talk บอกกับตัวเองอย่างอ่อนโยนว่า
“ความผิดหวัง ความผิดพลาด
เป็นสิ่งเกิดขึ้นได้ตามเหตุปัจจัย
และ ขณะนี้เป็นโอกาสที่เรากำลังได้พบบทเรียนที่มีคุณค่ากับชีวิตและจิตใจของเรา”

บทความโดย ผศ.พญ.ทานตะวัน อวิรุทธ์วรกุล

----------------
🎧ท่านใดสนใจรับฟังเสียงบรรยายบทความนี้
สามารถติดตามรับฟังได้ทางลิงค์นี้ค่ะ
https://youtu.be/cJUvkYbp1D8🎧

-------------------

#เข้าใจธรรมชาติชีวิต
#เข้าใจธรรมชาติจิตใจ
#ยิ่งโตยิ่งสุข

12/10/2025

#วิธีทำงานให้เสร็จ

[][][][][][][][][][][][][][][][][][][][][][][][][][]

"ไมมีอารมณ์ทำ" "เดี๋ยวค่อยทำ" "สมองไม่แล่น" "ต้องรอแรงบันดาลใจ" "ว่างๆ ก่อนค่อยทำ" ฯลฯ

คำถามหนึ่งที่มีคนถามบ่อยทั้งจากคนไข้ และเพื่อน ก็คือทำยังไงถึงทำงานเสร็จ โดยเฉพาะงานประเภทเขียนหนังสือ ทำวิจัย หรือวิทยานิพนธ์

ส่วนตัวแอดมินมีวิธีการดังนี้

🙂 เคล็ดลับหนึ่งจากโคตรมหาอาจารย์ท่านหนึ่ง ที่กล่าวไว้ว่า " #อย่า " #จะ" ..... #ให้ทำเลย"
[try not, --- do or do not]
... คนส่วนมากหลายครั้งรอ "อารมณ์" ... "แรงบันดาลใจ" ... "เวลาที่ใช่" ... "ว่างก่อน" เพื่อที่จะทำงานบางอย่าง
แต่ชีวิตจริงพบว่าเพื่อนแอดมินที่บอกว่า "ไว้ว่างก่อน จะทำวิจัย" เกือบทั้งหมดผ่านมา 3-4 ปีก็ยังไม่ได้ทำเหมือนเดิม .. หรือ หลายคนรอให้มีอารมณ์ทำก่อน ค่อยทำ ส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยได้ทำ เพราะอารมณ์ทำแม่ม ไม่เคยมาซักที ... หรือมาก็มาแป๊บเดียว ถถถ ---
ส่วนตัวแอดมินเขียนคอลัมน์ให้นิตยสารฉบับหนึ่งมา 6 ปีแล้ว อยากบอกว่า ถ้ารอให้ mood มาคงเขียนต่อเนื่องไม่ได้ขนาดนี้ เพราะอารมณ์เป็นสิ่งไม่แน่นอนที่สุดแล้วของมนุษย์ ... และงานไม่ใช่ไปเที่ยว อารมณ์ทำจะได้มาบ่อยๆ

🙂 งั้นทำอย่างไร ... คำตอบคือ 🙂

1. คือทำแม่มไปเลย ไม่ต้องรอ ถ้าคิดได้ว่าจะทำอันนี้ "ทำ" เลย เพราะคนส่วนใหญ่มักเสียเวลากะการเริ่มทำบางอย่างนานมาก เผลอๆ นานกว่าตอนทำอีก (นึกถึงเวลาจะเริ่มทำงาน หลายคน รอโน่น รอนี่ เล่นเฟสก่อน กินอิ่มก่อน อาบน้ำก่อน เที่ยวก่อน รอเวลาเหมาะๆ ก่อน รอไปรอมาดึก ไม่ได้ทำ ---> นอน จบหนึ่งวัน)

