ฟาร์มาชอพ PharmaShop

ฟาร์มาชอพ PharmaShop ให้คำปรึกษาด้านยา และสุขภาพ โดยเภสัชกร

07/12/2025
06/12/2025

ยารักษาไมเกรนมีกี่กลุ่ม?
มองครบทั้ง Acute therapy และ Preventive therapy

1. ภาพรวม: แนวทางการรักษาไมเกรนแบ่งได้เป็น 2 กลุ่มหลักตามเป้าหมายการใช้ยา
การใช้ยารักษาไมเกรนสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 แนวทางใหญ่ตามวัตถุประสงค์ของการรักษา ได้แก่
* การรักษาเฉียบพลัน (Acute หรือ Abortive Therapy):
เป็นการใช้ยาในช่วงที่มีอาการปวดศีรษะไมเกรน เพื่อระงับอาการในแต่ละรอบของการกำเริบ เป้าหมายคือการบรรเทาอาการและฟื้นคืนการทำงานของผู้ป่วยให้ได้เร็วที่สุด
* การรักษาเพื่อป้องกัน (Preventive หรือ Prophylactic Therapy):
เป็นการใช้ยาอย่างสม่ำเสมอในระยะยาว เพื่อควบคุมโรคโดยลดความถี่และความรุนแรงของไมเกรน ตลอดจนลดความจำเป็นในการใช้ยารักษาเฉียบพลันในอนาคต
ในส่วนถัดไปจะอธิบายรายละเอียดของยาแต่ละกลุ่มอย่างกระชับและชัดเจน

2. การรักษาไมเกรนขณะมีอาการ (Acute Therapy)
การรักษาไมเกรนในระยะที่กำลังมีอาการปวด (acute attack) เป็นแนวทางที่มุ่งเน้นการบรรเทาอาการเฉียบพลันและฟื้นฟูการดำเนินชีวิตของผู้ป่วยโดยเร็ว แนวทางเวชปฏิบัติสากลจากหลายองค์กร เช่น International Headache Society (IHS), American College of Physicians (ACP) และ American Headache Society (AHS) แนะนำให้เริ่มใช้ยาทันทีตั้งแต่เริ่มมีอาการ โดยเลือกใช้ยาที่มีหลักฐานทางคลินิกรองรับชัดเจน ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็นกลุ่มหลัก ๆ ได้ดังนี้:

2.1 ยาแก้ปวดทั่วไป / กลุ่ม NSAIDs
ยากลุ่มนี้เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มีอาการไมเกรนระดับเล็กน้อยถึงปานกลาง หรืออาจใช้ร่วมกับยากลุ่มอื่นในรายที่มีอาการรุนแรงขึ้น
* ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs): เช่น ibuprofen, naproxen, diclofenac, aspirin
* ยาพาราเซตามอล (paracetamol) อาจใช้เดี่ยวหรือร่วมกับ caffeine เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ
เนื่องจากมีความปลอดภัยและเข้าถึงได้ง่าย จึงมักถูกใช้เป็นยาตั้งต้น (first-line) ในผู้ป่วยส่วนใหญ่

2.2 ยากลุ่ม Triptans (5‑HT1B/1D Agonists)
ตัวอย่างได้แก่ sumatriptan, rizatriptan, zolmitriptan, eletriptan ฯลฯ
Triptans ถือเป็นมาตรฐานทองคำสำหรับการรักษาไมเกรนเฉียบพลันระดับปานกลางถึงรุนแรง โดยออกฤทธิ์ผ่านตัวรับ serotonin ชนิด 5‑HT1B/1D ทำให้ลดการขยายตัวของหลอดเลือดสมองและลดการอักเสบของเส้นประสาท trigeminal
ข้อควรระวัง: ห้ามใช้ในผู้ป่วยที่มีโรคหลอดเลือดหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง หรือภาวะหลอดเลือดส่วนปลายบางประเภท เนื่องจากฤทธิ์ในการหดหลอดเลือด

2.3 ยากลุ่ม Gepants (CGRP Receptor Antagonists)
ตัวอย่างเช่น ubrogepant, rimegepant, zavegepant
Gepants เป็นยารุ่นใหม่ที่ออกฤทธิ์ยับยั้งตัวรับของ calcitonin gene-related peptide (CGRP) ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการก่ออาการไมเกรน ยากลุ่มนี้ไม่ทำให้หลอดเลือดหดตัว จึงเป็นทางเลือกที่ดีในผู้ป่วยที่ไม่ตอบสนองต่อ triptans หรือมีข้อห้ามใช้งานด้านหัวใจและหลอดเลือด
บางรายการ (เช่น rimegepant) ยังสามารถใช้ในแนวทางป้องกันไมเกรนได้อีกด้วย

2.4 ยากลุ่ม Ditans (5‑HT1F Agonists)
ตัวอย่างที่สำคัญคือ lasmiditan
ออกฤทธิ์ผ่านตัวรับ serotonin ชนิด 5‑HT1F โดยไม่ทำให้หลอดเลือดหดตัว จึงเหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มีข้อจำกัดในการใช้ triptans
ข้อควรระวัง: อาจเกิดอาการง่วงซึม เวียนศีรษะ หรือการทำงานของระบบประสาทส่วนกลาง จึงควรหลีกเลี่ยงการขับขี่ยานพาหนะหรือใช้งานเครื่องจักรภายในระยะเวลาหลังใช้ยา

2.5 ยาอื่น ๆ และยาร่วมรักษา
* Ergot derivatives เช่น dihydroergotamine, ergotamine: ปัจจุบันใช้น้อยลงเนื่องจากมีผลข้างเคียงมากและข้อห้ามใช้งานหลายประการ แต่ยังมีบทบาทในบางกรณีเฉพาะ
* ยากลุ่มแก้คลื่นไส้–อาเจียน (Antiemetics): เช่น metoclopramide, prochlorperazine ซึ่งมักใช้ร่วมกับยากลุ่มอื่นเพื่อลดอาการคลื่นไส้และช่วยเพิ่มการดูดซึมของยา
* ในภาวะไมเกรนต่อเนื่องรุนแรง (Status Migrainosus): อาจจำเป็นต้องใช้การรักษาในห้องฉุกเฉิน เช่น สารน้ำทางหลอดเลือดดำ ยากันคลื่นไส้ และ corticosteroids

3. การรักษาแบบป้องกันไมเกรน (Preventive Therapy)
การใช้ยาป้องกันไมเกรนมีจุดมุ่งหมายเพื่อลดความถี่ ความรุนแรง และผลกระทบจากอาการไมเกรนต่อคุณภาพชีวิต โดยแนวทางของ American Headache Society (AHS) และ American Academy of Neurology (AAN) แนะนำให้พิจารณาเริ่มยาป้องกันเมื่อมีข้อบ่งใช้ใดข้อหนึ่งต่อไปนี้:
* มีอาการปวดไมเกรน ≥4 วันต่อเดือน
* อาการรุนแรงจนรบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน
* มีความจำเป็นต้องใช้ยารักษาเฉียบพลันบ่อยครั้ง หรือมีภาวะการใช้ยาเกิน (medication overuse)
* มีภาวะแทรกซ้อนของไมเกรน เช่น aura ที่รุนแรงบ่อยครั้ง หรือภาวะ status migrainosus

ยาที่ใช้ในการป้องกันไมเกรนสามารถแบ่งออกเป็น 5 กลุ่มหลัก ได้แก่
3.1 ยาป้องกันแบบดั้งเดิม (Traditional Oral Preventives)
กลุ่มนี้ประกอบด้วยยาที่ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อรักษาไมเกรนโดยเฉพาะ แต่มีหลักฐานว่าช่วยลดความถี่ของอาการไมเกรนได้อย่างมีนัยสำคัญ ได้แก่:
* ยากลุ่ม beta-blockers เช่น propranolol, metoprolol
* ยากันชัก เช่น topiramate, valproate (ควรหลีกเลี่ยงในหญิงตั้งครรภ์หรือวัยเจริญพันธุ์ เนื่องจากมีความเสี่ยงต่อทารกในครรภ์)
* ยาต้านอาการซึมเศร้าขนาดต่ำ เช่น amitriptyline, venlafaxine
* ยาอื่น ๆ ที่มีหลักฐานสนับสนุน เช่น candesartan, flunarizine (การใช้ขึ้นกับแนวทางและการอนุมัติในแต่ละประเทศ)
ข้อจำกัด: ยาเหล่านี้มักมีผลข้างเคียง และไม่เจาะจงต่อพยาธิสรีรภาพของไมเกรนโดยตรง ทำให้ผู้ป่วยบางรายไม่สามารถทนต่อยา หรือหยุดใช้ยาในระยะเวลาอันสั้น

3.2 ยากลุ่ม Anti-CGRP Monoclonal Antibodies
เป็นยาฉีดรุ่นใหม่ที่ออกฤทธิ์จำเพาะต่อไมเกรน โดยยับยั้ง CGRP (Calcitonin Gene-Related Peptide) ซึ่งเป็นสารที่เกี่ยวข้องกับการก่ออาการไมเกรน:
* Erenumab: ออกฤทธิ์ต่อตัวรับ CGRP
* Fremanezumab, Galcanezumab, Eptinezumab: ออกฤทธิ์ต่อตัว ligand ของ CGRP
ข้อดีเด่น:
* ลดจำนวนวันไมเกรนได้อย่างชัดเจน
* ผลข้างเคียงค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับยาดั้งเดิม
* สะดวกในการใช้: ฉีดเดือนละครั้งหรือทุก 3 เดือน ขึ้นกับชนิดของยา
ในปี 2024 American Headache Society ได้ปรับจุดยืนโดยระบุว่าสามารถใช้ยากลุ่ม anti‑CGRP monoclonal antibodies เป็น first-line option สำหรับการป้องกันไมเกรนในผู้ใหญ่ โดยไม่จำเป็นต้องล้มเหลวจากการใช้ยาแบบเดิมก่อนเสมอไป ทั้งนี้ ขึ้นกับข้อจำกัดด้านสิทธิการเข้าถึงยาในแต่ละระบบสุขภาพ

3.3 ยากลุ่ม Gepants แบบรับประทานเพื่อการป้องกัน
ยากลุ่มนี้ออกฤทธิ์ต้าน CGRP เช่นเดียวกับ mAb แต่เป็นรูปแบบรับประทาน ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ที่ไม่สะดวกใช้ยาฉีด:
* Atogepant: ได้รับอนุมัติให้ใช้เพื่อการป้องกันไมเกรนโดยเฉพาะ
* Rimegepant: ใช้ได้ทั้งแบบเฉียบพลัน (เมื่อมีอาการ) และแบบป้องกัน (วันเว้นวัน) ในผู้ใหญ่ที่มี episodic migraine
เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ตอบสนองต่อยาดั้งเดิม หรือมีข้อจำกัดในการใช้ยาฉีด

3.4 Botulinum Toxin Type A
เป็นทางเลือกสำคัญสำหรับผู้ป่วยที่มี chronic migraine (ปวดศีรษะ ≥15 วัน/เดือน โดยมีวันไมเกรนอย่างน้อย 8 วัน)
* ฉีดในตำแหน่งรอบศีรษะและคอ ทุก 12 สัปดาห์
* มีหลักฐานว่าช่วยลดจำนวนวันปวด และปรับคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น

3.5 มาตรการไม่ใช้ยา (Non‑pharmacologic Therapy)
แม้การใช้ยาจะเป็นหัวใจหลักของการป้องกันไมเกรน แต่แนวทางสากลยังเน้นว่าควรดำเนินมาตรการเสริมควบคู่กันเสมอ เช่น:
* การนอนหลับและรับประทานอาหารเป็นเวลา
* การออกกำลังกายสม่ำเสมอ
* การจัดการความเครียด
* การทำ CBT (Cognitive Behavioral Therapy)
* การฝึก biofeedback
มาตรการเหล่านี้ช่วยเสริมผลของยา ลดความถี่ในการเกิดไมเกรน และอาจลดปริมาณยาที่ต้องใช้ได้ในระยะยาว

4. สรุปให้เข้าใจง่าย: ภาพรวมของแนวทางการใช้ยาในไมเกรน
หากมองในภาพรวม การรักษาไมเกรนสามารถแบ่งออกเป็น 2 แนวทางหลักตามวัตถุประสงค์ของการใช้ยา ได้แก่

1) การรักษาขณะมีอาการ (Acute Therapy)
ใช้เฉพาะในช่วงที่มีอาการไมเกรน เพื่อบรรเทาหรือหยุดอาการปวดในแต่ละรอบของการกำเริบ
กลุ่มยาหลัก:
* NSAIDs / ยาแก้ปวดทั่วไป: เช่น ibuprofen, naproxen, paracetamol ± caffeine
* Triptans: เช่น sumatriptan, rizatriptan
* Gepants: เช่น ubrogepant, rimegepant
* Ditans: เช่น lasmiditan
* ยาอื่น ๆ: เช่น ergot derivatives, ยาแก้คลื่นไส้ (antiemetics), corticosteroids (ในกรณีรุนแรงหรือ status migrainosus)

2) การรักษาแบบป้องกัน (Preventive Therapy)
ใช้ยาอย่างต่อเนื่องในระยะยาว เพื่อลดความถี่และความรุนแรงของอาการไมเกรน รวมถึงลดการพึ่งพายารักษาเฉียบพลัน
กลุ่มยาหลัก:
* ยารับประทานแบบดั้งเดิม: เช่น beta-blockers, ยากันชัก (topiramate, valproate), ยาต้านซึมเศร้าขนาดต่ำ
* Anti‑CGRP monoclonal antibodies: ยาฉีดที่ออกฤทธิ์จำเพาะต่อไมเกรน
* Oral gepants ที่ใช้เพื่อการป้องกัน: เช่น atogepant, rimegepant
* Botulinum toxin type A: สำหรับผู้ป่วยที่มี chronic migraine

การเลือกใช้ยาขึ้นกับหลายปัจจัยสำคัญ เช่น
* ลักษณะของไมเกรน (episodic vs. chronic)
* โรคร่วมที่มีอยู่ เช่น โรคหัวใจ, หอบหืด, ภาวะซึมเศร้า, การตั้งครรภ์
* ความพร้อมของยาและค่าใช้จ่าย
* ประวัติการตอบสนองหรือผลข้างเคียงจากยาที่เคยใช้ในอดีต

ยาหยุดถ่าย (โลโมติ้ว) ข้อควารรู้ก่อนใช้
06/12/2025

ยาหยุดถ่าย (โลโมติ้ว) ข้อควารรู้ก่อนใช้

ยาหยุดถ่ายไม่ได้เหมาะกับทุกคน: ข้อควรรู้ก่อนใช้ Loperamide

Loperamide คือยาอะไร?
Loperamide เป็นยากลุ่ม antimotility agent ซึ่งออกฤทธิ์ยับยั้งการเคลื่อนไหวของลำไส้ผ่านตัวรับ opioid เฉพาะที่บริเวณผนังลำไส้ ส่งผลให้การบีบตัวของลำไส้ลดลง ทำให้น้ำในอุจจาระถูกดูดซึมกลับมากขึ้น ช่วยลดความถี่และปริมาณของการถ่ายอุจจาระในผู้ป่วยที่มีภาวะท้องเสียเฉียบพลันบางประเภทได้
อย่างไรก็ตาม Loperamide มีบทบาทเพียงในการบรรเทาอาการ ไม่สามารถรักษาสาเหตุของโรคได้โดยตรง และไม่สามารถใช้ทดแทนการให้น้ำและสารละลายเกลือแร่ (oral rehydration salts, ORS) ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญในการรักษาภาวะขาดน้ำจากอุจจาระร่วง

กรณีที่ “อาจพิจารณา” ใช้ Loperamide ได้
จากแนวทางของ Infectious Diseases Society of America (IDSA) และแนวทางวิชาชีพอื่น ๆ ระบุว่าผู้ใหญ่ที่มีสุขภาพทั่วไปแข็งแรง สามารถใช้ Loperamide ได้ในบางสถานการณ์ โดยมีข้อพิจารณาดังต่อไปนี้:
* เป็นภาวะท้องเสียเฉียบพลันที่มีลักษณะเป็นน้ำ โดยไม่มีมูกเลือดปน
* ไม่มีไข้สูง
* ไม่มีอาการปวดท้องรุนแรงหรือท้องบวมโตผิดปกติ
* ใช้ยาในระยะเวลาสั้น ๆ เท่านั้น และควรรับประทานร่วมกับสารละลายเกลือแร่ (ORS) เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ
* หากผู้ป่วยมีอาการดีขึ้นภายใน 1–2 วัน และไม่มีสัญญาณเตือนหรือภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ โดยทั่วไปถือว่าสามารถใช้ยาได้อย่างปลอดภัยภายใต้คำแนะนำที่เหมาะสม

กลุ่มผู้ป่วยที่ “ไม่ควรใช้” Loperamide
แม้ Loperamide จะมีบทบาทในการบรรเทาอาการท้องเสียเฉียบพลันบางกรณีในผู้ใหญ่ แต่ก็มีหลายภาวะที่การใช้ยานี้อาจก่อให้เกิดอันตราย หรือทำให้โรคลุกลามรุนแรงขึ้นได้ โดยเฉพาะในกลุ่มต่อไปนี้:

1. เด็กเล็ก โดยเฉพาะอายุต่ำกว่า 2 ปี
มีหลักฐานจากแหล่งข้อมูลหลายฉบับ ระบุว่าห้ามใช้ Loperamide ในเด็กอายุน้อยกว่า 2 ปี เนื่องจากมีความเสี่ยงต่อภาวะกดการหายใจและหัวใจเต้นผิดจังหวะรุนแรง
แนวทางของ Infectious Diseases Society of America (IDSA) ยัง ไม่แนะนำให้ใช้ Loperamide ในเด็กและวัยรุ่น ที่มีอาการท้องเสียจากการติดเชื้อ เพราะอาจทำให้เชื้ออยู่ในลำไส้นานขึ้นและเพิ่มความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อน
> สรุป: เด็กที่มีอาการท้องเสียไม่ควรซื้อ Loperamide มาใช้เอง ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนเสมอ

2. ผู้ที่มีอาการท้องเสียร่วมกับมูกเลือดหรือไข้สูง
ผู้ป่วยที่มีอาการต่อไปนี้ไม่ควรใช้ Loperamide:
* ถ่ายเป็นมูกเลือด
* มีไข้สูงร่วมกับอาการท้องเสีย
* สงสัยภาวะบิด (dysentery), ลำไส้อักเสบจากเชื้อรุนแรง หรือการติดเชื้อ *Clostridioides difficile*
การใช้ Loperamide ในกลุ่มนี้อาจเพิ่มความเสี่ยงของภาวะลำไส้โป่งพองเป็นพิษ (toxic megacolon) และภาวะแทรกซ้อนรุนแรงอื่น ๆ

3. ผู้ป่วยโรคลำไส้อักเสบหรือโรคทางเดินอาหารบางชนิด
ควรหลีกเลี่ยงการใช้ Loperamide ในกรณีต่อไปนี้:
* ช่วงที่โรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง (เช่น ulcerative colitis) กำเริบรุนแรง
* สงสัยภาวะลำไส้อุดตัน มีอาการท้องอืดมาก หรือปวดท้องเป็นพัก ๆ
* ผู้ป่วย HIV ที่มีลำไส้อักเสบจากการติดเชื้อ มีรายงานว่า Loperamide อาจเพิ่มความเสี่ยงของ toxic megacolon ได้
การใช้ยาดังกล่าวในกลุ่มนี้ควรอยู่ภายใต้การประเมินและดูแลโดยแพทย์เท่านั้น

4. ผู้ป่วยโรคตับรุนแรง
เนื่องจาก Loperamide ถูกเมแทบอไลซ์ผ่านตับ ผู้ที่มีภาวะตับเสื่อมขั้นรุนแรงอาจมีระดับยาในกระแสเลือดสูงผิดปกติ ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงของอาการไม่พึงประสงค์ได้ การใช้ยาควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด

5. ผู้มีโรคหัวใจ หรือใช้ยาที่มีผลต่อการเต้นของหัวใจ
องค์การอาหารและยาสหรัฐฯ (U.S. FDA) รายงานว่าการใช้ Loperamide เกินขนาดที่แนะนำ หรือใช้ร่วมกับยาบางชนิด อาจทำให้เกิดหัวใจเต้นผิดจังหวะรุนแรง เช่น:
* QT interval prolongation
* Torsades de Pointes
* ภาวะหัวใจหยุดเต้น
แม้แต่ในผู้ที่ไม่มีโรคหัวใจมาก่อน ก็ยังพบความเสี่ยงดังกล่าวได้ โดยเฉพาะเมื่อมีการใช้ร่วมกับยาที่มีปฏิกิริยากับ Loperamide
ผู้ที่ควรระวังเป็นพิเศษ ได้แก่
> ผู้ที่มีประวัติหัวใจเต้นผิดจังหวะ
> ผู้ที่ใช้ยาที่มีผลยืด QT interval
> ผู้ที่ใช้ยาที่มีปฏิสัมพันธ์ทางเภสัชจลนศาสตร์กับ Loperamide

6. หญิงตั้งครรภ์และหญิงให้นมบุตร
ข้อมูลจากหน่วยงานบริการสุขภาพแห่งชาติของสหราชอาณาจักร (NHS) ระบุว่า การใช้ Loperamide ในหญิงตั้งครรภ์หรือให้นมบุตรควรประเมินความเหมาะสมเป็นรายบุคคล โดยอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์เท่านั้น

ความเสี่ยงจากการใช้ Loperamide เกินขนาดหรือใช้นานเกินไป
แม้ Loperamide จะถือเป็นยาที่มีความปลอดภัยในระดับหนึ่งหากใช้ตามขนาดที่แนะนำ แต่หากใช้ไม่เหมาะสม เช่น ใช้ในขนาดสูงกว่าที่ระบุบนฉลาก หรือใช้อย่างต่อเนื่องโดยไม่มีการประเมินจากบุคลากรทางการแพทย์ อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้
อาการไม่พึงประสงค์ที่พบบ่อย
การใช้ Loperamide อาจก่อให้เกิดอาการข้างเคียงที่ไม่รุนแรง เช่น:
* ท้องผูก
* ท้องอืด แน่นท้อง
* คลื่นไส้
* เวียนศีรษะ
อาการเหล่านี้มักเกิดในช่วงเริ่มต้นการใช้ยา หรือเมื่อใช้ยานานเกินไป

ความเสี่ยงจากการใช้เกินขนาด
มีรายงานจากองค์การอาหารและยาสหรัฐฯ (U.S. FDA) และแหล่งข้อมูลอื่น ๆ ว่า การใช้ Loperamide เกินขนาดหลายเท่าจากที่แนะนำ โดยเฉพาะในความพยายามบรรเทาอาการท้องเสียหรือใช้เพื่อวัตถุประสงค์นอกเหนือข้อบ่งใช้ อาจก่อให้เกิด:
* ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะที่รุนแรง เช่น QT interval prolongation และ Torsades de Pointes
* หัวใจหยุดเต้น
* การเสียชีวิตในบางกรณี แม้ในผู้ที่ไม่มีโรคหัวใจพื้นฐานมาก่อน【Drug Office, U.S. FDA】
การใช้ยาอย่างถูกต้องและอยู่ภายใต้คำแนะนำทางการแพทย์จึงเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง

สัญญาณอันตรายที่ควรหยุดยาและพบแพทย์ทันที
ไม่ควรซื้อ Loperamide มาใช้เองหากมีอาการต่อไปนี้:
* ไข้สูง หนาวสั่น หรืออาการปวดท้องรุนแรง
* ท้องแข็ง หรือบวมโตผิดปกติ
* ถ่ายเป็นเลือด หรือมูกเลือด
* ถ่ายเหลวปริมาณมากหรือถี่จนสงสัยภาวะขาดน้ำ เช่น ปากแห้ง ตาลึก ปัสสาวะน้อย หน้ามืด โดยเฉพาะใน เด็กเล็กและผู้สูงอายุ
* ท้องเสียภายหลังการเดินทางกลับจากต่างประเทศ หรือหลังใช้ยาปฏิชีวนะต่อเนื่อง (เสี่ยงติดเชื้อ Clostridioides difficile)
* ท้องเสียนานต่อเนื่องหลายสัปดาห์ น้ำหนักลด ซีด อ่อนเพลีย

หลักการใช้ Loperamide อย่างปลอดภัย
เพื่อความปลอดภัยในการใช้ยา ควรปฏิบัติดังนี้:
* อ่านฉลากยาอย่างละเอียด และใช้ ตามขนาดและระยะเวลาที่แนะนำ อย่างเคร่งครัด
* ใช้เฉพาะในผู้ใหญ่ที่ไม่มีข้อห้ามใช้ตามที่กล่าวในแนวทาง
* ดื่มน้ำและสารละลายเกลือแร่ (ORS) อย่างเพียงพอ แม้จะได้รับ Loperamide แล้วก็ตาม
* ห้ามแบ่งยาให้ผู้อื่นใช้ โดยไม่ได้ประเมินอาการโดยบุคลากรทางการแพทย์
* ผู้ที่มีโรคประจำตัว ใช้ยาหลายชนิด อยู่ระหว่างตั้งครรภ์ หรือให้นมบุตร ควรแจ้งรายการยาทั้งหมดแก่แพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ยา

สรุป
Loperamide เป็นยาที่มีประโยชน์ในการบรรเทาอาการท้องเสียเฉียบพลันในผู้ใหญ่ที่มีสุขภาพแข็งแรง และไม่มีภาวะซับซ้อนอื่นร่วมด้วย อย่างไรก็ตาม:
* ไม่ใช่ทุกคนสามารถใช้ Loperamide ได้อย่างปลอดภัย โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง เช่น เด็กเล็ก ผู้มีไข้สูง ถ่ายเป็นเลือด ผู้ป่วยโรคลำไส้อักเสบ โรคตับ โรคหัวใจ หรือผู้ที่ใช้ยาหลายชนิด
* การรักษาหลักของภาวะท้องเสียยังคงเน้นที่การทดแทนสารน้ำและเกลือแร่ ร่วมกับการวินิจฉัยสาเหตุที่แท้จริง
* หากอาการไม่ดีขึ้นภายใน 1–2 วัน หรือมีสัญญาณอันตราย ควรหยุดยาและรีบพบแพทย์ทันที

เป็นไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A ต้องทำอย่างไร
27/09/2025

เป็นไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A ต้องทำอย่างไร

#ตรวจเจอว่าป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์เอแล้วไปไหนต่อดี
เภสัชเอาคำแนะนำการรักษาผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่สำหรับบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข ฉบับปรับปรุง ปี2566 มาฝากค่ะ เภสัชเอามาย่อยเพื่อให้คนไข้อ่านเข้าใจง่ายขึ้นดังนี้

1. ดูว่า คนไข้มีอาการรุนแรงไหม (เช่น ซึม กินได้น้อย ขาดน้ำ เหนื่อย) ถ้า มีอาการดังกล่าว ไปโรงพยาบาลทันที

2. ถ้าอาการไม่รุนแรง ให้ดูว่า คนไข้เสี่ยงต่อโรครุนแรงไหม* เช่น
- ผู้หญิงตั้งครรภ์ หรือหลังตลอดไม่เกินอาทิตย์
- โรคอ้วน
- เด็กอายุน้อยกว่า2ปี
- ผู้สูงอายุมากกว่า60ปี
- โรคที่มีการใช้ยากดภูมิ, โรคที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ เช่น SLE, HIV, คนไข้ปลูกถ่ายอวัยวะ
- อายุน้อยกว่า18ปี ที่กำลังกินยาแอสไพริน
- โรคทางพันธุกรรม และเด็กที่มีภาวะบกพร่องทางระบบประสาทรุนแรง พัฒนาการช้า โรคลมชัก
- คนไข้โรคเรื้อรัง เบาหวาน ไต มะเร็ง ปอดเรื้อรัง โรคหัวใจและหลอดเลือด ตับ เป็นต้น
*ให้ไปโรงพยาบาลเพื่อรับยาต้านไวรัสให้เร็วที่สุด

3. ผู้ป่วยที่ไม่ใช่กลุ่มเสี่ยงต่อโรครุนแรงในข้อ2
-ให้ยาตามอาการ ถ้ามีอาการไม่เกิน 48ชั่วโมง พิจารณาการรับยาต้านไวรัส (สั่งจ่ายโดยแพทย์ในโรงพยาบาลเท่านั้น)
-ไม่ต้องใช้ยาปฏิชีวนะ ยกเว้นมีข้อบ่งใช้อื่น เช่นไซนัสอักเสบร่วมด้วย
-ถ้าคนไข้อาการไม่ดีขึ้นหลัง48 ชั่วโมง ให้ไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาล

หมายเหตุ:
- ยาต้านไวรัส Oseltamivir มีเฉพาะในโรงพยาบาล และต้องสั่งจ่ายโดยแพทย์เท่านั้น ห้ามซื้อยากินเอง
- ไม่มีข้อแนะนำให้กินยาOseltamivir เพื่อป้องกันหลังการสัมผัสผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ หากสัมผัสโรคให้สังเกตอาการตัวเองให้ดีและเริ่มยาให้เร็วที่สุดทันทีหลังมีอาการแสดง
- ถ้ามีอาการเหมือนหวัด ไข้สูงไม่ค่อยลง ตรวจATKเถอะค่ะ, การฉีดวัคซีนไม่ได้ป้องกันการติด แต่ช่วยลดความรุนแรงของโรคที่เป็น
#แสงทองเภสัชหาดใหญ่

ยาคุมฉุกเฉิน ใช้อย่างไร ใช้เมื่อไหร่
27/09/2025

ยาคุมฉุกเฉิน ใช้อย่างไร ใช้เมื่อไหร่

ยาคุมกำเนิดฉุกเฉินคืออะไร? ใช้เมื่อไหร่ และใช้อย่างไรให้ได้ผล

ยาคุมกำเนิดฉุกเฉิน (Emergency Contraception: EC) คืออะไร?
ยาคุมกำเนิดฉุกเฉิน หรือ EC คือวิธีช่วยป้องกันการตั้งครรภ์ที่ใช้ในกรณี “ฉุกเฉิน” เช่น มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ป้องกัน หรือถุงยางหลุด/รั่ว โดย ไม่ใช่ยาที่ใช้เป็นประจำ ทุกครั้งหลังมีเพศสัมพันธ์

วิธีที่ใช้มี 2 แบบหลัก
- ยาเม็ดคุมกำเนิดฉุกเฉิน : ออกฤทธิ์โดยยับยั้งหรือชะลอการตกไข่ ทำให้ไข่ไม่พร้อมสำหรับการปฏิสนธิ
- ห่วงอนามัยทองแดง (Copper IUD) : เมื่อใส่เข้าไปในโพรงมดลูก จะรบกวนกระบวนการปฏิสนธิและการฝังตัวของไข่ที่ปฏิสนธิแล้ว
🛑 EC ไม่สามารถยุติการตั้งครรภ์ที่เกิดขึ้นแล้ว และไม่ใช่ยาทำแท้ง

ยาคุมกำเนิดฉุกเฉิน มีกี่แบบ? มียาอะไรบ้าง?
ปัจจุบันมียาคุมกำเนิดฉุกเฉินและวิธีอื่น ๆ ที่สามารถใช้ได้ภายในไม่กี่วันหลังมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน โดยแบ่งออกเป็น 3 ทางเลือกหลัก:
1. ยาเลโวนอร์เจสเตรล (Levonorgestrel – LNG)
- ขนาด 1.5 มิลลิกรัม แบบเม็ดเดียว รับประทานครั้งเดียว
- ควรใช้ให้เร็วที่สุดหลังมีเพศสัมพันธ์ และได้ผลดีที่สุดภายใน 72 ชั่วโมง (3 วัน)
- ยังสามารถใช้ได้ถึง 120 ชั่วโมง (5 วัน) แต่ประสิทธิภาพจะลดลงตามระยะเวลา
- จากการศึกษาพบว่าอัตราการตั้งครรภ์หลังใช้ อยู่ที่ประมาณ 1.2–2.1%

2. (Ulipristal Acetate – UPA)
- ขนาด 30 มิลลิกรัม รับประทานครั้งเดียว
- ใช้ได้ถึง 120 ชั่วโมง (5 วัน) หลังมีเพศสัมพันธ์
- มีประสิทธิภาพดีกว่า LNG โดยเฉพาะเมื่อใช้นานกว่า 72 ชั่วโมงหลังมีเพศสัมพันธ์

3. ห่วงอนามัยทองแดง (Copper IUD)
- ต้องใส่โดยแพทย์หรือบุคลากรสาธารณสุขที่ได้รับการฝึกฝน
- ใส่ได้ภายใน 120 ชั่วโมง (5 วัน) หลังเพศสัมพันธ์
- มีประสิทธิภาพสูงมากกว่า 99%
- ข้อดีเพิ่มเติมคือ สามารถใช้ต่อเนื่องเป็นวิธีคุมกำเนิดระยะยาวได้

🔍 หมายเหตุเพิ่มเติม
แนวทางบางประเทศรายงานว่า ห่วงอนามัยชนิดฮอร์โมน LNG-IUD ขนาด 52 มิลลิกรัม อาจใช้เป็นวิธีคุมกำเนิดฉุกเฉินได้หากใส่ภายใน 5 วัน และให้ผลใกล้เคียงกับห่วงทองแดง แต่การใช้จริงขึ้นกับระบบบริการและการเข้าถึงในแต่ละประเทศ

ควรใช้ยาคุมกำเนิดฉุกเฉินเมื่อใด?
ยาคุมกำเนิดฉุกเฉิน (EC) ควรใช้ในกรณีที่มีความเสี่ยงต่อการตั้งครรภ์ โดยเฉพาะในสถานการณ์ต่อไปนี้:
- มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ป้องกัน
- การคุมกำเนิดล้มเหลว เช่น
- ถุงยางอนามัยแตก หรือหลุด
- ใช้ถุงยางผิดวิธี
- ลืมรับประทานยาคุมรายวัน
- ลืมไปฉีดยาคุมแบบฉีด หรือฉีดยาช้าเกินกำหนด
💔 กรณีถูกล่วงละเมิดทางเพศ:
ควรรีบพบแพทย์ทันทีเพื่อรับการดูแลอย่างเหมาะสม เช่น
- การป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
- การพิจารณาการใช้ยาคุมกำเนิดฉุกเฉิน
- การพิจารณาให้ยาป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี (PEP) ซึ่งต้องเริ่มภายใน 72 ชั่วโมง

ใช้ยาคุมกำเนิดฉุกเฉินอย่างไรให้ได้ผลดีที่สุด? (ทำตามขั้นตอนนี้)
✅ ขั้นที่ 1: เลือกวิธีให้เหมาะกับช่วงเวลา
- ภายใน 72 ชั่วโมงแรก (3 วัน)
→ ใช้ได้ทั้ง ยาเลโวนอร์เจสเตรล (LNG) และ ยาอูริพริสทาลอะซีเตต (UPA)
➕ แต่ถ้าเลือกได้ ให้พิจารณาใช้UPA เพราะออกฤทธิ์ได้ดีแม้ใช้ยาช้าในช่วงวันที่ 4–5
- ระหว่าง 72–120 ชั่วโมง (วันที่ 4–5)
→ แนะนำใช้ UPA หรือห่วงอนามัยทองแดง (Copper IUD)
➕ เพราะให้ผลดีกว่า LNG ในช่วงเวลานี้

✅ ขั้นที่ 2: วิธีใช้แต่ละแบบ
- ยาเลโวนอร์เจสเตรล (LNG 1.5 มก.)
→ รับประทาน 1 เม็ด ครั้งเดียว ให้เร็วที่สุดหลังมีเพศสัมพันธ์
- ยาอูริพริสทาลอะซีเตต (UPA 30 มก.)
→ รับประทาน 1 เม็ด ครั้งเดียว ให้เร็วที่สุดหลังเหตุการณ์
- ห่วงอนามัยทองแดง (Copper IUD)
→ นัดพบแพทย์เพื่อใส่ห่วง ภายใน 5 วัน
➕ หลังใส่สามารถใช้คุมกำเนิดระยะยาวต่อเนื่องได้

✅ ขั้นที่ 3: หากอาเจียน
- หาก อาเจียนภายใน 3 ชั่วโมง หลังรับประทานยา
→ ให้รับประทานยาซ้ำอีก 1 เม็ด โดยเร็วที่สุด
→ และอาจพิจารณาใช้ยากันคลื่น เพื่อป้องกันอาเจียนซ้ำ

✅ ขั้นที่ 4: เริ่ม/กลับไปใช้การคุมกำเนิดประจำ
- หลังใช้ LNG
→ เริ่มหรือกลับไปใช้ยาคุมแบบปกติได้ทันที
→ แนะนำให้ใช้ถุงยางร่วมด้วยในช่วง 7 วันแรก
- หลังใช้ UPA
→ ควรรออย่างน้อย 5 วัน ก่อนเริ่มใช้ยาคุมชนิดฮอร์โมน
→ เพราะยาฮอร์โมนอาจลดประสิทธิภาพของ UPA
→ เมื่อเริ่มใช้แล้ว ให้ใช้ถุงยางร่วมด้วยในช่วง 7 วันแรก

✅ ขั้นที่ 5: ตรวจการตั้งครรภ์
- หากประจำเดือนไม่มา ภายใน 3 สัปดาห์หลังใช้ EC
→ ควรตรวจการตั้งครรภ์เพื่อความแน่ใจ

❓ คำถามพบบ่อยเกี่ยวกับ “ยาคุมกำเนิดฉุกเฉิน” (Emergency Contraception: EC)

สามารถใช้ EC บ่อย ๆ ได้ไหม?
สามารถใช้ซ้ำได้เมื่อมีความจำเป็น แม้ในรอบเดือนเดียวกัน
แต่‼️ ไม่ควรใช้เป็นวิธีคุมกำเนิดประจำ เพราะ:
- ประสิทธิภาพสู้วิธีคุมกำเนิดแบบประจำไม่ได้
- อาจทำให้มีเลือดออกผิดปกติ เช่น เลือดมากกว่าปกติ หรือมากะปริดกะปรอยบ่อยครั้ง
📌 แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ เพื่อเลือกวิธีคุมกำเนิดที่เหมาะสมในระยะยาว เช่น:
- ยาเม็ดคุมกำเนิดรายเดือน
- ห่วงอนามัย (IUD)
- ยาฝังคุมกำเนิด

EC ป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STIs) ได้หรือไม่?
ไม่ได้ค่ะ/ครับ
EC มีหน้าที่แค่ป้องกันการตั้งครรภ์แต่ไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ (เช่น หนองใน ซิฟิลิส เอชไอวี ฯลฯ)
✅ เพื่อความปลอดภัย:
- ควรใช้ถุงยางทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์
- หากถูกล่วงละเมิดทางเพศ ควรรีบพบแพทย์โดยเร็วที่สุด เพื่อ:
- ประเมินความเสี่ยงของโรคติดต่อ
- พิจารณาให้ PEP (ยาป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี) ซึ่งต้องให้ภายใน 72 ชั่วโมง
- รับการสนับสนุนด้านจิตใจ

ทำไมหลังใช้ UPA ต้องรอ 5 วันก่อนเริ่มยาคุมแบบประจำ?
ยา Ulipristal Acetate (UPA) เป็นยากลุ่ม antiprogestin
→ ถ้าเริ่มยาคุมชนิดฮอร์โมนเร็วเกินไป อาจรบกวนการออกฤทธิ์ของ UPA ได้
📌 จึงควร:
- เว้นระยะอย่างน้อย 5 วัน ก่อนเริ่มใช้ยาคุมแบบประจำ
- เมื่อเริ่มใช้แล้ว ควร ใช้ถุงยางร่วมในช่วง 7 วันแรก เพื่อความมั่นใจว่ามีการคุมกำเนิดอย่างมีประสิทธิภาพ

แมลงก้นกระดก เจอบ่อยๆครับ ต้องแยกระหว่างเริม งูสวัส และแมลงก้นกระดก
25/09/2025

แมลงก้นกระดก เจอบ่อยๆครับ ต้องแยกระหว่างเริม งูสวัส และแมลงก้นกระดก

#แมลงก้นกระดก / แมลงน้ำกรด / แมลงเฟรชชี่ / ด้วงก้นกระดก / ด้วงก้นงอน
เป็นชื่อเรียกหนึ่งของแมลงที่มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Paederus fuscipes ซึ่งเป็นแมลงขนาดเล็กประมาณ 7-8 มม. ลำตัวมีสีส้มสลับดำ มักอาศัยในเขตร้อนชื้น พบมากในช่วงฤดูฝนโดยแมลงจะชอบออกมาเล่นกับไฟตามบ้านเรือน
แม้จะเห็นตัวเล็ก ๆ แบบนี้ แต่พิษร้ายแรงมาก แมลงจะปล่อยสารพิษชื่อ ซึ่งมีฤทธิ์ระคายเคืองกับผิวหนัง ทำลายเนื้อเยื่อบริเวณที่โดน (บางแหล่งอ้างอิงกล่าวว่าพิษของมันอาจจะร้ายแรงกว่าพิษของงูเห่าด้วยซ้ำ) ทำให้มีอาการแสบร้อน คัน เป็นรอยไหม้และตุ่มน้ำพองได้ คนที่แพ้พิษของแมลงอาจจะทำให้มีไข้ คลื่นไส้ อาเจียน ได้ และหากเข้าตาก็จะทำให้ตาบอดได้เลย
อาการผื่นจะเกิดขึ้นภายหลังสัมผัสโดนในช่วง 24 ชั่วโมงและหากเป็นตามรอยพับแขน คอ หรือบริเวณผิวหนังที่ประกบกัน ก็จะเกิดผื่นบริเวณนั้นๆด้วย (kissing lesion) จากนั้น 2-3 วันจะเริ่มมีหนองเกิดขึ้น และตกสะเก็ดภายใน 7-10 วัน
เมื่อโดนพิษจากแมลงก้นกระดก สิ่งที่ควรทำคือ
รีบล้างด้วยน้ำเปล่า น้ำสบู่หรือน้ำเกลือล้างแผล
ประคบเย็นบริเวณที่โดน
หากแผลเล็ก สามารถหายได้เองใน 2-3 วันโดยไม่ต้องใช้ยา
หากมีอาการมาก แสบ แดง พุพอง ปวด ควรรีบไปพบแพทย์
ควรระวังการติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำบริเวณแผล โดยปกติควรทำความสะอาดแผลด้วยน้ำเกลือ ใส่ยาทาแผลชนิดฆ่าเชื้อ/สเตียรอยด์ลดอาการอักเสบของแผล และอาจะใช้ยาปฏิชีวนะหรือยาแก้ปวดร่วมในบางกรณีตามการพิจารณาของแพทย์
หลังจากหายแล้วอาจทิ้งรอยไว้ซักระยะหนึ่ง แต่จะค่อยๆจางไปเอง มักไม่ทำให้เกิดแผลเป็น
เมื่อพบเจอแมลงชนิดนี้ไม่ควรจับมาเล่นหรือสัมผัสโดนตัวของแมลงเด็ดขาด ควรเป่า สะบัดออก หรือหาถุงมาจับแมลง ตรวจสอบเสื้อผ้า หมอน มุ้งผ้าห่ม เสมอว่าไม่มีแมลงก้นกระดกแฝงตัวอยู่ สวมเสื้อผ้ามิดชิดเพราะแมลงมักจะเกาะบริเวณนอกร่มผ้าและปิดไฟดวงที่ไม่จำเป็นเพราะแมลงชอบออกมาเล่นกับหลอดไฟ

ยาแก้เมารถ ไดเมนไฮดริเนท (Dimenhydrinate )Dimenhydrinate 50 mgจำนวนเม็ด ต่อ แผงบรรจุเสร็จหากไม่เท่ากัน มีผลต่อสถานะและกา...
22/09/2025

ยาแก้เมารถ ไดเมนไฮดริเนท (Dimenhydrinate )

Dimenhydrinate 50 mg
จำนวนเม็ด ต่อ แผงบรรจุเสร็จ
หากไม่เท่ากัน มีผลต่อสถานะ
และการกระจายยาได้ ดังภาพ👇

สรุปได้ว่า Dimenhydrinate
2 เม็ด/แผง = ยาสามัญประจำบ้าน
แผงยาระบุ “ยาสามัญประจำบ้าน”
ร้านค้า/ร้านชำ จึงขายได้

10 เม็ด/แผง = ยาอันตราย
แผงยาระบุ “ยาอันตราย”
ขายได้ใน “ร้านยา” เท่านั้น

เราลองเดินเข้าร้านสะดวกซื้อ
ที่เปิด 24 ชม. มีสาขาทั่วประเทศ

จะเห็นตัวอย่าง Dimenhydrinate บรรจุเสร็จ 2 เม็ด/แผง ซึ่งเป็นยาสามัญประจำบ้าน ขายได้ตามกฎหมาย

หากร้านค้าทั่วไปทราบข้อนี้ จะเป็นทางเลือกทดแทน 10 เม็ด และเกิดส่วนแบ่งการตลาดทันที

อะม็อคซี่ ไม่ใข่ยาแก้อักเสบ
16/09/2025

อะม็อคซี่ ไม่ใข่ยาแก้อักเสบ

ทำไม Amoxicillin ไม่ใช่ “ยาแก้อักเสบ”

แล้ว “อักเสบ” กับ “ติดเชื้อ” ต่างกันยังไง?
คำว่า “อักเสบ” คือปฏิกิริยาของร่างกายต่อสิ่งที่มากระตุ้น เช่น การบาดเจ็บ การแพ้ หรือแม้แต่เชื้อโรค โดยจะมีอาการทั่วไปคือ บวม แดง ร้อน ปวด
แต่การอักเสบไม่ได้แปลว่ามีเชื้อเสมอไป
ส่วน“ติดเชื้อ” มักเกิดจากสิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ เช่น แบคทีเรีย ไวรัส เชื้อรา ซึ่งอาจทำให้เกิดการอักเสบได้ แต่ไม่ใช่ทุกการอักเสบจะเกิดจากการติดเชื้อ

แล้ว Amoxicillin ใช้กับอะไร?
Amoxicillin เป็นยาฆ่าเชื้อที่ออกฤทธิ์เฉพาะกับแบคทีเรีย
→ จึงใช้รักษาเฉพาะการติดเชื้อแบคทีเรียเท่านั้น
→ ไม่ใช่ “ยาแก้อักเสบ” ที่ช่วยลดอาการปวด บวม แดง ร้อน จากการอักเสบทั่วไป

ถ้าแค่ “อักเสบ” แต่ไม่ติดเชื้อ ใช้อะไรดี?
- อาการปวด บวมจากการอักเสบทั่วไป เช่น ข้อเท้าแพลง ปวดประจำเดือน
👉 มักใช้ยาในกลุ่ม NSAIDs เช่น ibuprofen, naproxen
ถ้าไม่สามารถใช้ NSAIDs ได้
👉 อาจเลือกใช้ ยาพาราเซตามอล ตามคำแนะนำของแพทย์หรือเภสัชกร
❗️อย่าใช้ยาฆ่าเชื้อพร่ำเพรื่อ เพราะอาจทำให้เชื้อดื้อยา และไม่ช่วยอะไรถ้าไม่ได้ติดเชื้อ

📌 ยาปฏิชีวนะ: ใช้เมื่อไหร่ดี?
✅ ใช้เมื่อจำเป็นจริง ๆ (ตัวอย่างที่พบบ่อย)
- คออักเสบจากเชื้อแบคทีเรีย Streptococcus กลุ่ม A → แพทย์อาจสั่งยา penicillin หรือ amoxicillin ให้
- หูชั้นกลางอักเสบ หรือ ไซนัสอักเสบจากแบคทีเรีย
→ หากแพทย์วินิจฉัยว่าเป็นจากแบคทีเรีย
→ อาจพิจารณาให้ยาปฏิชีวนะตามแนวทางการรักษา
📝 หมายเหตุ
- เจ็บคอส่วนใหญ่หายเองประมาณ 1 สัปดาห์
- สาเหตุส่วนมากมาจากไวรัส
→ ไม่จำเป็นต้องใช้ยาฆ่าเชื้อแต่แรก
→ เริ่มต้นด้วยการดูแลอาการ เช่น ดื่มน้ำมาก ๆ พักผ่อน

❌ ไม่ควรใช้ในกรณีต่อไปนี้
- หวัดธรรมดา
- ไข้หวัดใหญ่
- หลอดลมอักเสบจากไวรัส (chest cold)
- น้ำมูกหรือเสมหะสีเขียว → ไม่ได้แปลว่าต้องใช้ยาฆ่าเชื้อเสมอไป
📌 ยาปฏิชีวนะไม่ได้ช่วยให้อาการจากไวรัสดีขึ้น และอาจทำให้เกิดดื้อยา ในอนาคต

⚠️ ความเสี่ยงที่ควรรู้ ก่อนใช้ “ยาปฏิชีวนะ” (antibiotic)
ผลข้างเคียงที่พบได้
- ผื่น
- เวียนศีรษะ
- คลื่นไส้ / ท้องเสีย
❗️ถ้าท้องเสียรุนแรงหลังใช้ยาปฏิชีวนะ
👉 ระวังภาวะติดเชื้อ C. difficile → รีบพบแพทย์ทันที

🧬 การใช้พร่ำเพรื่อ = เสี่ยงเชื้อดื้อยา (AMR)
การใช้ยาฆ่าเชื้อแบบไม่จำเป็น หรือไม่ถูกต้อง
→ ทำให้เชื้อ “ดื้อยา”
→ รักษายากขึ้น
→ ส่งผลกระทบทั้งตัวผู้ป่วย และสังคมในวงกว้าง

✅ ใช้อย่างไรให้ปลอดภัย
- อย่าเรียกร้องให้แพทย์จ่ายยาหากไม่จำเป็น
- ถ้าจำเป็นต้องใช้ → ใช้ตามแผนการรักษาอย่างเคร่งครัด
- ห้ามแบ่งยาให้ผู้อื่น และห้ามเก็บไว้ใช้เองในอนาคต
- ถ้ามีอาการไม่พึงประสงค์ → ติดต่อเภสัชกรหรือบุคลากรสาธารณสุขทันที

🧠 สรุปสั้น ๆ
- Amoxicillin = ยาฆ่าเชื้อ (ปฏิชีวนะ)
ไม่ใช่ “ยาแก้อักเสบ” แบบลดปวดบวม
- ใช้เฉพาะเมื่อเป็นการติดเชื้อแบคทีเรีย
→ ภายใต้คำแนะนำของแพทย์
- หวัด / ไข้หวัดใหญ่ / ไอส่วนใหญ่ไม่ต้องใช้
- การใช้พร่ำเพรื่อ = เสี่ยงเชื้อดื้อยา + อาการข้างเคียงไม่คาดคิด

เรื่องของ ริดสีดวงทวาร
11/09/2025

เรื่องของ ริดสีดวงทวาร

𝟒 ระยะ ริดสีดวงทวารหนัก 𝐇𝐞𝐦𝐨𝐫𝐫𝐡𝐨𝐢𝐝𝐬
คุณอยู่..ระยะไหน? 🚽🩸
------------------------------
โรคริดสีดวงทวารหนัก เป็นโรคที่ทำให้ผู้ป่วยมีความเจ็บปวดทรมาน ทั้งยังรบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน แต่สามารถรักษาให้หายได้หากรู้วิธีการรักษาที่ถูกต้องเหมาะสม ซึ่งริดสีดวงระยะต้นๆ สามารถรักษาและบรรเทาอาการได้ด้วยตนเองและการใช้ยา
อาการริดสีดวงทวารหนักคือ ภาวะหลอดเลือดดำที่ทวารหนักปูด และผนังหลอดเลือดปริแตกในขณะขับถ่ายอุจจาระ จึงทำให้มีเลือด 🩸 ออกเป็นครั้งคราว อาจมีหัวเดียวหรือหลายหัวก็ได้
ชนิดของริดสีดวงทวาร
------------------------------
🚽 1. ริดสีดวงทวารชนิดเป็นภายใน หมายถึง ริดสีดวงทวารที่เกิดเหนือทวารหนักขึ้นไป ตามปกติจะไม่โผล่ออกมาให้เห็นและคลำไม่ได้ และมักจะถูกคลุมด้วยเยื่อลำไส้ใหญ่ตอนปลายสุดจะไม่ก่อให้เกิดความเจ็บปวดในขณะที่ยังไม่มีอาการแทรกซ้อน
🚽 2. ริดสีดวงทวารชนิดเป็นภายนอก หมายถึง ริดสีดวงที่เกิดขึ้นบริเวณปากรอยย่นของทวารหนัก สามารถมองเห็นและคลำได้ หลอดเลือดที่โป่งพองจะถูกคลุมด้วยผิวหนังจึงอาจเกิดความเจ็บปวดได้ เพราะผิวหนังมีปลายประสาทรับความรู้สึก
ริดสีดวงแบบภายในสามารถแบ่งตามระยะความรุนแรงของโรคได้เป็น 4 ระยะ ได้ดังนี้
---> 🩺 ระยะที่ 1 หลอดเลือดที่โป่งพอง ยังเกิดอยู่ภายในทวารหนักและลำไส้ตรง และยังไม่มีหัวริดสีดวงโผล่ออกมา สามารถรักษาโดยการให้ยา หรือฉีดยาเข้าไปในตำแหน่งที่มีเลือดออกได้
---> 🩺 ระยะที่ 2 หัวริดสีดวงปลิ้นโผล่ออกมาอยู่ที่ปากทวารหนักในขณะถ่ายอุจจาระ แต่หัวที่โผล่ออกมานี้สามารถกลับเข้าไปภายในทวารหนักได้เองหลังจากขับถ่ายอุจจาระเสร็จ สามารถรักษาโดยใช้วิธียิงยางรัดโคนหรือหัวของริดสีดวงที่โผล่ออกมาได้ ซึ่งจะทำให้หัวริดสีดวงนั้นฝ่อและหลุดออกไปเอง หรือสามารถรักษาได้ด้วยวิธีการรับประทานยา
---> 🩺 ระยะที่ 3 หัวริดสีดวงจะไม่สามารถกลับเข้าไปภายในทวารหนักเองได้หลังจากขับถ่ายอุจจาระเสร็จ แต่ยังสามารถใช้นิ้วดันกลับเข้าไปภายในทวารหนักได้ สามารถรักษาได้ด้วยวิธีการรับประทานยาหรือผ่าตัด
---> 🩺 ระยะที่ 4 หัวริดสีดวงจะกลับเข้าไปภายในทวารหนักไม่ได้ และจะค้างอยู่ที่ปากทวารหนัก ถึงแม้จะใช้นิ้วช่วยดันแล้วก็ตาม ซึ่งในระยะนี้ผู้ป่วยจะมีอาการเจ็บปวดมาก หัวริดสีดวงอาจจะเน่าจากการขาดเลือด สามารถรักษาได้ด้วยวิธีการรับประทานยาหรือผ่าตัด
ริดสีดวงทวาร เกิดจากพฤติกรรม?
-----------------------------------
🔸 อาชีพ ผู้ที่มีอาชีพที่ต้องยืนนาน ๆ หรือ นั่งนานๆ จะมีผลให้ความดันเลือดในหลอดเลือดดำบริเวณปากทวารไหลกลับสู่หลอดเลือดดำในช่องท้องช้าลง โดยทั่วไปหลอดเลือดดำมีลิ้นเพื่อให้เลือดดำไหลกลับได้ทางเดียวแต่เมื่อการไหลของเลือดดำช้าลงประกอบกับมีความดันในช่องท้องสูงจึงเกิดการคั่งของหลอดเลือดดำบริเวณกลุ่มหลอดเลือดปากรูทวารหนักส่งผลให้กลุ่มหลอดเลือดดำโป่งพองจนเกิดอาการของโรค
🔸 เกิดจากโรคแทรกซ้อนของโรคอื่น ๆ เช่น โรคตับแข็งหรือโรคตับอักเสบไวรัสบี ซึ่งจะมีอาการท้องมานในระยะสุดท้าย และเมื่อมีน้ำในช่องท้องมาก ๆ จะส่งผลไปกดการไหลเวียนเลือดในช่องท้องเป็นสาเหตุทำให้หลอดเลือดดำไหลกลับเข้าช่องท้องได้ไม่ดีนัก
🔸 พฤติกรรมการขับถ่าย เช่น นั่งถ่ายเป็นเวลานานๆ ท้องผูกเป็นประจำ
🔸 หญิงตั้งครรภ์
การดูแลตนเองเมื่อเป็นริดสีดวง
-----------------------------------
🚽 การนั่งแช่ในน้ำอุ่น ♨️ โดยผสมด่างทับทิมลงในน้ำอุ่นให้เป็นสีชมพูจางๆ จากนั้นนั่งในน้ำอุ่นที่ผสมด่างทับทิมเป็นเวลา 15-30 นาที ควรนั่งทั้งตอนก่อนขับถ่ายอุจจาระและหลังขับถ่ายอุจจาระ
🚽 การเหน็บยาที่มีฤทธิ์ลดการอักเสบ หรือมียาชา, สเตียรอยด์เป็นส่วนผสม เพื่อรักษาริดสีดวง ซึ่งสามารถหาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไป ในขั้นตอนการเหน็บยาต้องล้างมือให้สะอาดก่อนเสมอด้วยสบู่อ่อนๆ และซับให้แห้ง หรือสวมถุงมือยางให้เรียบร้อย
🚽 การกินยารักษาริดสีดวง ที่มีส่วนผสมของ Diosmin และ Hesperidin ซึ่งผู้ป่วยสามารถแจ้งอาการกับเภสัชกรในร้านยาได้เพื่อรับยาและวิธีการรับประทานที่เหมาะสม หากมีอาการปวดริดสีดวง ท้องผูก หรือเลือดออก 🩸 เภสัชกรจะพิจารณาจ่ายยาบรรเทาตามอาการอื่นๆ เพิ่มเติม เช่น Paracetamol, ยาบรรเทาอักเสบลดปวดกลุ่ม NSAIDs, ผง fiber , ยาระบาย MOM เป็นต้น
🚽 กรณีเลือดออกมากจนมีอาการซีด เภสัชกรอาจจะเพิ่มยาบำรุงเลือดให้
ถ้ามีเลือดออกนานกว่า 1 สัปดาห์ หรือเป็น ๆ หาย ๆ บ่อย หรือสงสัยมีโรคอื่นร่วมด้วย หรือพบในคนอายุมากกว่า 40 ปี ควรพบแพทย์เพื่อตรวจด้วยเครื่องส่องตรวจทวารหนักถ้าหากสงสัยเป็นมะเร็งของลำไส้ใหญ่ 🩺 ถ้าเป็นมากแพทย์อาจพิจารณารักษาด้วยวิธีอื่นๆ เช่น การฉีดยาเข้าที่หัวริดสีดวงให้ฝ่อไป, ใช้ยางรัด ทำให้หัวฝ่อ, ใช้แสงเลเซอร์รักษา, การผ่าตัด เป็นต้นค่ะ

อยากให้อ่านกันครับ
06/09/2025

อยากให้อ่านกันครับ

#ภาวะกตัญญูเฉียบพลัน

~~•*•~~•*•~~•*•~~•*•~~•*•~~•*•~~•*•~~•*•

แม่ผัน มีลูก ๕ คน ปีนี้ ย่างเข้า ๗๔ ปีแล้ว เรียนจบประถมสาม สามีเสียชีวิตตั้งแต่ลูกคนเล็ก อายุได้สองขวบ
แม่ผันเลี้ยงลูกคนเดียว หนักเอาเบาสู้ ทำไร่ทำสวน รับจ้างทั่วไป เป็นคนขยัน ประหยัด มัธยัธถ์

ด้วยความที่คิดว่า ตัวเองด้อยการศึกษา ชีวิตจึงลำบาก แม่ผัน จึงตั้งใจส่งให้ลูกได้เรียนตามความสามารถของแต่ละคน จนจบปริญญาตรีกันได้ทุกคน

ยกเว้น นุช ลูกสาวคนโต ที่ต้องออกจากโรงเรียนเมื่อจบประถมต้น เพื่อมาช่วยแม่ปลูกผัก ขายของที่ตลาด และช่วยแม่ผันเลี้ยงน้องทุกคน ด้วยความอดทน แม้จะเคยนึกน้อยใจในโชคชะตาของตัวเองบ้าง แต่แม่ก็พร่ำสอน ให้ เสียสละ ช่วยแม่ ส่งน้องเรียน เพื่อทุกคน จะได้มีอนาคตที่ดีร่วมกัน

ลูกชายคนที่สอง เรียนเก่ง เมื่อ เรียนจบได้ทำงานบริษัทที่มั่นคง ไต่เต้าจนได้เป็น ผู้จัดการโรงงานที่ต่างประเทศ มีฐานะที่ดี แต่งงาน มีครอบครัวที่นั่น ไม่ค่อยได้กลับบ้าน ส่งเงินมาช่วยทางบ้านบ้าง เป็นช่วงๆ ลูกชายโทรมาคุยด้วย ๒-๓ เดือนครั้ง ทุกครั้งแม่ผันก็ดีใจ ตื่นเต้นจนไม่เป็นอันกินอันนอนไป หลายวัน

ส่วนลูกสาวอีกสามคน ก็มีครอบครัวแยกย้ายไปต่างอำเภอ ต่างจังหวัด กันหมด แม่ผัน จึงอยู่กับ นุช มาตลอด

จนเมื่อ อายุย่างเข้า ๗๑ ก็เริ่มป่วยกระเสาะกระแสะ ไอโขลกๆ ทั้งวัน กินอาหารได้น้อย ผอมลงมากรักษาตามบ้าน พบหมออนามัย เป็นครั้งคราว อาการทรงๆทรุดๆ มาเป็นปี สุดท้าย ได้รับการส่งต่อไปตรวจทีโรงพยาบาลจังหวัด
ตรวจอยู่หลายวัน จึงพบว่า เป็น มะเร็งปอด ระยะที่สอง จึงได้รับ การรักษา ด้วยเคมีบำบัด กับฉายแสง อยู่เกือบปี

ช่วงแรกแม่ผัน แพ้ยา ผมร่วง มีอาการอาเจียนตลอดเวลา ระหว่าง การรักษา นุช ดูแลแม่คนเดียวเป็นส่วนใหญ่ ลูกสาวอีกสามคนผลัดกันมาเยี่ยม อยู่เฝ้าไข้ได้สองสามวันก็กลับ เพราะมีลูกเล็ก และ ต้องทำงาน ลางานไม่ได้
ส่วนลูกชาย แม่ผัน สั่งลูกทุกคน ห้ามบอกเรื่องป่วย เพราะไม่อยากให้เป็นห่วง จนต้องทิ้งงานกลับมาเยี่ยม

แม่ผัน อาการดีขึ้นไม่นาน ขาด้านซ้ายก็เริ่มไม่มีแรง ล้มบ่อย พูดไม่รู้เรื่อง สับสน และไม่รู้สึกตัวบ่อยๆ นุช เฝ้าพยาบาลแม่ด้วยความกังวล
เวลาแม่ได้สติ แม่บอกนุช ว่า

"ลูก แม่เจ็บเหลือเกิน เจ็บคราวนี้ แม่คิดว่า คงได้เวลาของแม่แล้วนะ ปล่อยแม่ไปเถอะ แม่อยากกลับไปตายที่บ้านเรา "

นุชแอบร้องไห้ ไม่ให้แม่เห็น ปากก็บอกแม่ว่า "เดี๋ยวแม่ก็ดีขึ้น เหมือนคราวก่อนไง " ทั้งที่ใจเต็มไปด้วยความเวทนาแม่ที่ ทุกข์ ทรมาน อย่างที่ไม่คิดว่า จะมีใครทนแบบแม่ได้
ใจหนึ่ง ก็อยากให้แม่อยู่ต่อ เพราะรักแม่มาก อีกใจก็คิดว่า ทรมานแบบนี้ ถ้าเป็นตัวเอง คงจะไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อ แต่ก็ไม่กล้าพูดกับใคร

แม่ผัน อยู่ห้องผู้ป่วยหนัก ตรวจเลือด เอกซเรย์ หลายครั้ง สุดท้าย หมอบอกด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ว่า มีก้อนในสมองด้านขวา อาจจะเป็นก้อนมะเร็ง ที่แพร่เข้าสู่สมอง สอบถามญาติ ว่าจะให้ ส่งไปรักษาที่กรุงเทพหรือไม่ โดยแจ้งว่า ถ้าประเมินแล้วสามารถผ่าตัดได้ หลังผ่าตัด อาจต้องใส่เครื่องช่วยหายใจ ใส่ท่อให้อาหาร และหากปัสสาวะเองไม่ได้ ก็ต้องคาสายยางไว้
นุชเอง คิดว่า ตัวเองเรียนมาน้อย ตัดสินใจไม่ได้ ขอหมอปรึกษา ญาติ และน้องๆก่อน จึงโทรไปตาม น้องชาย และ น้องสาวทั้งสามคนมา ดูอาการแม่

น้องสาวคนที่ สาม เป็นครู มาเห็น ก็ร้อนใจ อยากเอาแม่ไปกรุงเทพฯ เผื่อจะมีวิธีอื่นที่ ช่วยแม่ได้ แต่ก็ไม่รู้จักใครที่กรุงเทพฯ ที่จะพอไปพักอาศัยได้
ส่วนอีกสองคน ว่าจะไปเอายาต้มมาให้แม่กิน จะพาไปรักษากับหมอพื้นบ้าน
แต่ทุกคน ก็เข้าใจตรงกันว่า อาการของแม่ดำเนินมาถึงระยะสุดท้าย รักษาไม่หายแล้ว แพทย์พยาบาลที่ดูแลกันมานานก็แจ้งว่า ผู้ป่วยกำลังจะเสียชีวิตในเวลาอีกไม่นาน แนะนำให้เตรียมตัวรับมือกับความสูญเสีย รีบสะสางภารกิจที่คั่งค้าง และหากประสงค์ จะให้ แม่ไปโดยสงบ ก็ขอให้ร่วมกันทำหนังสือแสดงเจตนาปฏิเสธการยื้อชีวิตที่ผู้ป่วยไม่ต้องการ เช่น ปั๊มหัวใจ ใส่ท่อช่วยหายใจ การให้ยากระตุ้นหัวใจ ผู้ป่วย

ลูกทั้งสี่คน ก็ดูจะเข้าใจสถานการณ์ดี สุดท้าย ตกลงยินยอมรับในสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น

วันรุ่งขึ้น ลูกชายที่ทราบข่าว ลางานกลับมา เมื่อเห็นพบแม่อาการทรุดหนัก ก็โกรธ ต่อว่าพี่นุชและน้องๆ ว่าดูแลแม่ยังไง ให้อาการมากขนาดนี้
แล้วยังทำหนังสือ ไม่ให้หมอช่วยแม่อีก
พี่นุช และน้องๆ นิ่งเงียบ ตระหนกกับ ความโกรธ ของลูกชายที่แม่รักที่สุด ลูกชาย ขอให้หมอ ส่งแม่เข้าไปรักษา ที่โรงพยาบาลเอกชน ด่วนที่สุด กำชับหมอให้ช่วยแม่ให้ถึงที่สุด ให้ปั๊มหัวใจ ใส่ท่อหายใจ ทำอย่างไรก็ได้ให้แม่รอดพ้นวิกฤติคราวนี้ให้ได้

ถึงตอนนี้ ครอบครัวแม่ผัน เกิดความลังเล หวั่นไหว อีกครั้งหนึ่ง นั่งซึมเหม่อ ร้องไห้กันทุกคน
แม่ผัน อยู่พักรักษาตัวที่โรงพยาบาลเอกชนไม่นาน ก็ต้องย้าย กลับโรงพยาบาลเดิม เพราะปัญหาค่าใช้จ่าย ส่วนลูกชายอยู่ดูแลแม่ได้สิบกว่าวัน ก็ต้องถูกตามกลับไปต่างประเทศ เนื่องจากมีงานด่วนต้องสะสาง ก่อนไป กำชับให้ดูแลแม่ให้ดีที่สุด

แม่ผัน นอนไม่รู้สติ ใส่ท่อหายใจ ใส่ท่ออาหาร ใส่สายปัสสาวะ น้ำเกลือ ระโยงระยาง นานอีก ๒ เดือนกว่า อย่างทรมาน โดยเฉพาะเวลา ต้องดูดเสมหะ แม่ผันเพ้อ ไม่ได้สติ มีแผลกดทับที่หลัง นุชจับตัวแม่ รู้สึกว่าแม่ตัวสั่นเทิ้ม ทรมาน กระสับกระส่าย ตลอดเวลา จนกลั้นน้ำตาไม่ไหว ร้องไห้ทุกวัน จนในที่สุด แม่ผันก็จากไป ด้วยความทุรนทุราย ด้วยทุกขเวทนาเป็นอันมาก
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .

นี่คือตัวอย่างของ ภาวะ "กตัญญูเฉียบพลัน"

ที่พบเห็นได้บ่อยครั้ง ในการดูแลผู้ป่วยหนักระยะสุดท้าย ที่มักจะเกิดขึ้นกับ ลูก/หลาน ที่ในช่วงชีวิตที่ผ่านมา ไม่ค่อยมีเวลา ไม่ค่อยได้ดูแลเอาใส่ใจพ่อแม่ ทั้งในเวลาปกติ และยามเจ็บป่วย
เมื่อถึงช่วงของการเจ็บป่วย ระยะสุดท้าย ก็มักจะทุ่มเททั้งเงิน และ ความพยายามทุกอย่าง เพื่อให้แพทย์ ได้ให้การรักษา เพื่อให้รอดชีวิต จนลืมคิดไปว่า ในกระบวนการรักษานั้น ผู้ป่วยจะทรมานเพียงใด

เพียงเพื่อจะยื้อยุดชีวิต จากความตายที่กำลังจะเกิดขึ้น เพราะตัวเองตั้งรับไม่ทัน ทำใจไม่ได้

กรณีเช่นนี้เกิดขึ้นในทุกสังคม มาตลอด แต่ในยุคปัจจุบันพบได้บ่อยขึ้น อาจเป็นเพราะ ความเจริญก้าวหน้า ของโลกในปัจจุบัน ทำให้การโยกย้าย ถิ่นฐาน เพื่อการศึกษา และการทำงาน เป็นไปได้ง่าย ทำให้ความใกล้ชิด ร่วมทุกข์ ร่วมสุข ระหว่างคนในครอบครัว ลดลง การที่จะได้มีโอกาสดูแลกันเมื่อเจ็บป่วยน้อยลง ประกอบกับความเจริญ ก้าวหน้าในวงการแพทย์ ทำให้ เราสามารถรักษาโรคยากๆ และซับซ้อนได้มากขึ้น จนทำให้คิดได้ว่า ทุกโรครักษาได้ หากมีเงิน และโอกาส
โดยส่วนใหญ่ลืมไปว่า กระบวนการยื้อชีวิตไปนั้น มิใช่กระบวนการที่ราบรื่นเสมอไป และส่วนใหญ่เต็มไปด้วย ความเจ็บปวด ทรมาน

ดังนั้น เมื่อยามต้องจากกันด้วยความตายจริงๆ บรรดาลูกๆ หลานๆ ที่ต้องมารับทราบกระทันหัน ไม่เคยมีส่วนร่วมในการดูแลมาก่อน จึงเกิดความรู้สึกผิด และเสียใจที่รู้ตัวว่าไม่เหลือเวลาแล้วที่จะตอบแทนบุญคุณ ของพ่อแม่ ผู้กำลังจะจากไป ไม่มีโอกาสทำดีตอบแทน

รวมไปถึงการเข้าใจว่า
#ความกตัญญูคือการที่ต้องช่วยทำให้คนที่เรารักให้มีชีวิตอยู่ยาวนานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
และควรจะทุ่มเททุกอย่างทั้งหมด เท่าที่จะทำได้ ไม่ว่า จะต้องใช้เงินเท่าไร ต้องเป็นหนี้สินเท่าไร ขอให้สามารถรักษา ชีวิต ของบุพการี ให้นานที่สุด คือ สิ่งที่ดีที่สุด

สำหรับ แพทย์ พยาบาล และทีมงาน ทางการแพทย์ ที่เห็น วัฎจักร ชีวิต ตั้งแต่เกิด จนตาย ตลอดเวลาที่ ได้เล่าเรียน ศึกษา และ ช่วงที่ ปฎิบัติงาน ซ้ำๆ ในทุกวัน จนเข้าใจเรื่องนี้ได้ดี เพราะเห็นตัวอย่างมามากมาย แต่การเข้าไป ทำความเข้าใจกับ ญาติกลุ่มนี้ ที่กำลัง อยู่ในอารมณ์ โกรธ คับข้องใจ ปนเป กับ ความเสียใจ และที่สำคัญที่สุด คือ ความรู้สึกผิดในใจของคนเหล่านั้น เป็นเรื่องยากที่จะทำได้

นอกจากนี้ ปัญหาระหว่างความสัมพันธ์ ของผู้ที่กำลังจะเสียชีวิต ในอดีตที่ผ่านมา ไม่ว่า จะเป็นความบาดหมาง ความน้อยใจ เสียใจ ในวัยเด็ก ของแต่ละคน ล้วนทำให้ เรื่องยิ่งยุ่งยากซับซ้อน ไปอีก
เพราะ การที่ยังมิได้ ทันสะสาง ปรับความเข้าใจ ไม่ทันสั่งเสีย อโหสิกรรมให้กันและกัน ล้วนทำให้ ว้าวุ่นใจได้มากมาย หากต้องจากกันแบบกะทันหันเช่นนี้

มรณานุสติ สอนว่า เพื่อเป็นการเตรียมตัวให้พร้อมกับการจากกัน แบบกะทันหัน

ลองสำรวจตัวเอง ลองถามตัวเราเองว่าในปัจจุบันเรา ได้ดูแล ได้ทำดีที่สุด กับคนที่คุณรักแล้วหรือยัง

เราได้ติดค้าง คำพูด คำถาม หรือสิ่งใด ที่อยากจะพูดให้รับทราบ เพื่อปรับความเข้าใจกันแล้วหรือยัง ถ้ายังให้รีบทำเสีย

เพื่อว่า เมื่อวันนั้นมาถึง เราจะได้ไม่ต้องเสียใจ ที่พลาดโอกาสนี้ไป โดยไม่มีโอกาสแก้ตัวใหม่
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .

บทสรุปของเรื่องนี้

๑.ความกตัญญูเป็นเรื่องสำคัญที่ควรมีในคนทุกคน ที่เติบโตในครอบครัวที่พ่อแม่และลูกได้ทำหน้าที่ของตนเองได้ดี ตามสมควรของแต่ละครอบครัวนั้นๆ
การจะทำสิ่งที่เรียกว่า “กตัญญู” ไม่ได้เกิดจากการเรียกร้อง ลำเลิก หรือบังคับให้ทำ แต่เกิดจากความสัมพันธ์ ที่ดี ทำให้รู้สึกได้เองว่าควรทำเช่นนั้นและมิใช่ ต้องมีเพื่อที่จะเติมเต็มความสมบูรณ์ ของความเป็นคนดี เพราะความกตัญญู เป็นคุณสมบัติพื้นฐานของคนดีทุกคน

๒.การตัดสินใจเรื่องการยื้อชีวิต ยังคงอิงอยู่บนพื้นฐาน สามัญสำนึกว่า

" หากยังมีโอกาสกลับมามีชีวิตที่เป็นปกติได้ ให้ช่วยให้เต็มที่ และ ทำอย่างสุดความสามารถ "

๓.หากเป็นการยื้อชีวิตในการป่วยหนักระยะสุดท้ายของชีวิตจริงๆ หากเราต้องตัดสินใจแทนผู้ป่วย ให้ถามตัวเองว่า ถ้าสมมติว่าเป็นเราป่วยเอง หากช่วยแล้วรอดชีวิต แต่ต้องทรมานต่อไปไม่รู้อีกนานเท่าไร ท่านจะคิดอย่างไร จะตัดสินใจอย่างไร

๔.ทุกคน ล้วนปรารถนา ให้ เกิด..มีชีวิต..และจากไป อย่างมี ศักดิ์ศรี ของ ความเป็นมนุษย์ ด้วยกันทั้งสิ้น

**********************************
No one knows that they will have the next minute or not.

Let them have the fullest life anytime.

**********************************
ชื่อ ในเรื่อง เป็น นามสมมุติ ไม่เกี่ยวข้องกับผู้ใด หรือหมายถึงใคร

เครดิตเรื่อง : หมอปันเฌอ
เครดิตภาพ :
https://images.app.goo.gl/VjefQPTRpQYXSior8

ที่อยู่

31/128 ม. 1 ถนน เอกชัย, บางขุนเทียน, จอมทอง
Bangkok
10150

เวลาทำการ

จันทร์ 07:00 - 20:00
อังคาร 07:00 - 20:00
พุธ 07:00 - 20:00
พฤหัสบดี 07:00 - 20:00
ศุกร์ 07:00 - 20:00
เสาร์ 07:00 - 20:00

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ ฟาร์มาชอพ PharmaShopผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

แชร์

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram