อาร์พีคิว RPQ สมุนไพร ฟื้นฟูตับอ่อน

อาร์พีคิว RPQ สมุนไพร ฟื้นฟูตับอ่อน ฟื้นฟูตับอ่อน ดูแลตรงจุด น้ำตาลลด ด้วยธรรมชาติ

ดาร์กช็อกโกแลต ช่วยลดน้ำตาลในเลือดได้🍫 ดาร์กช็อกโกแลต เป็นช็อกโกแลตชนิดหนึ่งที่ได้มาจากผลของต้นโกโก้ แต่ว่าไม่มีส่วนผสมข...
07/08/2023

ดาร์กช็อกโกแลต ช่วยลดน้ำตาลในเลือดได้

🍫 ดาร์กช็อกโกแลต เป็นช็อกโกแลตชนิดหนึ่งที่ได้มาจากผลของต้นโกโก้ แต่ว่าไม่มีส่วนผสมของนม ดาร์กช็อกโกแลตเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีปริมาณน้ำตาลที่น้อยมากดังนั้นจึงถือเป็นของหวานที่ดีต่อสุขภาพ

🍫 มีการทดลองเชิงเปรียบเทียบในปี 2017 ที่ได้รายงานลงใน Journal of Functional Foods จากการทดลองในผู้ใหญ่วัยกลางคนจำนวน 20 คน โดยแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกรับประทานไวท์ช็อกโกแลต กลุ่มที่ 2 รับประทานดาร์กช็อกโกแลต ในระหว่างมื้ออาหาร พบว่าผู้ที่รับประทานดาร์กช็อกโกแลตรู้สึกอิ่มมากกว่าผู้ที่รับประทานไวท์ช็อกโกแลต นอกจากนี้การรับประทานดาร์กช็อกโกแลตยังช่วยให้ระดับน้ำตาลในเลือดดีอีกด้วย นอกจากนี้ดาร์กช็อกโกแลตยังมีประโยชน์อื่นๆ ที่ช่วยในเรื่องการลดน้ำหนักได้

🍫 ที่สำคัญดาร์กช็อกโกแลตยังมีส่วนช่วยลดระดับอินซูลิน (Insulin) ในเลือดซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับการลดน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น และการกักเก็บไขมันที่ลดลงได้ นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยบางชิ้นแสดงให้เห็นว่า การบริโภคช็อกโกแลตมีส่วนช่วยในการปรับปรุงการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ ซึ่งวิธีนี้อาจช่วยป้องกันไม่ให้ระดับน้ำตาลในเลือดพุ่งสูงขึ้นและลดลง ซึ่งอาจนำไปสู่ความหิวที่เพิ่มขึ้นได้

ิตภัณฑ์เพื่อผู้ป่วยเบาหวาน
สนใจผลิตภัณฑ์/สอบถามอาการ
โทร0918819965

ขอบคุณข้อมูลจาก Hello คุณหมอ

ระดับน้ำตาลในเลือดดูอย่างไร?การตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือด หรือการเจาะน้ำตาลหลังอดอาหารและเครื่องดื่มทุกชนิดมาแล้วอย่างน้อ...
04/08/2023

ระดับน้ำตาลในเลือดดูอย่างไร?

การตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือด หรือการเจาะน้ำตาลหลังอดอาหารและเครื่องดื่มทุกชนิดมาแล้วอย่างน้อย 8 ชั่วโมง (Fasting Blood Sugar: FBS)โดยระดับน้ำตาลในเลือดจะสามารถบ่งบอกถึงปริมาณของกลูโคสในกระแสเลือด ณ ขณะนั้นว่าอยู่ในระดับใด ซึ่งการตรวจน้ำตาลในเลือดนี้เป็นการตรวจที่ช่วยคัดกรองและวินิจฉัยว่าเรามีเสี่ยงเป็นเบาหวานหรือไม่?!

ปัจจุบัน เราสามารถตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือดได้ด้วยตนเอง (Self Monitoring of Blood Glucose) ซึ่งสามารถตรวจได้เองเป็นประจำ มีข้อดีคือ ทำให้ทราบความเสี่ยงว่าเป็นเบาหวานหรือไม่ และทำให้ผู้ที่เป็นโรคเบาหวานสามารถปรับพฤติกรรมการดูแลตนเองได้ทันที

ระดับน้ำตาลในเลือดดูอย่างไร?

◾ระดับน้ำตาลในเลือด อยู่ระหว่าง 70-100 คุณอยู่ในภาวะปกติ
◾ระดับน้ำตาลในเลือดเท่ากับ 100 – 125 คุณมีภาวะความเสี่ยง หรือเรียกว่า เบาหวานแฝง
◾ระดับน้ำตาลในเลือด มากกว่า 126 คุณมีความเสี่ยงเป็นโรคเบาหวาน

ภาวะที่ร่างกายมีระดับน้ำตาลกลูโคสในเลือดสูงกว่าปกติ ซึ่งระดับน้ำตาลที่ปกติ จะอยู่ที่ประมาณ 70-100 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร แต่หากค่าที่ได้สูงกว่า 100 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร ขึ้นไปอาจเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวาน

อาการของเตือนภาวะน้ำตาลในเลือดสูงมักมีดังต่อไปนี้

◾เหนื่อยง่าย
◾กระหายน้ำมาก
◾ปัสสาวะบ่อย (โดยเฉพาะกลางคืน)
◾ปวดศีรษะ
◾มองเห็นไม่ชัด

หากปล่อยให้มีระดับน้ำตาลในเลือดสูงมากๆ เป็นเวลานาน อาจส่งผลโดยตรงต่อหลอดเลือด จนเกิดภาวะอักเสบและอุดตัน และอาจทำให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายลดลง ส่งผลให้เกิดภาวะติดเชื้อต่างๆ ได้ง่ายอีกด้วย

ิตภัณฑ์เพื่อผู้ป่วยเบาหวาน

สนใจผลิตภัณฑ์/สอบถามอาการ
โทร 0918819965

ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ🔺 ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ เป็นภาวะที่ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำกว่า 50 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร ซึ่งในผู้ที่มีอา...
04/08/2023

ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ

🔺 ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ เป็นภาวะที่ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำกว่า 50 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร ซึ่งในผู้ที่มีอาการรุนแรง หากรักษาไม่ทัน อาจเป็นอันตรายได้

🔺 ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ เกิดขึ้นได้ทั้งผู้ป่วยทั่วไป จากภายหลังการดื่มสุราในปริมาณมาก โดยไม่ได้รับประทานอาหารควบคู่ไปด้วย หรือในผู้ที่เป็นเนื้องอกบางชนิด ที่มีการสร้างฮอร์โมนอินซูลินผิดปกติ ส่งผลให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำตามมา แต่ส่วนใหญ่ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ เกิดขึ้นได้ในผู้เป็นเบาหวานที่ได้รับการรักษาด้วยยาลดระดับน้ำตาลในเลือดหรือยาฉีดอินซูลิน ในกรณีที่รับประทานอาหารผิดเวลา รับประทานอาหารน้อยไป ออกกำลังกายมากไป หรือระดับการทำงานของไตผิดปกติ ส่งผลให้การออกฤทธิ์และการขับยาออกจากร่างกายไม่เป็นไปตามภาวะปกติที่ควรจะเป็น