2. #ต้องกำหนดให้ชัดเจน ไปเลยว่า จะทำเมื่อไหร่ ตอนไหน เขียนใส่ตารางแปะหน้าโต๊ะไปเลย เช่น จะเขียนบทความเวลา 21.00-21.45 ของทุกวัน (แนะนำว่าแรกๆ กำหนดเวลาอย่าเวอร์ ไม่ใช่กำหนดว่าจะเขียนวิจัย 2 ทุ่มถึง 5 ทุ่ม อันนี้เวอร์ คนส่วนใหญ่ก็ทำไม่ได้ แรกๆ แค่สัก 30 นาทีก็พอแล้วค่อยๆ เพิ่มทีหลัง

3. ถึงเวลาทำ " #ต้องทำ" ตามนั้น ไม่ว่าจะมีอารมณ์ทำ ไม่มีอารมณ์ทำ คิดออก คิดไม่ออก หัวแล่น หัวไม่แล่น นั่งไป กำหนดไว้เท่าไหร่ นั่งทำไปตามนั้น ได้แค่ไหนแค่นั้น ....
ท่องไว้ "ทำตามแผน อย่าทำตามอารมณ์" ซึ่งพบว่าต่อให้ไม่มีอารมณ์ทำ แต่ถ้านั่งจนครบ ก็มักทำอะไรได้ไม่มากก็น้อย

4. การทำแนะนำให้ #กำหนดหัวข้อทีละน้อย เป็นหัวข้อย่อย ... เช่น ทำวิทยานิพนธ์ ก็กำหนดว่าวันนี้จะเขียน "บทนำ" พอ ... อย่าโลภ-แบบวันนี้ตรูจะเขียนแม่มทั้งเล่มเลย 😛 เพราะเป็นไปไม่ได้ และมักสับสนตัวเองแล้วเขียนไม่ออก หรือก็หมดกำลังใจไปก่อน

5. #สำคัญสุดทำตามที่กล่าวมาให้เป็นประจำ

ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ สักพักจะเริ่มเป็น "นิสัย" หรือ "ความเคยชิน" ที่สามารถทำงานได้เองครับ

[][][][][][][][][][][][][][][][][][][][][][][][][][]

เครดิตบทความ : หมอคลองหลวง
เครดิตภาพ : https://share.google/images/UUWUaClx8qezqEDLN

10/10/2025

บางอย่างในชีวิต เราทำมันจนกลายเป็นกิจวัตรที่แทบไม่ต้องนึกถึง - เราแปรงฟันทุกเช้า กินข้าวตรงเวลา ออกกำลังกายเพื่อให้ร่างกายแข็งแรง
แต่ในขณะเดียวกัน เรากลับเผลอลืมไปว่า ‘หัวใจ’ ของเราก็ต้องการการดูแลไม่ต่างกัน มันอาจไม่ได้เจ็บปวดให้เห็นเป็นรอยแผลทางกายภาพ แต่ความเหนื่อยล้า ความเครียด หรือการเก็บงำบางอย่างเอาไว้เงียบๆ ก็ทำให้ใจอ่อนแรงได้เช่นกัน
สุขภาพจิตจึงไม่ใช่เรื่องของการรอวันที่เราล้มลงแล้วค่อยหันมามอง แต่คือการค่อยๆ ใส่ใจในรายละเอียดเล็กๆ ของแต่ละวัน คล้ายกับการหายใจเข้าลึกๆ สักสองสามครั้งก่อนเริ่มงาน หรือการได้มีใครสักคนที่ฟังเราโดยไม่รีบร้อนสรุปแทนเรา เพราะเรื่องเล็กๆ เหล่านี้คือรอยต่อที่ประคองให้ใจเบาบางลง และบางครั้งก็ทำให้วันธรรมดาอบอุ่นขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ
นับตั้งแต่ปี 1992 สหพันธ์สุขภาพจิตโลก (World Federation for Mental Health : WFMH) ได้กำหนดให้ทุกวันที่ 10 ตุลาคมของทุกปีเป็น ‘วันสุขภาพจิตโลก’ (World Mental Health Day) เพื่อย้ำเตือนว่าความสำคัญของใจนั้นไม่ควรถูกละเลย เหมือนที่เราห่วงใยสุขภาพกาย ความตั้งใจของวันสำคัญนี้ ให้ไม่ได้อยู่ที่การพูดถึงโรคหรือการรักษาเพียงอย่างเดียว แต่คือการสร้างพื้นที่ให้ทุกคนบนโลกได้พูดคุย แบ่งปัน และเห็นคุณค่าของการดูแลใจตัวเองและกันและกัน
ในประเทศไทยเอง ข้อมูลจากกรมสุขภาพจิตบอกกับเราว่า จำนวนผู้ป่วยทางจิตเวชเพิ่มขึ้นเกือบสองเท่าในไม่กี่ปีที่ผ่านมา แต่แทนที่จะมองตัวเลขเหล่านี้เป็นเพียงเงาสะท้อนของปัญหา เราอาจลองมองมันเป็นเสียงเรียกที่ชวนให้เราหยุดฟังกันมากขึ้น โอบรับกันด้วยความเข้าใจมากขึ้น และให้ความสำคัญกับการดูแลใจอย่างสม่ำเสมอ เหมือนการรดน้ำต้นไม้ที่ไม่ต้องรอให้เฉา
เพราะการดูแลใจไม่จำเป็นต้องยิ่งใหญ่ และไม่ใช่การเปลี่ยนชีวิตชั่วข้ามคืน แต่อาจเป็นเพียงการยอมรับความไม่สมบูรณ์แบบของตัวเอง หรือการหยุดพักเมื่อรู้สึกเหนื่อย โดยไม่ต้องโทษว่าตัวเองอ่อนแอ ทุกครั้งที่เรากลับมารับรู้ความรู้สึกตรงหน้าอย่างอ่อนโยน เรากำลังสานต่อการเติบโตเล็กๆ ที่จะพาเราเดินต่อไปได้อย่างมั่นคง
ในวันสุขภาพจิตโลกปีนี้ The Present Haus อยากชวนคุณลองมองใจตัวเองด้วยแววตาใหม่ๆ บางทีสิ่งที่เราตามหามาตลอด อาจไม่ใช่คำตอบที่ซับซ้อน แต่คือการได้หยุด หายใจ ฟังเสียงในใจ และรู้ว่าคุณไม่ต้องเดินลำพัง เพราะเราทุกคนต่างกำลังเรียนรู้ที่จะดูแลใจตัวเองในแบบของเรา
สุขภาพจิตจึงไม่ใช่แค่การรักษาเมื่อเจ็บป่วย แต่คือการดูแลใจทุกวัน เหมือนการตื่นเช้ามาแปรงฟัน เหมือนการออกไปเดินเล่นรับแดดอ่อน ๆ และเหมือนการบอกตัวเองอย่างเบาๆ ว่า “วันนี้ก็ทำดีที่สุดแล้ว”
อ้างอิง
- https://www.who.int/campaigns/world-mental-health-day
- https://thestandard.co/onthisday10102023/
HealthDay #วันสุขภาพจิตโลก #การดูแลสุขภาพจิต

10/10/2025
08/10/2025

แนวทางการดูแลใจด้วย "Go With the Flow"

ช่วยสร้าง “ทักษะทางใจที่ดี” 4 อย่าง
1. ทักษะที่ 1 "การยอมรับ" (Acceptance)
2. ทักษะที่ 2 "การลดอัตตาตัวตน" (Ego Softening)
3. ทักษะที่ 3 "การปล่อยวาง" (Letting Go)
4. ทักษะที่ 4 "ความวางใจในชีวิต" (Trust in Life)

ได้อย่างไร?
ท่านใดสนใจสามารถติดตามรับฟังได้ทางลิงค์นี้ค่ะ 🙂
https://youtu.be/rQMGFQMOPug

#เข้าใจธรรมชาติชีวิต
#เข้าใจธรรมชาติจิตใจ
#ยิ่งโตยิ่งสุข

ที่อยู่

270 ถนนพระรามที่หก แขวงทุ่งพญาไท เขตราชเทวี
Bangkok
10400

เวลาทำการ

จันทร์ 08:30 - 16:30
อังคาร 08:30 - 16:30
พุธ 08:30 - 16:30
พฤหัสบดี 08:30 - 16:30
ศุกร์ 08:30 - 16:30

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ Ramathibodi Student Well-being Center - RASWผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ การปฏิบัติ

ส่งข้อความของคุณถึง Ramathibodi Student Well-being Center - RASW:

แชร์

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram