อรรถพร ลิ้มปัญญาเลิศ-หมอเอก

อรรถพร ลิ้มปัญญาเลิศ-หมอเอก ...

สถานการณ์อุทกภัยที่อำเภอหาดใหญ่ครั้งนี้นับเป็นเหตุการณ์ที่รุนแรงที่สุดครั้งหนึ่งสร้างผลกระทบกว้างขวางต่อพี่น้องประชาชน ท...
01/12/2025

สถานการณ์อุทกภัยที่อำเภอหาดใหญ่ครั้งนี้
นับเป็นเหตุการณ์ที่รุนแรงที่สุดครั้งหนึ่ง
สร้างผลกระทบกว้างขวางต่อพี่น้องประชาชน ทั้งด้านความเป็นอยู่ ความปลอดภัย และสุขภาพ

ท่ามกลางความยากลำบากเช่นนี้
ผมขอส่งกำลังใจอย่างที่สุดไปถึงชาวหาดใหญ่ทุกคน
ที่กำลังเผชิญความสูญเสีย ทั้งสมาชิกในครอบครัว ทรัพย์สิน และการประกอบอาชีพ
ที่เกิดขึ้นพร้อมกันในเวลาอันสั้น

ขณะนี้ทุกหน่วยงาน ทั้งส่วนกลางและในพื้นที่
ทั้งจังหวัด อปท. โรงพยาบาล รวมถึงภาคประชาชน
ต่างระดมสรรพกำลังช่วยเหลือกันอย่างเต็มที่
ตั้งแต่การจัดส่งสิ่งของจำเป็น การดูแลความปลอดภัย
ไปจนถึงการฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานหลังน้ำลด
เพื่อให้ทุกอย่างกลับมาใช้งานได้โดยเร็วที่สุด

สำหรับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.)
เรามีความห่วงใยประชาชนในพื้นที่อย่างยิ่ง
และด้วยความตั้งใจที่จะช่วยแบ่งเบาภาระของทุกภาคส่วน
จึงได้ ปฏิบัติตามภารกิจที่ได้รับมอบหมายจากสำนักนายกรัฐมนตรี
ในการเปิดช่องทางพิเศษของ สายด่วน สปสช. 1330 – กด 7
เพื่อรองรับการแจ้งเหตุและประสานความช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมตลอด 24 ชั่วโมง
ซึ่งเริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ 24 พฤศจิกายน 2568 เป็นต้นมา

เราได้รับแจ้งทั้งกรณีการอพยพ การเคลื่อนย้ายผู้ป่วย ผู้สูงอายุ ผู้พิการ
ที่ไม่สามารถเดินทางไปโรงพยาบาลได้
การดูแลผู้ป่วยติดบ้านติดเตียงที่ขาดผู้ดูแล
ผู้ป่วยโรคเรื้อรังที่ขาดยา
ผู้ที่ต้องการเวชภัณฑ์ อาหาร น้ำดื่ม
รวมถึงความช่วยเหลือด้านสุขภาพในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบรุนแรง

เพื่อให้มั่นใจว่าทุกคนได้รับการช่วยเหลือจริง
เจ้าหน้าที่สายด่วน สปสช. จะโทรติดตามความคืบหน้าทุกวัน
ตรวจสอบว่าผู้ร้องขอได้รับการดูแลแล้วหรือยัง
หรือยังมีสิ่งใดที่ต้องเร่งประสานเพิ่มเติม

พร้อมกันนี้ สปสช. ได้ประสานความร่วมมือกับ
บริษัท ไปรษณีย์ไทยดิสทริบิวชั่น จำกัด (ปณด.)
ในการจัดรถรับ–ส่งผู้ป่วยที่จำเป็นต้องไปโรงพยาบาล
แต่ติดขัดจากสถานการณ์น้ำท่วม
ทั้งผู้ป่วยฟอกไต ผู้ป่วยโรคเรื้อรังที่ต้องรับยา
ผู้ที่ต้องพบแพทย์ตามนัด
รวมถึงการจัดส่งน้ำยาล้างไตให้ถึงบ้าน

นอกจากนี้ เรายังได้รับความร่วมมืออย่างอบอุ่นจากหลายภาคส่วน
โดยเฉพาะ ธนาคารกรุงไทย ที่สนับสนุนถุงยังชีพและน้ำดื่ม
เพื่อนำไปแจกจ่ายให้กับผู้ประสบภัยในพื้นที่ต่าง ๆ
ถือเป็นพลังสำคัญที่ช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนได้อย่างรวดเร็ว

ปณด. และหน่วยงานต่าง ๆ ในพื้นที่
ล้วนเตรียมความพร้อมทั้งรถ ทีมปฏิบัติการ และเครือข่ายสนับสนุน
เพื่อร่วมภารกิจด้านสุขภาพครั้งนี้โดยไม่มีค่าใช้จ่ายใด ๆ
และจะดำเนินการต่อเนื่องจนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย

ด้านกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ยังมีกลไก
กองทุนหลักประกันสุขภาพในระดับท้องถิ่น (กปท.)
ที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสามารถนำมาใช้สนับสนุนการดูแลสุขภาพประชาชน
ร่วมกับโรงพยาบาล การฟื้นฟูอนามัยสิ่งแวดล้อมหลังน้ำลด
และการป้องกันโรคระบาด
ภายใต้หลักเกณฑ์ตามประกาศคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2567
ซึ่งสามารถนำไปใช้ได้ในทุกจังหวัดที่ได้รับผลกระทบ ไม่เฉพาะหาดใหญ่

ท้ายที่สุดนี้
ผมขอส่งกำลังใจจากหัวใจของคนทำงานด้านสุขภาพ
ให้พี่น้องชาวหาดใหญ่ผ่านพ้นเหตุการณ์ครั้งนี้ไปได้อย่างปลอดภัยและเข้มแข็งครับ

#น้ำท่วมภาคใต้68

โรค “ไข้หวัดใหญ่” เป็นโรคที่ระบาดทุกปี โดยเฉพาะช่วงพฤษภาคมถึงกันยายน สำหรับคนที่สุขภาพแข็งแรงดี การฉีดวัคซีนอาจไม่จำเป็น...
25/11/2025

โรค “ไข้หวัดใหญ่” เป็นโรคที่ระบาดทุกปี โดยเฉพาะช่วงพฤษภาคมถึงกันยายน สำหรับคนที่สุขภาพแข็งแรงดี การฉีดวัคซีนอาจไม่จำเป็นในทุกปี แต่สำหรับ “กลุ่มเสี่ยง” แล้ว การติดเชื้อเพียงครั้งเดียวอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนรุนแรงได้

ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือบัตรทอง 30 บาท เริ่มสนับสนุนวัคซีนไข้หวัดใหญ่ตั้งแต่ปี 2552 ให้ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง 7 กลุ่มทั่วประเทศ ต่อมาในปี 2556 ก็ขยายสู่ผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไป เพราะเป็นวัยที่ภูมิคุ้มกันลดลงตามธรรมชาติ จนปัจจุบันครอบคลุม 7 กลุ่มเสี่ยงหลัก เช่น หญิงตั้งครรภ์ เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยเรื้อรัง ผู้มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง ผู้พิการทางสมอง และผู้มีภาวะอ้วน

แต่ช่วงหลายปีที่ผ่านมา เราพบว่า มีเด็กอีกกลุ่มหนึ่งที่ “เสี่ยงสูง” เช่นกัน นั่นคือเด็กวัย 3–5 ปี วัยที่เริ่มเข้าสังคม ไปโรงเรียน ทำกิจกรรมร่วมกันทั้งวัน จึงมีโอกาสติดเชื้อได้ง่ายกว่าที่คิด และมีอัตราการนอนโรงพยาบาลสูงกว่าช่วงวัยอื่น

ในการประชุมบอร์ด สปสช. ล่าสุด โดยมีท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายพัฒนา พร้อมพัฒน์ เป็นประธาน มีมติเห็นชอบให้ “เด็กไทยอายุ 3–5 ปี ทุกสิทธิ” ได้รับวัคซีนไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล จำนวน 1.4 ล้านโดส ในปีงบประมาณ 2569 เพื่อเป็นเกราะป้องกันให้เด็ก ๆ ก่อนเข้าสู่ฤดูกาลระบาด

งานนี้ไม่ใช่แค่เพิ่มวัคซีน แต่ต้องสร้างระบบรองรับไปพร้อมกัน สปสช. ทำงานร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข เชื่อมข้อมูลสิทธิผ่าน Super App “หมอพร้อม” เพื่อให้พ่อแม่เห็นได้ทันทีว่า “ลูกมีสิทธิฉีดวัคซีนอะไรบ้าง” และสามารถจองคิวฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ให้ลูกได้จากในแอป ขณะที่โรงพยาบาลก็จัดการคิวและสต๊อกวัคซีนได้อย่างมีประสิทธิภาพขึ้น

วัคซีนเข็มเดียว ช่วยให้ประเทศลดค่ารักษาพยาบาลกว่า 54 ล้านบาทต่อปี และช่วยให้ครอบครัวลดการลางานดูแลลูกป่วยกว่า 399 ล้านบาทต่อปี แต่สำหรับผม สิ่งสำคัญที่สุดคือ เด็กน้อยไม่ต้องไข้สูงจนตัวร้อน ไม่ต้องขาดเรียนหลายวัน และพ่อแม่ไม่ต้องใจหายทุกครั้งที่ลูกป่วย

จากปี 2552 จนถึงวันนี้ เส้นทางวัคซีนไข้หวัดใหญ่ขยายกว้างขึ้นเรื่อย ๆ เพราะเรายังเชื่อในหลักเดียวกันว่า “ป้องกันก่อนป่วย คือการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุด” และเด็กไทยทุกคนควรเริ่มต้นชีวิตด้วยสุขภาพที่แข็งแรงที่สุด นี่คืออีกหนึ่งภารกิจที่ สปสช. ภูมิใจที่ได้ดูแลครับ

เคยลองจินตนาการไหมครับว่า…ถ้าเมืองหนึ่งในประเทศไทยสามารถออกแบบ “เมืองผู้สูงวัย” ที่ดูแลครบทั้งสุขภาพ คุณภาพชีวิต และเศรษ...
17/11/2025

เคยลองจินตนาการไหมครับว่า…
ถ้าเมืองหนึ่งในประเทศไทยสามารถออกแบบ “เมืองผู้สูงวัย” ที่ดูแลครบทั้งสุขภาพ คุณภาพชีวิต และเศรษฐกิจของชุมชนโดยไม่ผลักภาระให้ครอบครัวใดครอบครัวหนึ่ง แต่เป็นการดูแลร่วมกันของทั้งชุมชน—เมืองนั้นจะมีหน้าตาแบบไหน?

นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงแล้วใน “The Old Man Town : เมืองผู้สูงวัยตำบลม่วงคำ”
ภายใต้การขับเคลื่อนของ อบต.ม่วงคำ อำเภอพาน จังหวัดเชียงราย
โมเดลต้นแบบที่ไม่ได้อยู่แค่ในรายงานหรือสไลด์ แต่ “เกิดขึ้นจริงในพื้นที่” และเห็นผลลัพธ์ชัดเจน

ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยเต็มรูปแบบ
ข้อมูลเดือนมิถุนายน 2567 จากกรมการปกครองระบุว่า
เรามีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปมากถึง 13.45 ล้านคน หรือ 20.7% ของประเทศ
ตัวเลขนี้ไม่ได้สะท้อนเพียงโครงสร้างประชากร แต่สะท้อน “ความรับผิดชอบร่วมกันของสังคมไทยทั้งประเทศ”

โมเดลม่วงคำ: เมืองเล็กที่มีวิสัยทัศน์ใหญ่

จากการร่วมพิธีเปิดและได้พูดคุยกับ คุณสายสุรี ทนันชัย นายก อบต.ม่วงคำ
ท่านเล่าว่าแนวคิดนี้เกิดขึ้นจากข้อเท็จจริงที่ว่า
ตำบลม่วงคำมีผู้สูงอายุ 2,615 คนจากประชากรทั้งหมดประมาณ 8,000 คน
หรือมากถึง หนึ่งในสามของประชากรทั้งตำบล

ทุกตัวเลขคือ “ชีวิตจริง” ที่ต้องได้รับการดูแล
อบต.ม่วงคำจึงออกแบบระบบดูแลผู้สูงอายุใน 6 มิติสำคัญ ได้แก่

สุขภาพ

สวัสดิการ

สิ่งแวดล้อม

อาชีพและเศรษฐกิจ

เทคโนโลยี

ศาสนา วัฒนธรรม และภูมิปัญญาท้องถิ่น

เป้าหมายคือการดูแล “ครบทั้งกาย ใจ ความเป็นอยู่ และคุณค่าในชีวิต” ของผู้สูงอายุในพื้นที่

ระบบสุขภาพที่ลงถึงบ้าน

ด้านบริการสุขภาพ โรงพยาบาลพาน—โรงพยาบาลชุมชนคู่พื้นที่—จัดทีมออกเยี่ยมบ้านผู้สูงอายุอย่างต่อเนื่อง
ทั้งรักษา ป้องกันโรค เสริมสุขภาพ และฟื้นฟู พร้อมย้ำหลักการว่า
ผู้สูงอายุทุกคนต้องเข้าถึงบริการได้จริง ไม่ว่าบ้านจะไกลแค่ไหน

ชุมชนที่ลุกขึ้นมาดูแลกันเอง

อบต.ม่วงคำทำงานร่วมกับชาวบ้านอย่างแน่นแฟ้น
จัดกิจกรรมที่ออกแบบมาเพื่อผู้สูงอายุจริง ๆ เช่น

อาชีพเสริมรายได้

กิจกรรมออกกำลังกายและสันทนาการ

พื้นที่พบปะทางสังคมสำหรับลดภาวะโดดเดี่ยว

คุณภาพชีวิตที่ดีไม่ได้เกิดจากการรักษาอย่างเดียว แต่เกิดจากการ “ได้ใช้ชีวิตร่วมกับชุมชน”

ใช้ข้อมูลขับเคลื่อนงานแบบมืออาชีพ

โครงการนี้ยังพัฒนาระบบฐานข้อมูล E-smart Muang Kham
เพื่อเก็บข้อมูลผู้สูงอายุแบบครบถ้วนและต่อเนื่อง
ทำให้การวางแผนและการติดตามผลเป็นระบบ แม่นยำ ไม่พลาดคนใดคนหนึ่ง

Nursing Home ของชุมชน—โดยชุมชน—เพื่อชุมชน

หนึ่งในความโดดเด่นที่สุด คือการเกิดขึ้นของ
สถานชีวาภิบาล “Nursing Home Elite Health Plus”
ที่เกิดจากความร่วมมือระหว่างประชาชนกับ อบต. และภาคเอกชน
และที่สำคัญ...ได้ขึ้นทะเบียนหน่วยบริการมาตรา 3 กับ สปสช.แล้ว

ที่นี่ให้บริการครบทุกระยะของการดูแลผู้สูงอายุ:

ระยะเฉียบพลัน

ระยะกลาง (Intermediate care)

ระยะยาว (Long-term care)

การดูแลแบบประคับประคองระยะท้ายของชีวิต (Palliative care)

ถือเป็นตัวอย่างการยกระดับบริการในพื้นที่อย่างแท้จริง

สร้าง Caregiver ในชุมชนเอง—อย่างมีมาตรฐาน

อบต.ม่วงคำเชื่อว่าการดูแลผู้สูงอายุต้องมาจาก “คนในพื้นที่เอง”
จึงพัฒนาบุคลากรในชุมชนให้เป็น Caregiver อย่างจริงจัง ผ่านหลักสูตรที่เข้มข้น:

หลักสูตรดูแลผู้สูงอายุ 420 ชั่วโมง

หลักสูตรผู้ดำเนินการดูแลผู้สูงอายุ 130 ชั่วโมง

หลักสูตร BMC 91 ชั่วโมง จากราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์

งบประมาณสนับสนุนโดย วช.
ทำให้ชุมชนมี Caregiver ที่เป็น อสม. ทั้งหมด 10 คน
และในปี 2568 จะเพิ่มอีก 10 คน—เป็นทั้งอาชีพและกำลังสำคัญของการดูแลผู้สูงอายุ

หนึ่งใน Caregiver คุณพิชเยศ ทนันชัย เล่าอย่างน่าประทับใจว่า
“การได้เห็นรอยยิ้มของผู้สูงอายุเวลาที่เราไปเยี่ยมบ้าน…คือกำลังใจสำคัญที่สุด”

เบื้องหลังความสำเร็จ: การระดมพลังทุกภาคส่วน

นายก อบต.ย้ำว่า ความสำเร็จนี้เกิดจาก “การทำงานร่วมกับทุกภาคส่วน”
เพราะ อบต.ไม่สามารถใช้งบด้านสุขภาพโดยตรง
จึงใช้นวัตกรรมการบริหารงบแบบหลายช่องทาง ได้แก่

มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง

มหาวิทยาลัยพะเยา

มรภ.เชียงราย

สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ

และ สปสช. ผ่าน กปท. และกองทุน LTC

โดยกองทุน LTC สนับสนุน

ค่าใช้จ่ายดูแลผู้สูงอายุพึ่งพิง 10,442 บาท/ราย/ปี

ค่าจ้าง Caregiver เดือนละ 5,000–6,000 บาท

เรียกได้ว่าเป็นโมเดลระดมทรัพยากรอย่างสร้างสรรค์และยั่งยืน

บทเรียนจากม่วงคำ: เมืองผู้สูงวัยทำได้จริง

สิ่งที่ตำบลม่วงคำพิสูจน์ให้เห็นชัดคือ
ถ้าชุมชนลุกขึ้นมาดูแลผู้สูงอายุแบบบูรณาการ เมืองผู้สูงวัยไม่ใช่เรื่องไกลตัว
เราไม่จำเป็นต้องรอการเปลี่ยนแปลงระดับประเทศ
แต่สามารถเริ่มต้นจากพื้นที่—จากชุมชนเล็ก ๆ—แล้วขยายผลไปทั่วประเทศ

ประเทศไทยมีศักยภาพมากพอที่จะสร้าง “สังคมสูงวัยที่ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง”
และม่วงคำได้แสดงให้เห็นแล้วว่า…มันเป็นไปได้จริง

14/11/2025

สปสช.ตอบทุกข้อสงสัยการเบิกจ่าย

ทำไมคนไทยส่วนใหญ่ “ไม่ล้มละลายเพราะค่ารักษาพยาบาล”?เคยสงสัยไหมครับว่า เวลาเราเจ็บป่วยไม่สบายเดินเข้าโรงพยาบาลแล้วยื่นบัต...
10/11/2025

ทำไมคนไทยส่วนใหญ่ “ไม่ล้มละลายเพราะค่ารักษาพยาบาล”?

เคยสงสัยไหมครับว่า เวลาเราเจ็บป่วยไม่สบาย
เดินเข้าโรงพยาบาลแล้วยื่นบัตรประชาชนเพียงใบเดียว
เพื่อเข้ารับการรักษาพยาบาลภายใต้สิทธิ “บัตรทอง” หรือ “หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า”
ใครกันนะที่เป็นคนจ่ายเงินค่ารักษาให้เรา?
เงินมหาศาลที่ใช้ดูแลคนทั้งประเทศนั้นมาจากไหน?
และรัฐบาลบริหารจัดการเงินก้อนใหญ่นี้อย่างไร
ให้ระบบเดินหน้าได้อย่างมั่นคงโดยไม่รั่วไหล?

คำตอบของคำถามเหล่านี้อยู่ในสิ่งที่เรียกว่า
“การเงินการคลังด้านสุขภาพ” (Health Care Financing)
ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของระบบสุขภาพไทย
และเป็นกลไกเบื้องหลังความสำเร็จของ “หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า”
ที่ทั่วโลกต่างยกย่องในวันนี้ครับ

จุดเริ่มต้น : จาก “การสงเคราะห์” สู่ “สิทธิขั้นพื้นฐาน”

จุดเปลี่ยนสำคัญของระบบนี้ไม่ได้เริ่มจาก “เงิน” ครับ
แต่มาจาก “วิธีคิด”

ในอดีต ประเทศไทยมองการรักษาพยาบาลฟรี
เป็นเพียงการ “สงเคราะห์” ให้กับผู้ยากไร้หรือผู้เดือดร้อน
แต่ต่อมาได้มีการเปลี่ยนแนวคิดครั้งใหญ่ —
เมื่อเราประกาศว่า “สุขภาพดีคือสิทธิขั้นพื้นฐานของคนไทยทุกคน”

เมื่อ “สุขภาพ” กลายเป็นสิทธิ
“รัฐ” จึงมีหน้าที่ต้องสร้างระบบการเงินที่มั่นคง โปร่งใส และเท่าเทียม
เพื่อให้สิทธินั้นเกิดขึ้นจริงกับคนไทยทุกคน
ภายใต้นโยบาย “หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า”

เงินมาจากไหน?

คำตอบง่ายๆ คือ “มาจากพวกเราทุกคน” ครับ
จากภาษีที่เราจ่ายทั้งทางตรงและทางอ้อม
ไม่ว่าจะเป็นภาษีเงินได้ ภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือภาษีบาปจากเหล้าและบุหรี่

เงินเหล่านี้จะถูกรวมไว้ใน “กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ”
เปรียบเสมือน กระปุกกลางของประเทศ
ที่ทุกคนช่วยกันใส่ และทุกคนมีสิทธิ์ใช้
เพื่อ “เฉลี่ยทุกข์ เฉลี่ยสุข” ร่วมกันในสังคม

ใครเจ็บป่วย…ก็ได้รับการดูแลจากเงินในกระปุกนี้
ไม่ต้องแบกรับภาระเพียงลำพัง
และผู้ที่ทำหน้าที่บริหาร “กระปุกกลาง” ใบนี้
ก็คือ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) นั่นเองครับ

ใครรักษา? ใครจ่าย?

หลักคิดสำคัญที่ทำให้ระบบนี้เข้มแข็ง คือแนวคิด
“แยกผู้ซื้อออกจากผู้ให้บริการ” (Purchaser–Provider Split)

ผู้ให้บริการ (Provider) คือโรงพยาบาลและหน่วยบริการสุขภาพต่าง ๆ ที่มีหน้าที่ “รักษา”

ผู้ซื้อบริการ (Purchaser) คือ สปสช. ที่มีหน้าที่ “บริหารเงินและจัดซื้อบริการ” อย่างมีกลยุทธ์

สปสช. ทำหน้าที่เป็น “ผู้ซื้อบริการเชิงกลยุทธ์” (Strategic Purchaser)
ไม่ใช่แค่จ่ายเงินให้โรงพยาบาลเท่านั้น
แต่บริหารจัดการ “อย่างชาญฉลาด” เพื่อให้เงินภาษีทุกบาทเกิดประโยชน์สูงสุด

แล้ว สปสช. “จ่ายเงิน” อย่างไร?

ระบบการจ่ายเงินของ สปสช. ไม่ได้มีรูปแบบเดียว
แต่ใช้ “วิธีผสมผสาน” (Mixed Payment) เพื่อให้เหมาะกับแต่ละบริการ

ผู้ป่วยนอก (OPD) – ใช้ระบบ “เหมาจ่ายรายหัว”
โรงพยาบาลจะได้รับงบตามจำนวนคนที่ลงทะเบียน เช่น 3,800 บาทต่อคนต่อปี
เพื่อดูแลประชาชนกลุ่มนั้นทั้งปี
วิธีนี้ทำให้โรงพยาบาลหันมาเน้น “ส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรค” มากขึ้น
เพราะยิ่งคนในพื้นที่แข็งแรง โรงพยาบาลก็ยิ่งประหยัดงบมากขึ้น

ผู้ป่วยใน (IPD) – ใช้ระบบ “จ่ายตามกลุ่มวินิจฉัยโรคร่วม” (DRGs)
เหมือนการกำหนด “ราคากลาง” สำหรับแต่ละโรค เช่น
ผ่าตัดไส้ติ่ง 20,000 บาท ผ่าตัดหัวใจ 300,000 บาท
เมื่อรักษาเสร็จ โรงพยาบาลก็เบิกจ่ายตามราคานั้น
ช่วยควบคุมค่าใช้จ่ายและลดการรักษาที่เกินจำเป็น

ยาและอุปกรณ์ราคาแพง – ใช้วิธี “จัดซื้อรวมระดับประเทศ”
สปสช. ซื้อยาจำนวนมากในครั้งเดียว ทำให้ต่อรองราคาได้ถูกลง 50–70%
ผู้ป่วยจึงเข้าถึงยาจำเป็นได้ โดยไม่ต้องล้มละลายจากค่ารักษา

ระบบที่โปร่งใส และมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน

สปสช. ไม่ได้ทำงานเพียงลำพังครับ
แต่มี “คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ” (บอร์ด สปสช.)
ที่มีตัวแทนจากภาครัฐ ภาควิชาชีพ ท้องถิ่น ภาคประชาชน และ NGO
มาร่วมกันกำหนดทิศทางการบริหารเงินกองทุน

เพราะ “เจ้าของภาษี” คือประชาชนทุกคน
เสียงของประชาชนจึงต้องสะท้อนอยู่ในทุกนโยบาย

นอกจากนี้ ยังมี “คณะกรรมการควบคุมคุณภาพและมาตรฐาน”
คอยดูแลให้แน่ใจว่า บริการที่รัฐจัดให้นั้น
ต้องมีคุณภาพ ปลอดภัย และเป็นธรรม
“ของฟรีจากภาษี” ต้องไม่ใช่ “ของไม่ดี” — นี่คือหลักที่เรายึดถือเสมอครับ

ความท้าทายในวันข้างหน้า

แน่นอนครับ ระบบนี้ไม่ได้สมบูรณ์แบบ
เรายังต้องเผชิญกับความท้าทายใหม่ๆ เช่น
สังคมผู้สูงอายุที่ทำให้โรคเรื้อรังเพิ่มขึ้น
เทคโนโลยีการแพทย์ที่ก้าวหน้าแต่มีต้นทุนสูง
และความคาดหวังของประชาชนที่เพิ่มขึ้นทุกปี

ดังนั้น สิ่งที่เราต้องทำต่อไปคือ
ใช้เงินอย่างฉลาดขึ้น (Efficiency)
สร้างแหล่งเงินที่มั่นคง (Sustainability)
และ เปิดพื้นที่ให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วม
เพื่อให้ระบบนี้ยืนหยัดต่อไปได้อย่างยั่งยืน

ความภูมิใจของคนทำงาน “เพื่อคนไทยทุกคน”

กว่า 20 ปีที่ผมอยู่กับระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
ทุกครั้งที่เห็นคนไทยเข้ารับการรักษาได้
โดยไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่าย
ผมรู้สึกภูมิใจเสมอครับ

เพราะนี่คือสิ่งที่พวกเราทุกคนร่วมกันสร้างขึ้น —
ระบบที่ตั้งอยู่บนหลักการ “เฉลี่ยทุกข์ เฉลี่ยสุข”
เพื่อไม่ให้ใครต้องล้มละลายเพียงเพราะเจ็บป่วย

และตราบใดที่เรายังร่วมมือกัน
พัฒนาและรักษาหลักการนี้ไว้
ผมเชื่อว่า “ประเทศไทย”
จะยังคงเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศในโลก
ที่ทำให้คนทุกคนเข้าถึงการรักษาที่จำเป็นได้
โดยไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีเงินจ่ายครับ.

เพื่อนบ้านที่มาเยือน… และมิตรภาพที่เติบโตจากระบบสุขภาพสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมมีโอกาสต้อนรับ “เพื่อนบ้าน” ของเราคณะศึกษาดูงาน...
03/11/2025

เพื่อนบ้านที่มาเยือน… และมิตรภาพที่เติบโตจากระบบสุขภาพ

สัปดาห์ที่ผ่านมา ผมมีโอกาสต้อนรับ “เพื่อนบ้าน” ของเรา
คณะศึกษาดูงานจาก สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว)
ที่มาเยือน “สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ” (สปสช.)
เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้การดำเนินงาน “ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ”
หรือที่เรารู้จักกันดีในชื่อ “บัตรทอง 30 บาทรักษาทุกที่”

คณะจาก สปป.ลาว แสดงความสนใจเป็นพิเศษ
ในหลายประเด็นที่เป็นหัวใจของระบบสุขภาพไทย
ทั้งแนวทางการบริหารจัดการระบบสุขภาพ
การบันทึกข้อมูลบริการสาธารณสุข
การเบิกจ่ายชดเชยค่าบริการผ่านระบบ E-Claim
ตลอดจนกลไกการช่วยเหลือประชาชนผ่าน “สายด่วน 1330”
และ “ศูนย์คุ้มครองสิทธิบัตรทอง”
ซึ่งเป็นจุดเชื่อมโยงสำคัญระหว่างหน่วยบริการกับประชาชน
ให้ทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพและโปร่งใส

หลังจากพูดคุยและแลกเปลี่ยนแนวคิดกันที่สำนักงานฯ
เรายังได้พาคณะศึกษาดูงานลงพื้นที่จริง
ณ โรงพยาบาลพิมลราช อำเภอบางบัวทอง จังหวัดนนทบุรี
เพื่อให้ได้เห็นการทำงานของระบบหลักประกันสุขภาพในชีวิตจริง
โดยมี
คุณหมอเอกวุฒิ ตั้งตรงไพโรจน์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลพิมลราช
คุณหมอปริพนธ์ จุลเจิม นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดนนทบุรี
และ คุณหมอสมชาติ สุจริตรังษี ผู้อำนวยการ สปสช. เขต 4 สระบุรี
มาร่วมให้ข้อมูลและแลกเปลี่ยนประสบการณ์อย่างอบอุ่น

โรงพยาบาลพิมลราช ถือเป็นตัวอย่างของ “โรงพยาบาลชุมชนที่เข้มแข็ง”
แม้จะไม่ใหญ่โต แต่มีระบบบริหารจัดการที่โดดเด่น
โดยเฉพาะการใช้ E-Claim และ Financial Data Hub
ในการจัดการข้อมูลบริการทั้งผู้ป่วยใน ผู้ป่วยนอก ผู้ป่วยฉุกเฉิน
และบริการสร้างเสริมสุขภาพป้องกันโรค (P&P)
ระบบเหล่านี้ทำให้ข้อมูลทางการเงินและบริการเชื่อมโยงกันอย่างไร้รอยต่อ
ช่วยให้การตรวจสอบและการเบิกจ่ายชดเชยเป็นไปอย่างถูกต้อง โปร่งใส
และตรวจสอบได้ทุกขั้นตอน
สิ่งเหล่านี้สร้างความประทับใจให้คณะศึกษาดูงานจาก สปป.ลาว อย่างมาก

อีกส่วนที่คณะให้ความสนใจไม่แพ้กัน
คือ “กลไกคุ้มครองสิทธิบัตรทอง”
ซึ่งโรงพยาบาลพิมลราชมีทั้งศูนย์คุ้มครองสิทธิในหน่วยบริการ
และศูนย์คุ้มครองสิทธิภาคประชาชนในพื้นที่
ที่ทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด
หากเกิดปัญหาการใช้สิทธิ์หรือข้อร้องเรียน
จะมีการประสานและแก้ไขอย่างรวดเร็ว —
กรณีเร่งด่วนรายงานถึงผู้บริหารภายใน 24 ชั่วโมง
ส่วนกรณีทั่วไปติดตามและดำเนินการให้เสร็จภายใน 1 สัปดาห์ถึง 1 เดือน
เพื่อให้ทุกเรื่อง “จบด้วยความเข้าใจ”

หลังจบภารกิจศึกษาดูงาน
คณะจาก สปป.ลาว กล่าวอย่างชื่นชมว่า
ข้อมูลที่ได้รับในวันนี้จะถูกนำไปต่อยอด
เพื่อพัฒนาระบบสุขภาพในบริบทของลาว
ซึ่งทำให้เรารู้สึกได้อย่างชัดเจนว่า
สิ่งที่เราทำอยู่… ไม่ได้เป็นประโยชน์แค่กับคนไทยเท่านั้น
แต่ยังส่งแรงบันดาลใจให้กับเพื่อนบ้านของเราในภูมิภาคด้วย

ก่อนกลับ ดร.พูวัง สุ่ยยะวง
อธิบดีกรมประกันสุขภาพแห่งชาติ สปป.ลาว
ได้กล่าวประโยคที่ผมยังจำได้ขึ้นใจว่า

“สิ่งที่เราเห็นในวันนี้ ไม่ใช่เพียงเทคโนโลยีหรือระบบที่ทันสมัย
แต่คือระบบที่มีหัวใจของคนทำงานอยู่เบื้องหลัง
เราอยากให้ระบบของลาวเติบโตไปในทิศทางเดียวกัน”

คำพูดนั้นสะท้อนสิ่งที่ผมเชื่อเสมอมา —
ว่าระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติของไทย
แม้จะมีปัญหาและความท้าทายอยู่ไม่น้อย
ไม่ว่าจะเรื่องงบประมาณ ภาระงานของโรงพยาบาล
หรือแรงเสียดทานจากความเข้าใจที่แตกต่าง
แต่ในภาพรวม ระบบนี้คือ “ต้นแบบของความเท่าเทียม”
ที่พิสูจน์ให้เห็นว่า ประเทศไทยให้คุณค่ากับสิทธิสุขภาพของประชาชนอย่างแท้จริง

บทสรุปของวันนั้นทำให้ผมยิ่งเชื่อว่า
พลังเล็กๆ ที่เราได้แบ่งปัน จะกลายเป็นก้าวสำคัญของระบบสุขภาพใน สปป.ลาว
เพราะ “ระบบสุขภาพที่มั่นคง” ไม่ได้เกิดจากเทคโนโลยีล้ำสมัยเพียงอย่างเดียว
แต่เกิดจากหัวใจของคนทำงานที่เชื่อในสิ่งเดียวกัน —
ว่าประชาชนทุกคนควรได้รับการดูแลอย่างเท่าเทียม

และนั่นคือเหตุผลที่ผมยังเชื่อมั่นในศักยภาพของระบบหลักประกันสุขภาพไทย
ระบบที่เราทุกคนร่วมกันสร้าง
และยังคงต้องร่วมกันพัฒนา… ให้ดียิ่งขึ้นต่อไปครับ.

งบกองทุนบัตรทอง ทำไมต้องรวม “เงินเดือนบุคลากรสาธารณสุขภาครัฐ”หลายคนอาจสงสัยว่า“ทำไมงบกองทุนบัตรทองถึงต้องรวมเงินเดือนบุค...
27/10/2025

งบกองทุนบัตรทอง ทำไมต้องรวม “เงินเดือนบุคลากรสาธารณสุขภาครัฐ”

หลายคนอาจสงสัยว่า
“ทำไมงบกองทุนบัตรทองถึงต้องรวมเงินเดือนบุคลากรสาธารณสุขภาครัฐไว้ด้วย?”

คำถามนี้ ผมได้ยินบ่อยครับ ทั้งจากบุคลากรในพื้นที่ ผู้บริหารโรงพยาบาล
หรือแม้แต่ประชาชนที่ติดตามเรื่องระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง 30 บาท) อย่างใกล้ชิด

แต่เบื้องหลังของเรื่องนี้...
จริง ๆ แล้วมีความหมายลึกซึ้งกว่าตัวเลขงบประมาณมากนัก

จุดเริ่มต้นของหลักคิด “ลดเหลื่อมล้ำ – เพิ่มโอกาสเข้าถึง”

ย้อนกลับไปตั้งแต่วันที่เรามี พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545
เจตนารมณ์ของกฎหมายชัดเจนครับ —
เราต้องการให้คนไทยทุกคน “เข้าถึงบริการสุขภาพอย่างเท่าเทียม”
ไม่ว่าจะอยู่ในเมืองใหญ่ หรือหมู่บ้านเล็ก ๆ ห่างไกล

สิ่งที่จำเป็นที่สุด คือ “บุคลากรทางการแพทย์”
ทั้งแพทย์ พยาบาล ทันตแพทย์ และเจ้าหน้าที่สาธารณสุข
ซึ่งเป็นหัวใจของระบบบริการทั้งหมด

เพราะฉะนั้น งบเหมาจ่ายรายหัวที่รัฐจัดสรรให้กับกองทุนบัตรทอง
จึงถูกออกแบบให้ รวมเงินเดือนบุคลากรภาครัฐไว้ด้วย
เพื่อให้สามารถกระจายบุคลากรตามจำนวนประชากรในแต่ละพื้นที่ได้อย่างเป็นธรรม
และช่วยให้โรงพยาบาลมองเห็นต้นทุนที่แท้จริงของการดูแลประชาชน

จากหลักการ...สู่การบริหารจัดการจริง

ทุกปี งบเหมาจ่ายรายหัวใน “กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ”
จะประกอบด้วย 2 ส่วนใหญ่ คือ

งบสำหรับบริการทางการแพทย์
งบเงินเดือนบุคลากรของหน่วยบริการภาครัฐในระบบ

ในปีงบประมาณ 2569 ที่ผ่านมา
งบเหมาจ่ายรายหัวรวมกว่า 198,000 ล้านบาท
งบนอกเหมาจ่าย รวมกว่า 67,000 ล้านบาท
ในจำนวนนี้กว่า 71,000 ล้านบาท เป็นเงินเดือนบุคลากรภาครัฐ
ที่ทำงานอยู่ในหน่วยบริการทั่วประเทศ

หลายคนอาจไม่ทราบว่า การคำนวณและหักค่าแรงเหล่านี้
เป็นระบบที่ ซับซ้อน โปร่งใส และมีหลักฐานรองรับชัดเจน

ตั้งแต่ปี 2561 เป็นต้นมา สำนักงบประมาณจะหักเงินเดือนการเพิ่มขึ้นของการปรับลดค่าแรงตามปีงบประมาณที่ผ่านมาบวกด้วยอัตราเติบโต ปีละประมาณ 6% และลดลงเหลือ 4.93% ตั้งแต่ปี 2567 ถึงปัจจุบัน

ทุกขั้นตอนมีการตรวจสอบและหารือร่วมกัน
เพื่อให้แน่ใจว่า “งบประมาณที่หักออก”
ไม่กระทบต่อการดำเนินงานของโรงพยาบาล
และงบหลักที่เหลือยังเติบโตตามภาวะเศรษฐกิจ
เพื่อให้ระบบบริการเดินหน้าต่อได้อย่างมั่นคง

“งบเงินเดือนบุคลากรสาธารณสุข” ถูกแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือ

หน่วยบริการในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข

หน่วยบริการของรัฐอื่น ๆ เช่น โรงพยาบาลมหาวิทยาลัย หรือโรงพยาบาลกลาโหม

โดยจะนำมาคำนวณในการกำหนดเพดานเงินเดือน
เพื่อหักจากงบกองทุนฯ ให้สะท้อนค่าใช้จ่ายบุคลากรจริงของแต่ละพื้นที่อย่างเป็นธรรม
และยังมีการ “ปรับเกลี่ย” เพื่อให้โรงพยาบาลที่มีบุคลากรมาก
ได้รับงบเพียงพอต่อการดูแลประชาชน

กลไกการดำเนินงานในพื้นที่

เขต 1–12 (ต่างจังหวัด):
หักที่ระดับโรงพยาบาลโดยตรง จากรายรับของผู้ป่วยนอก ผู้ป่วยใน และงานสร้างเสริมสุขภาพ

เขต 13 (กรุงเทพฯ):
ใช้หลักเกณฑ์ตามที่ สปสช. กำหนด

สำหรับหน่วยบริการในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข
จะอ้างอิงข้อมูลจากกรมบัญชีกลางและระบบ GFMIS
ก่อนที่สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) จะกระจายงบต่อไปยังแต่ละโรงพยาบาล
ตามจำนวนบุคลากรจริง

ตามหลักการแล้ว สปสช.จะหักเงินเดือนหน่วยบริการสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข
ตามบัญชีรายชื่อเจ้าหน้าที่ หรือที่เรียกว่า “จ.18”

แต่ในทางปฏิบัติ สปสช.จะใช้ตัวเลขที่แต่ละจังหวัดเสนอ
เพื่อปรับลดเงินเดือนของแต่ละโรงพยาบาลให้สอดคล้องกับสภาพจริงในพื้นที่
เหตุผลที่ต้องทำเช่นนี้ เพราะอาจมีเจ้าหน้าที่ที่มีชื่ออยู่ในโรงพยาบาลหนึ่ง
แต่ปฏิบัติหน้าที่หรือไปช่วยราชการในอีกโรงพยาบาลหนึ่ง
ดังนั้น สปสช.จึงไม่ได้ใช้ตัวเลขในบัญชี “จ.18” แบบตรงตัว
แต่ปรับตามข้อมูลภาคสนามเพื่อให้สะท้อนการทำงานจริงของบุคลากรในพื้นที่มากที่สุด

ทุกขั้นตอนนี้อยู่ภายใต้ความร่วมมือของ สป.สธ. และ สปสช.
โดยมีคณะกรรมการ “7x7” ทำหน้าที่กำหนดแนวทาง
เพื่อให้การจัดสรรงบเป็นไปอย่าง ถูกต้อง โปร่งใส และเป็นธรรม

มากกว่า “งบประมาณ” คือ “หัวใจของระบบบริการ”

ทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นว่า
งบประมาณเหล่านี้ไม่ใช่แค่ตัวเลขในบัญชี
แต่คือ “ค่าแรงของคนที่ทำงานเพื่อประชาชน”
คือเหงื่อและความทุ่มเทของบุคลากรด่านหน้าทั่วประเทศ
ที่ทำให้ระบบหลักประกันสุขภาพของคนไทยเดินต่อได้อย่างมั่นคง

เมื่อเราเข้าใจที่มาของตัวเลขเหล่านี้
จะเห็นได้ชัดว่า “การรวมเงินเดือนบุคลากรไว้ในงบกองทุนบัตรทอง”
ไม่ใช่แค่เรื่องของงบประมาณ
แต่มันคือการ เชื่อมโยงคนกับระบบ

ทำให้ทุกหน่วยบริการตระหนักว่า
บุคลากรที่อยู่ในโรงพยาบาลคือ “ทรัพยากรหลักของชาติ”
และเป็นส่วนหนึ่งของระบบหลักประกันสุขภาพที่เราร่วมกันสร้างมา

เพราะสุดท้ายแล้ว ระบบที่ยั่งยืน
ไม่อาจอยู่ได้ด้วยงบประมาณเพียงอย่างเดียว
แต่ต้องมี “คน” ที่เข้มแข็ง และมี “ใจ” ที่อยากให้คนไทยได้รับบริการอย่างดีที่สุด

ตลอดหลายปีที่ได้ทำงานในระบบนี้
ผมเชื่อมั่นเสมอว่า ระบบบัตรทองที่ยืนหยัดมาถึงวันนี้ได้
เพราะมี “คนไทยที่ร่วมสร้างด้วยหัวใจ”
ทั้งคุณหมอ คุณพยาบาล คุณเจ้าหน้าที่ และประชาชน
ที่เข้าใจและร่วมกันดูแลระบบนี้

งบประมาณที่เราเห็นบนกระดาษ
คือผลรวมของ “ความพยายามของคนทั้งประเทศ”
เพื่อให้ทุกคนมีสิทธิได้รับการดูแลรักษาอย่างเท่าเทียม

และผมเชื่อว่า
ตราบใดที่เรายังร่วมมือกันเช่นนี้
ระบบหลักประกันสุขภาพของคนไทยจะยิ่งมั่นคง
และเดินไปข้างหน้าอย่างภาคภูมิใจครับ

ธ สถิตในดวงใจไทยตราบนิรันดร์น้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณแห่งสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถพระบรมราชชนนีพันปีห...
25/10/2025

ธ สถิตในดวงใจไทยตราบนิรันดร์

น้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ
แห่งสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ
พระบรมราชชนนีพันปีหลวง
ผู้ทรงเป็นดั่งแสงแห่งความรัก
และแรงบันดาลใจอันยิ่งใหญ่ของปวงชนชาวไทย

พระเมตตาและพระกรุณาธิคุณ
ได้หล่อเลี้ยงแผ่นดินไทยให้ร่มเย็น
ประดุจสายน้ำแห่งพระราชหฤทัย
ที่หลั่งรินไม่รู้สิ้น

น้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้น
อันหาที่สุดมิได้

ทพ.อรรถพร ลิ้มปัญญาเลิศ
รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ

๒๔ ตุลาคม ๒๕๖๘

ส่งต่อความเชื่อมั่น “นวัตกรรมทางการแพทย์ฝีมือคนไทย”จากเวทีแห่งความภาคภูมิใจ สู่หน่วยบริการทั่วประเทศ15 ตุลาคมที่ผ่านมา ใ...
20/10/2025

ส่งต่อความเชื่อมั่น “นวัตกรรมทางการแพทย์ฝีมือคนไทย”

จากเวทีแห่งความภาคภูมิใจ สู่หน่วยบริการทั่วประเทศ

15 ตุลาคมที่ผ่านมา ในการประชุมชี้แจงการบริหารกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
บรรยากาศในห้องประชุมเต็มไปด้วยความอบอุ่นและคึกคักเป็นพิเศษ

วันนั้น... ไม่ได้มีเพียงการพูดคุยนโยบายประจำปีอย่างที่เคย
แต่ยังมี “ช่วงเวลาแห่งความหวัง” ที่จะถูกจารึกไว้ในความทรงจำของทุกคน
เมื่อมีพิธีมอบรางวัลให้กับหน่วยบริการและเครือข่ายที่ร่วมกันขับเคลื่อน
“นวัตกรรมทางการแพทย์ฝีมือคนไทย” สู่ระบบสุขภาพถ้วนหน้า

หากมองภาพรวมของระบบสุขภาพไทย
เรามีหลายสิ่งที่น่าภาคภูมิใจ — แพทย์ที่เก่ง พยาบาลที่ทุ่มเท
และระบบหลักประกันสุขภาพที่ทั่วโลกให้การยอมรับ

แต่สิ่งหนึ่งที่ยังเป็น “โจทย์สำคัญ” ของประเทศ
คือเรื่องของ “เครื่องมือแพทย์” ที่เป็นหัวใจของการรักษา
เพราะกว่า 80% ของเครื่องมือแพทย์ในปัจจุบัน เรายังต้องนำเข้าจากต่างประเทศ

ตัวเลขนี้ทำให้เราต้องกลับมาทบทวน
เพราะความจริงแล้ว... คนไทยของเราก็มีศักยภาพไม่แพ้ชาติใดในโลก
เรามีนักวิจัยและผู้ประกอบการไทยที่สามารถคิดค้น พัฒนา และผลิต
เครื่องมือแพทย์ที่ผ่านการรับรองใน “บัญชีนวัตกรรมไทย”
มีมาตรฐานระดับสากล และบางรายการต่างประเทศยังสั่งซื้อกลับไปใช้งานด้วยซ้ำ

ด้วยศักยภาพเหล่านี้
คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.)
จึงได้กำหนดนโยบายชัดเจนในการสนับสนุน “การใช้นวัตกรรมฝีมือคนไทย” อย่างจริงจัง
ไม่เพียงเพื่อยกระดับคุณภาพการรักษาภายใต้ระบบบัตรทอง
แต่เพื่อสร้าง “ความมั่นคงทางสุขภาพของประเทศ” ในระยะยาวด้วยครับ

การมอบรางวัลในครั้งนี้ จึงไม่ใช่แค่ “รางวัล”
แต่คือ “สัญลักษณ์ของความเชื่อมั่น” ที่เรามีต่อกัน
ระหว่างผู้ผลิต ผู้ให้บริการ และประชาชนคนไทย

โดยรางวัล “นวัตกรรมไทย เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย”
ได้รับเกียรติจากท่านโสภณ ซารัมย์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานมอบรางวัล
พร้อมกล่าวตอกย้ำว่า “นี่คือจุดเริ่มต้นของการพึ่งพาตนเอง
และเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างมั่นคง”

🏆 หน่วยบริการที่ได้รับรางวัล “นวัตกรรมไทย เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย” ได้แก่

โรงพยาบาลแม่วงก์ จ.นครสวรรค์
ผู้นำการใช้ “รากฟันเทียมฝีมือคนไทย” เพื่อเติมเต็มรอยยิ้มและคุณภาพชีวิตของผู้สูงวัย

โรงพยาบาลอุดรธานี
รับมอบ 2 รางวัล จากการใช้นวัตกรรม “แผ่นปิดกะโหลกศีรษะเฉพาะบุคคลจากไทเทเนียม”
และ “ถุงทวารเทียมสำหรับผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่”

โรงพยาบาลพัทลุง
ผู้ริเริ่มใช้ “วัคซีนป้องกันโรคไอกรนชนิดไร้เซลล์” ผลิตโดยนักวิจัยไทย

เอ็มดีที นอร์ทอีส สหคลินิก จ.ขอนแก่น
โดดเด่นกับการให้บริการ “ชุดตรวจคัดกรองโรคพยาธิใบไม้ในตับ”
ที่ช่วยให้คนในพื้นที่เข้าถึงการตรวจได้ง่ายขึ้น

นอกจากนี้ยังมีรางวัลเชิดชูเกียรติ 2 รางวัลพิเศษ ได้แก่

รางวัลสนับสนุนการใช้นวัตกรรมเครื่องมือแพทย์ไทยดีเด่น – กระทรวงสาธารณสุข

รางวัลผู้ส่งเสริมการใช้นวัตกรรมไทยอย่างต่อเนื่อง – ศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (TCELS)

สิ่งที่หน่วยบริการเหล่านี้ได้ทำ
ไม่เพียงช่วยลดการนำเข้าและลดต้นทุนของประเทศ
แต่ยังสร้าง “การเปลี่ยนแปลงที่จับต้องได้” ให้กับประชาชนโดยตรง

เมื่อมีการใช้งานจริง ก็เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างผู้ใช้กับผู้ผลิต
นำไปสู่การปรับปรุงคุณภาพอย่างต่อเนื่อง (Quality Improvement)
และทำให้ระบบสุขภาพไทยของเราแข็งแรงขึ้นทุกวัน

ผมเชื่อมั่นว่า หากทุกภาคส่วนร่วมมือกันสนับสนุนนวัตกรรมไทยอย่างจริงจัง
งบประมาณที่เราประหยัดได้ จะกลับมาอยู่ในระบบสุขภาพเพื่อดูแลพี่น้องประชาชนมากขึ้น
และประเทศไทยจะก้าวข้ามจาก “ผู้บริโภค”
ไปสู่ “ผู้ผลิตและผู้ส่งออกเครื่องมือแพทย์ระดับโลก” ได้อย่างภาคภูมิ

ขอเป็นกำลังใจให้กับนักวิจัย นักพัฒนา และบุคลากรทางการแพทย์ทุกคนครับ
เรากำลังเดินไปด้วยกัน... บนเส้นทางของ “ความเชื่อมั่นที่สร้างได้ด้วยฝีมือคนไทย”

“ก้าวใหม่ของครอบครัวบัตรทอง” สู่ความยั่งยืนของระบบสุขภาพไทยวันที่ 15 ตุลาคม 2568 นี้ นับเป็นอีกหนึ่งช่วงเวลาสำคัญของครอบ...
13/10/2025

“ก้าวใหม่ของครอบครัวบัตรทอง” สู่ความยั่งยืนของระบบสุขภาพไทย

วันที่ 15 ตุลาคม 2568 นี้ นับเป็นอีกหนึ่งช่วงเวลาสำคัญของครอบครัว “บัตรทอง”
เมื่อสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) จัดการประชุมชี้แจง
“การบริหารกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ประจำปีงบประมาณ 2569”
ณ ห้องประชุมวายุภักษ์ 3–4 โรงแรมเซ็นทารา ไลฟ์ ศูนย์ราชการฯ กรุงเทพฯ

โดยได้รับเกียรติจาก ท่านโสภณ ซารัมย์ รองนายกรัฐมนตรี
มาเป็นประธานเปิดงานและกล่าวปาฐกถาพิเศษ
“ทิศทางการยกระดับหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า เพื่อความยั่งยืนของระบบสุขภาพไทย”

การประชุมครั้งนี้ ไม่ได้เป็นเพียง “เวทีชี้แจงนโยบาย”
แต่เป็นเวทีแห่ง “การร่วมคิด ร่วมขับเคลื่อน และร่วมสร้างอนาคตสุขภาพไทย”
ที่รวมพลังของ สปสช. กระทรวงสาธารณสุข หน่วยบริการทั่วประเทศ
ทั้งภาครัฐและเอกชน ตั้งแต่โรงพยาบาลชุมชนจนถึงโรงพยาบาลศูนย์
รวมถึงองค์กรวิชาชีพและภาคีเครือข่ายต่าง ๆ
ที่ล้วนมีบทบาทสำคัญในการดูแลสุขภาพของประชาชนกว่า 48 ล้านคนทั่วประเทศ

เป้าหมายสำคัญ ของการประชุมในปีนี้
คือการสร้าง “ความเข้าใจร่วม” และ “ทิศทางเดียวกัน”
ในการบริหารกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ปี 2569
เพื่อให้ทุกพื้นที่ขับเคลื่อนไปอย่างมีประสิทธิภาพ เกิดผลลัพธ์ที่แท้จริง
ตามเจตนารมณ์ของ พระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545

เวทียังเปิดโอกาสให้หน่วยบริการได้ แลกเปลี่ยนประสบการณ์ มุมมอง และข้อเสนอแนะ
เพื่อร่วมกันพัฒนาระบบสุขภาพให้ตอบโจทย์ประชาชนมากที่สุด

ภายในงาน เต็มไปด้วยเนื้อหาสาระและมุมมองเชิงวิชาการที่เข้มข้น
เริ่มจากการบรรยาย “ผลการศึกษาการประเมินหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
ในด้านการบริหารจัดการและนัยยะจากการเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบาย”
โดย ดร.ณัฐนันท์ วิจิตรอักษร นักวิจัยจากสถาบัน TDRI

ต่อด้วยการอภิปราย “เสริมประสานความร่วมมือเพื่อพัฒนาระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติที่ยั่งยืน”
และการชี้แจง “จุดเน้นและประเด็นที่มีการเปลี่ยนแปลงในการบริหารกองทุนปี 2569”
โดยผู้บริหารระดับสูงจากกระทรวงสาธารณสุขและ สปสช.
เพื่อให้ทุกหน่วยงานนำแนวทางกลับไปใช้ได้อย่างชัดเจนและมั่นใจ

ในช่วงบ่าย จะมีการสรุปภาพรวมการดำเนินงานปีที่ผ่านมา
พร้อมเปิดเวที ถาม-ตอบ แลกเปลี่ยนความเห็นอย่างสร้างสรรค์
เพื่อให้ทุกหน่วยกลับไปพร้อม “แนวทางที่ใช้ได้จริง” ในพื้นที่ของตนเอง

ภายในงานยังมีอีกสองช่วงสำคัญที่สะท้อนความร่วมมือของคนไทยในระบบสุขภาพ

พิธีมอบ “รางวัลสนับสนุนนวัตกรรมเครื่องมือแพทย์ไทยดีเด่น”
เพื่อเชิดชูหน่วยบริการที่นำนวัตกรรมไทยมาใช้พัฒนางานบริการ
สร้างความภูมิใจให้กับคนไทย และส่งเสริมเศรษฐกิจของประเทศ

พิธีลงนามความร่วมมือ “ยกระดับ อสม. ยุคใหม่ สู่ผู้ช่วยเหลือดูแลผู้ที่มีภาวะพึ่งพิง”
ระหว่างกรมอนามัย กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ และ สปสช.
ซึ่งถือเป็นอีกก้าวสำคัญของการเสริมพลังชุมชน
และการดูแลผู้สูงอายุ ผู้ป่วยติดบ้านติดเตียงอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน

กว่า สองทศวรรษ ของระบบ “บัตรทอง”
ประเทศไทยได้พิสูจน์แล้วว่า เราสามารถสร้างระบบหลักประกันสุขภาพที่ครอบคลุม เป็นธรรม และจับต้องได้จริง
แต่ในขณะเดียวกัน การรักษาความยั่งยืนของระบบนี้
จะเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อทุกภาคส่วน “ร่วมแรง ร่วมใจ และร่วมรับผิดชอบต่อสุขภาพของคนไทยทุกคน”

ดังนั้น การประชุมในวันที่ 15 ตุลาคมนี้
จึงไม่ใช่แค่การเริ่มต้นปีงบประมาณใหม่ของ สปสช.
แต่คือ “การรวมพลังของทุกหัวใจในระบบสุขภาพไทย”
เพื่อก้าวต่อไปบนเส้นทางแห่งความยั่งยืน —
เพื่อคนไทยทุกคน เพื่อไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

ที่อยู่

สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
Bangkok

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ อรรถพร ลิ้มปัญญาเลิศ-หมอเอกผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ การปฏิบัติ

ส่งข้อความของคุณถึง อรรถพร ลิ้มปัญญาเลิศ-หมอเอก:

แชร์

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram