06/12/2025
ยารักษาไมเกรนมีกี่กลุ่ม?
มองครบทั้ง Acute therapy และ Preventive therapy
1. ภาพรวม: แนวทางการรักษาไมเกรนแบ่งได้เป็น 2 กลุ่มหลักตามเป้าหมายการใช้ยา
การใช้ยารักษาไมเกรนสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 แนวทางใหญ่ตามวัตถุประสงค์ของการรักษา ได้แก่
* การรักษาเฉียบพลัน (Acute หรือ Abortive Therapy):
เป็นการใช้ยาในช่วงที่มีอาการปวดศีรษะไมเกรน เพื่อระงับอาการในแต่ละรอบของการกำเริบ เป้าหมายคือการบรรเทาอาการและฟื้นคืนการทำงานของผู้ป่วยให้ได้เร็วที่สุด
* การรักษาเพื่อป้องกัน (Preventive หรือ Prophylactic Therapy):
เป็นการใช้ยาอย่างสม่ำเสมอในระยะยาว เพื่อควบคุมโรคโดยลดความถี่และความรุนแรงของไมเกรน ตลอดจนลดความจำเป็นในการใช้ยารักษาเฉียบพลันในอนาคต
ในส่วนถัดไปจะอธิบายรายละเอียดของยาแต่ละกลุ่มอย่างกระชับและชัดเจน
2. การรักษาไมเกรนขณะมีอาการ (Acute Therapy)
การรักษาไมเกรนในระยะที่กำลังมีอาการปวด (acute attack) เป็นแนวทางที่มุ่งเน้นการบรรเทาอาการเฉียบพลันและฟื้นฟูการดำเนินชีวิตของผู้ป่วยโดยเร็ว แนวทางเวชปฏิบัติสากลจากหลายองค์กร เช่น International Headache Society (IHS), American College of Physicians (ACP) และ American Headache Society (AHS) แนะนำให้เริ่มใช้ยาทันทีตั้งแต่เริ่มมีอาการ โดยเลือกใช้ยาที่มีหลักฐานทางคลินิกรองรับชัดเจน ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็นกลุ่มหลัก ๆ ได้ดังนี้:
2.1 ยาแก้ปวดทั่วไป / กลุ่ม NSAIDs
ยากลุ่มนี้เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มีอาการไมเกรนระดับเล็กน้อยถึงปานกลาง หรืออาจใช้ร่วมกับยากลุ่มอื่นในรายที่มีอาการรุนแรงขึ้น
* ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs): เช่น ibuprofen, naproxen, diclofenac, aspirin
* ยาพาราเซตามอล (paracetamol) อาจใช้เดี่ยวหรือร่วมกับ caffeine เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ
เนื่องจากมีความปลอดภัยและเข้าถึงได้ง่าย จึงมักถูกใช้เป็นยาตั้งต้น (first-line) ในผู้ป่วยส่วนใหญ่
2.2 ยากลุ่ม Triptans (5‑HT1B/1D Agonists)
ตัวอย่างได้แก่ sumatriptan, rizatriptan, zolmitriptan, eletriptan ฯลฯ
Triptans ถือเป็นมาตรฐานทองคำสำหรับการรักษาไมเกรนเฉียบพลันระดับปานกลางถึงรุนแรง โดยออกฤทธิ์ผ่านตัวรับ serotonin ชนิด 5‑HT1B/1D ทำให้ลดการขยายตัวของหลอดเลือดสมองและลดการอักเสบของเส้นประสาท trigeminal
ข้อควรระวัง: ห้ามใช้ในผู้ป่วยที่มีโรคหลอดเลือดหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง หรือภาวะหลอดเลือดส่วนปลายบางประเภท เนื่องจากฤทธิ์ในการหดหลอดเลือด
2.3 ยากลุ่ม Gepants (CGRP Receptor Antagonists)
ตัวอย่างเช่น ubrogepant, rimegepant, zavegepant
Gepants เป็นยารุ่นใหม่ที่ออกฤทธิ์ยับยั้งตัวรับของ calcitonin gene-related peptide (CGRP) ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการก่ออาการไมเกรน ยากลุ่มนี้ไม่ทำให้หลอดเลือดหดตัว จึงเป็นทางเลือกที่ดีในผู้ป่วยที่ไม่ตอบสนองต่อ triptans หรือมีข้อห้ามใช้งานด้านหัวใจและหลอดเลือด
บางรายการ (เช่น rimegepant) ยังสามารถใช้ในแนวทางป้องกันไมเกรนได้อีกด้วย
2.4 ยากลุ่ม Ditans (5‑HT1F Agonists)
ตัวอย่างที่สำคัญคือ lasmiditan
ออกฤทธิ์ผ่านตัวรับ serotonin ชนิด 5‑HT1F โดยไม่ทำให้หลอดเลือดหดตัว จึงเหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มีข้อจำกัดในการใช้ triptans
ข้อควรระวัง: อาจเกิดอาการง่วงซึม เวียนศีรษะ หรือการทำงานของระบบประสาทส่วนกลาง จึงควรหลีกเลี่ยงการขับขี่ยานพาหนะหรือใช้งานเครื่องจักรภายในระยะเวลาหลังใช้ยา
2.5 ยาอื่น ๆ และยาร่วมรักษา
* Ergot derivatives เช่น dihydroergotamine, ergotamine: ปัจจุบันใช้น้อยลงเนื่องจากมีผลข้างเคียงมากและข้อห้ามใช้งานหลายประการ แต่ยังมีบทบาทในบางกรณีเฉพาะ
* ยากลุ่มแก้คลื่นไส้–อาเจียน (Antiemetics): เช่น metoclopramide, prochlorperazine ซึ่งมักใช้ร่วมกับยากลุ่มอื่นเพื่อลดอาการคลื่นไส้และช่วยเพิ่มการดูดซึมของยา
* ในภาวะไมเกรนต่อเนื่องรุนแรง (Status Migrainosus): อาจจำเป็นต้องใช้การรักษาในห้องฉุกเฉิน เช่น สารน้ำทางหลอดเลือดดำ ยากันคลื่นไส้ และ corticosteroids
3. การรักษาแบบป้องกันไมเกรน (Preventive Therapy)
การใช้ยาป้องกันไมเกรนมีจุดมุ่งหมายเพื่อลดความถี่ ความรุนแรง และผลกระทบจากอาการไมเกรนต่อคุณภาพชีวิต โดยแนวทางของ American Headache Society (AHS) และ American Academy of Neurology (AAN) แนะนำให้พิจารณาเริ่มยาป้องกันเมื่อมีข้อบ่งใช้ใดข้อหนึ่งต่อไปนี้:
* มีอาการปวดไมเกรน ≥4 วันต่อเดือน
* อาการรุนแรงจนรบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน
* มีความจำเป็นต้องใช้ยารักษาเฉียบพลันบ่อยครั้ง หรือมีภาวะการใช้ยาเกิน (medication overuse)
* มีภาวะแทรกซ้อนของไมเกรน เช่น aura ที่รุนแรงบ่อยครั้ง หรือภาวะ status migrainosus
ยาที่ใช้ในการป้องกันไมเกรนสามารถแบ่งออกเป็น 5 กลุ่มหลัก ได้แก่
3.1 ยาป้องกันแบบดั้งเดิม (Traditional Oral Preventives)
กลุ่มนี้ประกอบด้วยยาที่ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อรักษาไมเกรนโดยเฉพาะ แต่มีหลักฐานว่าช่วยลดความถี่ของอาการไมเกรนได้อย่างมีนัยสำคัญ ได้แก่:
* ยากลุ่ม beta-blockers เช่น propranolol, metoprolol
* ยากันชัก เช่น topiramate, valproate (ควรหลีกเลี่ยงในหญิงตั้งครรภ์หรือวัยเจริญพันธุ์ เนื่องจากมีความเสี่ยงต่อทารกในครรภ์)
* ยาต้านอาการซึมเศร้าขนาดต่ำ เช่น amitriptyline, venlafaxine
* ยาอื่น ๆ ที่มีหลักฐานสนับสนุน เช่น candesartan, flunarizine (การใช้ขึ้นกับแนวทางและการอนุมัติในแต่ละประเทศ)
ข้อจำกัด: ยาเหล่านี้มักมีผลข้างเคียง และไม่เจาะจงต่อพยาธิสรีรภาพของไมเกรนโดยตรง ทำให้ผู้ป่วยบางรายไม่สามารถทนต่อยา หรือหยุดใช้ยาในระยะเวลาอันสั้น
3.2 ยากลุ่ม Anti-CGRP Monoclonal Antibodies
เป็นยาฉีดรุ่นใหม่ที่ออกฤทธิ์จำเพาะต่อไมเกรน โดยยับยั้ง CGRP (Calcitonin Gene-Related Peptide) ซึ่งเป็นสารที่เกี่ยวข้องกับการก่ออาการไมเกรน:
* Erenumab: ออกฤทธิ์ต่อตัวรับ CGRP
* Fremanezumab, Galcanezumab, Eptinezumab: ออกฤทธิ์ต่อตัว ligand ของ CGRP
ข้อดีเด่น:
* ลดจำนวนวันไมเกรนได้อย่างชัดเจน
* ผลข้างเคียงค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับยาดั้งเดิม
* สะดวกในการใช้: ฉีดเดือนละครั้งหรือทุก 3 เดือน ขึ้นกับชนิดของยา
ในปี 2024 American Headache Society ได้ปรับจุดยืนโดยระบุว่าสามารถใช้ยากลุ่ม anti‑CGRP monoclonal antibodies เป็น first-line option สำหรับการป้องกันไมเกรนในผู้ใหญ่ โดยไม่จำเป็นต้องล้มเหลวจากการใช้ยาแบบเดิมก่อนเสมอไป ทั้งนี้ ขึ้นกับข้อจำกัดด้านสิทธิการเข้าถึงยาในแต่ละระบบสุขภาพ
3.3 ยากลุ่ม Gepants แบบรับประทานเพื่อการป้องกัน
ยากลุ่มนี้ออกฤทธิ์ต้าน CGRP เช่นเดียวกับ mAb แต่เป็นรูปแบบรับประทาน ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ที่ไม่สะดวกใช้ยาฉีด:
* Atogepant: ได้รับอนุมัติให้ใช้เพื่อการป้องกันไมเกรนโดยเฉพาะ
* Rimegepant: ใช้ได้ทั้งแบบเฉียบพลัน (เมื่อมีอาการ) และแบบป้องกัน (วันเว้นวัน) ในผู้ใหญ่ที่มี episodic migraine
เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ตอบสนองต่อยาดั้งเดิม หรือมีข้อจำกัดในการใช้ยาฉีด
3.4 Botulinum Toxin Type A
เป็นทางเลือกสำคัญสำหรับผู้ป่วยที่มี chronic migraine (ปวดศีรษะ ≥15 วัน/เดือน โดยมีวันไมเกรนอย่างน้อย 8 วัน)
* ฉีดในตำแหน่งรอบศีรษะและคอ ทุก 12 สัปดาห์
* มีหลักฐานว่าช่วยลดจำนวนวันปวด และปรับคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น
3.5 มาตรการไม่ใช้ยา (Non‑pharmacologic Therapy)
แม้การใช้ยาจะเป็นหัวใจหลักของการป้องกันไมเกรน แต่แนวทางสากลยังเน้นว่าควรดำเนินมาตรการเสริมควบคู่กันเสมอ เช่น:
* การนอนหลับและรับประทานอาหารเป็นเวลา
* การออกกำลังกายสม่ำเสมอ
* การจัดการความเครียด
* การทำ CBT (Cognitive Behavioral Therapy)
* การฝึก biofeedback
มาตรการเหล่านี้ช่วยเสริมผลของยา ลดความถี่ในการเกิดไมเกรน และอาจลดปริมาณยาที่ต้องใช้ได้ในระยะยาว
4. สรุปให้เข้าใจง่าย: ภาพรวมของแนวทางการใช้ยาในไมเกรน
หากมองในภาพรวม การรักษาไมเกรนสามารถแบ่งออกเป็น 2 แนวทางหลักตามวัตถุประสงค์ของการใช้ยา ได้แก่
1) การรักษาขณะมีอาการ (Acute Therapy)
ใช้เฉพาะในช่วงที่มีอาการไมเกรน เพื่อบรรเทาหรือหยุดอาการปวดในแต่ละรอบของการกำเริบ
กลุ่มยาหลัก:
* NSAIDs / ยาแก้ปวดทั่วไป: เช่น ibuprofen, naproxen, paracetamol ± caffeine
* Triptans: เช่น sumatriptan, rizatriptan
* Gepants: เช่น ubrogepant, rimegepant
* Ditans: เช่น lasmiditan
* ยาอื่น ๆ: เช่น ergot derivatives, ยาแก้คลื่นไส้ (antiemetics), corticosteroids (ในกรณีรุนแรงหรือ status migrainosus)
2) การรักษาแบบป้องกัน (Preventive Therapy)
ใช้ยาอย่างต่อเนื่องในระยะยาว เพื่อลดความถี่และความรุนแรงของอาการไมเกรน รวมถึงลดการพึ่งพายารักษาเฉียบพลัน
กลุ่มยาหลัก:
* ยารับประทานแบบดั้งเดิม: เช่น beta-blockers, ยากันชัก (topiramate, valproate), ยาต้านซึมเศร้าขนาดต่ำ
* Anti‑CGRP monoclonal antibodies: ยาฉีดที่ออกฤทธิ์จำเพาะต่อไมเกรน
* Oral gepants ที่ใช้เพื่อการป้องกัน: เช่น atogepant, rimegepant
* Botulinum toxin type A: สำหรับผู้ป่วยที่มี chronic migraine
การเลือกใช้ยาขึ้นกับหลายปัจจัยสำคัญ เช่น
* ลักษณะของไมเกรน (episodic vs. chronic)
* โรคร่วมที่มีอยู่ เช่น โรคหัวใจ, หอบหืด, ภาวะซึมเศร้า, การตั้งครรภ์
* ความพร้อมของยาและค่าใช้จ่าย
* ประวัติการตอบสนองหรือผลข้างเคียงจากยาที่เคยใช้ในอดีต