D-Boon ดีบูน เพื่อกระดูกและเอ็นข้อต่อ By K.MAX 0635425536

D-Boon ดีบูน เพื่อกระดูกและเอ็นข้อต่อ By K.MAX 0635425536 แก้ปัญหานิ้วล็อก กระดูกทับเส้น กระ?

☆ส่วนประกอบที่สำคัญ☆
1.คอลลาเจนจากปลาทะเล (Hydrolyed Fish Collagen)
2.สารสกัดจากเปลือกสน (Pine bark extract ) MSM
3.วิตามิน ซี (Vitamin C)
4.สารสกัดจากขมิ้น (Turmeric Extract)
5.วิตามิน ดี 3 (Vitamin D 3)
6.แคลเซียม คาร์บอเนต (Calcium Carbonate )
>>เหมาะสำหรับ
~ โรคข้อเข่าเสื่อม
~ โรคกระดูกพรุน
~ โรคข้ออักเสบ,รูมาตอย,เก๊าท์
~ โรคหมอนรองกระดูกสันหลังเคลื่อน, กระดูกทับเส้นประสาท
~ นิ้วล็อค โรคฮิตของคนทำงาน
~ กลุ่มนักกีฬา
~ ผู้ที่ต้องการเพิ่มความสูง
~ ช่วยเรื่องความเสื่อมของอวัยวะต่างๆในร่างกาย
~ ผู้ที่ปวดเมื่อยตามกระดูก ข้อเข่า สันหลัง ไหล่บ่า คอ
~ วัยหมดประจำเดือน ขาดแคลเซียม
~ อาชีพที่ต้องยืนนาน

25/11/2018

สละเวลาฟังสักนิด ได้แง่คิดดีๆครับ
ด้วยความห่วงใยสุขภาพของทุกๆท่านครับ
ฟังแล้วดีมีประโยชน์ แชร์ต่อได้ครับ

สุขภาพร่างกายสำคัญ
อย่าปล่อยจนร่างพังแล้วค่อยซ่อม

ปรึกษาเรื่องสุขภาพ
โทร.063-5425536 , 065-2259965 อ.แม็กซ์

จากกระแสข่าวดังเรื่องการโฆษณาอาหารเสริม สรรพคุณเกินความเป็นจริงตามกฎของอย.ผมจึงหาความรู้เพิ่มเติมสำหรับการประชาสัมพันธ์ ...
19/05/2018

จากกระแสข่าวดังเรื่องการโฆษณาอาหารเสริม สรรพคุณเกินความเป็นจริงตามกฎของอย.

ผมจึงหาความรู้เพิ่มเติมสำหรับการประชาสัมพันธ์ ให้ถูกต้องตามกฎหมาย เพื่อให้ผู้บริโภคทุกท่านจะได้เชื่อมั่นในผลิตภัณฑ์ของเรา

#ไม่มีคำว่ารู้แล้ว
#มีแต่คำว่าเติมเต็ม

คุณรัตตโรจน์ ทองซิว (อ.แม็กซ์)

ร่วมแชร์บอกบุญต่อครับ
06/05/2018

ร่วมแชร์บอกบุญต่อครับ

โรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท
22/04/2018

โรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท

🚧 ห ม อ น ร อ ง ก ร ะ ดู ก ทั บ เ ส้ น ป ร ะส า ท 🚨 ผู้ป่วยจะมีอาการปวดหลัง ที่เอวระดับเข็มขัดและอาจร้าวลงไปถึงบริเว...

โรคข้อเข่าเสื่อมคืออะไร        โรคข้อเข่าเสื่อม คือ โรคที่เกิดจากการสึกกร่อนของกระดูกอ่อนผิวข้อ ซึ่งเป็นผลมาจากอายุที่เพ...
21/04/2018

โรคข้อเข่าเสื่อมคืออะไร
โรคข้อเข่าเสื่อม คือ โรคที่เกิดจากการสึกกร่อนของกระดูกอ่อนผิวข้อ ซึ่งเป็นผลมาจากอายุที่เพิ่มขึ้นและการใช้งานมาก เมื่อมีการใช้งานผิวข้อที่สึกจะมีการขัดสีกัน ทำให้เกิดอาการปวดข้อเข่าตามมา

มีปัจจัยเสี่ยงอะไรบ้าง
1. อายุ การเกิดข้อเข่าเสื่อมจะพบมากตามอายุที่เพิ่มขึ้น
2. เพศ พบในเพศหญิงบ่อยกว่าเพศชาย
3. พันธุกรรม อาจมีคนในครอบครัวเป็นโรคข้อเข่าเสื่อมร่วมด้วย
4. ภาวะอ้วน น้ำหนักตัวที่มากขึ้น ทำให้ข้อเข่าต้องรับน้ำหนักและแรงกดทับมากขึ้น
5. การได้รับบาดเจ็บ เช่น การมีเอ็นไขว้หรือหมอนรองกระดูกเข่าฉีกขาด หรือมีกระดูกผิวข้อแตก

อาการและอาการแสดงเป็นอย่างไร
1. อาการปวด เป็นอาการที่พบบ่อยที่สุด มักปวดมากขึ้นเมื่อใช้งานและลดลงหลังจากการพัก
2. ข้อยึดติด ถ้าเป็นมาก มุมของการเหยียดงอเข่าจะลดลง เคลื่อนไหวในชีวิตประจำวันลำบาก
3. ข้อบวม อาจพบเป็นๆ หายๆ เกิดจากเยื่อบุข้อ มีการอักเสบหรือมีการสร้างน้ำไขข้อเพิ่มขึ้น
4. มีเสียงหรือมีความรู้สึกว่ากระดูกเสียดสีกันเวลาเคลื่อนไหวข้อ
5. ถ้าเป็นรุนแรง ข้อจะผิดรูป ขาโก่ง
6. ข้อหลวม รู้สึกไม่มั่นคงเวลายืนหรือเดิน เนื่องจากเอ็นรอบๆ ข้อหย่อน
7. กล้ามเนื้อรอบๆ ข้อมีขนาดเล็กลงและไม่มีแรง

มีวิธีการรักษาอย่างไร และสามารถรักษาให้หายขาดได้หรือไม่
ปัจจุบันยังไม่สามารถรักษาโรคข้อเข่าเสื่อมให้หายขาดได้ แต่สามารถควบคุมอาการได้ โดยจุดมุ่งหมายในการรักษา คือ ช่วยบรรเทาอาการปวด ช่วยให้หน้าที่การใช้งานของข้อกลับคืนสู่ภาวะปกติหรือใกล้เคียงปกติมากที่สุด และป้องกันหรือแก้ไขการผิดรูปของข้อ วิธีการรักษาจะแตกต่างกันไปในผู้ป่วยแต่ละคน ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น อายุ ความรุนแรงของโรค การใช้งานที่คาดหวังและความพร้อมของผู้ให้การรักษา
การรักษามีแนวทางหลัก 2 วิธี ได้แก่ การรักษาโดยวิธีการไม่ผ่าตัด และการรักษาด้วยวิธีการผ่าตัด

การรักษาด้วยวิธีการไม่ผ่าตัด
1. การปรับเปลี่ยนการใช้งานในชีวิตประจำวัน ได้แก่
- การพักหรือใช้งานข้อให้น้อยลง หลีกเลี่ยงการยืนหรือเดินเป็นระยะเวลานาน
- หลีกเลี่ยงการนั่งงอเข่า เช่น คุกเข่า พับเพียบ ยองๆ ขัดสมาธิ หรือนั่งเก้าอี้ต่ำ
- หลีกเลี่ยงการเดินขึ้นลงบันไดโดยไม่จำเป็น ถ้าจำเป็นควรเดินช้าๆ และขึ้นลงทีละขั้น
- หลีกเลี่ยงการยืนหรือนั่งท่าเดียวนานๆ ควรเปลี่ยนท่าหรือขยับข้อเข่าอยู่เรื่อยๆ
- นั่งถ่ายบนโถนั่งชักโครก หรือใช้เก้าอี้ที่มีรูตรงกลางวางไว้เหนือคอห่านแทนการนั่งยองๆ ควรทำราวจับบริเวณโถนั่งเพื่อใช้ช่วยพยุงตัวเวลาจะนั่งหรือยืน

2. ผู้ป่วยที่มีน้ำหนักตัวมาก ควรลดน้ำหนักอย่างถูกต้อง
3. การใช้อุปกรณ์ช่วยพยุงเดิน เช่น ไม้เท้า ไม้ค้ำยัน จะช่วยลดแรงที่เกิดกับข้อได้
4. ที่นอนควรมีความสูงระดับเข่า ไม่ควรนอนบนพื้น เพราะจะปวดมากเวลาจะนอนหรือลุกขึ้น
5. การประคบอุ่นบริเวณข้อเข่า ช่วยลดอาการปวดและกล้ามเนื้อเกร็งได้
6. การสวมสนับเข่า ในกรณีที่ข้อเข่าเสียความมั่นคง จะช่วยกระชับข้อและลดอาการปวด
7. การทำกายภาพบำบัด ได้แก่ การฝึกความแข็งแรงและความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อรอบข้อ การเพิ่มหรือคงไว้ซึ่งพิสัยการเคลื่อนไหวของข้อ และการเพิ่มสมรรถภาพของร่างกาย
8. การใช้ยา ปัจจุบันมียาหลายกลุ่มที่ใช้รักษาโรคข้อเสื่อม ไก้แก่
- ยาแก้ปวดพาราเซตามอล เป็นยากลุ่มแรกที่ใช้ในการควบคุมอาการ
- ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ ช่วยลดอาการปวดและการอักเสบของข้อ
- ยาช่วยปรับเปลี่ยนโครงสร้างของข้อ เช่น กลูโคซามีนซัลเฟต จะช่วยชะลอโรค ซ่อมแซมผิวข้อ ลดการอักเสบและอาการปวด เป็นยาทางเลือกในข้อเสื่อมระยะเริ่มต้น
- ยาทาภายนอก ช่วยลดอาการโดยไม่ต้องเสี่ยงกับผลข้างเคียงจากยารับประทาน
- การฉีดน้ำเลี้ยงไขข้อ เป็นทางเลือกในการช่วยลดอาการปวดและช่วยให้การเคลื่อนไหวข้อดีขึ้น
- การฉีดสเตียรอยด์เข้าข้อ เป็นทางเลือกในข้อเสื่อมรุนแรงที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาวิธีอื่น

อ.แม็กซ์ 063-5425536
ติดตามข้อมูล ➡️Line@ Link
https://line.me/R/ti/p/%40dmq5616i

สุขสันต์วันสงกรานต์ขอให้สุขกายสบายใจ เล่นน้ำสงกรานต์ ให้สนุกสนาน เดินทางปลอดภัย😁อย่าลืมดูแลรักษาสุขภาพนะครับ😊
13/04/2018

สุขสันต์วันสงกรานต์
ขอให้สุขกายสบายใจ เล่นน้ำสงกรานต์ ให้สนุกสนาน เดินทางปลอดภัย😁

อย่าลืมดูแลรักษาสุขภาพนะครับ😊

11/04/2018

สงกรานต์ปีนี้ ขอให้ลูกค้า และแฟนเพจทุกคน เดินทางกลับบ้าน โดยปลอดภัย แคล้วคลาด กลับบ้านไปขอพร พ่อก้บแม่ ให้เรามีสิริมงคลที่ดีต่อชีวิตตัวเอง สาธุๆๆ

D-Boon ดีบูน เพื่อกระดูกและเอ็นข้อต่อ By K.MAX 0635425536

ช่วยกันหน่อยครับ ใครช่วยได้ช่วยนะครับเนื่องจากในขณะนี้ ทางธนาคารเลือดศิริราชมีปริมาณเลือดสำรองหมู่เลือด ”O” ขาดแคลน จึงข...
20/03/2018

ช่วยกันหน่อยครับ
ใครช่วยได้ช่วยนะครับ

เนื่องจากในขณะนี้ ทางธนาคารเลือดศิริราชมีปริมาณเลือดสำรองหมู่เลือด ”O” ขาดแคลน จึงขอเรียนเชิญผู้บริจาคเลือดที่มีหมู่เลือด”O” ร่วมบริจาคเลือดเพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยโรงพยาบาลศิริราช และขอขอบคุณมา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ
---------------------------------------------------
ติดต่อเจ้าหน้าที่ห้องรับบริจาคเลือด โทร 02-419-8081 ต่อ 123 หรือ 128
วันเวลาทำการ
วันจันทร์ - ศุกร์ เปิดเวลา 8.30 - 18.00 น.
วันเสาร์ - อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ เปิดทำการเวลา 8.30 - 16.00 น.
ณ โรงพยาบาลศิริราช ตึก 72 ปี ชั้น 3

โรคข้อเสื่อม ฟื้นฟูได้โรคข้อเสื่อมเป็นหนึ่งในสาเหตุของอาการปวดข้อที่พบได้บ่อยโรคข้อเสื่อมเป็นโรคที่พบได้บ่อยที่สุดในกลุ่...
07/03/2018

โรคข้อเสื่อม ฟื้นฟูได้

โรคข้อเสื่อมเป็นหนึ่งในสาเหตุของอาการปวดข้อที่พบได้บ่อย

โรคข้อเสื่อมเป็นโรคที่พบได้บ่อยที่สุดในกลุ่มโรคข้ออักเสบ ผู้ที่เป็นโรคข้อเสื่อมส่วนใหญ่จะมีอาการปวดข้อหรือข้อติด และมีอาการบวมรอบๆ ข้อบางครั้ง โดยคำว่า "ข้อ" คือส่วนที่ปลายกระดูกสองชิ้นมาต่อกัน ซึ่งโรคข้อเสื่อมเกิดขึ้นได้ในหลายๆ ข้อ แต่ข้อที่พบได้บ่อย ได้แก่

ข้อเข่า
ข้อสะโพก
ข้อมือและข้อนิ้ว
ข้อกระดูกสันหลัง

ข้อเสื่อมเป็นโรคที่เรื้อรังและส่วนมากจะแย่ลงเรื่อยๆ เมื่อเวลาผ่านไป เป้าหมายของการรักษา คือ ลดอาการปวด ลดอาการอื่นๆ และให้สามารถใช้งานข้อต่างๆ ได้นานขึ้น โดยการรักษา ประกอบด้วย

การใช้ยา
การทำกายภาพบำบัด
การผ่าตัด

สาเหตุของโรคข้อเสื่อมคืออะไร

โรคข้อเสื่อมเป็นโรคข้อชนิดหนึ่งที่จะมีอาการมากขึ้นเรื่อยๆ โดยส่วนมากจะเกิดที่กระดูกอ่อน กระดูกอ่อนเป็นโครงสร้างลื่นๆ ที่หุ้มส่วนปลายของกระดูกแต่ละชิ้นทำให้กระดูกสามารถเคลื่อนขยับได้บนกระดูกอีกชิ้นที่ติดกันทำให้ข้อนั้นงอหรือเหยียดได้ ซึ่งกระดูกอ่อนที่ห่อหุ้มส่วนปลายของกระดูกไว้นั้นจะค่อยๆ หายไปเรื่อยๆ ในคนที่เป็นโรคข้อเสื่อม และเมื่อไม่มีกระดูกอ่อนเหลืออยู่ กระดูกจะเสียดสีกันโดยตรงทำให้เกิดอาการปวดข้อและข้อบวม
ปัจจัยเสี่ยงของโรคข้อเสื่อม

มีหลายปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคข้อเสื่อมและแต่ละปัจจัยก็ทำให้เกิดโรคข้อเสื่อมได้คนละตำแหน่งกัน เช่น

อายุมาก
ผู้หญิง
น้ำหนักเกินหรืออ้วน
ญาติใกล้ชิดเป็นโรคข้อเสื่อมหรือคนในครอบครัวเป็นโรคข้อเสื่อม
เคยมีการบาดเจ็บของข้อ
อาชีพต้องอาศัยการทำงานของข้อซ้ำ(เช่น ต้องคุกเข่าหรือยกของ)
เล่นกีฬา

อุบัติการณ์ของโรคข้อเสื่อม

โรคข้อเสื่อมเป็นโรคข้อที่พบได้บ่อยที่สุดในประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นโรคของอายุที่มากขึ้น มักเกิดในวัยกลางคนขึ้นไป ข้อมูลจากศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของอเมริกา (CDC) พบว่า คนอเมริกาที่อายุมากกว่า 25 ปี เป็นโรคข้อเสื่อมถึง 14% และคนอเมริกาถึงหนึ่งในสามเป็นโรคข้อเสื่อมเมื่ออายุมากกว่า 65 ปี ประมาณกันว่ามีคนอเมริกา 30.8 ล้านคนเป็นโรคข้อเสื่อมตั้งแต่ปี ค.ศ. 2008 ถึง 2011 โดยพบว่าเกิดที่ข้อเข่ามากที่สุดเกือบครึ่งหนึ่งของคนอเมริกาจะเป็นข้อเสื่อมเมื่ออายุ 85 ปี และสองในสามของคนอ้วนจะเป็นโรคข้อเสื่อม
ภาวะแทรกซ้อนจากโรคข้อเสื่อม

โรคข้อเสื่อมจะทำให้ร่างกายเสื่อมลง หากไม่รักษาการขยับของข้อต่างๆ จะลดลงเมื่อเวลาผ่านไป ภาวะแทรกซ้อนจากโรคข้อเสื่อมขึ้นกับความรุนแรงของตัวโรคและข้อที่เสื่อม เช่น

อาการปวดเรื้อรัง
ใช้ชีวิตประจำวันลำบาก
ต้องพึ่งพาคนอื่นในการใช้ชีวิตระจำวัน
ข้อผิดรูป (ปุ่มกระดูกนูนซึ่งเกิดจากกระดูกสองชิ้นมาชนกันทำให้ข้อตะปุ่มตะป่ำ)
กล้ามเนื้ออ่อนแรง (มักเกิดเมื่อข้อมีอาการปวดมากทำให้ไม่ค่อยได้ขยับโดยเฉพาะข้อเข่าเสื่อม)
สูญเสียการทรงตัวเพิ่มโอกาสหกล้ม

โรคข้อเสื่อมสามารถฟื้นฟูให้ดีขึ้นได้
อันตรายที่มองไม่เห็นเพราะอยู่ในร่างกายของเรา ป้องกัน ฟื้นฟู ดีกว่า แก้ไขในเวลาที่สายไป

สนใจสั่งซื้อหรือปรึกษา
📞 063-542-5536 อ.แม็กซ์

กดเพื่อ แอดไลน์👇
https://line.me/R/ti/p/%40dmq5616i

วิธีรักษาโรคกระดูกพรุน    ในรายที่สงสัยว่าเป็นโรคกระดูกพรุน เช่น อายุมาก หรือหญิงวัยหมดประจำเดือน หรือเป็นผู้ที่มีโรคหรื...
05/03/2018

วิธีรักษาโรคกระดูกพรุน

ในรายที่สงสัยว่าเป็นโรคกระดูกพรุน เช่น อายุมาก หรือหญิงวัยหมดประจำเดือน หรือเป็นผู้ที่มีโรคหรือมีภาวะเสี่ยง ควรรีบไปพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อตรวจวินิจฉัย ส่วนผู้ป่วยที่มีภาวะแทรกซ้อน เช่น กระดูกหัก ก็ควรไปพบแพทย์เช่นกัน เพราะถ้าสามารถตรวจพบและให้การรักษาตั้งแต่ระยะแรก ๆ โรคกระดูกพรุนก็จะมีโอกาสหายหรืออาการดีขึ้นได้มาก

ผู้ป่วยโรคกระดูกพรุนที่ไม่มีภาวะแทรกซ้อน แพทย์จะให้รับประทานยาเม็ดแคลเซียม เช่น แคลเซียมคาร์บอเนต (Calcium Carbonate) ครั้งละ 600-1,200 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง
ผู้ป่วยควรรับประทานแคลเซียมให้เพียงพอ คือ ประมาณวันละ 1,000 มิลลิกรัม แต่ในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน (อายุ 50-55 ปี) ควรรับประทานแคลเซียมให้ได้วันละ 1,500 มิลลิกรัม โดยอาจมาจากการดื่มนม การรับประทานอาหารอื่น ๆ ที่มีแคลเซียมสูง หรือรับประทานยาเม็ดแคลเซียม (ไม่ควรรับประทานแคลเซียมในขนาดที่สูงกว่าที่แนะนำ เนื่องจากการศึกษาที่มีอยู่ในปัจจุบันยังไม่สามารถยืนยันได้ว่าการรับประทานแคลเซียมขนาดสูงจะช่วยเพิ่มความหนาแน่นของมวลกระดูกจนถึงขนาดที่จะลดโอกาสเกิดกระดูกหักได้)
สำหรับยาเม็ดแคลเซียมนั้นจะมีความแตกต่างกันที่รูปเกลือ ซึ่งจะให้ธาตุแคลเซียมได้ไม่เท่ากัน โดยในรูปของแคลเซียมคาร์บอเนตจะให้แคลเซียมได้มากที่สุดคือร้อยละ 40 (ขนาด 100 มิลลิกรัม จะได้ปริมาณแคลเซียม 40 มิลลิกรัม) รองลงมาคือ แคลเซียมอะซิเตต ร้อยละ 25, แคลเซียมซิเตรต ร้อยละ 21, แคลเซียมแลคเตต ร้อยละ 13 และแคลเซียมกลูโคเนต ร้อยละ 9 ตามลำดับ ดังนั้น จะต้องรับประทานผลิตภัณฑ์ยาแคลเซียมคาร์บอเนตวันละประมาณ 2,500 มิลลิกรัม หรือต้องรับประทานผลิตภัณฑ์ยาแคลเซียมกลูโคเนตวันละประมาณ 11-12 กรัม จึงจะได้รับแคลเซียม 1,000 มิลลิกรัมตามความต้องการ
เกลือแคลเซียมเหล่านี้มีอัตราการละลายไม่เท่ากัน โดยแคลเซียมซิเตรตจะละลายได้ดีกว่าแคลเซียมคาร์บอเนต ซึ่งเกลือที่ละลายดีกว่าจะถูกดูดซึมได้เร็วกว่า ดังนั้น ผู้สูงอายุจึงควรเลือกรับประทานแคลเซียมซิเตรต และควรรับประทานก่อนอาหารเนื่องจากสภาวะความเป็นกรดในกระเพาะอาหารจะช่วยละลายเกลือแคลเซียมได้ดี
นอกจากรูปเกลือที่ต่างกันแล้ว ผลิตภัณฑ์ยาแคลเซียมยังมีด้วยกันหลายรูปแบบ ทั้งชนิดที่เป็นยาเม็ดแข็ง ยาเม็ดฟู่ และยาแคปซูล ซึ่งต่างก็ทำขึ้นมาเพื่อให้สะดวกแก่การรับประทาน เช่น ยาแคปซูลจะกลืนได้ง่ายกว่ายาเม็ดและไม่ละลายในปาก ยาเม็ดฟู่จะมีรสชาติดีกว่ายาเม็ด โดยใส่ยาเม็ดฟู่ลงในน้ำและดื่มในขณะที่ยังมีฟองฟู่ แต่ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบใดก็มีประสิทธิภาพเท่านั้น บางผลิตภัณฑ์ก็มีการเติมวิตามินดีหรือวิตามินซีด้วย เพื่อให้แคลเซียมถูกซึมได้ดีขึ้นจากทางเดินอาหาร และวิตามินดียังช่วยเก็บแคลเซียมไม่ให้ถูกขับออกทางไตด้วย ส่วนวิตามินรวมที่มักมีแคลเซียมเป็นส่วนประกอบนั้น มักจะมีปริมาณแคลเซียมไม่เพียงพอสำหรับความต้องการ โดยเฉพาะกับผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน หากจะรับประทานวิตามินรวมก็ต้องรับประทานอาหารที่มีแคลเซียมสูงเสริมด้วย แต่ไม่ควรเพิ่มขนาดยาวิตามินบีรวม เพราะแม้จะได้ปริมาณแคลเซียมตามความต้องการ แต่จะได้ปริมาณวิตามินอื่น ๆ เพิ่มขึ้นไปด้วย ซึ่งวิตามินบางชนิดหากได้รับในขนาดที่สูงเกินไปก็จะเป็นอันตรายได้
ปัญหาสำคัญของการรับประทานยาเม็ดแคลเซียม คือ ทำให้ท้องผูก จึงแนะนำให้ดื่มน้ำตามมาก ๆ และรับประทานผักผลไม้ให้มากขึ้น, แคลเซียมมีปฏิกิริยากับยาหลายชนิด เช่น ยาต้านจุลชีพฟลูออโรควิโนโลน (Fluoroquinolones) ยาต้านจุลชีพเตตราไซคลีน (Tetracycline) เป็นต้น ทำให้ยาเหล่านี้ถูกดูดซึมน้อยลง ดังนั้น จึงควรรับประทานยาเม็ดแคลเซียมให้ห่างจากยาอื่นอย่างน้อย 2 ชั่วโมง, การรับประทานยาเม็ดแคลเซียมในรูปผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจะเพิ่มโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจตาย และเพิ่มโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดสมองด้วย ซึ่งมีโอกาสเกิดได้ทั้งในผู้ชายและผู้หญิง ถ้าในผู้สูงอายุที่เป็นโรคหัวใจอยู่แล้ว การเสริมแคลเซียมมากก็จะยิ่งเพิ่มโอกาสเสี่ยงให้แก่ผู้สูงอายุ
ในรายที่อยู่แต่ในร่มตลอดเวลาหรือไม่ได้รับแสงแดด แพทย์อาจให้วิตามินดีร่วมด้วยวันละ 400-800 IU เพื่อช่วยเพิ่มการดูดซึมของแคลเซียมจากลำไส้ ควบคุมการขับถ่ายแคลเซียมในไต และควบคุมการสะสมแคลเซียมในเนื้อกระดูก (แต่คนไทยส่วนใหญ่ไม่ค่อยขาดวิตามินดี เพราะผิวหนังสามารถสร้างวิตามินดีได้จากแสงแดด ซึ่งต่างจากคนในประเทศที่มีแสงแดดน้อย)
สำหรับผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน แพทย์อาจพิจารณาให้ฮอร์โมนเอสโตรเจนทดแทน เพื่อช่วยในการดูดซึมแคลเซียมเข้าสู่ร่างกายและชะลอการสลายของแคลเซียมในเนื้อกระดูก เช่น Conjugated equine estrogen (CEE) ที่มีชื่อทางการค้า เช่น พรีมาริน (Premarin) ในขนาด 0.3-0.625 มิลลิกรัม หรือ Micronized estradiol ในขนาด 0.5-1 มิลลิกรัม วันละครั้ง ส่วนในรายที่มีข้อห้ามในการใช้หรือมีผลข้างเคียงมาก อาจให้ราโลซิฟีน (Raloxifene) แทน ในขนาดวันละ 60-120 มิลลิกรัม ซึ่งยานี้จะออกฤทธิ์คล้ายเอสโตรเจน แต่มีผลข้างเคียงน้อยกว่า
สำหรับผู้ชายสูงอายุที่มีภาวะพร่องฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนร่วมด้วย อาจต้องให้ฮอร์โมนชนิดนี้เสริม
นอกจากนี้ ในผู้ป่วยบางรายแพทย์อาจพิจารณาให้ยากระตุ้นการดูดซึมของแคลเซียม และ/หรือยาลดการสลายกระดูกเพิ่มเติมแก่ผู้ป่วย เช่น
ยากลุ่มบิสฟอสโฟเนต (Bisphosphonate) ยาในกลุ่มนี้มีทั้งชนิดฉีดและชนิดรับประทาน สามารถช่วยลดการสลายกระดูกและเพิ่มความหนาแน่นของกระดูกได้ดีและรวดเร็ว และช่วยป้องกันการแตกหักของกระดูกสันหลังและสะโพก จึงเหมาะสำหรับผู้ป่วยชายหรือผู้ป่วยหญิงที่ไม่ได้รับฮอร์โมนทดแทน นอกจากนี้ยังใช้ป้องกันภาวะกระดูกพรุนในผู้ที่ต้องกินยาสเตียรอยด์เป็นเวลานานได้อีกด้วย แต่มีข้อเสียคือราคาที่ค่อนข้างแพงและอาจก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อกระเพาะอาหารได้ ที่นิยมใช้ได้แก่ อะเลนโดรเนต (Alendronate), ไอแบนโดรเนต (Ibandronate), ไรซิโดรเนต (Risedronate) เป็นต้น สำหรับยาอะเลนโดรเนต (Alendronate) ให้ใช้ในขนาด 10 มิลลิกรัม รับประทานวันละ 1 ครั้ง หรือให้ใช้ในขนาด 70 มิลลิกรัม รับประทานสัปดาห์ละ 1 ครั้ง
สิ่งสำคัญที่ควรทราบเวลารับประทานยากลุ่มนี้ก็คือ ควรรับประทานยาตอนท้องว่าง นั่นคือรับประทานก่อนอาหารเช้าประมาณ 1 ชั่วโมง เพราะจะทำให้ยาถูกดูดซึมได้ดีขึ้น และเนื่องจากยากลุ่มนี้มีอาการข้างเคียงที่ทำให้หลอดอาหารเป็นแผลได้ ดังนั้นหลังจากรับประทานยาแล้วควรอยู่ในท่านั่งหรือยืนตรง ห้ามนอนราบ ห้ามก้ม ห้ามเอนโดยเด็ดขาดเป็นเวลาอย่างน้อย 30-60 นาที เพราะอาจจะทำให้ยาย้อนกลับขึ้นมาในหลอดอาหารได้มากขึ้น (อาการที่สังเกตได้คือ รู้สึกเจ็บคอ แสบคอ หรือเจ็บเวลากลืนอาหาร หากมีอาการดังกล่าวควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร)
ไม่รับประทานยาพร้อมกับนม กาแฟ น้ำผลไม้ น้ำแร่ หรือยาเม็ดแคลเซียม เนื่องจากจะทำให้การดูดซึมของยาชนิดนี้ลดลง
ในกรณีที่ลืมรับประทานยาในตอนเช้า ไม่ควรรับประทานยาในวันที่ลืม แต่ให้ข้ามการรับประทานยาในวันนั้นไปแล้วเริ่มรับประทานยาใหม่ในเช้าวันรุ่งขึ้นในช่วงเวลาเดิมที่เคยรับประทาน หรือกลับมารับประทานยาในวันเดิมของสัปดาห์ตามปกติในรอบสัปดาห์ถัดไป (ห้ามเพิ่มขนาดยาเป็น 2 เท่า) เพราะยาในกลุ่มนี้จะดูดซึมได้ดีที่สุดในตอนเช้าหลังตื่นนอนขณะท้องว่าง
ยาในกลุ่มนี้มีวิธีการใช้หลายแบบ ได้แก่ แบบรับประทานทุกวัน วันละ 1 ครั้ง (Alendronate, Risedronate), แบบรับประทานสัปดาห์ละ 1 ครั้ง (Alendronate, Risedronate), แบบรับประทานเดือนละ 1 ครั้ง (Ibandronate, Risedronate), แบบฉีดเดือนละ 1 ครั้ง (Pamidronate), แบบฉีดทุก 3 เดือนครั้ง (Ibandronate), แบบฉีดปีละ 1 ครั้ง (Zoledronate) ดังนั้น สำหรับยาแบบรับประทานเมื่อได้รับยามาแล้วควรตรวจสอบวิธีการใช้ทุกครั้ง หากมีข้อสงสัยควรปรึกษาเภสัชกรก่อนเพื่อจะได้ไม่ใช้ยาผิดวิธี
แคลซิโทนิน (Calcitonin) มีทั้งชนิดพ่นจมูกและฉีดเข้าใต้ผิวหนัง ยานี้มีผลข้างเคียงต่ำ สามารถช่วยลดการสลายกระดูกได้ แถมยังช่วยลดอาการปวดเนื่องจากการแตกหักและยุบตัวของกระดูกสันหลังได้ด้วย แต่ยานี้มีราคาแพงเมื่อเทียบกับยาอื่น ๆ มักใช้ในผู้ที่ไม่สามารถใช้ยาฮอร์โมนเอสโตรเจนได้ โดยชนิดฉีดนิยมใช้ลดอาการปวดเมื่อเกิดกระดูกหักใหม่ ๆ ส่วนชนิดพ่นจมูกจะใช้รักษาในระยะยาว
ยาสร้างกระดูก เช่น พาราไทรอยด์ฮอร์โมน ใช้ฉีดเข้าใต้ผิวหนังวันละครั้ง สามารถช่วยลดภาวะกระดูกพรุนได้ดีมาก โดยตัวยาจะไปกระตุ้นเซลล์สร้างกระดูกให้สร้างมวลกระดูก จึงมักใช้ในผู้ป่วยที่มีภาวะกระดูกพรุนอย่างรุนแรง แต่ไม่ควรใช้นานเกิน 2 ปี เพราะจะเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งกระดูก
ฟลูออไรด์ จากการศึกษาพบว่า ฟลูออไรด์สามารถเพิ่มปริมาณของเนื้อเยื่อกระดูกได้อย่างรวดเร็ว แต่ทว่าไม่สามารถป้องกันกระดูกหักได้ และยานี้ยังอยู่ในระหว่างการศึกษาวิจัยถึงขนาดที่เหมาะสม
ในรายที่มีภาวะแทรกซ้อน เช่น กระดูกหัก ก็ให้การรักษา เช่น การเข้าเฝือก การผ่าตัด การทำกายภาพบำบัด เป็นต้น ส่วนในรายที่มีโรคหรือภาวะที่เป็นสาเหตุของโรคกระดูกพรุนชนิดทุติยภูมิ ก็ให้การรักษาไปพร้อม ๆ กัน
ผู้ป่วยต้องรับประทานยาอย่างต่อเนื่องและติดตามการรักษากับแพทย์อยู่เสมอ รวมถึงควรปฏิบัติตัวเช่นเดียวกับวิธีป้องกันโรคกระดูกพรุนในหัวข้อด้านล่าง ซึ่งจะช่วยให้กระดูกแข็งแรงขึ้นและป้องกันไม่ให้กระดูกหักได้ โดยแพทย์จะนัดมาตรวจเป็นระยะ ๆ และอาจต้องทำการตรวจกรองมะเร็งเต้านมและปากมดลูก (สำหรับผู้ที่กินยาฮอร์โมนเอสโตรเจน) ปีละ 1 ครั้ง ตรวจความหนาแน่นของกระดูกทุก ๆ 2-3 ปี เอกซเรย์ในรายที่สงสัยว่ามีกระดูกหัก เป็นต้น
วิธีรักษาโรคกระดูกพรุน หมั่นออกกำลังกายตามควรกับสุขภาพ ครั้งละ 30-60 นาที สัปดาห์ละ 3 ครั้งเป็นอย่างน้อย โดยควรเน้นการออกกำลังกายที่มีการถ่วงหรือต้านน้ำหนัก (Weight-bearing) เช่น การวิ่ง การเดินเร็ว เดินสลับวิ่ง เดินขึ้นบันได กระโดดเชือก เต้นแอโรบิก เต้นรำ รำมวยจีน ยกน้ำหนัก บาสเกตบอล ฟุตบอล วอลเลย์บอล เป็นต้น ส่วนในผู้สูงอายุไม่ควรวิ่งหรือเล่นกีฬาหนัก ๆ แต่ควรออกกำลังกายที่เบาลง ได้แก่ การเดินเร็ว การเดินขึ้นบันไดแทนการใช้ลิฟต์, การรำมวยจีน, รำจี้กง, รำไท้ฉี เป็นต้น
เนื้อกระดูกที่ลดลงจากการเป็นโรคกระดูกพรุน จะทำให้ความแข็งแรงของกระดูกลดลงและกระดูกสันหลังมักทรุดลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งคำแนะนำดังต่อไปนี้จะช่วยมิให้กระดูกสันหลังทรุดเร็วเกินไป ได้แก่
การนอน – การนอนหงายให้ใช้หมอนหนุนใต้เข่าซึ่งจะช่วยให้หลังตรงขึ้น การนอนตะแคงให้นอนกอดหมอนข้างจะช่วยให้หลังตรงและไม่ปวดหลัง ส่วนการนอนคว่ำจะช่วยให้กระดูกหลังแอ่นขึ้นและป้องกันกระดูกไม่ให้ทรุดได้ แต่อาจทำให้เกิดอาการปวดหลังได้ ไม่เหมาะกับผู้ที่มีกระดูกทรุดอยู่ก่อนแล้ว
การยืนหรือการเดิน – ควรยืนตัวตรง เวลาเดินให้เดินตัวตรงและอย่าให้เท้าบิดไปข้างใดข้างหนึ่ง พร้อมกับเชิดหน้าและยืดศีรษะ ถ้าต้องยืนนาน ๆ ควรมีที่รองเท้าเพื่อยกเท้าขึ้นพักสลับกัน
การนั่ง – ให้นั่งให้สุดที่รองก้น หลังพิงกับพนักพิง มีหมอนหนุนบริเวณเอว ดึงคางและศีรษะไปข้างหลัง ตามองตรง เท้าวางให้เต็มพื้น ส่วนการนั่งขับรถควรจะเลื่อนที่นั่งมาให้ใกล้พวงมาลัย เมื่อเหยียบเบรกเข่าจะได้อยู่สูงกว่าสะโพก
การผูกเชือกรองเท้า – ควรหาโต๊ะสำหรับรองเท้า เวลาผูกเชือกจะได้ไม่ต้องก้ม
การกวาดบ้านถูบ้าน – ไม่ควรก้ม แต่ให้ใช้ไม้ม็อบถูพื้นแทนการเช็ดถูด้วยมือ และใช้ไม้กวาดด้ามยาวเพื่อจะได้ไม่ต้องก้ม
การยกของ – ไม่ควรก้มไปยกของ แต่ให้ใช้วิธีการนั่งยอง ๆ จับของแล้วค่อย ๆ ยืนขึ้น
การไอหรือจาม – ควรใช้มือข้างหนึ่งปิดปาก ส่วนอีกข้างกดบริเวณหลัง อย่าก้มหลังขณะไอหรือจามเพราะจะทำให้หมอนกระดูกเลื่อนได้
การออกกำลังกาย – มีอยู่ด้วยกันหลายท่า เช่น การยืนแอ่นหลัง มือกดที่เอว, การวิดพื้นในท่าแอ่นหลัง, การนอนคว่ำพร้อมกับยกขาขึ้นข้างหนึ่งเกร็งไว้ประมาณ 3 วินาที แล้วสลับข้างกันไป, การทำท่าแมวเหยียด (เริ่มในท่าคลาน 4 ขา จากนั้นให้เลื่อนก้นไปทางด้านหลัง ก้มหน้าลงแล้วเหยียดแขนไปข้างหลังให้มากที่สุดพร้อมกับหายใจออก), การยกแขนขาทั้งสี่ (เริ่มจากท่าคลาน โดยให้แขนตรงกับไหล่ ขาตรงกับสะโพก ส่วนหลังให้อยู่ในแนวขนานกับพื้น แล้วจะยกแขนทีละข้างตรงไปข้างหน้าและเกร็งไว้ จากนั้นให้เหยียดขาไปข้างหลังเกร็งไว้ 3 วินาที แล้วสลับขา เมื่อแข็งแรงดีแล้ว จึงให้ยกแขนและขาด้านตรงข้ามกันเกร็งไว้ 3 วินาที แล้วสลับข้างกัน) เป็นต้น แต่ควรงดการใช้ท่าบริหารที่ทำให้หลังโค้ง และหากมีโรคประจำตัว หรือมีปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดหรือเป็นโรคหัวใจ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนการออกกำลังกาย
ผู้ที่มีภาวะกระดูกพรุนจะต้องระมัดระวังไม่ให้หกล้มหรือเกิดอุบัติเหตุที่อาจทำให้กระดูกหัก เช่น การจัดสภาพแวดล้อมภายในบ้านให้ปลอดภัย (เช่น บันไดที่ขึ้นลงควรมีราวยึดเกาะ, ติดแผ่นยางกันลื่นในพื้นห้องน้ำ, ติดแสงไฟให้เพียงพอ, ระวังพื้นต่างระดับ, เช็ดพื้นที่เปียกน้ำทันที, เก็บสายไฟที่เกะกะตามพื้น, เปลี่ยนแว่นสายตาหากมองภาพไม่ชัด ฯลฯ), หลีกเลี่ยงการใช้ยาที่ทำให้ง่วงนอนหรือกล้ามเนื้อเกิดอาการอ่อนแรง (เช่น ยากล่อมประสาท), แก้ภาวะความดันตกในท่ายืนหรือสายตามัว (เช่น ต้อกระจก) เป็นต้น

อนึ่ง การรักษาโรคกระดูกพรุนจำเป็นต้องรับการรักษาเป็นระยะเวลานานและยาที่ใช้อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ได้ ผู้ป่วยจึงควรปรึกษาแพทย์ก่อนเสมอ เพราะในผู้ป่วยแต่ละรายจะมีการใช้ยา ชนิด ขนาด และระยะเวลาในการใช้ยาที่แตกต่างกันไป และยาต่าง ๆ เหล่านี้ หากใช้ไม่ถูกวิธีก็อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายได้
วิธีป้องกันโรคกระดูกพรุน

การป้องกันโรคกระดูกพรุนที่ดีที่สุด คือการทำให้กระดูกมีความแข็งแรง ถ้าเป็นไปได้ควรเริ่มทำตั้งแต่วัยเยาว์ โดยการเสริมสร้างมวลกระดูกให้มีค่าความหนาแน่นสูงสุดในช่วงก่อนอายุ 30 ปี (หากพ้นวัยนี้ไปแล้วร่างกายจะไม่สามารถสะสมเนื้อกระดูกเพิ่มขึ้นได้แล้ว เนื่องจากกระบวนการสลายตัวของกระดูกจะเกิดขึ้นมากกว่าการสร้าง เราจึงทำได้เพียงแค่รักษาเนื้อกระดูกที่มีอยู่ไม่ให้ลดไปจากเดิม) เพื่อสะสมต้นทุนให้กระดูกแข็งแรงและมีคุณภาพที่ดีในวัยผู้ใหญ่ต่อไป ลดโอกาสที่จะเกิดภาวะกระดูกพรุนและกระดูกหัก หลังจากความหนาแน่นของมวลกระดูกเริ่มลดลงอย่างช้า ๆ เราควรเสริมแคลเซียมให้เพียงพอเพื่อทดแทนการสลายของมวลกระดูกและรักษาเนื้อกระดูกที่มีอยู่ เพราะเมื่อเข้าสู่วัยหมดประจำเดือนหรือวัยสูงอายุ มวลกระดูกจะลดลงอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง โดยข้อควรปฏิบัติเพื่อป้องกันโรคกระดูกพรุน คือ

ผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงเป็นโรคกระดูกพรุนตามที่กล่าวมา ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจกรองโรคกระดูกพรุน เช่น หญิงวัยหมดประจำเดือน, ผู้สูงอายุ, ผู้ที่ใช้ยาสเตียรอยด์เป็นเวลานาน ๆ, ผู้ที่มีโรคที่เสี่ยงต่อการเกิดภาวะกระดูกพรุน เป็นต้น
กระดูกพรุนอาหารควรรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ให้ครบ 5 หมู่ทุกวันในปริมาณที่พอเหมาะที่ไม่ทำให้เกิดโรคอ้วนและน้ำหนักตัวเกิน โดยเฉพาะอาหารที่มีแคลเซียมสูงควรรับประทานให้เพียงพอในแต่ละวัน เพราะจากการวิจัยพบว่า คนไทยได้รับแคลเซียมเฉลี่ยเพียง 300-400 มิลลิกรัมต่อวัน ในขณะที่ความเป็นจริงจำเป็นต้องได้รับมากกว่านั้น (สาเหตุที่คนไทยไม่เป็นโรคกระดูกพรุนกันมาก ทั้ง ๆ ที่ได้รับแคลเซียมน้อย เชื่อว่าเป็นเพราะลำไส้ของคนไทยส่วนใหญ่ร้อยละ 85 มียีนที่เกี่ยวข้องกับการดูดซึมแคลเซียม จึงดูดซึมแคลเซียมได้ดีกว่าคนต่างชาติ รวมไปถึงการรับประทานโปรตีนและเกลือแกงของคนไทยก็น้อยกว่าคนต่างชาติ และจากการได้รับวิตามินดีจากแสงแดดมากกว่า จึงทำให้คนไทยดูดซึมแคลเซียมได้มากขึ้น การขับถ่ายแคลเซียมออกทางปัสสาวะจึงน้อยลง) ซึ่งอาหารที่มีแคลเซียมสูง ได้แก่ นม เนยแข็ง เต้าหู้แข็ง กุ้งแห้ง ปลาที่กินได้ทั้งกระดูก (เช่น ปลาไส้ตัน) ถั่วแดง งาดำคั่ว ผักสีเขียวเข้ม (เช่น คะน้า ใบชะพลู) เป็นต้น
สำหรับคนไทยซึ่งมียีนที่ควบคุมการดูดซึมแคลเซียมจากลำไส้เล็กได้ดีกว่าชาวตะวันตกและได้รับแสงแดดที่ช่วยให้ร่างกายสังเคราะห์วิตามินดีได้ตลอดทั้งปี จะมีความต้องการปริมาณแคลเซียมน้อยกว่าชาวตะวันตก โดยมีคำแนะนำให้คนไทยบริโภคแคลเซียมตามช่วงอายุ ดังนี้
อายุ 9-18 ปี ควรบริโภคแคลเซียมวันละ 1,000 มิลลิกรัม
อายุ 19-50 ปี ควรบริโภคแคลเซียมวันละ 800 มิลลิกรัม
อายุมากกว่า 50 ปี ควรบริโภคแคลเซียมวันละ 800-1,000 มิลลิกรัม
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในช่วงวัยเด็กและวัยหนุ่มสาว ควรบริโภคแคลเซียมให้เพียงพอในแต่ละวัน เพื่อสะสมมวลกระดูกไว้ให้มาก ซึ่งจะช่วยป้องกันการเกิดกระดูกพรุนได้ดีกว่าการเสริมแคลเซียมหลังอายุ 30-35 ปีไปแล้ว เพราะเป็นช่วงที่ร่างกายสร้างมวลกระดูกหนาแน่นสูงสุดไปแล้ว
เด็กและวัยรุ่นควรดื่มนมวันละ 2-3 แก้ว ส่วนผู้ใหญ่และผู้สูงอายุให้ดื่มนมวันละ 1-2 แก้วเป็นประจำ ซึ่งจะทำให้ได้รับแคลเซียมร้อยละ 50 ของปริมาณที่ต้องการ ส่วนแคลเซียมที่ยังขาดอยู่ให้รับประทานจากอาหารแหล่งอื่น ๆ
แหล่งแคลเซียมที่ดีที่สุด คือ นม และผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ จากนม รองลงมาคือ ปลาเล็กที่กินทั้งกระดูก กะปิ ในขณะแคลเซียมจากผักจะดูดซึมได้ไม่ดีนัก เนื่องจากปริมาณของสารไฟเตตและออกซาเลตในผักบางชนิดจะรบกวนการดูดซึมของแคลเซียม
ผู้ใหญ่บางคนที่มีข้อจำกัดในการดื่มนม เช่น เป็นเบาหวาน อ้วน มีภาวะไขมันในเลือดสูง ความดันโลหิตสูง เป็นโรคหัวใจขาดเลือด ฯลฯ ให้เลือกรับประทานเนยแข็ง นมพร่องมันเนย หรือนมเปรี้ยวแทน หรือบริโภคอาหารที่มีแคลเซียมสูงในแต่ละมื้อให้มากขึ้น
หากไม่สามารถรับประทานอาหารที่มีแคลเซียมได้มากพอ ให้รับประทานยาเม็ดแคลเซียมแทนหรือรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมแคลเซียม
หมั่นรับแสงแดด ซึ่งจะช่วยให้ร่างกายสังเคราะห์วิตามินดีซึ่งเป็นฮอร์โมนกระตุ้นการสร้างกระดูกได้ ในบ้านเราคนส่วนใหญ่จะได้รับแสงแดดเพียงพออยู่แล้ว นอกจากคนที่อยู่แต่ในบ้านตลอดเวลา ก็ควรจะออกไปรับแสงแดดอ่อน ๆ ยามเช้าหรือยามเย็นบ้าง สักวันละ 10-15 นาที สัปดาห์ละ 3 วัน แต่ถ้าต้องอยู่แต่ในที่ร่ม ไม่ถูกแสงแดด อาจรับประทานวิตามินดีเสริมวันละ 400-800 IU ก็ได้ แต่ต้องรับประทานหลังอาหาร เพราะในช่วงนั้นจะสามารถกระตุ้นกรดในร่างกายในกระเพาะอาหารให้หลั่งออกมาย่อยแคลเซียมได้
ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการออกกำลังที่มีการถ่วงหรือต้านน้ำหนัก (Weight-bearing) เช่น การวิ่ง การเดินเร็ว การเดินสลับวิ่ง การเดินขึ้นบันได กระโดดเชือก เต้นแอโรบิก เต้นรำ รำมวยจีน การยกน้ำหนัก บาสเกตบอล ฟุตบอล วอลเลย์บอล เป็นต้น รวมไปถึงการออกกำลังกายที่ช่วยเสริมสร้างกำลังกล้ามเนื้อ (Muscle strengthening) อย่างการเล่นกล้ามและการฝึกการทรงตัว เช่น การยืนด้วยขาข้างเดียว ซึ่งนอกจากจะช่วยให้มีมวลกระดูกเพิ่มขึ้นและกระดูกมีความแข็งแรงทั้งแขน ขา และกระดูกสันหลังแล้ว ยังช่วยเพิ่มความแข็งของกล้ามเนื้อและช่วยทำให้การทรงตัวดีขึ้นอีกด้วย (จากการศึกษาพบว่า การออกกำลังกายจะต้องเป็นการออกกำลังกายอย่างจริงจัง เช่น การออกกำลังกายอย่างมากพอเป็นระยะเวลา 3 ชั่วโมงใน 1 สัปดาห์ เป็นระยะเวลาติดต่อกัน 1 ปี จึงจะช่วยเพิ่มความหนาแน่นของกระดูกได้
งอิง

โรคกระดูกพรุน (Osteoporosis) และโรคกระดูกบาง (Osteopenia) เป็นภาวะที่มีปริมาณแร่ธาตุ (ที่สำคัญคือ แคลเซียม) ในกระดูกลดลง ร่วมกับความเสื่อมของเนื้อเยื่อที่ประกอบเป็นโครงสร้างภายในกระดูก ทำให้เนื้อหรือมวลกระดูกมีความหนาแน่นลดลง จึงเปราะและแตกหักได้ง่าย โดยบริเวณที่พบการหักของกระดูกได้บ่อย คือ ข้อมือ สะโพก และสันหลัง อธิบายได้ว่า เมื่อหกล้ม คนเรามักจะเอามือยันพื้นเอาไว้เพื่อประคองตัวเอง แต่ด้วยความที่เนื้อกระดูกบางลง จึงทำให้กระดูกข้อมือไม่สามารถรับน้ำหนักตัวได้เต็มที่เหมือนตอนหนุ่มสาว กระดูกข้อมือจึงหัก เมื่อกระดูกข้อมือหักก็จะใช้มือข้างนั้นหยิบจับอะไรไม่ได้ หากเกิดอุบัติเหตุแล้วก้นเกิดกระแทกพื้นก็จะทำให้กระดูกสะโพกหัก ทำให้เดินไม่ได้ในระหว่างการรักษา ทำให้ต้องนอนติดเตียง ซึ่งอาจเกิดแผลกดทับหรือโรคอื่น ๆ ตามมาหากไม่ได้รับการดูแลที่ดีพอ

โรคนี้เป็นโรคเรื้อรังที่พบได้บ่อยในผู้สูงอายุ โดยเฉพาะในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน มักไม่ค่อยพบในเด็กและคนวัยหนุ่มสาว ยกเว้นในกรณีที่มีภาวะปัจจัยเสี่ยง และเป็นโรคที่คนส่วนใหญ่มักมองข้ามเนื่องจากจะไม่แสดงอาการจนกว่าจะเกิดภาวะแทรกซ้อน ทำให้คนส่วนใหญ่ไม่ได้รับการตรวจหรือรักษา (จากการศึกษาพบว่าผู้หญิงอายุ 45-75 ปี มากกว่า 86% ไม่เคยปรึกษาเรื่องกระดูกพรุนกับแพทย์เลย) ถ้ารอจนกระทั่งเมื่อกระดูกหักก่อน นอกจากจะทำให้เกิดความเจ็บปวดแล้ว ยังส่งผลให้เกิดความทุพพลภาพ ช่วยเหลือตนเองลำบาก และคุณภาพชีวิตแย่ลง และอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนจนเป็นเหตุทำให้เสียชีวิตได้
โรคกระดูกพรุน

โรคกระดูกพรุน (Osteoporosis อ่านว่า ออส-ที-โอ-พอ-รอ-สิส) หมายถึง โรคที่มวลกระดูกของร่างกายลดต่ำกว่าค่ามวลกระดูกมาตรฐานตั้งแต่ -2.5 เอสดีขึ้นไป (SD – Standard deviation คือ ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน) หรือในทางการแพทย์จะใช้เขียนเป็นตัวเลขตั้งแต่ -2.5 เอสดีขึ้นไป
โรคกระดูกบาง

โรคกระดูกบาง หรือ กระดูกโปร่งบาง (Osteopenia) หมายถึง โรคที่มวลกระดูกของร่างกายลดต่ำกว่าค่ามวลกระดูกมาตรฐานแต่ยังไม่ต่ำถึงค่าที่เป็นโรคกระดูกพรุน ค่ามวลกระดูกบางจึงอยู่ในช่วง -1 ถึงน้อยกว่า -2.5 เอสดี ซึ่งถ้าปล่อยไว้โดยไม่รักษาจะทำให้เสียมวลกระดูกเพิ่มขึ้นจนกลายเป็นโรคกระดูกพรุนได้ แต่ในบางรายก็อาจเป็นโรคกระดูกพรุนได้โดยไม่ผ่านการเป็นโรคกระดูกบางมาก่อนก็ได้ ดังนั้น เรื่องของโรคกระดูกบาง เช่น สาเหตุ ปัจจัยเสี่ยง อาการ วิธีการรักษา และอื่น ๆ จึงเป็นเช่นเดียวกับโรคกระดูกพรุน ซึ่งในบทความนี้ต่อไปจะใช้คำว่าโรคกระดูกพรุนซึ่งหมายความรวมถึงโรคกระดูกบางด้วย

สาเหตุของโรคกระดูกพรุน
สถานการณ์โรคกระดูกพรุน

ผู้ป่วยกระดูกหักจากโรคกระดูกพรุนพบได้ประมาณ 0.83% ของโรคที่ไม่ติดต่อทั้งหมดทั่วโลก ในกลุ่มคนที่อายุเกิน 50 ปีทั่วโลก ผู้หญิงอย่างน้อย 1 ใน 3 คน และผู้ชายอย่างน้อย 1 ใน 5 คน เคยกระดูกหักจากโรคกระดูกพรุน (Osteoporosis) โดยประมาณการว่าทั่วโลกมีผู้หญิงที่เป็นโรคกระดูกพรุนประมาณ 200 ล้านราย โดยเฉพาะผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน (วัยทอง) ที่มีอายุตั้งแต่ 60-90 ปี จะมีโอกาสเป็นโรคกระดูกพรุนสูงตั้งแต่ 10-60% ตามอายุที่มากขึ้น โดยบริเวณที่หักมากที่สุดคือ กระดูกปลายแขน 80%, กระดูกต้นแขน 75%, กระดูกสะโพก 70% และกระดูกสันหลัง 58%

ในปี พ.ศ. 2543 มีผู้ป่วยกระดูกหักจากภาวะกระดูกบางประมาณ 9 ล้านราย พบกระดูกข้อมือหัก 1.7 ล้านราย กระดูกสะโพกหัก 1.6 ล้านราย กระดูกสันหลังทรุด 1.4 ล้านราย กระดูกต้นแขนหัก 7 แสนราย โดยครึ่งหนึ่งของผู้ป่วยดังกล่าวมีภูมิลำเนาอยู่ในทวีปยุโรปและทวีปอเมริกา ส่วนที่เหลือมีถิ่นกำเนิดอยู่ในแถบประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และประเทศแถบคาบสมุทรแปซิฟิก

สำหรับประเทศไทย (ข้อมูลเมื่อปี 2555) ยังไม่มีการศึกษาถึงสถิติโรคกระดูกพรุนเป็นรายปี แต่จากสถิติจำนวนประชากรผู้สูงอายุของประเทศไทยที่เพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็ว จึงทำให้ความชุกของโรคกระดูกพรุนเพิ่มขึ้นตามอายุที่มากขึ้น โดยเฉพาะในผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 70 ปีขึ้นไปจะพบโรคกระดูกพรุนได้มากกว่า 50% โดยพบภาวะกระดูกพรุนบริเวณสันหลังส่วนเอว 15.7-24.7% บริเวณกระดูกสะโพก 9.5-19.3% อุบัติการณ์ของกระดูกสะโพกหักในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนที่มีอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไปได้จำนวน 289 ครั้งต่อประชากร 1 แสนรายต่อปี และการศึกษาของทางมูลนิธิโรคกระดูกพรุนนานาชาติในประเทศไทยเมื่อ พ.ศ. 2552 พบอัตราการตายหลังเกิดกระดูกสะโพกหักภายใน 5 ปี มากถึง 1 ใน 3 ในผู้ป่วยทั้งเพศชายและหญิง นอกจากนี้ยังพบด้วยว่าประชากรไทยมีภาวะขาดแคลเซียมและวิตามินดีอีกด้วย
สาเหตุของโรคกระดูกพรุน

กระดูกประกอบไปด้วย โปรตีน คอลลาเจน และแคลเซียม (ในกระดูกประกอบด้วยโปรตีนหนึ่งในสามส่วน อีกสองในสามส่วนเป็นเกลือแร่ โปรตีนที่เป็นเนื้อกระดูกนี้ส่วนใหญ่เป็นคอลลาเจน ส่วนเกลือแร่ที่อยู่ในกระดูกคือแคลเซียม) โดยมีเกลือแคลเซียมฟอสเฟตเป็นตัวทำให้กระดูกแข็งแรงและทนต่อแรงดึงรั้ง ดังนั้นการขาดแคลเซียมก็เหมือนกับบ้านที่ถูกปลวกแทะกินโครงร่างจนพรุนทำให้กระดูกบาง ไม่หนาแน่น กระดูกจึงแตกหักได้ง่ายแม้จะถูกกระทบกระเทือนเพียงเล็กน้อยก็ตาม

กระดูกเป็นอวัยวะที่ไม่ได้อยู่นิ่ง แต่จะมีการสร้างและการสลายตัวอยู่ตลอดเวลาอย่างสมดุล โดยมีเซลล์ออสติโอบลาสต์ (Osteoblast) ทำหน้าที่พาเอาแร่ธาตุเข้ามา และมีเซลล์ออสติโอคลาสต์ (Osteoclast) ทำหน้าที่สลายเนื้อกระดูก กล่าวคือ ในขณะที่มีการสร้างกระดูกใหม่โดยใช้แคลเซียมจากอาหารที่รับประทานเข้าไป ก็จะมีการสลายแคลเซียมในเนื้อกระดูกเก่าออกมาสู่เลือดและถูกขับออกมาทางปัสสาวะและอุจจาระวันละประมาณ 600-700 มิลลิกรัม เพื่อให้เกิดความสมดุลเราจึงต้องได้รับแคลเซียมให้เพียงพอกับที่เสียไป มิฉะนั้นร่างกายจะดึงแคลเซียมจากกระดูกมาใช้ตลอดเวลา มีผลทำให้กระดูกถูกทำลายมากกว่าการสร้าง เนื้อกระดูกจึงบางลงในที่สุด

สำหรับในเด็กจะมีการสร้างกระดูกมากกว่าการสลาย จึงทำให้กระดูกมีการเจริญเติบโต เนื้อกระดูกจึงค่อย ๆ เพิ่มขึ้น ซึ่งการสะสมเนื้อกระดูกนี้จะมากและเป็นไปอย่างรวดเร็วในช่วงก่อนเข้าสู่วัยรุ่น หลังจากนั้นการสะสมเนื้อกระดูกจะเริ่มช้าลงอย่างช้า ๆ จนได้เนื้อกระดูกที่มีความหนาแน่นสูงสุดเมื่ออายุได้ประมาณ 25-30 ปี เนื้อกระดูกก็จะคงที่อยู่เช่นนั้น จนถึงช่วงอายุประมาณ 35-40 ปี[3] จากนั้นจะเริ่มมีการสลายกระดูกมากกว่าการสร้าง ความหนาแน่นของเนื้อกระดูกจึงเริ่มลดลงอย่างช้า ๆ ประมาณ 0.5-1% ต่อปี และบางตัวลงไปตามอายุที่มากขึ้นทั้งในผู้หญิงและผู้ชาย

แต่ในผู้หญิงจะมีปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดการสูญเสียเนื้อกระดูกเพิ่มมากขึ้นนั่นคือ ภาวะหมดประจำเดือน ซึ่งจะมีการลดลงของฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen) อย่างรวดเร็ว ฮอร์โมนชนิดนี้จะช่วยในการดูดซึมแคลเซียมเข้าสู่ร่างกายและชะลอการสลายของแคลเซียมในเนื้อกระดูก เมื่อพร่องฮอร์โมนชนิดนี้ก็จะทำให้กระดูกบางตัวลงอย่างรวดเร็วจนเกิดภาวะกระดูกพรุน (ในช่วง 10 ปีแรกหลังหมดประจำเดือน ความหนาแน่นของมวลกระดูกจะลดลงเร็วมากประมาณ 3-5% ต่อปี และเมื่อพ้น 10 ปีไปแล้วความหนาแน่นของมวลกระดูกจะลดลงช้าลงเป็น 1-2% ต่อปี)

สำหรับผู้ชายจะมีฮอร์โมนเพศชายหรือเทสโทสเตอโรน (Testosterone) ซึ่งมีส่วนสำคัญในการสร้างเนื้อกระดูกเช่นกัน แต่ในช่วงอายุ 50-55 ปี การลดลงของฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนจะเป็นไปอย่างช้า ๆ และมีเนื้อกระดูกลดลง 0.5-1% ต่อปี ต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ ตลอดชีวิต ซึ่งแตกต่างจากผู้หญิง ดังนั้นโรคกระดูกพรุนจึงเกิดขึ้นในผู้หญิงได้เร็วกว่าผู้ชาย แต่ในที่สุดทั้งผู้หญิงและผู้ชายต่างก็มีโอกาสเป็นโรคกระดูกพรุนได้ไม่แตกต่างกัน

สาเหตุโรคกระดูกพรุน

สาเหตุของโรคกระดูกพรุน สามารถแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มหลัก ๆ คือ

โรคกระดูกพรุนชนิดปฐมภูมิ (Primary osteoporosis) สาเหตุหลักเกิดจากกระดูกเอง ได้แก่
โรคกระดูกพรุนในสตรีวัยหมดประจำเดือน (Postmenopausal osteoporosis หรือ Osteoporosis type I) เกิดจากการขาดฮอร์โมนเอสโตรเจนจากภาวะหมดประจำเดือนในผู้หญิง ซึ่งจะเริ่มมีอัตราเร่งของการสลายตัวของกระดูกในช่วง 10-20 ปี หลังหมดประจำเดือน พบได้ในผู้หญิงอายุประมาณ 50-65 ปี[2] หรือ 60-70 ปี[4] มักพบกระดูกหักบริเวณกระดูกแขนส่วนปลายและกระดูกสันหลังทรุด
โรคกระดูกพรุนในผู้สูงอายุ (Senile osteoporosis หรือ Osteoporosis type II) เกิดจากความเสื่อมตามอายุที่มีการสะสมอย่างค่อยเป็นค่อยไปและยาวนานของการเสียสมดุลระหว่างการสร้างและการสลายของกระดูก พบได้ทั้งในผู้หญิงและผู้ชายที่มีอายุมากกว่า 70-75 ปี มักพบกระดูกหักได้บ่อยบริเวณต้นขา ต้นแขน และสะโพก
โรคกระดูกพรุนชนิดทุติยภูมิ (Secondary osteoporosis) มีสาเหตุหลักมาจากระบบอื่นที่ส่งผลกระทบมาที่กระดูก เช่น ภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานเกิน, ต่อมพาราไทรอยด์ทำงานเกิน, ต่อมหมวกไตทำงานน้อยผิดปกติ, ภาวะขาดเอสโตรเจน, โรคเนื้องอกของต่อมใต้สมอง, โรคเบาหวาน, โรคคุชชิง, มะเร็ง (เต้านม เม็ดเลือดขาว ต่อมน้ำเหลือง), โรคตับเรื้อรัง, โรคปวดข้อรูมาตอยด์, ต่อมเพศทำงานน้อยผิดปกติ, น้ำหนักน้อย (ผอม), ภาวะขาดสารอาหารและแคลอรี, การขาดแร่ธาตุและวิตามินที่จำเป็นต่อการสร้างกระดูก (เช่น ขาดแคลเซียม แมกนีเซียม วิตามินดี โปรตีน), การใช้ยาสเตียรอยด์ ยาขับปัสสาวะ (เช่น ฟูโรซีไมด์) หรือเฮพารินนาน ๆ หรือใช้ฮอร์โมนไทรอยด์ม

ที่อยู่

Bangkok
10510

เบอร์โทรศัพท์

0635425536

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ D-Boon ดีบูน เพื่อกระดูกและเอ็นข้อต่อ By K.MAX 0635425536ผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ การปฏิบัติ

ส่งข้อความของคุณถึง D-Boon ดีบูน เพื่อกระดูกและเอ็นข้อต่อ By K.MAX 0635425536:

แชร์

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram