ฟาร์มาชอพ PharmaShop

ฟาร์มาชอพ PharmaShop ให้คำปรึกษาด้านยา และสุขภาพ โดยเภสัชกร

ยาแก้เมารถ ไดเมนไฮดริเนท (Dimenhydrinate )Dimenhydrinate 50 mgจำนวนเม็ด ต่อ แผงบรรจุเสร็จหากไม่เท่ากัน มีผลต่อสถานะและกา...
22/09/2025

ยาแก้เมารถ ไดเมนไฮดริเนท (Dimenhydrinate )

Dimenhydrinate 50 mg
จำนวนเม็ด ต่อ แผงบรรจุเสร็จ
หากไม่เท่ากัน มีผลต่อสถานะ
และการกระจายยาได้ ดังภาพ👇

สรุปได้ว่า Dimenhydrinate
2 เม็ด/แผง = ยาสามัญประจำบ้าน
แผงยาระบุ “ยาสามัญประจำบ้าน”
ร้านค้า/ร้านชำ จึงขายได้

10 เม็ด/แผง = ยาอันตราย
แผงยาระบุ “ยาอันตราย”
ขายได้ใน “ร้านยา” เท่านั้น

เราลองเดินเข้าร้านสะดวกซื้อ
ที่เปิด 24 ชม. มีสาขาทั่วประเทศ

จะเห็นตัวอย่าง Dimenhydrinate บรรจุเสร็จ 2 เม็ด/แผง ซึ่งเป็นยาสามัญประจำบ้าน ขายได้ตามกฎหมาย

หากร้านค้าทั่วไปทราบข้อนี้ จะเป็นทางเลือกทดแทน 10 เม็ด และเกิดส่วนแบ่งการตลาดทันที

อะม็อคซี่ ไม่ใข่ยาแก้อักเสบ
16/09/2025

อะม็อคซี่ ไม่ใข่ยาแก้อักเสบ

ทำไม Amoxicillin ไม่ใช่ “ยาแก้อักเสบ”

แล้ว “อักเสบ” กับ “ติดเชื้อ” ต่างกันยังไง?
คำว่า “อักเสบ” คือปฏิกิริยาของร่างกายต่อสิ่งที่มากระตุ้น เช่น การบาดเจ็บ การแพ้ หรือแม้แต่เชื้อโรค โดยจะมีอาการทั่วไปคือ บวม แดง ร้อน ปวด
แต่การอักเสบไม่ได้แปลว่ามีเชื้อเสมอไป
ส่วน“ติดเชื้อ” มักเกิดจากสิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ เช่น แบคทีเรีย ไวรัส เชื้อรา ซึ่งอาจทำให้เกิดการอักเสบได้ แต่ไม่ใช่ทุกการอักเสบจะเกิดจากการติดเชื้อ

แล้ว Amoxicillin ใช้กับอะไร?
Amoxicillin เป็นยาฆ่าเชื้อที่ออกฤทธิ์เฉพาะกับแบคทีเรีย
→ จึงใช้รักษาเฉพาะการติดเชื้อแบคทีเรียเท่านั้น
→ ไม่ใช่ “ยาแก้อักเสบ” ที่ช่วยลดอาการปวด บวม แดง ร้อน จากการอักเสบทั่วไป

ถ้าแค่ “อักเสบ” แต่ไม่ติดเชื้อ ใช้อะไรดี?
- อาการปวด บวมจากการอักเสบทั่วไป เช่น ข้อเท้าแพลง ปวดประจำเดือน
👉 มักใช้ยาในกลุ่ม NSAIDs เช่น ibuprofen, naproxen
ถ้าไม่สามารถใช้ NSAIDs ได้
👉 อาจเลือกใช้ ยาพาราเซตามอล ตามคำแนะนำของแพทย์หรือเภสัชกร
❗️อย่าใช้ยาฆ่าเชื้อพร่ำเพรื่อ เพราะอาจทำให้เชื้อดื้อยา และไม่ช่วยอะไรถ้าไม่ได้ติดเชื้อ

📌 ยาปฏิชีวนะ: ใช้เมื่อไหร่ดี?
✅ ใช้เมื่อจำเป็นจริง ๆ (ตัวอย่างที่พบบ่อย)
- คออักเสบจากเชื้อแบคทีเรีย Streptococcus กลุ่ม A → แพทย์อาจสั่งยา penicillin หรือ amoxicillin ให้
- หูชั้นกลางอักเสบ หรือ ไซนัสอักเสบจากแบคทีเรีย
→ หากแพทย์วินิจฉัยว่าเป็นจากแบคทีเรีย
→ อาจพิจารณาให้ยาปฏิชีวนะตามแนวทางการรักษา
📝 หมายเหตุ
- เจ็บคอส่วนใหญ่หายเองประมาณ 1 สัปดาห์
- สาเหตุส่วนมากมาจากไวรัส
→ ไม่จำเป็นต้องใช้ยาฆ่าเชื้อแต่แรก
→ เริ่มต้นด้วยการดูแลอาการ เช่น ดื่มน้ำมาก ๆ พักผ่อน

❌ ไม่ควรใช้ในกรณีต่อไปนี้
- หวัดธรรมดา
- ไข้หวัดใหญ่
- หลอดลมอักเสบจากไวรัส (chest cold)
- น้ำมูกหรือเสมหะสีเขียว → ไม่ได้แปลว่าต้องใช้ยาฆ่าเชื้อเสมอไป
📌 ยาปฏิชีวนะไม่ได้ช่วยให้อาการจากไวรัสดีขึ้น และอาจทำให้เกิดดื้อยา ในอนาคต

⚠️ ความเสี่ยงที่ควรรู้ ก่อนใช้ “ยาปฏิชีวนะ” (antibiotic)
ผลข้างเคียงที่พบได้
- ผื่น
- เวียนศีรษะ
- คลื่นไส้ / ท้องเสีย
❗️ถ้าท้องเสียรุนแรงหลังใช้ยาปฏิชีวนะ
👉 ระวังภาวะติดเชื้อ C. difficile → รีบพบแพทย์ทันที

🧬 การใช้พร่ำเพรื่อ = เสี่ยงเชื้อดื้อยา (AMR)
การใช้ยาฆ่าเชื้อแบบไม่จำเป็น หรือไม่ถูกต้อง
→ ทำให้เชื้อ “ดื้อยา”
→ รักษายากขึ้น
→ ส่งผลกระทบทั้งตัวผู้ป่วย และสังคมในวงกว้าง

✅ ใช้อย่างไรให้ปลอดภัย
- อย่าเรียกร้องให้แพทย์จ่ายยาหากไม่จำเป็น
- ถ้าจำเป็นต้องใช้ → ใช้ตามแผนการรักษาอย่างเคร่งครัด
- ห้ามแบ่งยาให้ผู้อื่น และห้ามเก็บไว้ใช้เองในอนาคต
- ถ้ามีอาการไม่พึงประสงค์ → ติดต่อเภสัชกรหรือบุคลากรสาธารณสุขทันที

🧠 สรุปสั้น ๆ
- Amoxicillin = ยาฆ่าเชื้อ (ปฏิชีวนะ)
ไม่ใช่ “ยาแก้อักเสบ” แบบลดปวดบวม
- ใช้เฉพาะเมื่อเป็นการติดเชื้อแบคทีเรีย
→ ภายใต้คำแนะนำของแพทย์
- หวัด / ไข้หวัดใหญ่ / ไอส่วนใหญ่ไม่ต้องใช้
- การใช้พร่ำเพรื่อ = เสี่ยงเชื้อดื้อยา + อาการข้างเคียงไม่คาดคิด

เรื่องของ ริดสีดวงทวาร
11/09/2025

เรื่องของ ริดสีดวงทวาร

𝟒 ระยะ ริดสีดวงทวารหนัก 𝐇𝐞𝐦𝐨𝐫𝐫𝐡𝐨𝐢𝐝𝐬
คุณอยู่..ระยะไหน? 🚽🩸
------------------------------
โรคริดสีดวงทวารหนัก เป็นโรคที่ทำให้ผู้ป่วยมีความเจ็บปวดทรมาน ทั้งยังรบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน แต่สามารถรักษาให้หายได้หากรู้วิธีการรักษาที่ถูกต้องเหมาะสม ซึ่งริดสีดวงระยะต้นๆ สามารถรักษาและบรรเทาอาการได้ด้วยตนเองและการใช้ยา
อาการริดสีดวงทวารหนักคือ ภาวะหลอดเลือดดำที่ทวารหนักปูด และผนังหลอดเลือดปริแตกในขณะขับถ่ายอุจจาระ จึงทำให้มีเลือด 🩸 ออกเป็นครั้งคราว อาจมีหัวเดียวหรือหลายหัวก็ได้
ชนิดของริดสีดวงทวาร
------------------------------
🚽 1. ริดสีดวงทวารชนิดเป็นภายใน หมายถึง ริดสีดวงทวารที่เกิดเหนือทวารหนักขึ้นไป ตามปกติจะไม่โผล่ออกมาให้เห็นและคลำไม่ได้ และมักจะถูกคลุมด้วยเยื่อลำไส้ใหญ่ตอนปลายสุดจะไม่ก่อให้เกิดความเจ็บปวดในขณะที่ยังไม่มีอาการแทรกซ้อน
🚽 2. ริดสีดวงทวารชนิดเป็นภายนอก หมายถึง ริดสีดวงที่เกิดขึ้นบริเวณปากรอยย่นของทวารหนัก สามารถมองเห็นและคลำได้ หลอดเลือดที่โป่งพองจะถูกคลุมด้วยผิวหนังจึงอาจเกิดความเจ็บปวดได้ เพราะผิวหนังมีปลายประสาทรับความรู้สึก
ริดสีดวงแบบภายในสามารถแบ่งตามระยะความรุนแรงของโรคได้เป็น 4 ระยะ ได้ดังนี้
---> 🩺 ระยะที่ 1 หลอดเลือดที่โป่งพอง ยังเกิดอยู่ภายในทวารหนักและลำไส้ตรง และยังไม่มีหัวริดสีดวงโผล่ออกมา สามารถรักษาโดยการให้ยา หรือฉีดยาเข้าไปในตำแหน่งที่มีเลือดออกได้
---> 🩺 ระยะที่ 2 หัวริดสีดวงปลิ้นโผล่ออกมาอยู่ที่ปากทวารหนักในขณะถ่ายอุจจาระ แต่หัวที่โผล่ออกมานี้สามารถกลับเข้าไปภายในทวารหนักได้เองหลังจากขับถ่ายอุจจาระเสร็จ สามารถรักษาโดยใช้วิธียิงยางรัดโคนหรือหัวของริดสีดวงที่โผล่ออกมาได้ ซึ่งจะทำให้หัวริดสีดวงนั้นฝ่อและหลุดออกไปเอง หรือสามารถรักษาได้ด้วยวิธีการรับประทานยา
---> 🩺 ระยะที่ 3 หัวริดสีดวงจะไม่สามารถกลับเข้าไปภายในทวารหนักเองได้หลังจากขับถ่ายอุจจาระเสร็จ แต่ยังสามารถใช้นิ้วดันกลับเข้าไปภายในทวารหนักได้ สามารถรักษาได้ด้วยวิธีการรับประทานยาหรือผ่าตัด
---> 🩺 ระยะที่ 4 หัวริดสีดวงจะกลับเข้าไปภายในทวารหนักไม่ได้ และจะค้างอยู่ที่ปากทวารหนัก ถึงแม้จะใช้นิ้วช่วยดันแล้วก็ตาม ซึ่งในระยะนี้ผู้ป่วยจะมีอาการเจ็บปวดมาก หัวริดสีดวงอาจจะเน่าจากการขาดเลือด สามารถรักษาได้ด้วยวิธีการรับประทานยาหรือผ่าตัด
ริดสีดวงทวาร เกิดจากพฤติกรรม?
-----------------------------------
🔸 อาชีพ ผู้ที่มีอาชีพที่ต้องยืนนาน ๆ หรือ นั่งนานๆ จะมีผลให้ความดันเลือดในหลอดเลือดดำบริเวณปากทวารไหลกลับสู่หลอดเลือดดำในช่องท้องช้าลง โดยทั่วไปหลอดเลือดดำมีลิ้นเพื่อให้เลือดดำไหลกลับได้ทางเดียวแต่เมื่อการไหลของเลือดดำช้าลงประกอบกับมีความดันในช่องท้องสูงจึงเกิดการคั่งของหลอดเลือดดำบริเวณกลุ่มหลอดเลือดปากรูทวารหนักส่งผลให้กลุ่มหลอดเลือดดำโป่งพองจนเกิดอาการของโรค
🔸 เกิดจากโรคแทรกซ้อนของโรคอื่น ๆ เช่น โรคตับแข็งหรือโรคตับอักเสบไวรัสบี ซึ่งจะมีอาการท้องมานในระยะสุดท้าย และเมื่อมีน้ำในช่องท้องมาก ๆ จะส่งผลไปกดการไหลเวียนเลือดในช่องท้องเป็นสาเหตุทำให้หลอดเลือดดำไหลกลับเข้าช่องท้องได้ไม่ดีนัก
🔸 พฤติกรรมการขับถ่าย เช่น นั่งถ่ายเป็นเวลานานๆ ท้องผูกเป็นประจำ
🔸 หญิงตั้งครรภ์
การดูแลตนเองเมื่อเป็นริดสีดวง
-----------------------------------
🚽 การนั่งแช่ในน้ำอุ่น ♨️ โดยผสมด่างทับทิมลงในน้ำอุ่นให้เป็นสีชมพูจางๆ จากนั้นนั่งในน้ำอุ่นที่ผสมด่างทับทิมเป็นเวลา 15-30 นาที ควรนั่งทั้งตอนก่อนขับถ่ายอุจจาระและหลังขับถ่ายอุจจาระ
🚽 การเหน็บยาที่มีฤทธิ์ลดการอักเสบ หรือมียาชา, สเตียรอยด์เป็นส่วนผสม เพื่อรักษาริดสีดวง ซึ่งสามารถหาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไป ในขั้นตอนการเหน็บยาต้องล้างมือให้สะอาดก่อนเสมอด้วยสบู่อ่อนๆ และซับให้แห้ง หรือสวมถุงมือยางให้เรียบร้อย
🚽 การกินยารักษาริดสีดวง ที่มีส่วนผสมของ Diosmin และ Hesperidin ซึ่งผู้ป่วยสามารถแจ้งอาการกับเภสัชกรในร้านยาได้เพื่อรับยาและวิธีการรับประทานที่เหมาะสม หากมีอาการปวดริดสีดวง ท้องผูก หรือเลือดออก 🩸 เภสัชกรจะพิจารณาจ่ายยาบรรเทาตามอาการอื่นๆ เพิ่มเติม เช่น Paracetamol, ยาบรรเทาอักเสบลดปวดกลุ่ม NSAIDs, ผง fiber , ยาระบาย MOM เป็นต้น
🚽 กรณีเลือดออกมากจนมีอาการซีด เภสัชกรอาจจะเพิ่มยาบำรุงเลือดให้
ถ้ามีเลือดออกนานกว่า 1 สัปดาห์ หรือเป็น ๆ หาย ๆ บ่อย หรือสงสัยมีโรคอื่นร่วมด้วย หรือพบในคนอายุมากกว่า 40 ปี ควรพบแพทย์เพื่อตรวจด้วยเครื่องส่องตรวจทวารหนักถ้าหากสงสัยเป็นมะเร็งของลำไส้ใหญ่ 🩺 ถ้าเป็นมากแพทย์อาจพิจารณารักษาด้วยวิธีอื่นๆ เช่น การฉีดยาเข้าที่หัวริดสีดวงให้ฝ่อไป, ใช้ยางรัด ทำให้หัวฝ่อ, ใช้แสงเลเซอร์รักษา, การผ่าตัด เป็นต้นค่ะ

อยากให้อ่านกันครับ
06/09/2025

อยากให้อ่านกันครับ

#ภาวะกตัญญูเฉียบพลัน

~~•*•~~•*•~~•*•~~•*•~~•*•~~•*•~~•*•~~•*•

แม่ผัน มีลูก ๕ คน ปีนี้ ย่างเข้า ๗๔ ปีแล้ว เรียนจบประถมสาม สามีเสียชีวิตตั้งแต่ลูกคนเล็ก อายุได้สองขวบ
แม่ผันเลี้ยงลูกคนเดียว หนักเอาเบาสู้ ทำไร่ทำสวน รับจ้างทั่วไป เป็นคนขยัน ประหยัด มัธยัธถ์

ด้วยความที่คิดว่า ตัวเองด้อยการศึกษา ชีวิตจึงลำบาก แม่ผัน จึงตั้งใจส่งให้ลูกได้เรียนตามความสามารถของแต่ละคน จนจบปริญญาตรีกันได้ทุกคน

ยกเว้น นุช ลูกสาวคนโต ที่ต้องออกจากโรงเรียนเมื่อจบประถมต้น เพื่อมาช่วยแม่ปลูกผัก ขายของที่ตลาด และช่วยแม่ผันเลี้ยงน้องทุกคน ด้วยความอดทน แม้จะเคยนึกน้อยใจในโชคชะตาของตัวเองบ้าง แต่แม่ก็พร่ำสอน ให้ เสียสละ ช่วยแม่ ส่งน้องเรียน เพื่อทุกคน จะได้มีอนาคตที่ดีร่วมกัน

ลูกชายคนที่สอง เรียนเก่ง เมื่อ เรียนจบได้ทำงานบริษัทที่มั่นคง ไต่เต้าจนได้เป็น ผู้จัดการโรงงานที่ต่างประเทศ มีฐานะที่ดี แต่งงาน มีครอบครัวที่นั่น ไม่ค่อยได้กลับบ้าน ส่งเงินมาช่วยทางบ้านบ้าง เป็นช่วงๆ ลูกชายโทรมาคุยด้วย ๒-๓ เดือนครั้ง ทุกครั้งแม่ผันก็ดีใจ ตื่นเต้นจนไม่เป็นอันกินอันนอนไป หลายวัน

ส่วนลูกสาวอีกสามคน ก็มีครอบครัวแยกย้ายไปต่างอำเภอ ต่างจังหวัด กันหมด แม่ผัน จึงอยู่กับ นุช มาตลอด

จนเมื่อ อายุย่างเข้า ๗๑ ก็เริ่มป่วยกระเสาะกระแสะ ไอโขลกๆ ทั้งวัน กินอาหารได้น้อย ผอมลงมากรักษาตามบ้าน พบหมออนามัย เป็นครั้งคราว อาการทรงๆทรุดๆ มาเป็นปี สุดท้าย ได้รับการส่งต่อไปตรวจทีโรงพยาบาลจังหวัด
ตรวจอยู่หลายวัน จึงพบว่า เป็น มะเร็งปอด ระยะที่สอง จึงได้รับ การรักษา ด้วยเคมีบำบัด กับฉายแสง อยู่เกือบปี

ช่วงแรกแม่ผัน แพ้ยา ผมร่วง มีอาการอาเจียนตลอดเวลา ระหว่าง การรักษา นุช ดูแลแม่คนเดียวเป็นส่วนใหญ่ ลูกสาวอีกสามคนผลัดกันมาเยี่ยม อยู่เฝ้าไข้ได้สองสามวันก็กลับ เพราะมีลูกเล็ก และ ต้องทำงาน ลางานไม่ได้
ส่วนลูกชาย แม่ผัน สั่งลูกทุกคน ห้ามบอกเรื่องป่วย เพราะไม่อยากให้เป็นห่วง จนต้องทิ้งงานกลับมาเยี่ยม

แม่ผัน อาการดีขึ้นไม่นาน ขาด้านซ้ายก็เริ่มไม่มีแรง ล้มบ่อย พูดไม่รู้เรื่อง สับสน และไม่รู้สึกตัวบ่อยๆ นุช เฝ้าพยาบาลแม่ด้วยความกังวล
เวลาแม่ได้สติ แม่บอกนุช ว่า

"ลูก แม่เจ็บเหลือเกิน เจ็บคราวนี้ แม่คิดว่า คงได้เวลาของแม่แล้วนะ ปล่อยแม่ไปเถอะ แม่อยากกลับไปตายที่บ้านเรา "

นุชแอบร้องไห้ ไม่ให้แม่เห็น ปากก็บอกแม่ว่า "เดี๋ยวแม่ก็ดีขึ้น เหมือนคราวก่อนไง " ทั้งที่ใจเต็มไปด้วยความเวทนาแม่ที่ ทุกข์ ทรมาน อย่างที่ไม่คิดว่า จะมีใครทนแบบแม่ได้
ใจหนึ่ง ก็อยากให้แม่อยู่ต่อ เพราะรักแม่มาก อีกใจก็คิดว่า ทรมานแบบนี้ ถ้าเป็นตัวเอง คงจะไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อ แต่ก็ไม่กล้าพูดกับใคร

แม่ผัน อยู่ห้องผู้ป่วยหนัก ตรวจเลือด เอกซเรย์ หลายครั้ง สุดท้าย หมอบอกด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ว่า มีก้อนในสมองด้านขวา อาจจะเป็นก้อนมะเร็ง ที่แพร่เข้าสู่สมอง สอบถามญาติ ว่าจะให้ ส่งไปรักษาที่กรุงเทพหรือไม่ โดยแจ้งว่า ถ้าประเมินแล้วสามารถผ่าตัดได้ หลังผ่าตัด อาจต้องใส่เครื่องช่วยหายใจ ใส่ท่อให้อาหาร และหากปัสสาวะเองไม่ได้ ก็ต้องคาสายยางไว้
นุชเอง คิดว่า ตัวเองเรียนมาน้อย ตัดสินใจไม่ได้ ขอหมอปรึกษา ญาติ และน้องๆก่อน จึงโทรไปตาม น้องชาย และ น้องสาวทั้งสามคนมา ดูอาการแม่

น้องสาวคนที่ สาม เป็นครู มาเห็น ก็ร้อนใจ อยากเอาแม่ไปกรุงเทพฯ เผื่อจะมีวิธีอื่นที่ ช่วยแม่ได้ แต่ก็ไม่รู้จักใครที่กรุงเทพฯ ที่จะพอไปพักอาศัยได้
ส่วนอีกสองคน ว่าจะไปเอายาต้มมาให้แม่กิน จะพาไปรักษากับหมอพื้นบ้าน
แต่ทุกคน ก็เข้าใจตรงกันว่า อาการของแม่ดำเนินมาถึงระยะสุดท้าย รักษาไม่หายแล้ว แพทย์พยาบาลที่ดูแลกันมานานก็แจ้งว่า ผู้ป่วยกำลังจะเสียชีวิตในเวลาอีกไม่นาน แนะนำให้เตรียมตัวรับมือกับความสูญเสีย รีบสะสางภารกิจที่คั่งค้าง และหากประสงค์ จะให้ แม่ไปโดยสงบ ก็ขอให้ร่วมกันทำหนังสือแสดงเจตนาปฏิเสธการยื้อชีวิตที่ผู้ป่วยไม่ต้องการ เช่น ปั๊มหัวใจ ใส่ท่อช่วยหายใจ การให้ยากระตุ้นหัวใจ ผู้ป่วย

ลูกทั้งสี่คน ก็ดูจะเข้าใจสถานการณ์ดี สุดท้าย ตกลงยินยอมรับในสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น

วันรุ่งขึ้น ลูกชายที่ทราบข่าว ลางานกลับมา เมื่อเห็นพบแม่อาการทรุดหนัก ก็โกรธ ต่อว่าพี่นุชและน้องๆ ว่าดูแลแม่ยังไง ให้อาการมากขนาดนี้
แล้วยังทำหนังสือ ไม่ให้หมอช่วยแม่อีก
พี่นุช และน้องๆ นิ่งเงียบ ตระหนกกับ ความโกรธ ของลูกชายที่แม่รักที่สุด ลูกชาย ขอให้หมอ ส่งแม่เข้าไปรักษา ที่โรงพยาบาลเอกชน ด่วนที่สุด กำชับหมอให้ช่วยแม่ให้ถึงที่สุด ให้ปั๊มหัวใจ ใส่ท่อหายใจ ทำอย่างไรก็ได้ให้แม่รอดพ้นวิกฤติคราวนี้ให้ได้

ถึงตอนนี้ ครอบครัวแม่ผัน เกิดความลังเล หวั่นไหว อีกครั้งหนึ่ง นั่งซึมเหม่อ ร้องไห้กันทุกคน
แม่ผัน อยู่พักรักษาตัวที่โรงพยาบาลเอกชนไม่นาน ก็ต้องย้าย กลับโรงพยาบาลเดิม เพราะปัญหาค่าใช้จ่าย ส่วนลูกชายอยู่ดูแลแม่ได้สิบกว่าวัน ก็ต้องถูกตามกลับไปต่างประเทศ เนื่องจากมีงานด่วนต้องสะสาง ก่อนไป กำชับให้ดูแลแม่ให้ดีที่สุด

แม่ผัน นอนไม่รู้สติ ใส่ท่อหายใจ ใส่ท่ออาหาร ใส่สายปัสสาวะ น้ำเกลือ ระโยงระยาง นานอีก ๒ เดือนกว่า อย่างทรมาน โดยเฉพาะเวลา ต้องดูดเสมหะ แม่ผันเพ้อ ไม่ได้สติ มีแผลกดทับที่หลัง นุชจับตัวแม่ รู้สึกว่าแม่ตัวสั่นเทิ้ม ทรมาน กระสับกระส่าย ตลอดเวลา จนกลั้นน้ำตาไม่ไหว ร้องไห้ทุกวัน จนในที่สุด แม่ผันก็จากไป ด้วยความทุรนทุราย ด้วยทุกขเวทนาเป็นอันมาก
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .

นี่คือตัวอย่างของ ภาวะ "กตัญญูเฉียบพลัน"

ที่พบเห็นได้บ่อยครั้ง ในการดูแลผู้ป่วยหนักระยะสุดท้าย ที่มักจะเกิดขึ้นกับ ลูก/หลาน ที่ในช่วงชีวิตที่ผ่านมา ไม่ค่อยมีเวลา ไม่ค่อยได้ดูแลเอาใส่ใจพ่อแม่ ทั้งในเวลาปกติ และยามเจ็บป่วย
เมื่อถึงช่วงของการเจ็บป่วย ระยะสุดท้าย ก็มักจะทุ่มเททั้งเงิน และ ความพยายามทุกอย่าง เพื่อให้แพทย์ ได้ให้การรักษา เพื่อให้รอดชีวิต จนลืมคิดไปว่า ในกระบวนการรักษานั้น ผู้ป่วยจะทรมานเพียงใด

เพียงเพื่อจะยื้อยุดชีวิต จากความตายที่กำลังจะเกิดขึ้น เพราะตัวเองตั้งรับไม่ทัน ทำใจไม่ได้

กรณีเช่นนี้เกิดขึ้นในทุกสังคม มาตลอด แต่ในยุคปัจจุบันพบได้บ่อยขึ้น อาจเป็นเพราะ ความเจริญก้าวหน้า ของโลกในปัจจุบัน ทำให้การโยกย้าย ถิ่นฐาน เพื่อการศึกษา และการทำงาน เป็นไปได้ง่าย ทำให้ความใกล้ชิด ร่วมทุกข์ ร่วมสุข ระหว่างคนในครอบครัว ลดลง การที่จะได้มีโอกาสดูแลกันเมื่อเจ็บป่วยน้อยลง ประกอบกับความเจริญ ก้าวหน้าในวงการแพทย์ ทำให้ เราสามารถรักษาโรคยากๆ และซับซ้อนได้มากขึ้น จนทำให้คิดได้ว่า ทุกโรครักษาได้ หากมีเงิน และโอกาส
โดยส่วนใหญ่ลืมไปว่า กระบวนการยื้อชีวิตไปนั้น มิใช่กระบวนการที่ราบรื่นเสมอไป และส่วนใหญ่เต็มไปด้วย ความเจ็บปวด ทรมาน

ดังนั้น เมื่อยามต้องจากกันด้วยความตายจริงๆ บรรดาลูกๆ หลานๆ ที่ต้องมารับทราบกระทันหัน ไม่เคยมีส่วนร่วมในการดูแลมาก่อน จึงเกิดความรู้สึกผิด และเสียใจที่รู้ตัวว่าไม่เหลือเวลาแล้วที่จะตอบแทนบุญคุณ ของพ่อแม่ ผู้กำลังจะจากไป ไม่มีโอกาสทำดีตอบแทน

รวมไปถึงการเข้าใจว่า
#ความกตัญญูคือการที่ต้องช่วยทำให้คนที่เรารักให้มีชีวิตอยู่ยาวนานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
และควรจะทุ่มเททุกอย่างทั้งหมด เท่าที่จะทำได้ ไม่ว่า จะต้องใช้เงินเท่าไร ต้องเป็นหนี้สินเท่าไร ขอให้สามารถรักษา ชีวิต ของบุพการี ให้นานที่สุด คือ สิ่งที่ดีที่สุด

สำหรับ แพทย์ พยาบาล และทีมงาน ทางการแพทย์ ที่เห็น วัฎจักร ชีวิต ตั้งแต่เกิด จนตาย ตลอดเวลาที่ ได้เล่าเรียน ศึกษา และ ช่วงที่ ปฎิบัติงาน ซ้ำๆ ในทุกวัน จนเข้าใจเรื่องนี้ได้ดี เพราะเห็นตัวอย่างมามากมาย แต่การเข้าไป ทำความเข้าใจกับ ญาติกลุ่มนี้ ที่กำลัง อยู่ในอารมณ์ โกรธ คับข้องใจ ปนเป กับ ความเสียใจ และที่สำคัญที่สุด คือ ความรู้สึกผิดในใจของคนเหล่านั้น เป็นเรื่องยากที่จะทำได้

นอกจากนี้ ปัญหาระหว่างความสัมพันธ์ ของผู้ที่กำลังจะเสียชีวิต ในอดีตที่ผ่านมา ไม่ว่า จะเป็นความบาดหมาง ความน้อยใจ เสียใจ ในวัยเด็ก ของแต่ละคน ล้วนทำให้ เรื่องยิ่งยุ่งยากซับซ้อน ไปอีก
เพราะ การที่ยังมิได้ ทันสะสาง ปรับความเข้าใจ ไม่ทันสั่งเสีย อโหสิกรรมให้กันและกัน ล้วนทำให้ ว้าวุ่นใจได้มากมาย หากต้องจากกันแบบกะทันหันเช่นนี้

มรณานุสติ สอนว่า เพื่อเป็นการเตรียมตัวให้พร้อมกับการจากกัน แบบกะทันหัน

ลองสำรวจตัวเอง ลองถามตัวเราเองว่าในปัจจุบันเรา ได้ดูแล ได้ทำดีที่สุด กับคนที่คุณรักแล้วหรือยัง

เราได้ติดค้าง คำพูด คำถาม หรือสิ่งใด ที่อยากจะพูดให้รับทราบ เพื่อปรับความเข้าใจกันแล้วหรือยัง ถ้ายังให้รีบทำเสีย

เพื่อว่า เมื่อวันนั้นมาถึง เราจะได้ไม่ต้องเสียใจ ที่พลาดโอกาสนี้ไป โดยไม่มีโอกาสแก้ตัวใหม่
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .

บทสรุปของเรื่องนี้

๑.ความกตัญญูเป็นเรื่องสำคัญที่ควรมีในคนทุกคน ที่เติบโตในครอบครัวที่พ่อแม่และลูกได้ทำหน้าที่ของตนเองได้ดี ตามสมควรของแต่ละครอบครัวนั้นๆ
การจะทำสิ่งที่เรียกว่า “กตัญญู” ไม่ได้เกิดจากการเรียกร้อง ลำเลิก หรือบังคับให้ทำ แต่เกิดจากความสัมพันธ์ ที่ดี ทำให้รู้สึกได้เองว่าควรทำเช่นนั้นและมิใช่ ต้องมีเพื่อที่จะเติมเต็มความสมบูรณ์ ของความเป็นคนดี เพราะความกตัญญู เป็นคุณสมบัติพื้นฐานของคนดีทุกคน

๒.การตัดสินใจเรื่องการยื้อชีวิต ยังคงอิงอยู่บนพื้นฐาน สามัญสำนึกว่า

" หากยังมีโอกาสกลับมามีชีวิตที่เป็นปกติได้ ให้ช่วยให้เต็มที่ และ ทำอย่างสุดความสามารถ "

๓.หากเป็นการยื้อชีวิตในการป่วยหนักระยะสุดท้ายของชีวิตจริงๆ หากเราต้องตัดสินใจแทนผู้ป่วย ให้ถามตัวเองว่า ถ้าสมมติว่าเป็นเราป่วยเอง หากช่วยแล้วรอดชีวิต แต่ต้องทรมานต่อไปไม่รู้อีกนานเท่าไร ท่านจะคิดอย่างไร จะตัดสินใจอย่างไร

๔.ทุกคน ล้วนปรารถนา ให้ เกิด..มีชีวิต..และจากไป อย่างมี ศักดิ์ศรี ของ ความเป็นมนุษย์ ด้วยกันทั้งสิ้น

**********************************
No one knows that they will have the next minute or not.

Let them have the fullest life anytime.

**********************************
ชื่อ ในเรื่อง เป็น นามสมมุติ ไม่เกี่ยวข้องกับผู้ใด หรือหมายถึงใคร

เครดิตเรื่อง : หมอปันเฌอ
เครดิตภาพ :
https://images.app.goo.gl/VjefQPTRpQYXSior8

04/09/2025

ออฟฟิศซินโดรม : ยืดเหยียด 5 นาทีที่ได้ผลจริง

5 นาทีที่ “ได้ผลจริง”: โปรแกรมยืดเหยียดระหว่างวันสำหรับผู้ทำงานออฟฟิศ
คำแนะนำ : ควรทำทุก ๆ 60 นาทีของการนั่งทำงานติดต่อกัน (แนะนำให้ตั้งเตือนในโทรศัพท์หรือคอมพิวเตอร์) ใช้เวลาประมาณ 5 นาทีต่อรอบ

- นาทีที่ 1 : รีเซตท่าทาง + “Chin tuck” (cervical retraction)
- จัดท่านั่งให้หลังตรง ไหล่ผ่อนคลาย
- กดคางถอยตรงไปด้านหลัง (โดยไม่ก้มหน้า) ค้างไว้ 2–3 วินาที ทำซ้ำ 10 ครั้ง
- หมุนคอเบา ๆ ซ้าย–ขวา และก้ม–เงยในช่วงองศาที่ไม่รู้สึกเจ็บ

- นาทีที่ 2: ยืดกล้ามเนื้อบ่าด้านบน (Upper trapezius stretch)
- มือขวาจับขอบเก้าอี้ให้มั่นคง ใช้มือซ้ายแตะเหนือหูขวาแล้วเอียงศีรษะไปทางซ้าย จนรู้สึกตึงแบบสบาย ๆ ค้างไว้ 30 วินาที
- สลับทำอีกข้าง ค้างอีก 30 วินาที

- นาทีที่ 3: ยืดกล้ามเนื้อยกสะบัก (Levator scapulae stretch)
- หันหน้าเฉียงลงไปรักแร้ข้างซ้าย ก้มศีรษะเล็กน้อย ใช้มือซ้ายดึงศีรษะเบา ๆ จนรู้สึกตึง ค้างไว้ 30 วินาที
- สลับทำข้างขวาอีก 30 วินาที

- นาทีที่ 4 : เปิดหน้าอก และเคลื่อนไหวกระดูกสันหลังช่วงอก
- Doorway stretch : วางปลายแขนทั้งสองข้างบนกรอบประตู จากนั้นค่อย ๆ ขยับลำตัวไปด้านหน้าให้รู้สึกเปิดหน้าอก ค้าง 30 วินาที
- Thoracic extension : นั่งพิงพนักเก้าอี้ แหงนหน้าเล็กน้อย ดันอกขึ้น ทำซ้ำ 10 ครั้ง ใช้เวลาประมาณ 30 วินาที

- นาทีที่ 5: ยืดข้อมือ–ปลายแขน และกระตุ้นการทำงานของสะบัก
- เหยียดแขนขวาตรง คว่ำฝ่ามือ ใช้มือซ้ายดึงปลายนิ้วมือเข้าหาลำตัว (ยืดกล้ามเนื้อ extensor) ค้าง 15 วินาที
- จากนั้นหงายฝ่ามือ ดึงปลายนิ้วอีก 15 วินาที
- สลับทำแขนซ้ายเช่นเดียวกัน รวมทั้งหมด 60 วินาที

ทางเลือกเพิ่มเติม (สำหรับผู้มีอาการปวดหลังช่วงล่างบ่อย)
- เปลี่ยนท่าสุดท้ายเป็น Hip flexor lunge : ก้าวขาหนึ่งไปด้านหน้า งอเข่าตั้งฉาก ส่วนขาอีกข้างเหยียดไปด้านหลังจนตึงที่สะโพกหน้า ค้างข้างละ ~30 วินาที

ควรทำบ่อยแค่ไหน ถึงจะได้ผล ?
ตามแนวทางขององค์การอนามัยโลก (WHO 2020) แนะนำให้ผู้ใหญ่ทุกคนรวมถึงผู้ที่มีกิจกรรมทางกายน้อยเพิ่มการเคลื่อนไหวในชีวิตประจำวัน ลดพฤติกรรมเนือยนิ่ง (sedentary behavior) และหมั่นเปลี่ยนอิริยาบถระหว่างวัน แม้เพียงกิจกรรมเล็ก ๆ ก็ยังให้ประโยชน์ต่อสุขภาพ
สำหรับผู้ทำงานออฟฟิศ แนะนำให้พักทุก 1 ชั่วโมง ด้วยการทำรูทีนยืดเหยียดประมาณ 5 นาที หรืออย่างน้อยลุกขึ้นยืน/เดินขยับร่างกายสัก 30–60 วินาทีหลายครั้ง ดีกว่าการนั่งติดโต๊ะต่อเนื่องนานหลายชั่วโมง
ทั้งนี้ เป้าหมายภาพรวมคือมีกิจกรรมระดับปานกลาง (เช่น เดินเร็ว หรือขึ้นบันได) รวมแล้วอย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์ เพื่อส่งเสริมสุขภาพในระยะยาว

สปสช. กำหนดจำนวนเข้ารับบริการเจ็บป่วยเล็กน้อยที่ร้านยา คลินิกพยาบาล คลินิกเวชกรรม หาหมอออนไลน์ผ่านแอปและตู้ห่วงใย เป็น 2...
24/08/2025

สปสช. กำหนดจำนวนเข้ารับบริการเจ็บป่วยเล็กน้อยที่ร้านยา คลินิกพยาบาล คลินิกเวชกรรม หาหมอออนไลน์ผ่านแอปและตู้ห่วงใย เป็น 2 ครั้งต่อเดือน เริ่ม 1 ก.ย. 2568 นี้ แจงเพื่อให้บริการเป็นไปตามคุณภาพมาตรฐาน มีระยะเวลาเหมาะสมชัดเจน และไม่ใช้เกินความจำเป็น ย้ำเป็นบริการทางเลือกเพิ่มความสะดวกให้ประชาชน หากเกินจากนี้หรือรักษาแล้วยังไม่ดีขึ้น ควรไปรักษาได้ที่สถานพยาบาลประจำตัวหรือหน่วยบริการปฐมภูมิในเครือข่ายที่ลงทะเบียนเลือกไว้ได้ไม่เสียค่าใช้จ่าย ไม่จำกัดจำนวนครั้ง
------------------------------
ทพ.อรรถพร ลิ้มปัญญาเลิศ รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เปิดเผยว่า หลังจากที่ สปสช. ได้เพิ่มทางเลือกให้กับประชาชนสิทธิบัตรทอง นอกจากไปรับบริการสถานพยาบาลประจำตัวที่ได้ลงทะเบียนเลือกไว้แล้ว ยังมีทางเลือกใหม่สามารถใช้สิทธิ 30 บาทรักษาทุกที่ เข้ารับบริการที่หน่วยบริการนวัตกรรม ได้แก่ ร้านยาและคลินิกเอกชนนั้น สปสช. ได้กำหนดจำนวนการให้บริการดูแลรักษาโรคทั่วไปหรืออาการเจ็บป่วยเล็กน้อย (Common illness) สำหรับบริการปฐมภูมิ ในหน่วยบริการนวัตกรรม 4 ประเภท คือ 1.ร้านยาคุณภาพ 2.คลินิกเวชกรรม 3.คลินิกพยาบาล และ 4. บริการการแพทย์ทางไกล (Telemedicine) ทั้งการรับบริการผ่านแอปพลิเคชันและที่ตู้ห่วงใย เป็น 2 ครั้งต่อเดือนรวมทุกหน่วยบริการ โดยจะมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย. 2568 เป็นต้นไป

“ยกตัวอย่างเช่น ผู้มีสิทธิบัตรทองมีอาการเจ็บป่วยและเข้ารับบริการที่ร้านยาคุณภาพในครั้งที่ 1 และต่อมาได้เข้ารับบริการที่คลินิกเวชกรรมเป็นครั้งที่ 2 จะถือว่าได้ใช้สิทธิในเดือนนั้นหมดแล้ว ดังนั้น หากอาการเจ็บป่วยยังไม่หายดี หากต้องการเข้ารับบริการอีกครั้ง ต้องไปรับบริการในสถานพยาบาลประจำตัวที่ได้ลงทะเบียนไว้” ทพ.อรรถพร กล่าว
------------------------------
อ่านเพิ่มเติมได้ที่คอมเมนต์
------------------------------
#ข่าวสุขภาพ #ข่าวสาธารณสุข

22/08/2025

การใช้ยาในการรักษา “รองช้ำ” (Plantar fasciitis)

ทำไมจึงยังจำเป็นต้องใช้ยา ทั้งที่รองช้ำมักหายได้เอง ?
รองช้ำ (Plantar fasciitis) เป็นภาวะปวดส้นเท้าที่เกิดจากการใช้งานพังผืดใต้ฝ่าเท้าอย่างต่อเนื่องหรือมากเกินไป (overuse injury) โดยทั่วไปอาการสามารถดีขึ้นเองได้ หากมีการปรับพฤติกรรมและทำการยืดเหยียด (stretching) และเสริมความแข็งแรง (strengthening) ของกล้ามเนื้ออย่างเหมาะสม
แม้อาการจะมีแนวโน้มดีขึ้นเอง แต่การใช้ยาในระยะที่ปวดมากยังมีความจำเป็นในฐานะเครื่องมือช่วย "พยุงอาการ" เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถเดิน ยืดเหยียด และเข้าสู่โปรแกรมกายภาพบำบัดได้อย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ
แนวทางเวชปฏิบัติปี 2023 แนะนำให้การรักษาหลักเน้นไปที่การทำกายภาพบำบัด การใช้ taping หรืออุปกรณ์รองรับเท้า (orthoses) ที่เหมาะสม การใช้อุปกรณ์ดามเท้าในเวลากลางคืน (night splint) รวมถึงโปรแกรมการยืดเฉพาะพังผืดฝ่าเท้าเป็นสำคัญ

# ยาที่ใช้บ่อยและแนวทางการใช้งาน
1) ยาทากลุ่ม NSAIDs (Topical NSAIDs): ตัวเลือกแรกที่อ่อนโยนต่อระบบร่างกาย
ยาทาในกลุ่ม NSAIDs เช่น diclofenac, ketoprofen และ ibuprofen เป็นทางเลือกเบื้องต้นในการบรรเทาอาการปวดเฉพาะที่ โดยมีข้อได้เปรียบคือการดูดซึมสู่กระแสเลือดน้อยกว่ายารับประทาน จึงลดความเสี่ยงของผลข้างเคียงต่อกระเพาะอาหารและไต เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มีอาการปวดระดับน้อยถึงปานกลาง หรือผู้ที่มีข้อจำกัดในการใช้ยารับประทาน
งานวิจัยเชิงสรุปพบว่า topical NSAIDs มีประสิทธิภาพในการลดอาการปวดของระบบกล้ามเนื้อและกระดูก และมีความปลอดภัยสูง โดยเฉพาะด้านผลข้างเคียงทางเดินอาหารที่พบได้น้อย

แนวทางการใช้
ให้ทายาในปริมาณพอเหมาะบริเวณที่มีอาการปวด วันละหลายครั้งตามคำแนะนำบนฉลาก หลีกเลี่ยงการทาบนผิวหนังที่มีแผลหรือแตก หากมีอาการระคายเคือง เช่น ผื่นแดงหรือคัน ควรหยุดใช้และปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร

2) ยาแก้ปวดชนิดรับประทาน
2.1 พาราเซตามอล (Acetaminophen)
พาราเซตามอลมักเป็นยาที่แพทย์แนะนำเป็นอันดับแรกในการบรรเทาอาการปวดจากรองช้ำ โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่ยังสามารถทำกายบริหารร่วมด้วยได้ ยานี้เหมาะสำหรับการใช้เป็นครั้งคราวเมื่อมีอาการปวด ทั้งนี้ แนวทางสำหรับผู้ป่วยของ American College of Obstetricians and Gynecologists (ACOG) ระบุว่าสามารถใช้พาราเซตามอลได้ในหญิงตั้งครรภ์ หากใช้ในขนาดและระยะเวลาที่เหมาะสม

2.2 ยากลุ่ม NSAIDs (เช่น ibuprofen, naproxen, diclofenac)
ยาในกลุ่ม NSAIDs มีฤทธิ์ลดอาการปวดและการอักเสบ เหมาะสำหรับการใช้ในช่วงระยะเวลาสั้น อย่างไรก็ตาม หลักฐานจากการศึกษาประเภทสุ่มมีกลุ่มควบคุม (RCT) ที่ศึกษาโดยตรงในผู้ป่วยรองช้ำยังมีจำกัด และผลลัพธ์มักแสดงว่า อาการดีขึ้นเพียงเล็กน้อยหรือไม่แตกต่างจากกลุ่มยาหลอก เมื่อประเมินในระยะติดตามหลายสัปดาห์ ดังนั้นจึงควรพิจารณาใช้เฉพาะเมื่อจำเป็นจริง ๆ และในระยะสั้น โดยต้องระมัดระวังผลข้างเคียงต่อระบบทางเดินอาหาร ไต และความดันโลหิต โดยเฉพาะในผู้สูงอายุหรือผู้ที่มีโรคประจำตัว

# การใช้ยาอย่างไรให้ “คุ้มค่าและปลอดภัย”
การใช้ยารักษาอาการรองช้ำควรมองว่าเป็น “ตัวช่วยชั่วคราว” ที่มีเป้าหมายเพื่อบรรเทาอาการปวดในระยะเฉียบพลัน ให้ผู้ป่วยสามารถเข้าสู่กระบวนการรักษาหลัก ได้แก่ การยืดเหยียดและเสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ (stretching/strengthening) และการปรับลดกิจกรรมที่เพิ่มแรงกระแทกต่อส้นเท้า เช่น การวิ่งลงส้น หรือการยืนนาน ๆ
ในกรณีที่มีอาการปวดระดับน้อยถึงปานกลาง ควรเริ่มจากยา acetaminophen หรือ ยาแก้ปวดชนิดทาในกลุ่ม NSAIDs ก่อน หากอาการปวดยังรุนแรงจึงพิจารณาใช้ยา NSAIDs ชนิดรับประทาน ในระยะสั้น โดยอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์หรือเภสัชกร
หากอาการไม่ดีขึ้นหลังการดูแลตนเองต่อเนื่อง 6–12 สัปดาห์ หรือเริ่มรบกวนชีวิตประจำวันมาก ควรปรึกษาแพทย์เพื่อพิจารณาทางเลือกอื่น เช่น การฉีดยาเฉพาะที่ โดยต้องชั่งน้ำหนักระหว่าง ประโยชน์ในระยะสั้น กับ ความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในระยะยาว อย่างรอบคอบ

ข้อควรระวังสำคัญ
ทุกครั้งที่ใช้ยา ควรอ่านฉลากอย่างละเอียด ใช้ในขนาดและระยะเวลาที่เหมาะสม และแจ้งข้อมูลเกี่ยวกับโรคประจำตัวหรือยาที่ใช้อยู่กับแพทย์หรือเภสัชกรทุกครั้ง เพื่อป้องกันอันตรายหรือปฏิกิริยาระหว่างยา

21/08/2025
ประกาศจาก สปสช.@@(30 บาทรักษาทุกโรค)” ผู้ป่วย1 คน สามารถใช้สิทธิ์จากร้านยาหรือคลีนิกแพทย์ พยาบาล เทเลเมดรอบเวลา 1 เดือน ...
20/08/2025

ประกาศจาก สปสช.@@(30 บาทรักษาทุกโรค)

” ผู้ป่วย1 คน สามารถใช้สิทธิ์จากร้านยาหรือ
คลีนิกแพทย์ พยาบาล เทเลเมด
รอบเวลา 1 เดือน ใช้บริการได้เพียง 2 ครั้ง เท่านั้น‘
เริ่ม 1 กย 68 นี้

จากการประชุมวันที่ 19 สิงหาคม 2568

Update ค่าบริการเภสัชกรรมด้านเภสัชกรรมปฐมภูมิ (Common illness) ปี 2569
โดยสรุปงานที่เกี่ยวข้องกับร้านยาที่ให้บริการ CI
1. ผู้รับบริการรวมกัน ไม่เกิน 2 ครั้ง ต่อคนต่อเดือน รวมกันในทุกหน่วยบริการ (ร้านยา เวชกรรม พยาบาล telemed) โดยกำหนดเงื่อนไขการ ปิดสิทธิ์ก่อนได้เบิกก่อน และหากผู้ขอเข้ารับบริการรับบริการเกินเป็นครั้งที่ 3 สามารถแจ้งเพื่อเก็บเงินเพิ่มได้ โดยผู้ป่วยต้องยินยอมพร้อมมีเอกสารยืนยันในการชำระเงินเอง
2.สำหรับกรณีรายการลำดับ 31 อาการเจ็บป่วยจากการสูบบุหรี่ ไม่นับรวมในบริการ 2 ครั้งต่อคนต่อเดือน เนื่องจากเป็นการให้บริการต่อเนื่อง จำนวม 8 ครั้งต่อคอร์สใน ระยะเวลา 6 เดือน

ประกาศนี้จะเริ่มประกาศใช้ 1 กันยายน 2568

สามารถโหลดเอกสารได้ที่ https://drive.google.com/drive/folders/1pWHo3AGRfIOWFk40fc8khlTD8-acj9Zy?usp=drive_link

#สภาเภสัชกรรม
#โครงการดูแลอาการเจ็บป่วยเล็กน้อย

20/08/2025
ยาคุมฉุกเฉิน ไม่ควรกินบ่อย หรือกินเป็นประจำ
20/08/2025

ยาคุมฉุกเฉิน ไม่ควรกินบ่อย หรือกินเป็นประจำ

“ยาคุมฉุกเฉิน” กินบ่อยไม่ใช่เรื่องดี
นี่คือความจริงที่ผู้หญิงควรรู้ 👩‼
การคุมกำเนิดจะมีมากมาย แต่การ “กินยาคุม” ก็เป็นวิธีที่หลายคนเลือกใช้ เพราะหาซื้อได้ง่ายและราคาไม่แพง แต่นอกจากยาคุมแบบแผงแล้ว ยังมี “ยาคุมฉุกเฉิน” ที่ให้ประสิทธิภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์ แต่สิ่งที่หลายคนไม่เคยรู้ ก็คือ… การกินยาคุมฉุกเฉินบ่อยๆและต่อเนื่องเป็นเวลานานนั้นอาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงเชิงลบได้โดยที่คุณไม่รู้ตัว !!!
💊 กินยาคุมฉุกเฉินอย่างไร?
ตามหลักของกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข คือ
1️⃣ กินเม็ดแรก ภายใน 72 ชั่วโมงหลังมีเพศสัมพันธ์ และกินเม็ดที่สองเมื่อครบ 12 ชั่วโมง หลังจากกินยาเม็ดแรก
หรือ 2️⃣ กินพร้อมกัน 2 เม็ด ภายใน 72 ชั่วโมงหลังมีเพศสัมพันธ์
⚠️กินเฉพาะในกรณีฉุกเฉิน เช่น มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ตั้งใจ ไม่ใช่กินเพื่อคุมกำเนิดระยะยาว ไม่กินเกิน 2 กล่อง/เดือน
มีเลือดออกหลังกินยาคุมฉุกเฉิน…อันตรายหรือเปล่า?
แน่นอนว่าการที่ฮอร์โมนถูกกระตุ้นแบบฉับพลันย่อมส่งผลข้างเคียง โดยหลังการกินยาคุมฉุกเฉินมักจะพบว่า 🩸 มีอาการปวดศีรษะ ปวดท้อง มีเลือดออกกะปริบกะปรอย ประจำเดือนมาเร็วหรือช้ากว่าปกติ ซึ่งนับว่าเป็นอาการปกติ ไม่อันตราย แต่หากอาการเหล่านี้เกิดขึ้นต่อเนื่องหลายวันหรือเกินสัปดาห์ ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยจะดีกว่า
กินยาคุมฉุกเฉินหลังมีเพศสัมพันธ์ ทำให้ “ไม่ท้อง” ได้จริงหรือ?
👩‍❤️‍💋‍👨 หลายคนมักเข้าใจแบบเหมารวมว่า “ยาคุมฉุกเฉิน” จะทำให้ไม่ท้องเหมือนกับยาคุมแบบปกติ แต่จริงๆ แล้ว ยาคุมฉุกเฉินมีหน้าที่รบกวนกระบวนการตกไข่และการเคลื่อนไหวของอสุจิ รวมถึงการเปลี่ยนแปลงเยื่อบุโพรงมดลูก เพื่อให้การฝังตัวของไข่ทำได้ยาก หรือจะพูดง่ายๆ ก็คือ ยาคุมฉุกเฉินมีส่วนช่วย “ลดโอกาส” ในการตั้งครรภ์ลงจากเดิมเท่านั้น!!!
อีกหนึ่งความเชื่อที่ผิด!! กินยาคุมฉุกเฉิน ไม่ได้ช่วยให้แท้ง
❌ นอกจากจะเข้าใจกันว่าการกินยาคุมฉุกเฉินจะทำให้ไม่ท้องแล้ว หลายๆ คนยังเข้าใจว่า “สามารถทำให้เกิดการแท้ง” ได้อีกด้วย ซึ่งอย่างที่บอกไปว่ายาคุมฉุกเฉินเป็นตัวช่วยลดประสิทธิภาพในการทำงานของไข่และอสุจิ ดังนั้น หากไข่ที่ผสมอสุจิได้ทำการฝังตัวที่เยื่อบุโพรงมดลูกแล้ว หรือเกิดการตั้งครรภ์แล้ว การกินยาคุมฉุกเฉินก็เท่ากับสูญเปล่า
รู้หรือไม่? กินยาคุมฉุกเฉินบ่อย ๆ กินติดต่อกันมานาน ยิ่งเพิ่มโอกาสตั้งครรภ์!!
😟 ยาคุมฉุกเฉินไม่ได้มีไว้เพื่อการคุมกำเนิดระยะยาว และเมื่อกินบ่อยครั้งหรือกินติดต่อกันนานๆ ยังส่งผลให้ยาคุมฉุกเฉินมีประสิทธิภาพลดลง หรือทำให้มีโอกาสตั้งครรภ์ได้สูงขึ้น รวมถึงปริมาณฮอร์โมนเพศหญิงในยาคุมฉุกเฉินที่สูงกว่ายาคุมกำเนิดแบบปกติถึง 2 เท่า ยังอาจก่อให้เกิดอันตรายต่างๆ ได้ เช่น เพิ่มโอกาสเสี่ยงมะเร็งปากมดลูกหรือมะเร็งเต้านม เป็นต้น
เพราะ “ยาคุมฉุกเฉิน” ถูกผลิตขึ้นเพื่อช่วยลดโอกาสในการตั้งครรภ์ กรณีที่มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ตั้งใจ, การถูกข่มขืน หรือเกิดการฉีกขาดของถุงยางอนามัย ดังนั้น หากคู่สามีภรรยา หรือ คู่รักคู่ไหนต้องการคุมกำเนิดแบบระยะยาว ควรปรึกษาแพทย์/ เภสัชกร เพื่อเลือกวิธีคุมกำเนิดที่เหมาะสมและปลอดภัยจะดีกว่า 👩‍❤️‍💋‍👨
เรียบเรียงโดย : สุขภาพดีไม่มีในขวด
ขอบคุณข้อมูลจาก : https://bit.ly/34bYENO

น้ำยาล้างแผล / อย่าใส่แผล เลือกอย่างไรดี??
19/08/2025

น้ำยาล้างแผล / อย่าใส่แผล เลือกอย่างไรดี??

น้ำยาล้างแผล/ ยาใส่แผล...เลือกอย่างไรดี❓
ยาล้างแผลและยาที่ใช้ใส่แผลในท้องตลาด ปัจจุบันมีจำหน่ายหลายชนิด ทั้ง ยาเหลือง ยาแดง ทิงเจอร์ แอลกอฮอล์ น้ำเกลือ เป็นต้น การเลือกใช้ยาแต่และชนิดต้องคำนึงถึงลักษณะบาดแผลเป็นหลัก โดยทั่วไปการแบ่งประเภทบาดแผลมีหลายวิธี เช่น
- แบ่งตามความสะอาดของแผล แบ่งได้เป็น
1. แผลสะอาด หมายถึงแผลที่ไม่มีการติดเชื้อ เช่น แผลมีดบาด แผลผ่าตัด มีโอกาสติดเชื้อต่ำ
2. แผลสกปรก หมายถึง แผลเปิดที่มีการมีอาการปวด บวม แดง อาจมีเลือดหรือน้ำเหลืองออกมาบริเวณปากแผล มีโอกาสติดเชื้อสูง รวมถึงบาดทะยัก
- แบ่งประเภทตามระยะเวลาการเกิดแผล แบ่งได้เป็น
1. แผลสด เป็นแผลที่เกิดขึ้นใหม่ๆ เช่น มีดบาด
2. แผลเรื้อรัง เป็นแผลที่มีการติดเชื้อ มีการทำลายของเนื้อเยื่อเกิดเป็นเนื้อตาย เป็นหนอง เช่น แผลกดทับ แผลจากการฉายรังสี เป็นต้น
⚠️ หากมีการบาดเจ็บรุนแรงเลือดออกหรือแผลสกปรกปนเปื้อนมาก ควรพบแพทย์ก่อนเพื่อห้ามเลือดและทำความสะอาดแผลหรือฉีดยาป้องกันบาดทะยัก การดูแลบาดแผลจะมีการใช้น้ำยาทำความสะอาดแผลและยาใส่แผลหลายชนิดแตกต่างกันไปตามแต่ประเภทของบาดแผล ดังนี้
🌟 น้ำยาล้างแผล ใช้สำหรับทำความสะอาดแผลเบื้องต้นเพื่อชะล้างเชื้อโรคและสิ่งสกปรกให้หลุดออกไป และช่วยให้แผลอ่อนตัวลงสามารถซึมซับยาใส่แผลได้ดีขึ้น น้ำยาที่ใช้ได้แก่

1. น้ำเกลือความเข้มข้น 0.9% นิยมใช้ล้างแผลมากที่สุด ไม่ระคายเคืองต่อเนื้อเยื่อ ไม่ทำให้รู้สึกปวดแสบปวดร้อน ช่วยให้เนื้อเยื่อที่ตายแล้วเกิดความชุ่มชื้นหลุดออกได้ง่าย

2. ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ความเข้มข้น 3% ใช้สำหรับชะล้างแผลสกปรก มีหนองมากหรือมีเนื้อตาย เมื่อน้ำยาสัมผัสกับแผลจะปล่อยออกซิเจนออกมาเป็นฟองฟู่และมีความร้อน ช่วยชะล้างเนื้อตายที่บาดแผลได้
🌟 น้ำยาเช็ดรอบแผล ใช้สำหรับเช็ดทำความสะอาดผิวหนังบริเวณรอบๆ แผล เพื่อลดจำนวนเชื้อโรค ❌แต่จะไม่เช็ดไปที่แผลโดยตรงเนื่องจากทำให้แสบ ระคายเคือง และแผลหายช้า ได้แก่ แอลกอฮอล์ 70% ในท้องตลาดจะมี 2 ชนิดคือ
- เอธิลแอลกอฮอล์ 70% (Ethyl alcohol)
- ไอโซโพรพิลแอลกอฮอล์ 70% (Isopropyl alcohol)
ซึ่งมีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อไม่ต่างกัน
🌟 ยาใส่แผล มีหลายชนิด ใช้หลังจากที่ทำความสะอาดบาดแผลเสร็จแล้ว โดยทั่วไปควรเลือกให้เมาะสมกับประเภทของบาดแผล ได้แก่

1. ทิงเจอร์ไอโอดีน ความเข้มข้น 2.5% ใส่แผลสดหรือแผลถลอก นิยมเช็ดรอบๆ แผล ฆ่าเชื้อโรคได้หลายชนิด
⚠️ แต่มีข้อเสียคือเมื่อทาที่ผิวหนังแล้วตัวทำละลายจะระเหยไปอย่างรวดเร็ว ตัวยามีความเข้มข้นสูง ทำให้ผิวหนังเกิดไหม้พองได้ ดังนั้น หลังจากใช้น้ำยา 1 นาที ให้เช็ดตามด้วยแอลกอฮอล์ 70%
❌ไม่นิยมใช้กับแผลบริเวณเนื้อเยื่ออ่อนๆ

2. โพวิโดน-ไอโอดีน ความเข้มข้น 10% นิยมใช้ค่อนข้างมาก ใช้เช็ดแผลสด แผลไฟไหม้ แผลถลอก มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อโรคได้ดี ไม่ระคายเคืองต่อผิวหนัง แสบน้อยกว่าทิงเจอร์ไอโอดีน

3. ทิงเจอร์ไทเมอรอซอล ความเข้มข้น 0.1% (Thimerosal 0.1% w/v) ใช้ใส่แผลสด หรือแผลถลอก ไม่ใช้กับผิวอ่อน และเด็กอ่อน

4. ยาเหลือง (acriflavin) ใช้กับแผลเรื้อรัง แผลเปื่อย กดทับ ไม่นิยมใช้กับแผลสด

5. ยาแดง (mercurochrome) เหมาะกับแผลถลอกเล็กน้อย
⚠️ แต่ถ้าเป็นบาดแผลที่ค่อนข้างลึก ยาจะทำให้แผลด้านบนแห้งแต่ด้านล่างยังคงแฉะอยู่ แผลจะหายช้า
⚠️ และเนื่องจากยามีส่วนผสมของสารปรอทหากใช้บ่อยๆ อาจทำให้เกิดพิษจากสารปรอทได้ ปัจจุบันนี้จึงไม่นิยมมากนัก
สำหรับบาดแผลสดที่ไม่ลึกหรือกว้างมาก หากทำความสะอาดแผลอย่างถูกวิธีและปิดผ้าก๊อซเพื่อป้องกันเชื้อโรคจากภายนอกแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องใช้ยาฆ่าเชื้อโรคใดๆ เนื่องจากแผลจะค่อยๆ สมานตัวและหายได้เอง แต่หากต้องการใช้ยาควรเลือกชนิดที่ระคายเคืองต่อผิวน้อยที่สุด
กรณีแผลถูกไฟไหม้หรือน้ำร้อนลวกที่ผิวหนังชั้นนอกไม่รุนแรงมาก แผลมีขนาดเล็ก ให้ล้างแผลด้วยน้ำเย็นหรือใช้ผ้าห่อน้ำแข็งประคบบาดแผล เพื่อบรรเทาอาการปวดแสบปวดร้อนและป้องกันไม่ให้ความร้อนทำลายเนื้อเยื่อมากขึ้น
❌ไม่ควรใช้ยาสีฟัน น้ำปลา หรือยาหม่อง ทาแผล เพราะไม่ได้ช่วยบรรเทาความร้อนที่บาดแผลและอาจทำให้เนื้อเยื่อถูกทำลายมากขึ้นด้วย
อาจใช้ยาทาเพื่อช่วยบรรเทาอาการปวดแสบปวดร้อน เช่น เจลว่านหางจระเข้ น้ำมันมะกอก หรือขี้ผึ้งวาสลีน ถ้ามีตุ่มน้ำพองเล็กๆ ❌ไม่ควรเจาะออกแต่ให้ทายาฆ่าเชื้อ เช่น โพวิโดนไอโอดีนแล้วปิดด้วยผ้าก๊อซ ตุ่มจะแห้งเองใน 3-7 วัน แล้วหลุดลอกออกมา
หากแผลไฟไหม้หรือน้ำร้อนลวกมีความรุนแรงมากหรือกินบริเวณกว้างจะมีอันตรายกว่าบาดแผลขนาดเล็ก เสี่ยงต่อการสูญเสียน้ำของร่างกายและติดเชื้อได้ง่ายควรรีบไปพบแพทย์เพื่อการรักษาที่เหมาะสมและปลอดภัยต่อไป
นอกจากที่กล่าวมาข้างต้นแล้วยังมียาใส่แผลชนิดอื่นอีกหลายรูปแบบ เช่น ยาครีม ยาขี้ผึ้ง หรือเจลทาแผล ใช้แตกต่างกันตามบริเวณที่เกิดแผลและชนิดและความรุนแรงของแผล แต่เนื่องจากยาเหล่านี้มีส่วนผสมของตัวยาปฏิชีวนะหลากหลายชนิด ซึ่งถือเป็นยาอันตราย การเลือกใช้ควรได้รับคำแนะนำจากแพทย์หรือเภสัชกร

ที่อยู่

31/128 ม. 1 ถนน เอกชัย, บางขุนเทียน, จอมทอง
Bangkok
10150

เวลาทำการ

จันทร์ 07:00 - 20:00
อังคาร 07:00 - 20:00
พุธ 07:00 - 20:00
พฤหัสบดี 07:00 - 20:00
ศุกร์ 07:00 - 20:00
เสาร์ 07:00 - 20:00

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ ฟาร์มาชอพ PharmaShopผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

แชร์

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram