27/10/2025
งบกองทุนบัตรทอง ทำไมต้องรวม “เงินเดือนบุคลากรสาธารณสุขภาครัฐ”
หลายคนอาจสงสัยว่า
“ทำไมงบกองทุนบัตรทองถึงต้องรวมเงินเดือนบุคลากรสาธารณสุขภาครัฐไว้ด้วย?”
คำถามนี้ ผมได้ยินบ่อยครับ ทั้งจากบุคลากรในพื้นที่ ผู้บริหารโรงพยาบาล
หรือแม้แต่ประชาชนที่ติดตามเรื่องระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง 30 บาท) อย่างใกล้ชิด
แต่เบื้องหลังของเรื่องนี้...
จริง ๆ แล้วมีความหมายลึกซึ้งกว่าตัวเลขงบประมาณมากนัก
จุดเริ่มต้นของหลักคิด “ลดเหลื่อมล้ำ – เพิ่มโอกาสเข้าถึง”
ย้อนกลับไปตั้งแต่วันที่เรามี พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545
เจตนารมณ์ของกฎหมายชัดเจนครับ —
เราต้องการให้คนไทยทุกคน “เข้าถึงบริการสุขภาพอย่างเท่าเทียม”
ไม่ว่าจะอยู่ในเมืองใหญ่ หรือหมู่บ้านเล็ก ๆ ห่างไกล
สิ่งที่จำเป็นที่สุด คือ “บุคลากรทางการแพทย์”
ทั้งแพทย์ พยาบาล ทันตแพทย์ และเจ้าหน้าที่สาธารณสุข
ซึ่งเป็นหัวใจของระบบบริการทั้งหมด
เพราะฉะนั้น งบเหมาจ่ายรายหัวที่รัฐจัดสรรให้กับกองทุนบัตรทอง
จึงถูกออกแบบให้ รวมเงินเดือนบุคลากรภาครัฐไว้ด้วย
เพื่อให้สามารถกระจายบุคลากรตามจำนวนประชากรในแต่ละพื้นที่ได้อย่างเป็นธรรม
และช่วยให้โรงพยาบาลมองเห็นต้นทุนที่แท้จริงของการดูแลประชาชน
จากหลักการ...สู่การบริหารจัดการจริง
ทุกปี งบเหมาจ่ายรายหัวใน “กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ”
จะประกอบด้วย 2 ส่วนใหญ่ คือ
งบสำหรับบริการทางการแพทย์
งบเงินเดือนบุคลากรของหน่วยบริการภาครัฐในระบบ
ในปีงบประมาณ 2569 ที่ผ่านมา
งบเหมาจ่ายรายหัวรวมกว่า 198,000 ล้านบาท
งบนอกเหมาจ่าย รวมกว่า 67,000 ล้านบาท
ในจำนวนนี้กว่า 71,000 ล้านบาท เป็นเงินเดือนบุคลากรภาครัฐ
ที่ทำงานอยู่ในหน่วยบริการทั่วประเทศ
หลายคนอาจไม่ทราบว่า การคำนวณและหักค่าแรงเหล่านี้
เป็นระบบที่ ซับซ้อน โปร่งใส และมีหลักฐานรองรับชัดเจน
ตั้งแต่ปี 2561 เป็นต้นมา สำนักงบประมาณจะหักเงินเดือนการเพิ่มขึ้นของการปรับลดค่าแรงตามปีงบประมาณที่ผ่านมาบวกด้วยอัตราเติบโต ปีละประมาณ 6% และลดลงเหลือ 4.93% ตั้งแต่ปี 2567 ถึงปัจจุบัน
ทุกขั้นตอนมีการตรวจสอบและหารือร่วมกัน
เพื่อให้แน่ใจว่า “งบประมาณที่หักออก”
ไม่กระทบต่อการดำเนินงานของโรงพยาบาล
และงบหลักที่เหลือยังเติบโตตามภาวะเศรษฐกิจ
เพื่อให้ระบบบริการเดินหน้าต่อได้อย่างมั่นคง
“งบเงินเดือนบุคลากรสาธารณสุข” ถูกแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือ
หน่วยบริการในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข
หน่วยบริการของรัฐอื่น ๆ เช่น โรงพยาบาลมหาวิทยาลัย หรือโรงพยาบาลกลาโหม
โดยจะนำมาคำนวณในการกำหนดเพดานเงินเดือน
เพื่อหักจากงบกองทุนฯ ให้สะท้อนค่าใช้จ่ายบุคลากรจริงของแต่ละพื้นที่อย่างเป็นธรรม
และยังมีการ “ปรับเกลี่ย” เพื่อให้โรงพยาบาลที่มีบุคลากรมาก
ได้รับงบเพียงพอต่อการดูแลประชาชน
กลไกการดำเนินงานในพื้นที่
เขต 1–12 (ต่างจังหวัด):
หักที่ระดับโรงพยาบาลโดยตรง จากรายรับของผู้ป่วยนอก ผู้ป่วยใน และงานสร้างเสริมสุขภาพ
เขต 13 (กรุงเทพฯ):
ใช้หลักเกณฑ์ตามที่ สปสช. กำหนด
สำหรับหน่วยบริการในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข
จะอ้างอิงข้อมูลจากกรมบัญชีกลางและระบบ GFMIS
ก่อนที่สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) จะกระจายงบต่อไปยังแต่ละโรงพยาบาล
ตามจำนวนบุคลากรจริง
ตามหลักการแล้ว สปสช.จะหักเงินเดือนหน่วยบริการสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข
ตามบัญชีรายชื่อเจ้าหน้าที่ หรือที่เรียกว่า “จ.18”
แต่ในทางปฏิบัติ สปสช.จะใช้ตัวเลขที่แต่ละจังหวัดเสนอ
เพื่อปรับลดเงินเดือนของแต่ละโรงพยาบาลให้สอดคล้องกับสภาพจริงในพื้นที่
เหตุผลที่ต้องทำเช่นนี้ เพราะอาจมีเจ้าหน้าที่ที่มีชื่ออยู่ในโรงพยาบาลหนึ่ง
แต่ปฏิบัติหน้าที่หรือไปช่วยราชการในอีกโรงพยาบาลหนึ่ง
ดังนั้น สปสช.จึงไม่ได้ใช้ตัวเลขในบัญชี “จ.18” แบบตรงตัว
แต่ปรับตามข้อมูลภาคสนามเพื่อให้สะท้อนการทำงานจริงของบุคลากรในพื้นที่มากที่สุด
ทุกขั้นตอนนี้อยู่ภายใต้ความร่วมมือของ สป.สธ. และ สปสช.
โดยมีคณะกรรมการ “7x7” ทำหน้าที่กำหนดแนวทาง
เพื่อให้การจัดสรรงบเป็นไปอย่าง ถูกต้อง โปร่งใส และเป็นธรรม
มากกว่า “งบประมาณ” คือ “หัวใจของระบบบริการ”
ทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นว่า
งบประมาณเหล่านี้ไม่ใช่แค่ตัวเลขในบัญชี
แต่คือ “ค่าแรงของคนที่ทำงานเพื่อประชาชน”
คือเหงื่อและความทุ่มเทของบุคลากรด่านหน้าทั่วประเทศ
ที่ทำให้ระบบหลักประกันสุขภาพของคนไทยเดินต่อได้อย่างมั่นคง
เมื่อเราเข้าใจที่มาของตัวเลขเหล่านี้
จะเห็นได้ชัดว่า “การรวมเงินเดือนบุคลากรไว้ในงบกองทุนบัตรทอง”
ไม่ใช่แค่เรื่องของงบประมาณ
แต่มันคือการ เชื่อมโยงคนกับระบบ
ทำให้ทุกหน่วยบริการตระหนักว่า
บุคลากรที่อยู่ในโรงพยาบาลคือ “ทรัพยากรหลักของชาติ”
และเป็นส่วนหนึ่งของระบบหลักประกันสุขภาพที่เราร่วมกันสร้างมา
เพราะสุดท้ายแล้ว ระบบที่ยั่งยืน
ไม่อาจอยู่ได้ด้วยงบประมาณเพียงอย่างเดียว
แต่ต้องมี “คน” ที่เข้มแข็ง และมี “ใจ” ที่อยากให้คนไทยได้รับบริการอย่างดีที่สุด
ตลอดหลายปีที่ได้ทำงานในระบบนี้
ผมเชื่อมั่นเสมอว่า ระบบบัตรทองที่ยืนหยัดมาถึงวันนี้ได้
เพราะมี “คนไทยที่ร่วมสร้างด้วยหัวใจ”
ทั้งคุณหมอ คุณพยาบาล คุณเจ้าหน้าที่ และประชาชน
ที่เข้าใจและร่วมกันดูแลระบบนี้
งบประมาณที่เราเห็นบนกระดาษ
คือผลรวมของ “ความพยายามของคนทั้งประเทศ”
เพื่อให้ทุกคนมีสิทธิได้รับการดูแลรักษาอย่างเท่าเทียม
และผมเชื่อว่า
ตราบใดที่เรายังร่วมมือกันเช่นนี้
ระบบหลักประกันสุขภาพของคนไทยจะยิ่งมั่นคง
และเดินไปข้างหน้าอย่างภาคภูมิใจครับ