🔺 อาการที่พบขึ้นกับความรุนแรงของภาวะดังกล่าว ในระยะแรกที่ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำลงไม่มาก ผู้ป่วยจะมีอาการเตือน ซึ่งเป็นผลจากระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ ได้แก่ รู้สึกอ่อนเพลีย หวิวๆ ร่วมกับมีการหิว อยากรับประทานอาหาร มือสั่น ใจสั่น กระสับกระส่าย ถ้าภาวะนี้ยังไม่ได้รับการแก้ไข ระดับน้ำตาลในเลือดจะต่ำลงมาก จนทำให้ผู้ป่วยเริ่มมีอาการของสมองขาดน้ำตาล ได้แก่ ปวดมึนศีรษะ แขนขาอ่อนแรง มือชา ปากชา และถ้าเป็นรุนแรง อาจมีอาการชักหรือหมดสติร่วมด้วย หากปล่อยให้อาการดังกล่าวเกิดขึ้นบ่อย ๆ โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ อาจส่งผลต่อความจำ ทำให้เกิดความจำเสื่อม สมองพิการ ซึ่งในบางคนอาจหลับไม่ตื่น เนื่องจากสมองพิการอย่างถาวร

🔺 การแก้ไขเบื้องต้นสำหรับผู้ที่สงสัยว่ามีภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ ขึ้นกับอาการความรุนแรงและระดับความรู้สึกตัว ถ้ายังรู้สึกตัว ให้รีบดื่มน้ำหวานหรือรับประทานของหวาน ๆ เช่น ลูกอมทันที ซึ่งจะช่วยให้อาการทุเลาลงได้ แต่ถ้าผู้ป่วยไม่รู้สึกตัวหรือหมดสติ ควรรีบนำส่งโรงพยาบาลใกล้บ้าน เพื่อให้น้ำตาลกลูโคสทางหลอดเลือดดำ ไม่ควรกรอกน้ำตาลหรือน้ำหวานเข้าปากช่วงที่หมดสติ เพราะอาจทำให้สำลักลงปอดได้

🔺 สำหรับผู้ป่วยเบาหวานที่ได้รับยารักษาเบาหวานอยู่ และมีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ เช่น ในช่วงที่ไม่สบายหรือรับประทานอาหารได้น้อย ควรพกของหวานติดตัวไว้รับประทานเมื่อมีอาการ อย่างไรก็ตาม แนะนำว่าควรมีการตรวจระดับน้ำตาลในเลือดด้วยเครื่องตรวจปลายนิ้ว เพื่อยืนยันว่าอาการดังกล่าวเกิดขึ้นจากภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำจริง ซึ่งระดับน้ำตาลในเลือดจะแตกต่างจากคนทั่วไป คือ ถ้าระดับน้ำตาลในเลือดของผู้เป็นเบาหวานได้ค่าต่ำกว่า 70 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร จัดได้ว่า มีภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ

ิตภัณฑ์เพื่อผู้ป่วยเบาหวาน

สนใจผลิตภัณฑ์/สอบถามอาการ
โทร
0918819965
ขอบคุณข้อมูลจาก โรงพยาบาลศิริราช

สารอาหารสำหรับคนเป็นเบาหวานและความดันคนเป็นเบาหวานและความดันควรเลือกรับประทานอาหารที่มีสารอาหารครบถ้วน ทั้งโปรตีน คาร์โบ...
04/08/2023

สารอาหารสำหรับคนเป็นเบาหวานและความดัน

คนเป็นเบาหวานและความดันควรเลือกรับประทานอาหารที่มีสารอาหารครบถ้วน ทั้งโปรตีน คาร์โบไฮเดรต ใยอาหาร และควรควบคุมปริมาณน้ำตาลกับไขมันไม่ให้มากเกินไป โดยสามารถวางแผนการรับประทานอาหารด้วยการเลือกประเภทอาหาร ดังนี้

👉 คาร์โบไฮเดรต เป็นแหล่งพลังงานหลักของร่างกาย เมื่อรับประทานอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรต เช่น แป้ง น้ำตาล ร่างกายจะย่อยสลายอาหารให้กลายเป็นน้ำตาลกลูโคสและดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดเพื่อใช้เป็นพลังงาน แต่หากมีน้ำตาลส่วนเกินสะสมอยู่มากอาจส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น และน้ำตาลที่ไม่ได้ถูกนำไปใช้เป็นพลังงานถูกเก็บไว้ในรูปแบบของไขมันแทน ซึ่งอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ความดันสูงได้เช่นกัน คนเป็นเบาหวานและความดันจึงควรเลือกรับประทานคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนที่มีใยอาหารหรือไฟเบอร์สูง แป้งและน้ำตาลน้อย เช่น ธัญพืชเต็มเมล็ดไม่ขัดสี พืชตระกูลถั่ว ข้าวกล้อง เพื่อช่วยควบคุมปริมาณน้ำตาลในเลือดไม่ให้สูงเกินไป

👉 โปรตีน เป็นสารอาหารที่ให้พลังงาน ทั้งยังเป็นส่วนประกอบของเซลล์และเนื้อเยื่อ และช่วยในการฟื้นฟูและซ่อมแซมเนื้อเยื่อและเซลล์ที่เสียหาย คนเป็นเบาหวานและความดันจึงควรได้รับโปรตีนทุกวัน แต่ควรจำกัดปริมาณและชนิดของโปรตีนให้เหมาะสม เช่น เลือกนมหรือผลิตภัณฑ์จากนมไขมันต่ำแทนนมเต็มส่วน เลือกเนื้อสัตว์ไม่ติดมันและไม่ติดหนัง เลือกโปรตีนจากปลาที่อุดมไปด้วยกรดไขมันโอเมก้า 3 อย่างปลาแซลมอน ทูน่า ปลาแมคเคอเรล ปลาซาร์ดีน เป็นต้น เพราะอาจช่วยป้องกันความดันโลหิตสูงได้

👉 ใยอาหาร หรือไฟเบอร์ เป็นสารอาหารที่กรดในกระเพาะอาหารและเอนไซม์ในลำไส้เล็กไม่สามารถย่อยหรือดูดซึมได้ จึงอยู่ในระบบทางเดินอาหารได้นานและมีส่วนช่วยควบคุมการย่อยอาหาร ระดับน้ำตาลในเลือด และการดูดซึมไขมัน อาหารที่มีใยอาหารสูง เช่น ผักใบเขียว ผลไม้ทุกชนิด ถั่ว ธัญพืชไม่ขัดสี

👉 ไขมันดี อาหารที่มีไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวและไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน เช่น อะโวคาโด พืชตระกูลถั่ว น้ำมันคาโนลา น้ำมันมะกอก เหมาะกับคนเป็นเบาหวานและความดัน เพราะช่วยลดการอุดตันของคอเลสเตอรอลในเส้นเลือด เพิ่มการไหลเวียนโลหิต ทำให้ความดันลดลง ผู้ป่วยเบาหวานมีความเสี่ยงในการเกิดโรคแทรกซ้อน เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคหลอดเลือดสมอง ได้ง่าย การลดคอเลสเตอรอลในผู้ป่วยเบาหวานจึงอาจช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคแทรกซ้อนดังกล่าวได้

ิตภัณฑ์เพื่อผู้ป่วยเบาหวาน

สนใจผลิตภัณฑ์/สอบถามอาการ
โทร 0918819965

ขอบคุณข้อมูลจาก Hello คุณหมอ

6 อาหารโซเดียมสูงที่ต้องเลี่ยง ถ้าไม่อยากเสี่ยงไตพัง!โซเดียมเป็นสารอาหารที่ช่วยควบคุมความสมดุลของเหลวภายในร่างกาย ช่วยรั...
03/08/2023

6 อาหารโซเดียมสูงที่ต้องเลี่ยง ถ้าไม่อยากเสี่ยงไตพัง!

