ศูนย์สุขภาพฟื้นฟูกระดูกและไขข้อ D BooNe 0984200029

ศูนย์สุขภาพฟื้นฟูกระดูกและไขข้อ D BooNe 0984200029 ผลิตภัณฑ์บำรุงกระดูกทับเส้นประสาท ข้อเข่าเสื่อม กล้ามเนื้อเส้นเอ็น เส้นประสาท ไหล่ติด ผั

ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพที่ดีของกระดูก ข้อ เข่า ขา แขน หลัง
ปลอดภัยมีโรคประจำตัวสามารถทานได้

สมองหญิง-สมองชายต่างกันตรงไหนมีน้องส่งข้อมูลที่อ่านจากนิตยสาร Mother & Care ฉบับที่ 55 มาให้อ่าน เป็นเรื่องของความแตกต่า...
09/05/2019

สมองหญิง-สมองชายต่างกันตรงไหน

มีน้องส่งข้อมูลที่อ่านจากนิตยสาร Mother & Care ฉบับที่ 55 มาให้อ่าน เป็นเรื่องของความแตกต่างระหว่างสมองเด็กผู้หญิงกับสมองเด็กผุ้ชายว่า มีความแตกต่างกันอย่างไร ผมเองก็เพิ่งรู้นี่แหละครับ จึงบอกต่อกัน เพราะเข้าใจว่า อีกหลายท่านน่าจะยังไม่ทราบ
ความก็มีอยู่ว่า

สมองเด็กผู้หญิง

- ระบบการเชื่่อมโยงของเซลล์สมองมีมากกว่าเด็กผู้ชาย
- การทำงานของสมองทั้ง 2 ซีกจะ้ดีมาก โดยเฉพาะหากสมองซีกซ้ายถูกทำลาย ก็ยังสามารถใช้สมองซีกขวาในการสื่อสารได้ แต่เด็กผู้ชายจะทำไม่ได้หรือทำได้แต่ก็ช้ากว่า

- มีความสามารถในการส่งข้อมูลระหว่างสมองซีกซ้ายและขวาได้ดีกว่าผู้ชาย

- มีความสามารถในการสร้างอารมณ์ความรู้สึก อารมณ์ และสร้างความผูกพันทางอารมณ์ได้ดีกว่าเด็กผู้ชาย

- มีการรับรู้ เข้าใจ การแสดงออกทางสีหน้าท่าทาง จดจำหน้าคนได้ดี รับรู้อารมณ์ที่แสดงออกทางเสียงได้ดีกว่าเด็กผู้ชาย (ไวต่อกลิ่น รส สัมผัส และเสียง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเสียงสูง)

- มีความสามารถในการอ่าน โดยเฉพาะข้อความที่สัมพันธ์กับความรู้สึกกับอารมณ์

- การรับรู้สายตา โดยเฉพาะเรื่องรายละเอียดต่าง ๆ คล่องแคล่วในการใช้กล้ามเนื้อตาและมือ

- มีความสามารถในการรับข้อมูลและนำมาคิดได้อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะงานที่ให้เลือกตอบโดยอาศัยความเร็ว เช่น ข้อสอบแบบมีตัวเลือก

- สนใจในเรื่องความรับผิดชอบทางสังคม ความรู้สึกเข้าใจคนอื่น

สมองเด็กผู้ชาย

- จำนวนเซลล์สมองมากกว่าเด็กผู้หญิงประมาณ 4% และมีเนื้อสมองมากกว่าเด็กผู้หญิงประมาณ 1 ขีด
- ใช้สมองซีกซ้ายได้ดีกว่า

- มีทักษะด้านมิติสัมพันธ์ที่ดี รับรู้เกี่ยวกับมิติต่างๆความลึก ทิศทาง ระยะห่าง การรับรู้วัตถุสามมิติซ่อนอยู่ในภาพสองมิติได้

- เด็กผู้ชายมีความผูกพันกับคนอื่นน้อยกว่าเด็กผู้หญิง
- เคลื่อนไหวกล้ามเนื้อมัดใหญ่ได้ดีกว่า

- สามารถคิดซับซ้อนได้ เช่น แผนที่ ปริศนา
- มีความสามารถในการวิจัยและค้นคว้า ทดลอง สังเกตสิ่งต่าง ๆ ได้ดี

- มีความสามารถในการใช้ภาษาที่จะสื่อ อธิบายเหตุผล หรือความคิดทางคณิตศาสตร์
- มีความคิดอิสระในสถานการณ์ต่าง ๆ มากกว่า

หลักการพัฒนาสมอง

สิ่งสำคัญคือ การกระตุ้น ฝึกฝนทักษะจากทุกส่วนประสานกัน เพื่อให้เขาค่อย ๆ เรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ช่วงลำดับการเติบโตของสมองในแต่ละวัย เป็นดังนี้

4 เดือน: สมองตอบสนองต่อเสียง เริ่มรับรู้ภาษาจากการฟังเสียงสูงต่ำ และปรับเข้ากับอารมณ์ที่แตกต่างจากน้ำเสียง การเล่นละคร หุ่นมือ ใช้เสียงสูงต่ำเล่าเรื่อง จะช่วยกระตุ้นการเชื่อมโยงของเซลล์สมองได้ดี

8-9 เดือน: สามารถจดจำบางสิ่งบางอย่างได้จากประสบการณ์ เช่น ทำอย่างไรให้ลูกบอลกลิ้ง การเล่นกับลูกจะเป็นการช่วยสร้างประสบการณ์สนุก ๆ ให้เขา

10 เดือน: จำแนกและสร้างเสียงเฉพาะของตนเองได้ เช่น ดาดา การเปิดโอกาสให้ลูกมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น เห็นอะไรใหม่ๆ จะช่วยกระตุ้นเซลล์สมองให้เชื่อมโยงกันมากขึ้น

12 เดือน: สมองสามารถจดจำ เรียกความจำบางส่วนที่เก็บไว้ออกมาใช้ เกิดการเชื่อมโยงที่ดีขึ้น ทักษะต่างๆพัฒนามากขึ้น เช่นกล้ามเนื้อมัดเล็ก-มัดใหญ่ การเปล่งเสียงที่นำไปสู่การพูด

ท่าบริหารบรรเทาปวด...อาการรองช้ำ1. นอนคว่ำ นอนและขาเหยียดตรง ยกเท้าสูงประมาณ 8 นิ้ว ค้าง 5 วินาทีแล้วพัก ก่อนทำอีกข้าง ท...
09/05/2019

ท่าบริหารบรรเทาปวด...อาการรองช้ำ

1. นอนคว่ำ นอนและขาเหยียดตรง ยกเท้าสูงประมาณ 8 นิ้ว ค้าง 5 วินาทีแล้วพัก ก่อนทำอีกข้าง ทำซ้ำ 15 เซ็ท
2. นอนตะแคงแนวตัวตรง ยกขาขึ้นจากพื้น 8-10 นิ้ว ค้างไว้ 5 วินาที แล้วพัก ก่อนทำอีกข้าง ทำซ้ำ 15 เซ็ท
3. กลิ้งเท้าบนอุปกรณ์ที่หมุนได้ ลงน้ำหนักและทำประมาณ 3-5 นาที/ข้าง
4. ใช้ผ้าเช็ดตัวยืดเหยียดปลายเท้า ดึงผ้าเข้าหาตัว ค้าง 15-30 วินาที ทำซ้ำ 3 ครั้ง
5. ยืนดันกำแพง ให้เท้าที่มีปัญหาอยู่ด้านหลัง ดันค้างไว้สัก 15-30 วินาที ทำซ้ำ 3 รอบ

การบำบัดที่ดีต้องบำบัดจากภายใน ต้องทำด้วยตนเอง อยากหายต้องมีวินัย ทำยิ่งบ่อย ยิ่งดี โอกาสหายรอคุณอยู่

อย่าลืม!! ไลค์เพจ เพื่อไม่พลาดข้อมูลดีๆนะคะ

โรครองช้ำ คืออะไร?

โรครองช้ำ หรือโรคพังผืดส้นเท้าอักเสบ คือ การมีจุดปวดบนเท้า ส้นเท้า โดยเกิดจากการอักเสบหรือฉีกขาดของผังผืดฝ่าเท้าที่สัมพันธ์กับการเดินลงน้ำหนักที่เท้า
อย่าลืมกดไลท์เพจ...เพื่อไม่พลาดข้อมูลดีๆนะคะ

อาการของโรครองช้ำ

ที่พบบ่อยคือจะมีอาการปวดส้นเท้า หรือส่วนโค้งใกล้ส้นเท้า โดยเจ็บคล้ายๆกับมีของแหลมมาทิ่มและกล้ามเนื้อน่องจะมีอาการเกร็ง ซึ่งอาการเจ็บโรครองช้ำนี้จะเป็นมากช่วงเช้า หลังตื่นนอน
เมื่อก้าวเท้าก้าวแรก และจะมีอาการดีขึ้นเมื่อมีการบริหารฝ่าเท้า แต่บางครั้งอาจจะปวดทั้งวัน หากยืนนานๆหรือเดินนานๆ

ผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงกับ โรครองช้ำ ได้แก่

- ผู้ที่มีน้ำหนักตัวมากเกิน หรือเป็นโรคอ้วน
- ผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน
- นักกีฬาที่ต้องใช้เท้ามาก ๆ เช่น นักวิ่ง

- ผู้ที่มีฝ่าเท้าแบน หรือมีส่วนโค้งของเท้ามาก
- ผู้ที่ใส่รองเท้าไม่พอดีกับรองเท้า
- ผู้สูงอายุ โดยเฉพาะเพศหญิง
- ผู้หญิงที่ใส่รองเท้าส้นสูงเป็นประจำ

วิธีดูแลรักษา โรครองช้ำ

เนื่องด้วย โรครองช้ำ ไม่ได้เป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต แต่หากเป็นแล้วก็สร้างความทรมานจากอาการปวดเท้าได้เช่นกัน ซึ่งแน่นอนว่าย่อมกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน

การดูแลรักษาด้วยตัวเอง และแนวทางรักษาโดยแพทย์

การดูแลรักษาด้วยตัวเอง

1. หยุดกิจกรรมที่ต้องใช้เท้านาน ๆ หากเป็นการเล่นกีฬา ออกกำลังกาย ควรเลือกกีฬาที่ไม่ต้องลงน้ำหนักที่เท้ามากนัก เช่น การว่ายน้ำ ขี่จักรยาน เดินเร็ว วิ่งเหยาะ ๆ เป็นต้น และควรหลีกเลี่ยงการเล่นกีฬาบนพื้นแข็ง
2. สวมรองเท้าส้นนิ่มขณะออกกำลังกาย โดยอาจใช้แผ่นรองเสริมอุ้งเท้า เพื่อลดแรงกระแทกที่ฝ่าเท้าที่กระทำกับพื้นรองเท้า และช่วยกระจายน้ำหนักขณะเดิน
3. ออกกำลังกายด้วยการยืดกล้ามเนื้อน่อง และยืดพังผืดใต้ฝ่าเท้าบ่อย ๆ

4. ไม่ควรเดินเท้าเปล่า ควรใส่รองเท้าที่มีพื้นนุ่มส้นสูงกว่าส่วนหน้าเล็กน้อย อย่าเกิน 1-2 นิ้ว และไม่ควรใส่รองเท้าที่แบนราบเสมอกัน
5. ควบคุมน้ำหนักตัว ไม่ให้มากเกินไป เพราะหากน้ำหนักมาก เส้นเอ็นฝ่าเท้าก็ต้องรับน้ำหนักมาก ทำให้รักษาหายช้า
6. ประคบด้วยความร้อน หรือความเย็น เพื่อรักษาการอักเสบของเอ็น โดยอาจใช้ยานวด นวดฝ่าเท้า หรือใช้ผ้าพันที่ฝ่าเท้าและส้นเท้า

แนวทางการรักษาโดยแพทย์

1.รับประทานยา หากวิธีบำบัดเท้าข้างต้นไม่ได้ผล แพทย์อาจจะให้รับประทานยา เช่น ยาคลายกล้ามเนื้อ ยาแก้ปวด
2. ฉีดยาสเตียรอยด์เฉพาะที่ บริเวณส้นเท้าจุดที่ปวด แต่ไม่ควรฉีดเกิน 2 ครั้งใน 1 เดือน เพราะอาจทำให้เส้นเอ็นฝ่าเท้าเปื่อยและขาดได้
3.ทำกายภาพบำบัด โดยใช้ความร้อนลึก (อัลตร้าซาวด์) ดัดยืดเส้นเอ็นฝ่าเท้า ใช้ไม้เท้าช่วยเดิน
4.ใส่เฝือกชั่วคราวให้ข้อเท้ากระดกขึ้นในตอนกลางคืน หรือถ้าเป็นมากอาจต้องใส่เฝือกตลอดทั้งวัน

5.ผ่าตัดเลาะพังผืด จะทำต่อเมื่อรักษาวิธีอื่นไม่ได้ผล แต่แพทย์ไม่ค่อยแนะนำวิธีนี้ เพราะมีโอกาสทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนได้
6. ใช้แผ่นรองเท้าที่รองรับแรงกดทับ แผ่นรองแก้รองช้ำ ช่วยพยุงอุ้งเท้าเวลาเดินหรือวิ่ง ส่วนผู้ที่มีโครงสร้างเท้าเท้าผิดรูปควรปรึกษาแพทย์ เพื่อปรึกษาปัญหาและตัดแผ่นรองเท้าที่มีขนาดเหมาะสม

Cr : Kapook

โอ๊ย! เส้นยึด เส้นตึง คำพูดที่คุ้นหู และอาจเคยพูดกันด้วยซ้ำ จริงมั้ย ?พอปวด มีอาการขึ้นมาทีไร เป็นต้องรีบให้หมอนวดคลายเส...
08/05/2019

โอ๊ย! เส้นยึด เส้นตึง
คำพูดที่คุ้นหู และอาจเคยพูดกันด้วยซ้ำ จริงมั้ย ?

พอปวด มีอาการขึ้นมาทีไร เป็นต้องรีบให้หมอนวดคลายเส้นทุกที แล้วเวลาที่เราพูด
ถึงเส้นยึดนั้นเข้าใจกันหรือไม่ว่าอาการเป็นอย่างไร เส้นอะไรที่ยึด แล้วกับการที่ต้องไปนวดกันทุกสัปดาห์นั้น
ช่วยได้จริงหรือ

“เส้น” หมายถึงเส้นเอ็นที่ยึดระหว่างข้อกับกล้ามเนื้อ ซึ่งมีอยู่ทุกส่วนของร่างกาย แต่เส้นที่ยึดกันส่วนใหญ่ มักเป็น

เส้นเอ็นระหว่างสะโพกที่เกาะจากสะโพกไปข้อเข่า เส้นเอ็นข้างข้อเข่า เส้นเอ็นต้นคอ เส้นหลัง และส่วนมาก 80%
เส้นที่สามารถตึงตัวได้บ่อย คือ เส้นเอ็นบ่า หรือที่มักเรียกกันว่า สะบักจม

“ยึด” คือ อาการที่เส้นเอ็นเกิดการตึงตัว เกิดการหดเกร็งของกล้ามเนื้อ ทำให้กล้ามเนื้อเกิดการหดรั้ง ขาดความยืดหยุ่น
หากทิ้งให้กล้ามเนื้อหดตัวนานๆ ไม่คลาย จะเป็นก้อนแข็งตึง กดแล้วเจ็บ พบมากในกลุ่มคนทำงานออฟฟิศ และกลุ่มผู้
สูงอายุ ที่ไม่ได้ออกกำลังกาย สาเหตุเกิดจากการใช้ร่างกายซ้ำๆ อยู่ในท่าเดิมนานๆ รวมไปถึงการใช้อิริยาบถที่ผิดท่าผิดทาง

การนวดเป็นการบรรเทา หรือการรักษาชั่วคราว เพื่อให้กล้ามเนื้อคลายตัว แต่ถ้านวดแล้วไม่ปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ ชีวิตก็กลับไปตึงเหมือนเดิม ถ้าคุณยังนั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ วันละ 8 ชั่วโมง สัปดาห์ละ 7 วัน เมื่อมีอาการปวด พอถึงวันหยุดก็วิ่งไปหาหมอนวดกันสักครั้ง เช้าวันจันทร์ก็กลับไปนั่งกันใหม่
ชีวิตวนไปอยู่แบบนี้ ไม่มีทางหาย

การรักษาโดยการฉีดยาเป็นเหมือนการขึ้นทางด่วน เพราะฉีดแล้วอาการจะดีขึ้นทันที
แต่หากขึ้นทางด่วนแล้วกลับไปใช้ชีวิตแบบเดิม อาการก็กลับมาเป็นใหม่ ต้องขับวนไปอยู่แบบนี้ไม่หายขาดสักทีขอบอก

# # ยินดีให้คำแนะนำ ปรึกษา ฟรี..!! โทรเลย!!
💢สนใจติดต่อคุณเมย์
📲โทร 098-420-0029
💢คลิกลิ้งค์ Line@ เพิ่มเพื่อน เพื่อติดตามข่าวสาร
https://line.me/R/ti/p/%40bho8711n
https://www.facebook.com/dboonebymome/

ปวดคอเรื้อรัง เสี่ยงกระดูกคอเสื่อมทับเส้นประสาทอาการเสื่อมของกระดูกบริเวณคอนี้ จะเริ่มจากหมอนรองกระดูกก่อน แล้วค่อยๆ ลุก...
08/05/2019

ปวดคอเรื้อรัง เสี่ยงกระดูกคอเสื่อมทับเส้นประสาท

อาการเสื่อมของกระดูกบริเวณคอนี้ จะเริ่มจากหมอนรองกระดูกก่อน แล้วค่อยๆ ลุกลามไปยังบริเวณข้อต่อของกระดูก

และเมื่อข้อต่อเหล่านี้เกิดการหลวมก็จะทำให้เรารู้สึกปวดคอหรือเมื่อยคอแบบเรื้อรังนั่นเอง ซึ่งด้วยกลไกธรรมชาติของ

ร่างกายเราจะเกิดการสร้างกระดูกขึ้นมาทดแทนทำให้อาการปวดคอบรรเทาลง แต่ทว่ากระดูกที่งอกเพิ่มมาใหม่นี้จะเกิด

ใกล้กับบริเวณเส้นประสาท นั่นจึงเป็นที่มาของโรคกระดูกคอเสื่อมทับเส้นประสาทนั่นเองค่ะ

ปัจจัยเสี่ยงที่ก่อให้เกิดภาวะกระดูกคอเสื่อมทับเส้นประสาท

– ผู้ที่ดื่มเหล้า หรือสูบบุหรี่

– ผู้ที่ต้องก้มเขียนหนังสือนานๆ หรือนั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ทั้งวัน

– ผู้ที่นอนหนุนหมอนสูงมากๆ

– อุบัติเหตุทางรถยนต์ หรือมอเตอร์ไซค์ ที่ถูกแรงเหวี่ยงแรงๆ บริเวณลำคอ

– การเล่นกีฬาอย่างฟุตบอล ที่ต้องใช้ศีรษะโหม่งและรองรับน้ำหนักตัวขณะวิ่ง

อาการของภาวะกระดูกคอเสื่อมทับเส้นประสาท

– มักปวดคอแบบเรื้อรังไม่หายขาด

– ปวดคอแล้วลามไปที่แขน

– แขน-ขาเริ่มอ่อนแรง เดินไม่ตรงทาง

– ปวดไหล่แล้วลามไปยังข้อศอก

การป้องกันภาวะกระดูกคอเสื่อมทับเส้นประสาท

– ไม่ดื่มเหล้า หรือสูบบุหรี่

– เปลี่ยนท่าบ่อยๆ ยือดเส้นยืดสายบ้าง

– นั่งเก้าอี้แบบที่สามารถหนุนคอได้

– ไม่นอนหนุนหมอนที่สูงมากเกินไป

– ออกกำลังกายบริเวณคอ เพื่อให้กล้ามเนื้อบริเวณนี้ได้ยืดหยุ่นและแข็งแรง

โดยหากเกิดภาวะกระดูกคอเสื่อมทับเส้นประสาทขึ้น ให้รับประทานยาพาราเซตามอลบรรเทาอาการปวด และนอนนั่ง

ท่าราบกับพื้น แล้วใช้กระเป๋าน้ำร้อนมาวางประคบบริเวณคอไว้สัก 15 นาที แต่หากปวดมากให้ใช้ปลอกคอช่วยพยุง

คอไว้ ซึ่งหากไม่ดีขึ้นให้รีบไปพบคุณหมอเพื่อทำการรักษา ไม่ควรปล่อยทิ้งไว้นานๆ นะคะ

# # ยินดีให้คำแนะนำ ปรึกษา ฟรี..!! โทรเลย!!
💢สนใจติดต่อคุณเมย์
📲โทร 098-420-0029
💢คลิกลิ้งค์ Line@ เพิ่มเพื่อน เพื่อติดตามข่าวสาร
https://line.me/R/ti/p/%40bho8711n
https://www.facebook.com/dboonebymome/

ยกแขนไม่ขึ้น ปวดร้าวบ่าไหล่บางครั้งมีชาลงปลายมือเอ๊ะ เราเป็นอะไร ?? หลายคนมักจะบ่นกันแบบนี้ใช่ไหมเวลานั่งทำงานนานๆ อาการ...
07/05/2019

ยกแขนไม่ขึ้น ปวดร้าวบ่าไหล่บางครั้งมีชาลงปลายมือ
เอ๊ะ เราเป็นอะไร ?? หลายคนมักจะบ่นกันแบบนี้ใช่ไหม
เวลานั่งทำงานนานๆ

อาการปวดคอ บ่า ไหล่ ปวดสบักจม ปวดจนมึนขึ้นหัว ปวดขมับกกหู แขนก็ยกไม่ขึ้น กล้ามเนื้อ่อนแรง ทรมานมาก อ่านอาการนี้ดูนะค่ะ กดแชร์...ได้เลยค่ะ

คนหนุ่มสาววัยทำงานทุกวันนี้มักจะประสบปัญหาป่วยเป็นโรคออฟฟิศซินโดรมกันมากขึ้น จึงทำให้ไปบั่นทอนสุขภาพจิตและสุขภาพร่างกาย

สาเหตุของการเกิดโรคออฟฟิศซินโดรมก็จะมาจากสภาพสิ่งแวดล้อมภายในสถานที่ทำงานและพฤติกรรมการทำงานของแต่ละคนนั่นเอง สำหรับอาการของ โรคออฟฟิศซินโดรม นั้นจะมีอะไรบ้าง และจะต้องมีวิธีบำบัดรักษาได้อย่างไร เรามาดูกันเลยค่ะ

1. การปวดตึงที่คอ บ่า และไหล่

สำหรับหนุ่มสาวที่ต้องนั่งทำงานอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ จึงมักจะทำให้เกิดอาการ ปวด ตึง บริเวณต้นคอ บ่าและหัวไหล่ บางรายอาจจะมีอาการเกร็งอย่างรุนแรงจนบางครั้งอาจถึงขั้นที่จะหันคอ ก้มหรือว่าเงยไม่ได้ก็มี
ส่วนบางรายที่อาการเบาหน่อยก็จะเพียงแค่ปวดคอ บ่า ไหล่ และบริเวณสะบักหลัง หากใครที่มีอาการอย่างหนึ่งอย่างใดนี้ ควรต้องรีบไปทำการบำบัดด้วยการไปนวดคลายกล้ามเนื้อโดยด่วน หากขืนปล่อยทิ้งไว้นานๆ อาการก็จะยิ่งเป็นหนักขึ้นแล้วการบำบัดรักษาก็ยากขึ้นไปอีก สำหรับใครที่ลองไปนวดดูแล้วยังไม่หายควรจะให้ไปปรึกษาแพทย์เฉพาะทางจะดีที่สุด

2. อาการยกแขนไม่ขึ้น

อาการนี้ก็จะเป็นสืบเนื่องมาจากข้อแรก ซึ่งจะมีอาการปวดตึงกล้ามเนื้อตั้งแต่ต้นคอ บ่า ไปจนถึงไหล่ และร้าวลงไปที่แขน จนเป็นเหตุให้ยกแขนไม่ขึ้น เนื่องจากว่ามีพังผืดมาเกาะที่บริเวณสะบักและหัวไหล่นั่นเอง
ในบางรายอาจจะมีอาการชาลงไปที่มือและนิ้วด้วย หากใครที่พบว่าตัวเองมีอาการแบบนี้ ควรไปบำบัดด้วยการให้แพทย์แผนไทยกดจุดเพื่อทำการสลายพังผืดหรือประคบร้อนเพื่อให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงส่วนที่เป็นพังผืดแข็งตึงให้อ่อนตัวลง และจะช่วยคลายความเจ็บปวดลงไปบ้าง อาการก็จะค่อยๆ ดีขึ้น

3. อาการปวดหลัง

อาการปวดหลังนี่ก็เป็นอีกหนึ่งอาการที่พบได้บ่อยของโรคออฟฟิศซินโดม ซึ่งจะเกิดจากการที่เรานั่งทำงานติดต่อกันเป็นเวลานานๆ หรืองานที่ต้องยืนเป็นเวลานานๆ โดยเฉพาะสาวๆ ที่ชอบใส่รองเท้าส้นสูงทำงานตลอดทั้งวันด้วยแล้ว ยิ่งมักเกิดอาการปวดหลังได้ง่าย แล้วยังการยกของหนักเป็นประจำหรือการออกกำลังกายหักโหมเกินไปก็เป็นสาเหตุให้เกิดอาการปวดหลังได้เช่นกัน
อาจทำให้เกิดอาการเคล็ด ขัด ยอก หรือปวด ตึงกล้ามเนื้อบริเวณหลัง จนบางรายอาจไม่สามารถเอี้ยวหรือบิดตัวได้เลยทีเดียว เมื่อมีอาการแบบนี้ควรรีบไปปรึกษาแพทย์แผนไทยหรือเฉพาะทางเพื่อทำการบำบัดแก้ไขอาการเหล่านี้ให้หายไป

4.อาการปวดและตึงที่ขา

อาการเหล่านี้เกิดจากการที่เราทำกิจกรรม นั่ง เดิน หรือยืนนานๆ จนทำให้เกิดอาการปวดตึงกล้ามเนื้อและเส้นเอ็นทั่วทั้งขา บางรายอาจจะปวดร้าวไปลงที่เข่าและข้อเท้าก็ได้ ซึ่งอาการเหล่านี้จะเกิดจากการใช้งานของขาอย่างหนักหน่วงทุกวัน จนทำให้เกิดอาการเมื่อยล้าสะสม ซึ่งถ้าปล่อยทิ้งไว้นานๆ โดยไม่ได้รับการบำบัดแก้ไข
อาจทำให้เกิดอาการปวดร้าวและอาการชาลงไปที่บริเวณเท้าและปลายนิ้วเท้าได้ หากเกิดอาการเช่นนี้ถึงแม้จะมีอาการเพียงเล็กน้อยก็ควรรีบทำการบำบัดรักษาโดยด่วน

5.อาการปวดศีรษะ

ความเครียดเป็นเรื่องที่จะเกิดขึ้นได้ประจำในกลุ่มคนทำงานออฟฟิศ ซึ่งการเกิดความเครียดสะสมโดยไม่รู้ตัวนี้ไปเรื่อยๆ ทุกวัน จนอาจทำให้เกิดอาการปวดศีรษะได้ บางรายอาจเกิดจากการทำงานหนักเกินไป หรือต้องเดินทางไกลอยู่ตลอดเวลา

เมื่อเกิดอาการปวดศีรษะขึ้นมา คนส่วนใหญ่จะแก้ไขด้วยการกินยาแก้ปวด บางรายอาจกินติดต่อกันเป็นเวลานาน ซึ่งอาการปวดศีรษะก็จะหายไปได้เพียงชั่วคราว แต่อาจกลับมาทวีความรุนแรงขึ้นไปอีก ดังนั้น หากคุณมีอาการปวดศีรษะบ่อยๆ

# # ยินดีให้คำแนะนำ ปรึกษา ฟรี..!! โทรเลย!!
💢สนใจติดต่อคุณเมย์
📲โทร 098-420-0029
💢คลิกลิ้งค์ Line@ เพิ่มเพื่อน เพื่อติดตามข่าวสาร
https://line.me/R/ti/p/%40bho8711n
https://www.facebook.com/dboonebymome/

โรคเกาท์โรคเกาต์ เป็นโรคข้ออักเสบชนิดหนึ่ง เป็นภาวะที่มีกรดยูริกในเลือดสูง และมีการตกตะกอนของกรดยูริกในข้อ และ อวัยวะต่า...
07/05/2019

โรคเกาท์

โรคเกาต์ เป็นโรคข้ออักเสบชนิดหนึ่ง เป็นภาวะที่มีกรดยูริกในเลือดสูง และมีการตกตะกอนของกรดยูริกในข้อ และ อวัยวะต่าง ๆ
ผู้ชายมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคเกาต์มากกว่าผู้หญิง 20 เท่า และมักจะพบในผู้ชายอายุมากกว่า 40 ปี ส่วนในผู้หญิงจะพบได้บ่อยเมื่ออายุมากกว่า 50 ปี หรือ ช่วงวัยหมดประจำเดือน

โรคเกาต์เป็นโรคเรื้อรัง แต่ก็สามารถรักษาให้หายขาดได้หรือควบคุมอาการได้ ... ถ้ารักษาตั้งแต่เริ่มเป็น หลีกเลี่ยงสาเหตุ
นำที่กระตุ้นให้เกิดการอักเสบ และรับประทานยาติดต่อกันอย่างสม่ำเสมอ

อาการ และอาการแสดง …

• มีการอักเสบ ของ หลังเท้า ข้อโคนนิ้วหัวแม่เท้า ข้อเท้า ข้อเข่า ข้อมือ หรือ ข้ออื่น

• เกิดการอักเสบฉับพลัน โดยข้อที่อักเสบจะ บวม แดง ร้อน และ ปวดมากชัดเจน หลังจากได้รับการกระตุ้นจากสาเหตุต่าง ๆ

ข้อที่อักเสบจะบวมขึ้นอย่างรวดเร็วภายในเวลาเพียง 2 - 3 ชั่วโมง และข้อมักจะอักเสบเต็มที่ภายใน 24 ช.ม ผิวหนังในบริเวณข้อที่มีการอักเสบจะมีลักษณะแห้ง และบวมแดงเป็นมัน บางคนอาจจะมีไข้ ครั่นเนื้อครั่นตัว อาการอาจค่อย ๆ ทุเลาไปได้เอง จนหายสนิท ระหว่างที่ไม่มีอาการ จะไม่มีความผิดปกติใด ๆ ให้เห็น

• ระยะแรกจะมีการอักเสบครั้งละ 1-2 วัน เป็นข้อเดียว ปีละ 1-2 ครั้ง (ร้อยละ 60 จะมีอาการอีกภายใน 1 ปี) ถ้าไม่ได้รับการรักษา การอักเสบจะเป็นถี่ขึ้น จำนวนวันที่อักเสบนานขึ้น เป็นหลายข้อพร้อมกัน และกลายเป็นข้ออักเสบเรื้อรัง มีก้อนผลึกกรดยูริก ทำให้ข้อผิดรูป และ ข้อเสียอย่างถาวรได้

• ผู้ป่วยจะมีโอกาสเกิด นิ่วในไตได้ประมาณร้อยละ 20 และ มีโอกาสเกิด ไตวายได้ประมาณร้อยละ 10

• ในผู้ที่เป็นมานานก็อาจมี ก้อน ซึ่งเกิดจาก การตกผลึกของกรดยูริกใต้ผิวหนัง ในตำแหน่งต่าง ๆ เช่น ข้อศอก ข้อเท้า ใบหู ซึ่งถ้าก้อนใหญ่ก็อาจจะแตก และมีสารคล้ายชอล์กสีขาวออกมา แต่ถ้าก้อนไม่แตกเอง ก็ไม่ควรไปผ่า

• ผู้ที่มีลักษณะต่อไปนี้แสดงว่าเป็นโรคเกาต์แบบรุนแรง เช่น ปริมาณกรดยูริกในเลือดสูง มีก้อนผลึกกรดยูริก เริ่มเป็นตั้งแต่อายุน้อย มีอาการไตอักเสบ หรือ มีนิ่วในไต เป็นต้น

รู้ได้อย่างไรว่าเป็นโรคเกาต์

• ประวัติความเจ็บป่วย อาการและอาการแสดงของการอักเสบ โดยเฉพาะถ้าอาการดีขึ้นจาก ยาโคชิซีน

• เจาะน้ำในข้อเพื่อตรวจผลึกของกรดยูริก

• ตรวจกรดยูริกในเลือด ปกติผู้ชายน้อยกว่า 7 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ผู้หญิงน้อยกว่า 6 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์

• เอกซเรย์กระดูกหรือข้อ ในระยะแรกจะปกติ แต่ในรายที่เป็นมาก เป็นมานาน จึงจะพบความผิดปกติ

การวินิจฉัยโรคเกาต์โดยอาศัย ประวัติ และลักษณะอาการแสดง ไม่ได้อาศัยการเจาะตรวจยูริกในเลือด

ผู้ป่วยไม่จำเป็นต้องเจาะเลือดทุกคน เพราะถึงแม้ว่าเจาะเลือดแล้วกรดยูริกสูงแต่ไม่มีอาการ ก็ไม่ได้เป็นโรคเกาต์ แต่ ถ้ามีประวัติ และอาการของโรคเกาต์ ถึงแม้ว่ากรดยูริกในเลือดไม่สูง ก็จะรักษาแบบโรคเกาต์

มีผลการวิจัย พบว่า

- ร้อยละ 30 ของผู้ป่วยที่มีข้ออักเสบเฉียบพลันแบบโรคเกาต์ มีระดับกรดยูริกในเลือดอยู่ในระดับปกติ
- ร้อยละ 20 ของคนปกติ (ไม่มีข้ออักเสบ) มีระดับกรดยูริกสูงกว่าค่ามาตรฐาน

แพทย์จะเจาะเลือด เมื่อจะให้ยาลดการสร้างกรดยูริกหรือยาเพิ่มการขับกรดยูริก เพื่อดูว่าตอบสนองต่อยาดีหรือไม่ หรือ เพื่อดูว่าจะหยุดการรักษาได้หรือยัง (จะหยุดยา เมื่อระดับกรดยูริกในเลือด ต่ำกว่า 5 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์)

สาเหตุที่กระตุ้นทำให้เกิดการอักเสบ …

- การบาดเจ็บ หรือ ข้อถูกกระทบกระแทก

- อาหารไม่ได้ทำให้เกิดโรคเกาต์ แต่จะกระตุ้นให้เกิดการอักเสบขึ้น จึงควรหลีกเลี่ยงอาหารเหล่านี้

• เครื่องในสัตว์ เนื้อสัตว์ปีก (ไก่ เป็ด ห่าน) น้ำต้มกระดูก กุ้งชีแฮ้ ปลาหมึก หอย ซุปก้อน น้ำซุปต่าง ๆ กะปิ ปลาไส้ตัน ปลาซาร์ดีนกระป๋อง ปลาอินทรีย์

• พืชบางชนิด เช่น ถั่วต่าง ๆ เห็ด กระถิน ชะอม ใบขี้เหล็ก สะตอ ผักโขม หน่อไม้ ผักคะน้า แตงกวา

• ของหมักดอง เหล้า เบียร์ หรือ เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์อื่น ๆ

- อากาศเย็น หรือ ช่วงที่อากาศเปลี่ยนแปลง เช่น ช่วงเช้า หรือ ก่อนฝนตก เป็นต้น

- ยา เช่น แอสไพริน ยารักษาวัณโรค ยาขับปัสสาวะ ( ซึ่งใช้เป็นยาที่ใช้ในผู้ป่วยความดันโลหิตสูง )

สำหรับอาหาร ... ต้องบอกไว้ก่อนว่า คนที่เป็นโรคเกาต์ ไม่ใช่ว่าต้องเลี่ยงอาหารทุกอย่างตามนั้น นะครับ

เพราะ ของแสลง ที่กระตุ้นให้เกิดอาการแต่ละคน ก็ไม่เหมือนกัน ... แล้ว ผู้ที่รักษาต่อเนื่อง คุมอาการได้ดี ก็สามารถทานอาหารได้ทุกอย่าง เพียงแต่ อาหารบางอย่าง อาจจำกัดปริมาณ ...

จึงต้องคอยสังเกตว่า อาหารอะไรที่เป็นของแสลง สำหรับ ตนเอง ..แล้วก็หลีกเลี่ยง ..

ปัจจุบัน นี้ มีแพทย์หลายท่านเชื่อว่า ไม่ต้องจำกัดอาหารแล้ว เนื่องจากปริมาณสารพิวรีน ( ที่จะกลายเป็นกรดยูริกในร่างกาย ) นั้น มีปริมาณน้อยมาก เมื่อเทียบกับ ปริมาณกรดยูริกที่ร่างกายสร้างขึ้นมาเอง ในแต่ละวัน ...

แต่เท่าที่ผมได้รักษาผู้ป่วยมา พบว่า มีผู้ป่วยจำนวนมาก ที่มีอาการอักเสบของข้อ เพิ่มขึ้นอย่างฉับพลันหลังจากที่ได้รับประทานอาหารบางอย่าง ( ของแสลง ) ..

ผมจึงยังแนะนำให้สังเกต และ หลีกเลี่ยง ของแสลง นั้น แต่ไม่ใช่ว่าให้หยุดหมดทุกอย่างนะครับ ... เพราถ้าหยุดหมดก็ไม่มีอะไรกินกัน ยิ่งในผู้สูงอายุก็ทานอะไรไม่ค่อยได้อยู่แล้ว ยิ่งถ้าเป็น ความดัน เบาหวาน หัวใจ ก็จะกลายเป็นการทรมานคนไข้ ขึ้นไปอีก ...

แนวทางการรักษา …

1.หลีกเลี่ยง สาเหตุที่กระตุ้นให้เกิดการอักเสบ ซึ่งแต่ละคน ก็จะไม่เหมือนกัน

2.ลดการใช้งานของข้อที่อักเสบ ถ้าในช่วงที่มีอาการปวด อาการอักเสบมาก อาจจำเป็นต้องใส่เฝือกชั่วคราว

3.รับประทานยา ซึ่งจะแบ่งเป็น

3.1 ยาบรรเทาอาการปวดลดการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์

ยากลุ่มนี้จะเป็นยาบรรเทาอาการปวด ลดการอักเสบเท่านั้นไม่ได้รักษาโรคโดยตรง จะใช้ในช่วงที่มีอาการปวด อาการอักเสบมาก เมื่ออาการอักเสบลดลงก็ไม่จำเป็นต้องกินยากลุ่มนี้อีก

ผลข้างเคียงที่สำคัญของยาทุกตัวในกลุ่มนี้คือ ปวดศีรษะ เวียนศีรษะ คลื่นไส้ แสบท้อง เป็นแผลในกระเพาะอาหาร อาจพบอาการบวมบริเวณหน้า แขน ขา ได้

3.2 ยารักษาโรคเกาต์โดยเฉพาะ มีชื่อเรียกว่า " โคชิซีน " ในช่วงที่มีอาการอักเสบมากก็อาจจะต้องรับประทานในปริมาณมาก ซึ่งอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงจากยามากขึ้นด้วย

ผลข้างเคียงที่พบได้บ่อย เช่น ท้องเสีย คลื่นไส้ อาเจียน ผิวหนังเป็นผื่นคัน ซึ่งถ้าเกิดมีอาการข้างเคียงมากก็จะต้องลดปริมาณยาลง หรือ หยุดยาไว้ก่อน

ยานี้ยังใช้เป็นยาป้องกันการอักเสบด้วย ซึ่งจะต้องรับประทานวันละ 1 - 2 เม็ด ติดต่อกันเป็นเวลานาน 1 - 2 ปี

3.3 ยาลดการสร้างกรดยูริก และ ยาเพิ่มการขับถ่ายกรดยูริก ซึ่งจะต้องรับประทานติดต่อกันเป็นเวลานานอย่างน้อย 1-3 ปี

ยากลุ่มนี้จะใช้เมื่ออาการอักเสบของข้อดีขึ้นแล้ว (ข้อไม่มีอาการบวมแดง ไม่มีอาการปวดข้อ ไม่มีไข้) เพราะ ถ้าใช้ยากลุ่มนี้ในขณะที่กำลังมีการอักเสบ จะทำให้การอักเสบเป็นมากขึ้น

ขณะที่ใช้ยากลุ่มนี้ จะต้องดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อป้องกันการเกิดนิ่วในไต

ยากลุ่มนี้มีผลข้างเคียงคือ ผื่นผิวหนัง คลื่นไส้อาเจียน ปวดท้อง ท้องเสีย วิงเวียนศีรษะ ในผู้ป่วยที่รับประทานยาไม่สม่ำเสมอ กิน ๆ หยุด ๆ จะเสี่ยงต่อการแพ้ยามากขึ้น จึงไม่แนะนำให้ใช้ในผู้ป่วยที่ไม่สามารถกินยาอย่างสม่ำเสมอได้

ไม่ควรใช้ยานี้ในเด็กอายุน้อยกว่า 2 ปี หญิงตั้งครรภ์หรือในช่วงให้นมบุตร ผู้ที่มีนิ่วในไตหรือนิ่วในถุงน้ำดี

4. ฉีดยาสเตียรอยด์เข้าข้อที่อักเสบ จะใช้ในกรณีที่มีการอักเสบอย่างรุนแรง และผู้ป่วยไม่สามารถกินยาได้ เท่านั้น เพราะ การฉีดยาเข้าข้อจะมีผลเสียค่อนข้างมาก เช่น มีโอกาสติดเชื้อในข้อ กระดูกอ่อนผิวข้อบางลง เกิดข้อเสื่อมเร็วขึ้น และกล้ามเนื้อที่อยู่รอบข้อจะลีบเล็กลง

ดังนั้นถ้าไม่จำเป็นจริง ๆ ก็ควรหลีกเลี่ยงการฉีดยาเข้าข้อ

ขอขอบคุณบทความที่ลงใน นิตยสาร Men'sHealth ฉบับ Sept 2012

โปรดทราบ!

"ถ้าชอบ ฝาก กดติดตามเพจ กันด้วยนะค่ะ
""ถ้าข้อมูลนี่เป็นประโยชน์และสามารถช่วยใครได้อีกหลายๆ คน
อย่าเก็บไว้อ่านคนเดียวละอย่าลืมส่งให้กับคุณที่คุณรักได้อ่านกันนะค่ะ""
กดแชร์หรือส่งต่อที่ คำว่า""แชร์"" ข้างล้างได้เลยค่ะ"

# # ปรึกษาเราได้เลย ... ฟรี !!
💢สนใจติดต่อคุณ เมย์
📲โทร 0984200029
💢คลิกลิ้งค์ Line@ เพิ่มเพื่อนติดตามข่าวสาร https:https://line.me/R/ti/p/%40bho8711n

https://web.facebook.com/dboonebymome

ปวดคอเรื้อรัง เสี่ยงกระดูกคอเสื่อมทับเส้นประสาทอาการเสื่อมของกระดูกบริเวณคอนี้ จะเริ่มจากหมอนรองกระดูกก่อน แล้วค่อยๆ ลุก...
06/05/2019

ปวดคอเรื้อรัง เสี่ยงกระดูกคอเสื่อมทับเส้นประสาท

อาการเสื่อมของกระดูกบริเวณคอนี้ จะเริ่มจากหมอนรองกระดูกก่อน แล้วค่อยๆ ลุกลามไปยังบริเวณข้อต่อของกระดูก

และเมื่อข้อต่อเหล่านี้เกิดการหลวมก็จะทำให้เรารู้สึกปวดคอหรือเมื่อยคอแบบเรื้อรังนั่นเอง ซึ่งด้วยกลไกธรรมชาติของ

ร่างกายเราจะเกิดการสร้างกระดูกขึ้นมาทดแทนทำให้อาการปวดคอบรรเทาลง แต่ทว่ากระดูกที่งอกเพิ่มมาใหม่นี้จะเกิด

ใกล้กับบริเวณเส้นประสาท นั่นจึงเป็นที่มาของโรคกระดูกคอเสื่อมทับเส้นประสาทนั่นเองค่ะ

ปัจจัยเสี่ยงที่ก่อให้เกิดภาวะกระดูกคอเสื่อมทับเส้นประสาท

– ผู้ที่ดื่มเหล้า หรือสูบบุหรี่

– ผู้ที่ต้องก้มเขียนหนังสือนานๆ หรือนั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ทั้งวัน

– ผู้ที่นอนหนุนหมอนสูงมากๆ

– อุบัติเหตุทางรถยนต์ หรือมอเตอร์ไซค์ ที่ถูกแรงเหวี่ยงแรงๆ บริเวณลำคอ

– การเล่นกีฬาอย่างฟุตบอล ที่ต้องใช้ศีรษะโหม่งและรองรับน้ำหนักตัวขณะวิ่ง

อาการของภาวะกระดูกคอเสื่อมทับเส้นประสาท

– มักปวดคอแบบเรื้อรังไม่หายขาด

– ปวดคอแล้วลามไปที่แขน

– แขน-ขาเริ่มอ่อนแรง เดินไม่ตรงทาง

– ปวดไหล่แล้วลามไปยังข้อศอก

การป้องกันภาวะกระดูกคอเสื่อมทับเส้นประสาท

– ไม่ดื่มเหล้า หรือสูบบุหรี่

– เปลี่ยนท่าบ่อยๆ ยือดเส้นยืดสายบ้าง

– นั่งเก้าอี้แบบที่สามารถหนุนคอได้

– ไม่นอนหนุนหมอนที่สูงมากเกินไป

– ออกกำลังกายบริเวณคอ เพื่อให้กล้ามเนื้อบริเวณนี้ได้ยืดหยุ่นและแข็งแรง

โดยหากเกิดภาวะกระดูกคอเสื่อมทับเส้นประสาทขึ้น ให้รับประทานยาพาราเซตามอลบรรเทาอาการปวด และนอนนั่ง

ท่าราบกับพื้น แล้วใช้กระเป๋าน้ำร้อนมาวางประคบบริเวณคอไว้สัก 15 นาที แต่หากปวดมากให้ใช้ปลอกคอช่วยพยุง

คอไว้ ซึ่งหากไม่ดีขึ้นให้รีบไปพบคุณหมอเพื่อทำการรักษา ไม่ควรปล่อยทิ้งไว้นานๆ นะคะ

# # ปรึกษาเราได้เลย ... ฟรี !!
💢สนใจติดต่อคุณ เมย์
📲โทร 0984200029
💢คลิกลิ้งค์ Line@ เพิ่มเพื่อนติดตามข่าวสาร https:https://line.me/R/ti/p/%40bho8711n

https://web.facebook.com/dboonebymome

ใคร ชอบหักคอ บิดคอ เล่น ให้มีเสียงดังบ่อยๆ  #ต้องระวัง เสี่ยงกระดูกคอเสื่อมเร็วการหักคอทำให้เกิดโรคกระดูกคอเสื่อมได้ยังไ...
06/05/2019

ใคร ชอบหักคอ บิดคอ เล่น ให้มีเสียงดังบ่อยๆ
#ต้องระวัง เสี่ยงกระดูกคอเสื่อมเร็ว

การหักคอทำให้เกิดโรคกระดูกคอเสื่อมได้ยังไงกัน?

การที่เราหักคอจนเกิดเสียงดังกร๊อบแกร๊บจนเป็นเป็นนิสัยนั้น จะทำให้เส้นเอ็นที่ยึดข้อกระดูก
แต่ละข้อหย่อนยาน ขาดความมั่นคง เมื่อเส้นเอ็นไม่สามารถยึดข้อกระดูกได้ดีดังเดิม
จะเป็นผลให้เกิดภาวะข้อหลวมตามมาหรือที่เรียกว่า joint loose ขึ้น
เมื่อเส้นเอ็นไม่สามารถพยุงข้อได้ดี เกิดภาวะข้อหลวม ผลที่ตามอีกก็คือ
กระดูกภายในข้อเกิดเสียดสีกัน นานวันเข้าก็ทำให้เกิดโรคข้อเสื่อมตามมาในที่สุด

การหักคอทำให้เป็นอัมพาตได้หรอ?

มีโอกาสเป็นไปได้ แต่พบได้น้อย ผลก็มาจากเส้นเอ็นภายในข้อขาดความแข็งแรง
จนเกิดภาวะข้อหลวมนั่นแหละ

แต่ทีนี้เรายังคงหักคอเล่นอยู่ไม่เปลี่ยนแปลงจนถึงจุดหนึ่งที่การหักคอนั้นทำให้
เยื่อหุ้มข้อในหมอนรองกระดูกสันหลังเกิดการฉีกขาด

จนสารนํ้าในหมอนรองกระดูกหลุดออกมาไปกดเบียดเส้นประสาทไขสันหลังเข้า
ทำให้เกิดอัมพาตในที่สุด ถึงแม้จะพบได้น้อยแต่ก็อย่าเสี่ยงจะดีที่

สัญญาณเริ่มมีอาการคอเสื่อม !!!
มีอาการปวดคอ คอเกร็ง โดยจะปวดมากยิ่งขึ้น เมื่อขยับคอเคลื่อนไหวไปมา
ปวดคอ เคลื่อนไหวตัวได้ยาก และจะปวดมากขึ้นเวลานั่งหรือยืน
ปวดตรงกลางคอ ร้าวมาปวดที่สะบักด้านในบริเวณไหล่
ปวดร้าวลงแขนที่มือ แล้วมีอาการชาร่วมด้วย”

อาการเหล่านี้ล้วนแต่เป็นสัญญาณ อันตรายบ่งบอกถึงการมาเยือนของ โรคข้อกระดูกสันหลังคอเสื่อม ต้องฟื้นฟูอาการปวดคอเสื่อมได้นะะ

# # ปรึกษาเราได้เลย ... ฟรี !!
💢สนใจติดต่อคุณ เมย์
📲โทร 0984200029
💢คลิกลิ้งค์ Line@ เพิ่มเพื่อนติดตามข่าวสาร https:https://line.me/R/ti/p/%40bho8711n

https://web.facebook.com/dboonebymome

คุณมีอาการตามหมายเลขอะไร? เม้นต์ใต้ภาพมาได้นะคะ...กดแชร์ได้นะคะหมอนรองกระดูกสันหลังคืออะไร? และทำไมถึงทำให้เราปวดหลังได้...
06/05/2019

คุณมีอาการตามหมายเลขอะไร? เม้นต์ใต้ภาพมาได้นะคะ...กดแชร์ได้นะคะ

หมอนรองกระดูกสันหลังคืออะไร? และทำไมถึงทำให้เราปวดหลังได้?

หมอนรองกระดูกสันหลัง เป็นกระดูกอ่อนชนิดหนึ่งลักษณะจะเป็นเมือกใสคล้ายเจลลี่มีความยืดหยุ่นสูง
คั่นกลางระหว่างกระดูกสันหลังแต่ละชิ้น

หมอนรองกระดูกสันหลังทำหน้าที่สองอย่าง คือ

1.ทำให้เกิดการเคลื่อนไหวของกระดูกสันหลัง
2.ยังมีหน้าที่รับน้ำหนักที่ผ่านกระดูกสันหลังลงมา

ซึ่งถ้าหมอนรองกระดูกมีการกระทบกระเทือนจนฉีกขาดจนทำให้ส่วนชั้นในที่เป็นเมือกใสๆ มีการเคลื่อนออกมา
กดทับเส้นประสาทก็จะทำให้เกิดอาการปวดหลังขึ้น
จะรู้ได้อย่างไรว่า เริ่มมีอาการหมอนรองกระดูกเคลื่อนทับเส้นประสาท ?

หากคุณเริ่มมีอาการปวดหลัง ลักษณะแบบปวดทั่วบริเวณหลังและปวดหนักบริเวณบั้นเอวลงไปจนถึงขา
ถ้าปวดเรื้อรังเกินกว่า 2 สัปดาห์ นั้นหมายถึงว่าคุณมีโอกาสจะเป็นโรคหมอนรองกระดูกเคลื่อนทับเส้นประสาท

สาเหตุของโรคหมอนรองกระดูกเคลื่อนทับเส้นประสาท

การยกของหนักด้วยท่าทางที่ไม่ถูกต้องบ่อยๆน้ำหนักตัวที่มากเกินไปนั่งทำงานด้วยอิริยาบถที่ไม่ถูกต้องนานๆอุบัติเหตุและการบาดเจ็บต่อกระดูกสันหลัง

การรักษาโรคหมอนรองกระดูกเคลื่อนทับเส้นประสาท

รับประทานยาแก้อักเสบหรือยาคลายกล้ามเนื้อเพื่อบรรเทาอาการปวดกายภาพบำบัดการฉีดยาสเตียรอยด์เข้าโพรงประสาทการผ่าตัดหมอนรองกระดูกผ่านกล้องเอ็นโดสโคปการผ่าตัดหมอนรองกระดูกด้วยกล้องจุลทรรศน์ การผ่าตัดเชื่อมข้อกระดูกโดยใช้คอมพิวเตอร์นำวิถี

ทางที่ดีให้คุณรีบไปพบแพทย์เพื่อเช็คอาการโดยด่วน

การบาดเจ็บของหมอนรองกระดูกมีกี่ระดับ ?

อาการของโรคหมอนรองกระดูกเคลื่อนทับเส้นประสาท

อาการอาจแสดงออกได้ทั้งบริเวณหลังและขา คนทั่วไปมักเข้าใจว่ามีเพียงอาการปวดหลังอย่างเดียว ที่จริงแล้วอาการที่ขานั้นสำคัญและจำเพาะเจาะจงกับโรคนี้มากกว่า นั่นแสดงถึงว่าเกิดการรบกวนเส้นประสาทสันหลังที่วิ่งไปเลี้ยงที่ขาแล้ว หมอนรองกระดูกที่เคลื่อนออกมามักทำให้เกิดอาการแบบฉับพลันเพราะมีการอักเสบที่รุนแรง

อาการที่หลัง : ปวดหลังบริเวณเอวส่วนล่าง อาจมีอาการที่หลังเพียงข้างเดียวหรือทั้งสองข้าง มักมีอาการในท่านั่ง หรือมีการนั่งงอตัวไปทางด้านหน้าซึ่งเป็นท่าที่หมอนรองกระดูกได้รับแรงกดทับมากที่สุด

อาการที่ขา : อาการแสดงที่ขามีได้ 3 แบบ คือ อาการปวด ชา หรือการอ่อนแรงของกล้ามเนื้อ

อาการปวดหรือชาขาที่เกิดจากหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาทมีลักษณะคือ มีอาการตามแนวที่เส้นประสาทวิ่งไป สามารถปวดได้ตั้งแต่บริเวณเอว ต้นขา น่อง ไปจนถึงบริเวณเท้าและนิ้วเท้าได้ การอ่อนแรงของกล้ามเนื้อก็มีลักษณะคล้ายอาการปวดและชา คือจะมีการอ่อนแรงของกล้ามเนื้อมัดที่เลี้ยงด้วยเส้นประสาทเส้นที่ถูกกดทับนั้น

# # ปรึกษาเราได้เลย ... ฟรี !!
💢สนใจติดต่อคุณ เมย์
📲โทร 0984200029
💢คลิกลิ้งค์ Line@ เพิ่มเพื่อนติดตามข่าวสาร https:https://line.me/R/ti/p/%40bho8711n

https://web.facebook.com/dboonebymome

ดูแลผิดจุด จึงปวดไม่หาย ! แชร์..บอกต่อได้เลยจ้า #ปวดหมอนรองกระดูก หรือ กล้ามเนื้อ (piriformis) หรือ เส้นประสาท (sciatica...
06/05/2019

ดูแลผิดจุด จึงปวดไม่หาย ! แชร์..บอกต่อได้เลยจ้า
#ปวดหมอนรองกระดูก หรือ กล้ามเนื้อ (piriformis) หรือ เส้นประสาท (sciatica) กันแน่

ผู้ป่วยที่มีอาการปวดแบบ Sciatica Pain นี้ จะมีลักษณะที่ชัดเจนกล่าวคือ มีอาการปวดร้าวจากบริเวณหลังไปสะโพก
และไปที่บริเวณของ ขาทั้ง 2 ข้าง หรือข้างเดียว หรือขาข้างใดข้างหนึ่ง อาการปวดจะเป็นรุนแรงในบางครั้งจะเป็น
รุนแรงมากจนไม่สามารถจะเดินได้

อาการปวดมักสัมพันธ์กับอริยาบทนั่งหรือยืน ผู้ป่วยมักกล่าวว่าอาการปวดอาจจะเป็นรุนแรงตอนเช้าหลังตื่นนอน

หรือนั่งนานๆไม่สามารถลุกขึ้นจากเก้าอี้หรือไม่สามารถลุกออกจากรถยนต์ที่นั่งอยู่เป็นเวลานานๆ ได้
เนื่องจากมีอาการปวดสะโพกร้าวลงไปตามด้านหลังของขาอย่างรุนแรง

อาการปวดแบบ Sciatic จะมีลักษณะที่สำคัญ คือมักจะปวดตามเส้นและลงไปจนถึงน่องหรือปลายเท้าในกลุ่มผู้ป่วย
ที่มีอาการป่วยแบบ Sciatic นี้ อาจจะเกิดจากปัญหาอื่นๆ ได้ที่ไม่ใช่เกิดจากหมอนรองกระดูกทับเส้น

อาทิเช่นมีการกดทับที่บริเวณกล้ามเนื้อสะโพก หรือ เกิดการกดทับจากการหนีบของกล้ามเนื้อ โดยเฉพาะกล้ามเนื้อที่พบบ่อยที่เป็นปัญหา คือ กล้ามเนื้อ Piriformis ซึ่งอยู่บริเวณสะโพก ก่อให้เกิดอาการปวด
ในลักษณะที่คล้ายคลึงกัน คืออาการปวดร้าวจากสะโพกไปตามเส้นประสาทลงไปถึงปลายเท้า

ดังนั้นเมื่อผู้ป่วยมีอาการปวดร้าวตามเส้นประสาท Sciatic จึงมีความจำเป็นที่จะต้องแยกโรคระหว่าง
โรคของกระดูกสันหลัง หรือหมอนรองกระดูกสันหลัง และโรคกล้ามเนื้อต่างๆที่อาจไปเบียดกดทับ
เส้นประสาททำให้เกิดอาการปวดได้ในลักษณะที่คล้ายคลึงกัน

ในกรณีที่ผู้ป่วยทิ้งอาการปวดนี้ไว้เป็นเวลานานอาการปวดที่เกิดจาก Sciatic Nerve หรือการปวดร้าว
ตามเส้นประสาท sciatic นี้อาจเป็นมากขึ้นจนกระทั่งเกิดอาการชาไปตามเส้นประสาทSciatic
หรืออาจร้ายแรงจนถึงขั้นทำให้เกิดกล้ามเนื้ออ่อนแรงของบริเวณขาที่เลี้ยงโดยเส้นประสาท Sciatic ได้

# # ปรึกษาเราได้เลย ... ฟรี !!
💢สนใจติดต่อคุณ เมย์
📲โทร 0984200029
💢คลิกลิ้งค์ Line@ เพิ่มเพื่อนติดตามข่าวสาร https:https://line.me/R/ti/p/%40bho8711n

https://web.facebook.com/dboonebymome

10 โรคพบบ่อยที่ 🍉🍉“คุณแม่” ของคุณต้องระวัง“คุณแม่” บุคคลที่เรารักที่สุดในโลก คอบดูแลเลี้ยงดูเรามาตั้งแต่เล็กจนโต จนถึงบั...
03/05/2019

10 โรคพบบ่อยที่ 🍉🍉“คุณแม่” ของคุณต้องระวัง

“คุณแม่” บุคคลที่เรารักที่สุดในโลก คอบดูแลเลี้ยงดูเรามาตั้งแต่เล็กจนโต จนถึงบัดนี้ก็ผ่านเวลามาหลายสิบปีแล้ว แม่คนนี้นี่แหละที่ต้องทำงานอย่างหนักเพื่อเก็บเงินเลี้ยงดูเรา จนลืมดูแลสุขภาพตัวเอง จนเป็นสาเหตุให้เกิดโรคต่างๆ นาๆ มากมายที่คุณเองก็คาดไม่ถึง จะมีโรคร้ายใดบ้างที่คุณแม่ของพวกคุณทุกคนต้องระวัง มาดูกันครับ

1. โรคเบาหวาน
โรคอันดับต้นๆ ของคนเป็นแม่ ผู้ซึ่งทำหน้าที่เป็นเชฟประจำบ้าน ใครทานอะไรเหลือก็ต้องคอยทานต่อเพราะเสียดาย บางครั้งวิถีชีวิตที่ทำงานอยู่กับที่นานๆ ไม่ได้ขยับร่างกายไปไหน ส่งผลให้ไม่ได้ออกกำลังกายมากเท่าที่ควร นอกจากนี้อาหารที่ทานเองแถวสถานที่ทำงานบางครั้งก็ได้สารอาหารไม่ครบถ้วน จนทำให้เหล่าคุณแม่หลายคนเป็นโรคเบาหวาน ยิ่งครอบครัวที่มีประวัติสมาชิกที่เคยเป็นโรคเบาหวานด้วยล่ะก็ โอกาสที่จะเป็นโรคเบาหวานยิ่งสูงเข้าไปอีก

2. โรคไขมันอุดตันเส้นเลือด / เส้นเลือดหัวใจตีบ
เป็นผลพวงมาจากเรื่องของอาหารการกินที่ไม่ค่อยถูกสุขลักษณะ ทานอาหารที่มีน้ำตาล แป้ง และไขมันมากเกินไป รวมไปถึงการขาดการออกกำลังกาย และความเครียดสะสม สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคไขมันอุดตันเส้นเลือด หรือเส้นเลือดหัวใจตีบได้

3. โรคความดันโลหิตสูง
คุณแม่หลายท่านน่าจะมีโอกาสเป็นโรคนี้ค่อนข้างสูง เพราะมักมาพร้อมกับน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้น ความเครียดสะสมจากที่ทำงาน ขาดการออกกำลังกายที่เหมาะสม และที่สำคัญหรือการทานอาหารรสเค็ม ทุกอย่างล้วนแล้วแต่เป็นสาเหตุของโรคความดันโลหิตสูงได้ทั้งสิ้น

4. โรคเส้นเลือดหัวใจตีบ / แตก
โรคนี้มักมาพร้อมกับอายุที่สูงขึ้น อาจเป็นผลข้างเคียงมาจากโรคเบาหวาน อันเกิดมาจากกรรมพันธุ์ และการใช้ชีวิต การทานอาหารที่หนักไปทางไขมัน และน้ำตาล และความผิดปกติในการทำงานของหัวใจ และการพักผ่อน หากเกิดอาการเส้นเลือดหัวใจตีบ หรือแตกขึ้นมาเมื่อไร โอกาสที่จะเป็นอัมพฤกษ์อัมพาต ก็ยิ่งสูงขึ้นเท่านั้น

5. โรคไต
คุณแม่ท่านใดที่ติดนิสัยทานรสจัดมาตั้งแต่ยังสาวๆ หากแก่ตัวลงอาจมีโอกาสที่จะเป็นโรคไตได้ เนื่องจากไตทำงานหนักเกินไปในการขับเอาของเสียที่เกินออกจากร่างกายมาอย่างต่อเนื่อง จึงทำให้เมื่อเข้าสู่วัยชรา ไตก็เริ่มทำงานไม่ไหว จนอาจเริ่มแสดงอาการของผู้ป่วยโรคไตขึ้นมา

6. โรคมะเร็ง
ไม่ว่าจะมะเร็งเต้านม มะเร็งปากมดลูก มะเร็งรังไข่ หรือมะเร็งในส่วนอื่นๆ ของร่างกาย ในเมื่อมะเร็งยังไม่สามารถหาสาเหตุได้อย่างชัดเจน ทุกๆ อย่างที่ทาน หรือแม้กระทั่งกรรมพันธุ์ที่ติดตัวมาตั้งแต่รุ่นคุณตาคุณยาย เมื่อร่างกายเข้าสู่วัยชรา ภูมิต้านทานร่างกายเริ่มถดถอย เชื้อมะเร็งที่เคยอยู่ภายในตัวเราเงียบๆ ก็เริ่มปะทุอาการออกมาให้เห็น

7. โรคต้อกระจก / ต้อหิน / วุ้นในตาเสื่อม
ผู้สูงอายุหลายคนเริ่มมีอาการตาฝ้าฟาง เหตุเพราะเริ่มมีต้อกระจกเกิดขึ้นนั่นเอง สาเหตุของโรคต้อในตาเหล่านี้อาจเกิดจากดวงตาได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง สิ่งแปลกปลอมเข้าไปทำร้ายดวงตา หรือเป็นอาการข้างเคียงจากโรคประจำตัวอย่างเบาหวาน เป็นต้น

8. โรคหัวใจ
อายุมากขึ้น ร่างกายเริ่มซ่อมแซมตัวเองได้ช้าลง ทำงานหนัก และความเครียดสะสม ประกอบกับความผิดปกติในการทำงานของหัวใจ อาจทะให้คุณแม่หลายๆ ท่านมีความเสี่ยงเป็นโรคหัวใจได้

ผู้สูงอายุรุ่นคุณแม่ ควรดูแลตัวเองอย่างไร?
1. ทานอาหารที่มีคุณค่าทางสารอาหารครบถ้วน ทานรสจัดให้น้อยลง ไม่ว่าจะรสหวาน เค็ม หรือเผ็ดก็ตาม และไม่ทานอาหารที่มีแป้ง น้ำตาล และไขมันสูง เน้นผัก ปลา และผลไม้สดทุกมื้อ

2. พักผ่อนร่างกายให้เพียงพอ โดยใช้เวลานอนในแต่ละวันราว 6-8 ชั่วโมง

3. ออกกำลังกายเบาๆ อยู่เสมอ การจะเดินออกกำลังกาย วิ่งจ๊อกกิ้งเบาๆ หากกร่างกายไหว แอโรบิค ไทเก๊ก ขี่จักรยาน หรือโยคะสำหรับผู้สูงอายุก็ช่วยได้

4. หลักเลี่ยงแอลกอฮอล์ และการสูบบุหรี่

5. ควบคุมน้ำหนัก และร่างกายของตัวเองให้อยู่ในเกณฑ์ปกติอยู่เสมอ

6. ผ่อนคลายจิตใจและสมองไม่ให้เครียดจนเกินไป ด้วยการหากิจกรรมที่ชอบทำ เช่น อ่านหนังสือ ดูหนัง ฟังเพลง สวดมนต์ นั่งสมาธิ หรือออกท่องเที่ยวในทริปสบายๆ

7. หมั่นสังเกตอาการผิดปกติของร่างกายตัวเองอย่างสม่ำเสมอ

8. ควรได้รับการตรวจสุขภาพเป็นประจำทุกปี หรืออาจจะทุก 6 เดือน แล้วแต่ความเหมาะสม

Cr. sanook

# # ปรึกษาเราได้เลย ... ฟรี !!
💢สนใจติดต่อคุณ เมย์
📲โทร 0984200029
💢คลิกลิ้งค์ Line@ เพิ่มเพื่อนติดตามข่าวสาร https:https://line.me/R/ti/p/%40bho8711n

https://web.facebook.com/dboonebymome/
ติดตามลิ้งค์เพจ

ที่อยู่

242 ถนนสุวินทวงศ์ แขวงแสนแสบ เขตมีนบุรี
Bangkok
10510

เบอร์โทรศัพท์

098-420-0029

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ ศูนย์สุขภาพฟื้นฟูกระดูกและไขข้อ D BooNe 0984200029ผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

แชร์

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram

ให้คำปรึกษากระดูกทับเส้น

อาการกระดูกสันหลังทับเส้นประสาทระดับหลัง

สาเหตุของอาการเกิดจากการที่ หมอนรองกระดูกปลิ้นหรือแตกจนของเหลวภายในไปเบียดทับเส้นประสาทบริเวณหลังส่วนล่างหรือบริเวณกระดูกสันหลังชิ้นที่ L3 L4 L5 S1 ซึ่งส่งผลต่อระบบประสาทส่วนเอวไปถึงขา เริ่มแรกผู้ป่วยมักจะมีอาการปวดหลังบริเวณเอว เป็น ๆ หาย ๆ มาก่อน ซึ่งอาการดังกล่าวจะเป็นมากเวลาทำงาน เช่นยืน ก้มเงย หรือนั่งนาน ๆ และจะดีขึ้นเมื่อได้นอนพัก ต่อมาจึงปรากฎอาการสำคัญที่บ่งบอกว่าหมอนรองกระดูกสันหลังเกิดโป่งขึ้นมากดทับเส้นประสาทคืออาการปวดหลังรุนแรงอย่างเฉียบพลัน และมีอาการปวดร้าวลงมาที่ขา น่อง ตาตุ่มหรือเท้า ร่วมกับมีอาการชาขาหรือเท้าด้วย

อาการกระดูกทับสันหลังเส้นประสาทระดับคอ

สาเหตุของอาการเกิดจากการที่ หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาทบริเวณกระดูกสันหลังชิ้นที่ C3 – C7 ซึ่งส่งผลต่อระบบประสาทส่วนแขน ซึ่งจะทำให้เกิดอาการชาบริเวณฝ่ามือเริ่มจากปลายนิ้วหรืออาการปวดร้าวที่บริเวณแขน อาจเป็นข้างใดข้างหนึ่ง อาการร่วมของโรคหมอนรองกระดูกคอทับเส้นประสาทคือ การปวดคอ ปวดเมื่อยบริเวณสะบักเรื้อรังและการไม่สามารถเคลื่อนไหวคอได้อย่างอิสระ