โซเดียมเป็นสารอาหารที่ช่วยควบคุมความสมดุลของเหลวภายในร่างกาย ช่วยรักษาความดันโลหิตให้อยู่ในระดับที่ปกติ ช่วยในการทำงานของประสาท และกล้ามเนื้อ และยังช่วยดูดซึมสารอาหารบางอย่างในไต และลำไส้เล็กอีกด้วย

แต่หากบริโภคโซเดียมเกินปริมาณที่ร่างกายต้องการแล้ว จะก่อให้เกิดการเสื่อมของไต เพราะไตทำหน้าที่ขับโซเดียม เมื่อไตทำงานได้ลดลงจะทำให้มีการคั่งของเกลือ มีการบวมน้ำ ส่งผลให้ความดันโลหิตสูง และเกิดโรคไต โรคหัวใจและหลอดเลือดตามมาได้ ซึ่งอาหารต่อไปนี้เป็นอาหารที่มีโซเดียมสูง ซึ่งหากรับประทานบ่อย ๆ ภาวะไตวายอาจมาเยือนโดยไม่รู้ตัว

1. บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป
ขึ้นชื่อว่าเป็นอาหารแปรรูปก็ย่อมต้องมีปริมาณโซเดียมที่สูงเป็นเงาตามตัว โดยบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเพียง 1 ซอง (55-60 กรัม) มีปริมาณโซเดียมถึง 1,480-1,500 มิลลิกรัม ซึ่งปริมาณโซเดียมที่อยู่ในอาหารชนิดนี้มีอยู่ในเส้นบะหมี่ และเครื่องปรุง

2. เนื้อสัตว์แปรรูป
ไม่ว่าจะเป็นไส้กรอก แฮม หรือแม้แต่เบคอนก็ล้วนแต่เป็นอาหารที่อันตราย เพราะอาหารเหล่านี้ต้องใช้เกลือจำนวนมากในแปรรูป แค่เบคอนเพียง 100 กรัมก็มีปริมาณโซเดียมถึง 751 มิลลิกรัม ในขณะที่ไส้กรอกหมู 1 ชิ้น มีปริมาณโซเดียม 388 มิลลิกรัมเลยทีเดียว

3. น้ำผลไม้
อีกทางเลือกหนึ่งเพื่อสุขภาพ หลายคนคิดว่าการดื่มน้ำผลไม้นั้นดีต่อสุขภาพ แต่จริง ๆ แล้วกลับเต็มไปด้วยน้ำตาล แถมด้วยโซเดียมอีกเพียบ น้ำมะเขือเทศเพียง 1 แก้ว ปริมาณ 200 มิลลิลิตรก็มีโซเดียมสูงถึง 280 มิลลิกรัมเลยทีเดียว

4. ขนมขบเคี้ยว
ตกบ่ายทีไรก็รู้สึกหิวจนอาจต้องไปหยิบขนมขบเคี้ยวมารับประทาน แต่ก็ต้องระมัดระวังให้ดี เพราะขนมขบเคี้ยวบางอย่างก็มีโซเดียมสูง เช่น ถั่วลิสงอบเกลือ 100 กรัม มีโซเดียมกว่า 400 มิลลิกรัม หรือจะเป็นมันฝรั่งทอด 1 ที่ ก็มีโซเดียมถึง 149 มิลลิกรัม

5. เครื่องปรุง
แม้จะช่วยเพิ่มรสชาติให้อร่อยและทำให้อาหารมีสีสันมากขึ้น แต่ปริมาณโซเดียมก็สูงเป็นเงาตามตัว อย่างซอสมะเขือเทศ 1 ช้อนโต๊ะมีโซเดียมสูงถึง 149 มิลลิกรัม ส่วนน้ำปลาในปริมาณเท่ากัน มีโซเดียมสูงถึง 1,620 มิลลิกรัม

6. ขนมปัง
อาจจะเคยได้ยินมาว่าการรับประทานขนมปังโฮลวีท หรือขนมปังที่ทำจากธัญพืชที่ไม่ผ่านการขัดสีนั้นดีกับสุขภาพ แต่จริง ๆ แล้ว ขนมปังโฮลวีท 1 แผ่นมีโซเดียม 125 มิลลิกรัม ขณะที่ขนมปังขาวมีโซเดียมเพียง 117 มิลลิกรัม

ทั้งนี้กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุขได้แนะนำปริมาณโซเดียมที่ควรได้รับต่อวัน ไม่ควรเกิน 2,300 มิลลิกรัมต่อวัน เทียบเท่าเกลือป่น 1 ช้อนชา อย่างไรก็ตาม 2,300 มิลลิกรัมเป็นปริมาณสูงสุดที่ไม่ควรได้รับเกินต่อวัน แต่ไม่ใช้ปริมาณที่เหมาะสม ซึ่งคนในแต่ละช่วงวัย เพศ ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่นโรคเบาหวาน และ หญิงตั้งครรภ์มีปริมาณโซเดียมที่เหมาะสมต่อวันที่แตกต่างกัน

ิตภัณฑ์เพื่อผู้ป่วยเบาหวาน
สนใจผลิตภัณฑ์/สอบถามอาการโทร 0918819965

อาการปากแห้งและเบาหวาน: เคล็ดลับ 4 ข้อในการป้องกันโรงพยาบาลอานันทมหิดลกล่าวว่า อัตราผู้ป่วยทั่วโลกที่เสียชีวิตจากเบาหวาน...
03/08/2023

อาการปากแห้งและเบาหวาน: เคล็ดลับ 4 ข้อในการป้องกัน

โรงพยาบาลอานันทมหิดลกล่าวว่า อัตราผู้ป่วยทั่วโลกที่เสียชีวิตจากเบาหวานอาจเพิ่มสูงขึ้นเป็น 10% ในอนาคต หากคุณเป็นเบาหวาน คุณอาจมีคำถามขึ้นมาว่า “แล้วฉันจะรักษาอาการปากแห้งที่เกิดจากเบาหวานได้ยังไง” ฉะนั้น เราจึงมาที่นี่เพื่ออธิบายถึงสาเหตุที่ทำให้ปากแห้ง ความเกี่ยวข้องกับโรคเบาหวาน และเคล็ดลับดีๆ เพื่อช่วยบรรเทาอาการ

เบาหวานและอาการปากแห้ง
การดูแลช่องปากอย่างเหมาะสมคือ ส่วนสำคัญของสุขภาพฟันและสุขภาพโดยรวมของคุณ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากคุณเป็นเบาหวานเนื่องจากคุณมีแนวโน้มที่จะมีปัญหาเรื่องเหงือก และอาการปากแห้ง โชคดีที่ประสบการณ์ในการจัดการกับเบาหวานของคุณสามารถช่วยให้คุณเข้าใจถึงความสำคัญของกิจวัตรประจำวันได้

คุณมีแนวโน้มที่จะมีอาการปากแห้งมากขึ้น หากคุณเป็นเบาหวานด้วยเหตุผลสองประการนี้
1.การปัสสาวะบ่อยที่อาจทำให้คุณขาดน้ำได้
2.การใช้ยาที่อาจส่งผลต่อการผลิตน้ำลาย โดยต่อมน้ำลายของคุณ

อาการปากแห้ง (หรือที่เรียกว่าภาวะปากแห้ง) เกิดขึ้นเมื่อต่อมน้ำลายผลิตน้ำลายไม่เพียงพอที่จะคงความชุ่มชื้นในปากของคุณไว้ได้ นอกจากความรู้สึกไม่สบายแล้ว สิ่งนี้ยังอาจนำไปสู่ปัญหาทางทันตกรรมอื่นๆ ได้อีกด้วย ดังนั้นนี่จึงเป็นเรื่องจำเป็นที่จะต้องแก้ไข หรือป้องกันปัญหานี้

1. น้ำและผลิตภัณฑ์ที่ปราศจากน้ำตาล
ประโยชน์ของการดื่มน้ำเวลาปากแห้งนั้นเห็นได้อย่างชัดเจนมาก นี่ไม่เพียงแต่ป้องกันการสูญเสียน้ำเท่านั้น แต่ยังช่วยทำหน้าที่บางประการแทนน้ำลายเพื่อชะล้างเศษอาหารออกไป และปรับความเป็นกรดในปากของคุณให้สมดุล
📍เคล็ดลับที่เป็นประโยชน์: นอกจากผลิตภัณฑ์ที่ปราศจากน้ำตาลจะปลอดภัยต่อฟันของคุณแล้ว นี่ยังปลอดภัยต่อสุขภาพของคุณ ในกรณีที่คุณเป็นเบาหวานด้วย เนื่องจากนี่จะส่งผลต่อระดับน้ำตาลในเลือดของคุณเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

2. ใช้เครื่องทำความชื้น
หากคุณมีอาการปากแห้งในตอนกลางคืน เครื่องทำความชื้นอาจเป็นวิธีแก้ปัญหาที่คุณกำลังตามหาอยู่ (แม้ว่าจะดีต่อทุกช่วงเวลาก็ตาม!) อุปกรณ์ที่มีประโยชน์เหล่านี้จะเพิ่มน้ำในอากาศ ซึ่งช่วยบรรเทาอาการ และลดความรู้สึกไม่สบายตัวที่เกี่ยวข้องกับอาการปากแห้งได้

3. จัดการกับเบาหวานของคุณ
ระบบควบคุมฮอร์โมนของคุณอาจมีความซับซ้อน แต่ผลกระทบของอาหารที่มีต่ออาการปากแห้งนั้นเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ง่ายและเมื่อคุณรับประทานอาหารหรือเครื่องดื่มเข้าไป ร่างกายของคุณจะตอบสนองโดยการเพิ่มระดับน้ำตาลในเลือด และหากระดับน้ำตาลในเลือดของคุณอยู่นอกเกณฑ์ปกติ (ไม่มีการควบคุม) คุณอาจจะปัสสาวะบ่อย ซึ่งอาจนำไปสู่การสูญเสียน้ำ แล้วทำให้เกิดอาการปากแห้งได้ สิ่งสำคัญที่สุดที่ควรทำคือการควบคุมอาการเบาหวานของคุณอย่างเหมาะสม โดยเฉพาะอย่างยิ่งผ่านการรับประทานอาหารที่สมดุลและดีต่อสุขภาพ
📍เคล็ดลับที่เป็นประโยชน์: หากคุณประสบปัญหาในการจัดการกับเบาหวานหรืออาการที่เกี่ยวข้อง โปรดปรึกษาแพทย์หรือนักโภชนาการที่ขึ้นทะเบียนเพื่อขอคำแนะนำในการปรับปรุงกิจวัตรของคุณ

4. การเข้าพบทันตแพทย์เป็นประจำ
หากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ทำการรักษา อาการปากแห้งอาจเพิ่มความเสี่ยงที่จะพัฒนาเป็น ปัญหาทางทันตกรรมอื่นๆ ได้ ซึ่งจะมีโอกาสเกิดขึ้นกับผู้ป่วยเบาหวานถึงสองเท่า ขณะที่การเข้าพบทันตแพทย์เป็นประจำสามารถช่วยป้องกันปัญหาต่างๆ เช่น ปัญหาเรื่องเหงือก ฟันผุ อาการปากแห้ง และสัญญาณเตือนเฉพาะจุดก่อนที่อาการจะแย่ลงได้

แม้ว่าการไปพบผู้เชี่ยวชาญด้านทันตกรรมอาจเป็นเรื่องที่ฟังดูเครียดอยู่บ้าง แต่นั่นก็เป็นสิ่งสำคัญในการต่อสู้กับปัญหาสุขภาพช่องปาก พวกเขายังสามารถให้คำแนะนำเพื่อช่วยจัดการกับอาการปากแห้งของคุณ และช่วยให้คุณทำตามขั้นตอนที่จำเป็นเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาจากการขาดน้ำลายเรื้อรังได้อีกด้วย

เคล็ดลับ 4 ข้อนี้ถือเป็นก้าวที่สำคัญในการช่วยเผชิญความรู้สึกไม่สบายและอาการปากแห้งอื่นๆ ของคุณ ดังนั้นอย่ากลัวที่จะใช้มากกว่าหนึ่งวิธีเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด!

ิตภัณฑ์เพื่อผู้ป่วยเบาหวาน

สนใจผลิตภัณฑ์/สอบถามอาการโทร 0918819965

ที่มาข้อมูล : Colgate
รูปภาพจาก : Sanook

เมนูอาหารผู้ป่วยเบาหวาน กินอะไรได้บ้างเพื่อรักษาระดับน้ำตาลในเลือดผู้ป่วยเบาหวานหรือคนที่ไปตรวจสุขภาพมาแล้วพบว่าระดับน้ำ...
03/08/2023

เมนูอาหารผู้ป่วยเบาหวาน กินอะไรได้บ้างเพื่อรักษาระดับน้ำตาลในเลือด

ผู้ป่วยเบาหวานหรือคนที่ไปตรวจสุขภาพมาแล้วพบว่าระดับน้ำตาลในเลือดสูง ควรรับประทานอาหารแบบไหนดี เพื่อไม่ให้ระดับน้ำตาลในเลือดพุ่งไปถึงจุดที่อันตราย ทั้งอาหารจานเดียว ของคาว ของหวาน ผลไม้ หรือจะเป็นอาหารเสริมและเครื่องดื่มชนิดต่าง ๆ

เมนูอาหารสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน ประเภทอาหารเช้า ได้แก่
- ข้าวต้มปลา / ข้าวต้มหมู / ข้าวต้มไก่ / ข้าวต้มกุ้ง / ข้าวต้มกระดูกอ่อน
- โจ๊กไก่ใส่ไข่ / โจ๊กหมูใส่ไข่ / โจ๊กปลาใส่ไข่

📍 ถ้าเปลี่ยนจากข้าวขาว เป็นข้าวกล้อง ข้าวซ้อมมือ หรือข้าว กข.43 ซึ่งมีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำ เปลี่ยนแป้งเป็นน้ำตาลได้ช้ากว่า จะช่วยให้ระดับน้ำตาลในเลือดไม่เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ลดน้ำตาลจากคาร์โบไฮเดรตในแต่ละมื้อไปได้เยอะเลยทีเดียว

เมนูอาหารสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน ประเภทต้ม
เมนูต้ม ๆ ที่คนเป็นเบาหวานรับประทานได้หายห่วง ควรเลือกเมนูต้มที่มีส่วนประกอบของผัก และเนื้อสัตว์หรือเต้าหู้ เพื่อเพิ่มโปรตีน และควรเป็นต้มที่ไม่เน้นรสหวาน ได้แก่
- ต้มจืดเต้าหู้หมูสับ / ต้มจืดสาหร่ายผักกาดขาวหมูสับ / ต้มจืดหัวไชเท้ากระดูกหมูอ่อน / ต้มจืดตำลึงหมูสับ / ต้มจืดตำลึงหมูสับ / ต้มจืดวุ้นเส้นหมูสับ / ต้มจืดแตงกวายัดไส้หมูสับ
- ต้มมะระกระดูกหมู / ต้มจับฉ่าย / ต้มซุปมันฝรั่งปีกไก่
- ต้มยำไก่น้ำใส / ต้มยำกุ้งน้ำใส / ต้มยำทะเลน้ำใส
- ต้มข่าไก่ใส่ฟัก เป็นตัน

เมนูอาหารสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน ประเภทผัด
อาหารประเภทผัดก็สามารถรับประทานได้เช่นกัน โดยควรเลือกใช้น้ำมันพืชจะดีต่อสุขภาพมากกว่าน้ำมันหมู ซึ่งมีหลายเมนูที่เลือกปรุงได้ ได้แก่
- ผัดผักรวมหมู / ผัดผักรวมไก่ / ผัดผักรวมกุ้ง
- ผัดบวบกุ้ง / ผัดมะระใส่ไข่ / ผัดตำลึงหมูสับ / ใบเหลียงผัดไข่ / ผัดคะน้าเห็ดฟาง / แตงกวาผัดไข่
- ผัดถั่วฝักยาวหมูชิ้น / ผัดถั่วฝักยาวใส่ไข่
- ไก่ผัดขิง / ไก่ผัดต้นหอม / ไก่คั่วซีอิ๊ว
- ปลาผัดพริกหอมใหญ่ / ปลาผัดขึ้นฉ่าย เป็นต้น

เมนูอาหารสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน ประเภทยำ ได้แก่
- ยำมะระกุ้งสด / ยำตำลึงกุ้งสด / ยำผักกระเฉด
- ยำเห็ดรวม / ยำเห็ดฟาง / ยำเห็ดหูหนู / ยำเห็ดเข็มทอง
- ยำปลาสลิด / ยำปลาทู / ยำปลาทูน่า / ยำปลาแซลมอน
- ยำถั่วพู / ยำผักกูด เป็นต้น

เมนูอาหารสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน เมนูน้ำพริก ได้แก่
- น้ำพริกปลาทูมะเขือพวง / น้ำพริกปลาย่าง / น้ำพริกปลาทูน่า
-น้ำพริกหนุ่ม
-น้ำพริกอ่อง
- น้ำพริกมะเขือเปราะ / น้ำพริกมะเขือยาว
📍มะเขือเปราะ ผักพื้นบ้าน สรรพคุณต้านเบาหวาน ลดน้ำตาลในเลือด
- น้ำพริกตาแดง เป็นต้น

เมนูอาหารสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน อาหารจานเดียว🍛 ได้แก่
- ข้าวผัดหมู / ข้าวผัดไก่ / ข้าวผัดกุ้ง / ข้าวผัดธัญพืช
- ผัดซีอิ๊วไก่ / ผัดซีอิ๊วหมู / ผัดซีอิ๊วกุ้ง
- ราดหน้าเส้นหมี่หมู / ราดหน้าเส้นหมี่ไก่ / ราดหน้าเส้นหมี่กุ้ง
- เมี่ยงหมูตะไคร้ / เมี่ยงปลา
- สุกี้เต้าหู้ / สุกี้หมู / สุกี้กุ้ง / สุกี้ไก่ / สุกี้ปลา เป็นต้น

เมนูอาหารสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน ประเภทก๋วยเตี๋ยว🍜🍲 ได้แก่
อาหารประเภทเส้นที่ทำมาจากแป้ง สามารถรับประทานได้เหมือนกัน แต่ต้องจำกัดปริมาณ โดยอาจเลือกรับประทานได้ ดังนี้
- เกาเหลาหมู / เกาเหลาเนื้อ
- บะหมี่น้ำหมู / เส้นหมี่น้ำหมู
- เกี๊ยวน้ำกุ้ง / เกี๊ยวปลาน้ำใส
- ก๋วยเตี๋ยวเส้นปลา เป็นต้น

ขนมและของว่างสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน🥞🧈
ขนมที่คนเป็นเบาหวานสามารถกินได้ ควรเป็นขนมที่ไม่หวานจัด ไม่มีไขมันสูงเกินไป เช่น
- ไอศกรีม 1 ก้อน ให้งดผลไม้และอาหารทอดในมื้อนั้น
- ตะโก้ 4 กระทง (1x1 นิ้ว) ให้งดผลไม้และอาหารทอดในมื้อนั้น
- เค้กไม่มีหน้า 1 อันกลม ให้งดข้าว 1 ทัพพี ในมื้อนั้น
- ซ่าหริ่ม 1 ถ้วย ให้งดข้าว 1 ทัพพี งดผลไม้และอาหารทอดในมื้อนั้น
- แครกเกอร์รสธรรมดา 2 แผ่น
- บัวลอยน้ำขิง (ไม่หวาน) เป็นต้น

เมนูเครื่องดื่มสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน🥛☕️
- น้ำส้มคั้นหวานน้อย จำกัดปริมาณ 1 แก้ว หรือ 120 มิลลิลิตร
- นมถั่วเหลืองสูตรไม่มีน้ำตาล / น้ำตาลต่ำ
- น้ำขิงหวานน้อย
📍น้ำขิง ประโยชน์แจ่มจริง ๆ ดื่มทุกวันยิ่งดีเลย
- น้ำชามะระขี้นก
📍 มะระขี้นก สรรพคุณเพียบ สมุนไพรใกล้รั้ว แก้พิษร้อน ต้านเบาหวานก็จัดให้
- น้ำลูกเดือยหวานน้อย
📍ประโยชน์ของน้ำลูกเดือย ยาอายุวัฒนะชั้นเลิศที่ต้องลอง

ผลไม้สำหรับผู้ป่วยเบาหวาน🍎🍐
ผลไม้ทุกชนิดมีน้ำตาลเป็นส่วนประกอบ แต่ก็มีใยอาหารและวิตามินต่าง ๆ ที่ดีต่อร่างกาย ซึ่งผลไม้ที่ผู้ป่วยเบาหวานสามารถรับประทานได้จะเป็นผลไม้น้ำตาลน้อย เช่น แอปเปิล ฝรั่ง แก้วมังกร สาลี่ ชมพู่ สตรอว์เบอร์รี และควรเลี่ยงผลไม้ที่หวานจัด อย่างทุเรียน ขนุน ละมุด มะม่วงสุก ผลไม้ตากแห้ง ผลไม้แช่อิ่ม เป็นต้น

ิตภัณฑ์เพื่อผู้ป่วยเบาหวาน

สนใจผลิตภัณฑ์/สอบถามอาการ
โทร 091-8819965

ที่มาข้อมูล : Health Kapook
รูปภาพจาก : Health Kapook

กินหวานจัดเสี่ยงหัวใจวาย จริงไหม ⁉กินอาหารหวานจัด นำมาซึ่งอาการเจ็บป่วยสารพัด ไม่ว่าจะเป็นไฮโปไกลซีเมีย เบาหวาน หรือสารใ...
02/08/2023

กินหวานจัดเสี่ยงหัวใจวาย จริงไหม ⁉

กินอาหารหวานจัด นำมาซึ่งอาการเจ็บป่วยสารพัด ไม่ว่าจะเป็นไฮโปไกลซีเมีย เบาหวาน หรือสารให้ความหวานบางตัวก็ก่อมะเร็งได้อีกด้วย ผู้เชี่ยวชาญจากศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่ง ประเทศสหรัฐอเมริกา ยังค้นพบอีกว่า ยิ่งกินหวานมากเท่าไร ทั้งในรูปของอาหาร ขนม และเครื่องดื่ม ซึ่งตั้งใจเติมน้ำตาลให้หวานผิดธรรมชาติ ยิ่งมีโอกาสเสี่ยงเสียชีวิตด้วยภาวะหัวใจวายมากเป็นสามเท่า

นักวิจัยอธิบายเหตุผลว่า เพราะเมื่อร่างกายได้รับน้ำตาลมากเกินไป อินซูลินที่เพิ่มขึ้นในกระแสเลือดจะส่งผลกระทบต่อหลอดเลือด จะทำให้ผนังหลอดเลือดหนาและแข็งตัว นำไปสู่โรคหลอดเลือดแดงแข็ง ระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงอย่างต่อเนื่องยังไปลดประสิทธิภาพการทำงานของกล้ามเนื้อหัวใจ และทำให้กล้ามเนื้อหัวใจเสียหาย นอกจากนี้การที่ร่างกายได้รับแคลอรีจากน้ำตาลสูงเกินความจำเป็นต่อวัน เป็นตัวการทำให้น้ำหนักเพิ่มอีกด้วย

นักวิจัยเรื่องดังกล่าวอธิบายเหตุผลว่า การที่ร่างกายได้รับแคลอรีจากน้ำตาลสูงเกินจำเป็นต่อวัน เป็ฯตัวการให้น้ำหนักเพิ่ม ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของการเจ็บป่วยด้วยหลายโรค อีกทั้งยังไปกระทบการทำงานของหลอดเลือดหัวใจจนกระทั่งเกิดอาการหัวใจวายได้

นอกจากนี้การที่ร่างกายได้รับแคลอรีจากน้ำตาลสูงเกินความจำเป็นต่อวันเป็นตัวการทำให้น้ำหนักเพิ่ม ด้วยเหตุนี้จึงไปกระทบการทำงานของหลอดเลือดหัวใจจนกระทั่งมีอาการหัวใจวาย

การรับประทานหวาน หรือบริโภคน้ำตาลมากเกินไป ยังทำให้เสี่ยงต่อโรคต่างๆ มากมาย นับสิบโรคดังนี้

- โรคอ้วน ภาวะอ้วนลงพุง
เนื่องจากน้ำตาลจะถูกเก็บไว้ในตับ ส่งไปในกระแสเลือดและเปลี่ยนเป็นกรดไขมัน เมื่อตับทำงานไม่ทันกับปริมาณของน้ำตาล จะทำให้น้ำตาลเปลี่ยนรูปกลายไปเป็นไขมันสะสมในร่างกาย จึงเกิดเป็นโรคอ้วนได้

- โรคเบาหวาน
การรับประทานน้ำตาล หรือรับประทานหวานมากเกินไป อาจทำให้อินซูลินทำงานผิดปกติ ส่งผลให้เซลล์เกิดภาวะดื้ออินซูลิน ที่เรียกว่า ภาวะต้านอินซูลิน และหากภาวะต้านอินซูลินรุนแรงขึ้น ตับอ่อนไม่สามารถรับมือกับความต้องการอินซูลินเพื่อใช้รักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้ต่ำลงได้ จะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดพุ่งสูงขึ้นและนำไปสู่โรคเบาหวานได้

-ไขมันในเลือดสูง
เป็นภาวะที่ร่างกายมีระดับไขมันในเลือดสูงกว่าปกติ อาจเป็นระดับคอเลสเตอรอล หรือระดับไตรกลีเซอร์ไรด์สูงอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือสูงทั้ง 2 ชนิด เป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญทำให้เกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด ที่อาจเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต หากเราพบว่ามีภาวะไขมันในเลือดสูงจะต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภค โดยอาหารที่ควรหลีกเลี่ยงสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมระดับไตรกลีเซอร์ไรด์ และคอเลสเตอรอลในเลือด คือ งดอาหารประเภทน้ำตาล ขนมหวานทุกชนิด ผลไม้รสหวานจัดและผลไม้แปรรูป รวมถึงน้ำหวาน เป็นต้น

-โรคหัวใจ และหลอดเลือด
เมื่อร่างกายมีระดับน้ำตาลในเลือดสูง จะส่งผลให้ระบบสูบฉีดโลหิตของร่างกายทำงานเปลี่ยนแปลงไป มีผลต่อกระบวนการสูบฉีดของหัวใจ เพิ่มระดับไตรกลีเซอไรด์ คอเรสเตอรอลชนิดไม่ดี (ไขมันเลว) หรือ LDL(Low Density Lipoprotein) รวมถึงทำให้อินซูลินมีการหลั่งมากขึ้น ส่งผลกระทบต่อการทำงานของหัวใจโดยตรง

-ภาวะไขมันพอกตับ
ไขมันพอกตับ คือภาวะสะสมไขมันซึ่งส่วนมากอยู่ในรูปแบบของไตรกลีเซอไรด์ในเซลล์ตับ สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน โดยเฉพาะกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง เช่น ดื่มสุราเป็นประจำ มีรูปร่างอ้วน เป็นเบาหวาน มีไขมันในเลือดสูง และความดันโลหิตสูง ซึ่งการรับประทานอาหารที่มีแป้งและน้ำตาลมากเกินไปก็มีส่วนทำให้เกิดภาวะไขมันพอกตับได้ เนื่องจากเมื่อตับสังเคราะห์ฟรุกโตสให้กลายเป็นไขมันแล้ว จะถูกเก็บไว้ตามส่วนต่างๆ และไขมันบางส่วนจะถูกเก็บไว้ที่ตับ และกลายเป็นเม็ดไขมันในเวลาต่อมา การสะสมของเม็ดไขมันเหล่านี้ นำไปสู่ภาวะไขมันพอกตับได้

-โรคมะเร็ง
อินซูลินยังเป็นหนึ่งในฮอร์โมนที่ควบคุมการเจริญเติบโต และการเพิ่มขึ้นของเซลล์มะเร็ง ดังนั้น การมีระดับอินซูลินสูงอย่างต่อเนื่องอาจนำไปสู่โรคมะเร็งได้

-โรคกระดูกพรุน หรือกระดูกเปราะ
หากร่างกายมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงติดต่อกันเป็นเวลานาน จะทำให้เลือดมีภาวะเป็นกรด ทำให้ร่างกายไปดึงแร่ธาตุต่างๆ มาใช้งาน รวมถึงแคลเซียมด้วย จึงส่งผลให้เกิดปัญหากระดูกเปราะหรือกระดูกพรุนได้

-ไมเกรน
เพราะการรับประทานอาหารหวาน หรือน้ำตาลมากๆ มีส่วนช่วยกระตุ้นให้เกิดอาการปวดหัวไมเกรนได้

- นอกจากนี้ยังทำให้เลือดข้นเหนียว เพราะหากร่างกายมีระดับน้ำตาลในเลือดสูง จะทำให้เลือดหนืดข้นมากขึ้น จึงส่งผลให้เลือดจะไหลเวียนนำไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ในร่างกายได้ช้า และทำให้ระบบการทำงานของอวัยวะผิดปกติ และรวมไปถึงฟันผุ, แก่ก่อนวัยอันควรอีกด้วย

ดังนั้นถ้าหากอยากมีสุขภาพดี ร่างกายแข็งแรง เริ่มต้นง่ายๆ เพียงลด ละ เลิก อาหารที่มีรสหวานจัด

ิตภัณฑ์เพื่อผู้ป่วยเบาหวาน
สนใจผลิตภัณฑ์/สอบถามอาการ
โทร 0918819965

น้ำตาลในเลือด สำคัญต่อร่างกายอย่างไร ❓น้ำตาลในเลือด หมายถึง น้ำตาลกลูโคสในกระแสเลือด ซึ่งได้จากการบริโภคอาหารและผ่านกระบ...
02/08/2023

น้ำตาลในเลือด สำคัญต่อร่างกายอย่างไร ❓

น้ำตาลในเลือด หมายถึง น้ำตาลกลูโคสในกระแสเลือด ซึ่งได้จากการบริโภคอาหารและผ่านกระบวนการย่อยกลายเป็นแหล่งพลังงานของร่างกาย โดยมีฮอร์โมนอินซูลินที่หลั่งจากตับอ่อน ทำหน้าที่ลำเลียงน้ำตาลกลูโคสเข้าสู่เซลล์ต่าง ๆ ของร่างกาย ทำให้น้ำตาลในเลือดอยู่ในระดับที่เหมาะสม เพราะหากสูงหรือต่ำเกินไปอาจมีความเสี่ยงต่อปัญหา สุขภาพได้ เช่น โรคเบาหวาน

ระดับน้ำตาลในเลือดของคนปกติ จะอยู่ระหว่าง 70-99 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร เมื่อตรวจเลือดหลังอดอาหารแล้ว 8 ชั่วโมง แต่ถ้าระดับน้ำตาลในเลือดอยู่ระหว่าง 100-125 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร หมายถึงมีความเสี่ยงเป็นโรคเบาหวาน และหากมีระดับน้ำตาลตั้งแต่ 126 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร ขึ้นไป หมายถึง เป็นโรคเบาหวาน

🔺 ภาวะน้ำตาลในเลือดสูง นอกจากมีสาเหตุมาจากโรคเบาหวานแล้ว อาจเกิดจากปัจจัยอื่น ๆ เช่น ความเครียด การรับประทานแป้งหรือน้ำตาลที่มากเกินไป การไม่ออกกำลังกาย ได้อีกด้วย อาการผิดปกติเมื่อน้ำตาลในเลือดสูง มีดังนี้
▪ ปวดศีรษะ
▪ คลื่นไส้ อาเจียน
▪ ตาพร่ามัว
▪ อ่อนเพลีย
▪ ลมหายใจมีกลิ่นเปรี้ยว
▪ ปวดท้อง

🔻 ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ คือภาวะที่ร่างกายมีระดับน้ำตาลในเลือดน้อยกว่า 70 มิลลิกรัม / เดซิลิตรมักทำให้เกิดอาการใจสั่นอ่อนเพลียซึ่งเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำนั้นมีโอกาสเกิดขึ้นสูงกับผู้ป่วยโรคเบาหวานที่ใช้ยาลดน้ำตาลหรือฉีดอินซูลิน

สาเหตุของภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ มักเกิดจากการกินอาหารน้อยไปหรือไม่ตรงเวลา กินยาลดระดับน้ำตาลในเลือดบางชนิดเกินขนาด หรือฉีดยาอินซูลินมากเกินไป การดื่มแอลกอฮอล์ขณะท้องว่าง รวมถึงอาจเกิดจากการออกกำลังกาย หรือทำงานมากกว่าปกติ ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำจะส่งผลต่อร่างกายและสมองดังนี้
▪ อาการทางร่างกาย ได้แก่ รู้สึกหิว มีเหงื่อออกมาก รู้สึกกังวล มือสั่น กระสับกระส่าย ใจสั่น หัวใจเต้นเร็ว ความดันโลหิตซิสโตลิคสูง ชารอบปากหรือส่วนอื่นๆ
▪ อาการทางสมอง ได้แก่ อุณหภูมิร่างกายต่ำ อ่อนเพลีย มึนงง ปวดศีรษะ ปฏิกิริยาตอบสนองช้าลง สับสน ไม่มีสมาธิ ตาพร่ามัว พูดช้า ง่วงซึม หลงลืม พฤติกรรมเปลี่ยนแปลง อัมพฤกษ์ครึ่งซีก คล้ายโรคหลอดเลือดสมอง หมดสติ และชัก

ในกรณีผู้ป่วยเบาหวาน หากน้ำตาลในเลือดต่ำอย่างผิดปกติหรือเฉียบพลันอาจทำให้เป็นลมชักหรือหมดสติได้ จึงจำเป็นต้องตรวจระดับน้ำตาลในเลือดอยู่เสมอ เพื่อป้องกันระดับน้ำตาลที่เพิ่มหรือลดลงอย่างผิดปกติ ดังนั้นไม่ว่าบุคคลทั่วไปหรือผู้ป่วยเบาหวานก็ควรรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ไม่ควรสูงหรือต่ำเกินไป

ิตภัณฑ์เพื่อผู้ป่วยเบาหวาน
สนใจผลิตภัณฑ์/สอบถามอาการ
โทร 0918819965

คุมเบาหวานไม่อยู่ อาจทำไห้เสี่ยงเป็น โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคหัวใจและหลอดเลือด เป็นความผิดปกติทั้งที่บริเวณหัวใจและที่หล...
02/08/2023

คุมเบาหวานไม่อยู่ อาจทำไห้เสี่ยงเป็น โรคหัวใจและหลอดเลือด

โรคหัวใจและหลอดเลือด เป็นความผิดปกติทั้งที่บริเวณหัวใจและที่หลอดเลือดเป็นชื่อเรียกโดยทั่วไปของภาวะผิดปกติหลาย ๆ รูปแบบของหัวใจ รวมไปถึงโรคที่ส่งผลกระทบต่อหัวใจและระบบไหลเวียนโลหิต ดังนี้
▪ โรคหัวใจ
▪ โรคหลอดเลือดหัวใจ
▪ โรคหลอดเลือดสมอง
▪ โรคหัวใจขาดเลือด
▪ โรคความดันโลหิตสูง
▪ โรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด
▪ โรคหลอดเลือดแดงส่วนปลายตีบ
▪ หัวใจวาย

การจะเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดได้ ต้องใช้เวลาหลายปี เนื่องจากปริมาณโลหิตที่ไปเลี้ยงอวัยวะต่าง ๆ จะลดลง เพราะมีการสะสมไขมันในหลอดเลือดทั้งในหลอดเลือดหัวใจและหลอดเลือดแดงในส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย ซึ่งกระบวนการนี้เรียกโดยทั่วไปว่า การแข็งตัวของหลอดเลือด

โรคเบาหวานเป็นปัจจัยเสี่ยงมากที่สุดของการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด ระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงอยู่นาน ๆ จะทำ ให้หลอดเลือดทั้งขนาดเล็กและใหญ่อักเสบ เสียหาย หรือถูกทำลาย ทำให้ผู้ป่วยมีโอกาสสูงที่จะเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือดต่าง ๆ เพิ่มมากขึ้น

การควบคุมโรคเบาหวานไม่อยู่ หรือระดับน้ำตาลในเลือดยังคงสูงขึ้นเรื่อย ๆ และเป็นระยะเวลานาน ๆ จะส่งผลให้ผู้ป่วยโรคเบาหวานมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นถึง 2 เท่า อาจนำไปสู่ปัญหาภาวะแทรกซ้อนจากโรคเบาหวานต่าง ๆ รวมถึง โรคหัวใจและหลอดเลือด เช่น โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดหัวใจ หัวใจวาย ภาวะหัวใจล้มเหลว โรคหลอดเลือดในสมองตีบ ตัน หรือแตกซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้

ผู้ป่วยเบาหวานจึงควรควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ ด้วยการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และเข้ารับการตรวจกับคุณหมอเป็นประจำ เพื่อช่วยลดความเสี่ยงที่อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตราย

นอกจากนี้ยังส่งผลต่อสุขภาพดวงตา สายตาอาจพร่าวมัว เกิดแผลติดเชื้อที่แขน ขา ชนิดรักษาไม่หาย เพราะยาไม่สามารถผ่านหลอดเลือดไปฆ่าเชื้อได้ จนการติดเชื้อรุนแรงขึ้น เชื้อโรคกระจายเข้าสู่ภายในร่างกาย จนเกิดเป็นภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด หรืออวัยวะภายในต่าง ๆ ทำให้ในที่สุด ต้องตัดแขนขาที่ติดเชื้อนั้นทิ้งเพื่อรักษาชีวิตของผู้ป่วยไว้

ผู้ป่วยเบาหวานจึงจำเป็นต้องมุ่งมั่นในการดูแลพฤติกรรมของตนเองและปรับเปลี่ยนแนวทางดำเนินชีวิตไปในทางที่ดีขึ้น ได้แก่
▪ หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่มีโทษต่อหัวใจและร่างกาย เช่น อาหารเค็ม อาหารมัน อาหารและเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง ควรเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์
▪ การออกกำลังกายเป็นประจำและควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน
▪ เลิกสูบบุหรี่ รวมทั้ง หลีกเลี่ยงบริเวณที่มีการสูบบุหรี่
▪ ตรวจสอบปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ ได้แก่ ความดันโลหิต ระดับคอเลสเตอรอลอย่างสม่ำเสมอ
▪ การลดความเครียดและควบคุมอารมณ์
▪ การรับประทานยาตามที่คุณหมอสั่ง
▪ การไปพบคุณหมอตามนัดเพื่อตรวจระดับน้ำตาลในเลือดและปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ ตามกำหนดอย่างสม่ำเสมอ

ิตภัณฑ์เพื่อผู้ป่วยเบาหวาน
สนใจผลิตภัณฑ์/สอบถามอาการ
โทร.0918819965

ขอบคุณข้อมูลจาก : Hello คุณหมอ

โรคตับอ่อนอักเสบ เกี่ยวข้องกับ โรคเบาหวานอย่างไรตับอ่อน มีหน้าที่สำคัญที่ช่วยร่างกายสร้างน้ำย่อยอาหารโดยเฉพาะไขมันและสร้...
02/08/2023

โรคตับอ่อนอักเสบ เกี่ยวข้องกับ โรคเบาหวานอย่างไร

ตับอ่อน มีหน้าที่สำคัญที่ช่วยร่างกายสร้างน้ำย่อยอาหารโดยเฉพาะไขมันและสร้างฮอร์โมนที่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด โดยทำหน้าที่ผลิตสารอินซูลินโดยมีความเชื่อมโยงระหว่างผู้ป่วยโรคเบาหวานและสาเหตุอื่นๆ ของตับอ่อน เช่น การป่วยโรคตับอ่อนอักเสบและโรคมะเร็งตับอ่อน ที่เสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวาน กล่าวคือ หากตับอ่อนแข็งแรงและทำหน้าที่ผลิตอินซูลินได้เป็นปกติก็จะมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวานน้อยลง และถ้าตับอ่อนผลิตสารอินซูลินได้น้อยหรือไม่ได้เลยน้ำตาลก็จะตกค้างอยู่ที่กระแสเลือดทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคเบาหวาน

โดยมีความเชื่อมโยงระหว่างผู้ป่วยโรคเบาหวานและสาเหตุอื่นๆ ของตับอ่อน เช่น ป่วยเป็นโรคตับอ่อนอักเสบและโรคมะเร็งตับอ่อน โดยโรคตับอ่อน 2 ประเภท ที่เสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวาน มีดังนี้

▪ ตับอ่อนอักเสบเรื้อรัง ผู้ที่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เหล้า หรือเบียร์ เป็นประจำจะมีความเสี่ยงที่จะมีอาการของโรคนี้สูง หรือเป็นผลข้างเคียงจากโรคพิษสุราเรื้อรัง หากปล่อยให้เกิดอาการของโรคตับอ่อนอักเสบเรื้อรังเป็นเวลานานเป็นปีและไม่สามารถรักษาได้ทันท่วงที จะทำให้เนื้อเยื่อและเซลล์ตับอ่อนได้ซึ่งจะส่งผลให้เกิดปัญหาในด้านการย่อยอาหาร และเป็นโรคเบาหวานได้ และถ้าหากเป็นเรื้อรังต่อไปมีโอกาสกลายเป็นโรคมะเร็งตับอ่อนได้

▪ โรคมะเร็งตับอ่อน เป็นประเภทของมะเร็งที่มีอัตราเสียชีวิตจากโรคสูงเป็นอันดับ 4 ของการเสียชีวิตจากโรคมะเร็งทั้งหมด โดยความผู้ที่มีความเสี่ยงเป็นโรคมะเร็งตับอ่อน ได้แก่ ผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป ผู้ที่สูบบุหรี่ ผู้ที่เป็นโรคตับอ่อนอักเสบเรื้อรัง และเกิดจากพันธุกรรม

และนอกจากตับอ่อนอักเสบจะก่อให้เกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ดังกล่าวแล้ว และก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่สำคัญต่อการเกิดโรคเบาหวานได้

เบาหวานจากตับอ่อนอักเสบเรื้อรัง จัดเป็นเบาหวานชนิดที่3 เบาหวานชนิดนี้ยากต่อการรักษา (แตกต่างจากเบาหวานชนิดที่ 1 และ 2) เนื่องจากตับอ่อนอักเสบเรื้อรัง จนทำให้ทั้งเบต้าและอัลฟาเซลล์เสียหน้าที่ กล่าวคือ

- เบต้าเซลล์ถูกทำลายจนเสียหน้าที่ ทำให้ไม่สามารถสร้างอินซูลินไปลดน้ำตาลในเลือด ต้องรักษาด้วยการฉีดอินซูลินลดน้ำตาลในเลือด

- อัลฟาเซลล์ของตับอ่อนยังเสียหน้าที่ ทำให้ไม่สามารถสร้างกลูคากอน ไปเพิ่มระดับน้ำตาลในเลือด เมื่อเกิดภาวะน้ำตาลต่ำ

ลักษณะสำคัญมีดังนี้

- น้ำตาลสูงคุมยาก ร่วมกับเกิดภาวะน้ำตาลต่ำบ่อย เรียก brittle diabetes.

- สูญเสียการย่อยอาหาร ทำให้ ถ่ายเหลว เกิดภาวะทุพโภชนาการ

- รับประทานอาหารไม่ปกติ เนื่องจากบางครั้งปวดท้องจากตับอ่อนอักเสบ

ิตภัณฑ์เพื่อผู้ป่วยเบาหวาน
สนใจผลิตภัณฑ์/สอบถามอาการ
โทร 0918819965

ที่อยู่

Bangkok
10120

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ อาร์พีคิว RPQ สมุนไพร ฟื้นฟูตับอ่อนผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

แชร์

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram