คลินิก กายภาพบำบัด109

คลินิก กายภาพบำบัด109 คลินิกกายภาพบำบัด109 แก้อาการ คลายจุ?

คลินิกกายภาพบำบัด109 แก้อาการ คลายจุด ลดปวด กายภาพบำบัดและฟื้นฟูสมรรถภาพร่างกาย

ให้บริการ ฟื้นฟู กายภาพบำบัด แขนขาอ่อนแรง หมอนรองกระดูก ปวดหลัง กายภาพหลัง ไหล่ติด ออฟฟิศซินโดรม อัมพฤกษ์ อัมพาต กล้ามเนื้ออ่อนแรง ฟื้นฟูปัญหาทางระบบกระดูก กล้ามเนื้อ เส้นประสาท ปวดคอ ปวดไหล่ สะโพก ขา ชาตามแขนขา

เราให้บริการกายภาพบำบัดและฟื้นฟูสมรรถภาพร่างกายโดยนักกายภาพที่มากด้วยประสบการณ์ เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านของตนเองอย่างมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

ให้บริการ แนะนำ รักษา อาการปวดเรื้อรัง บาดเจ็บจากการออกกำลังกาย อาการปวดต่างๆ ตามร่างกาย และบริการ นวดไทย สปาและอโรม่า ด้วยราคาไม่แพง

คลินิกกายภาพบำบัด109 ให้บริการกายภาพบำบัดให้คนที่คุณรักได้รับการฟื้นฟูสุขภาพอย่างต่อเนื่อง

ฟื้นฟูร่างกายฟื้นฟูร่างกาย เป็นการบริการทางการแพทย์ชนิดหนึ่ง เพื่อตรวจวินิจฉัยโรค ประเมิน รักษา ฟื้นฟูสมรรถภาพ ด้วยวิธีก...
08/12/2025

ฟื้นฟูร่างกาย
ฟื้นฟูร่างกาย เป็นการบริการทางการแพทย์ชนิดหนึ่ง เพื่อตรวจวินิจฉัยโรค ประเมิน รักษา ฟื้นฟูสมรรถภาพ ด้วยวิธีการใช้ยา การทำหัตถการ การใช้เครื่องมือ การออกกำลังกายจำเพาะ การให้คำแนะนำทางการแพทย์ การใช้อุปกรณ์ช่วยเหลือหรือทดแทน หรือวิธีการอื่นๆ อีกทั้งยังมุ่งส่งเสริมสุขภาพ และป้องกันการเป็นซ้ำหรือภาวะแทรกซ้อนให้กับบุคคลทั่วไป และผู้ป่วยที่มีความพิการหรือสมรรถภาพเสื่อมถอย ทั้งทางร่างกาย ทางสติปัญญา ทางการเรียนรู้ ทางการสื่อความหมาย และทางจิตใจ โดยใช้บุคลากรที่เกี่ยวข้องจากหลายๆสาขา ร่วมกันให้การรักษาและฟื้นฟู เพื่อส่งเสริมศักยภาพที่เหลืออยู่ของผู้ป่วยนั้นๆ ให้สามารถดำรงชีวิตในสภาวะแวดล้อมที่เหมาะสมได้ เพื่อให้เป็นภาระต่อคนรอบข้างและสังคมให้น้อยที่สุด อีกทั้งยังช่วยสร้างชื่อเสียง (เช่น เป็นนักกีฬา) หรือพัฒนาประเทศต่อไปได้ตามความสามารถ

c: th.wikipedia.org

การรักษาและฟื้นฟูด้วยเวชศาสตร์ฟื้นฟูยกตัวอย่าง เช่น    การตรวจ รักษา และฟื้นฟูผู้ป่วยและผู้พิการทางกายและการเคลื่อนไหว ท...
04/12/2025

การรักษาและฟื้นฟูด้วยเวชศาสตร์ฟื้นฟู
ยกตัวอย่าง เช่น
การตรวจ รักษา และฟื้นฟูผู้ป่วยและผู้พิการทางกายและการเคลื่อนไหว ทั้งผู้ป่วยที่นอนในโรงพยาบาลและผู้ป่วยนอก (ไป-กลับ)
การตรวจสภาพเส้นประสาท ระบบประสาท และกล้ามเนื้อ ด้วยวิธีการทางไฟฟ้าวินิจฉัย (ใช้ไฟฟ้ากระตุ้นในตรวจ) หรือเรียกว่า ELECTRODIAGNOSTIC STUDY
การรับผู้ป่วยทางเวชศาสตร์ฟื้นฟูไว้นอนในโรงพยาบาล เพื่อทำการรักษาและฟื้นฟูสมรรถภาพ (ในกรณีที่มีหอผู้ป่วย หรือเตียงเฉพาะ)
การรักษาเฉพาะที่ต่างๆ เช่น การฉีดยาเฉพาะที่เพื่อลดการเกร็งของกล้ามเนื้อ (Local antispastic agent injection) , การฉีดยาเฉพาะจุดเพื่อลดอาการปวดกล้ามเนื้อ (Myofascial pain release injection) , การฉีดยาเข้าข้อต่อหรืออวัยวะต่างๆเพื่อลดการอักเสบ (Anti-inflammatory agent injection) เป็นต้น
การตรวจประเมิน รักษา ฟื้นฟูสมรรถภาพ และป้องกันการเป็นซ้ำ แก่ผู้ป่วยที่มีความผิดปรกติทางการเคลื่อนไหว ทั้งที่เป็นมาแต่กำเนิด หรือเป็นในภายหลัง เช่น อัมพาตครึ่งซีกจากโรงหลอดเลือดสมอง (Cerebral vascular disorder) , อัมพาตจากภาวะไขสันหลังได้รับบาดเจ็บ (Spinal cord injury) , ความผิดปรกติทางการเคลื่อนไหวและพฤติกรรมภายหลังสมองได้รับบาดเจ็บ (Traumatic brain injury) เป็นต้น
การตรวจประเมิน รักษา และฟื้นฟูผู้ป่วยที่มีโรคหรือความผิดปรกติของระบบกล้ามเนื้อ และข้อต่อ รวมถึงผู้ป่วยหลังการผ่าตัดทางออร์โธปิดิคส์ (กระดูกและข้อ) อีกด้วย
การตรวจประเมินการทำงานของระบบควบคุมการถ่ายปัสสาวะส่วนล่าง (ตั้งแต่กระเพาะปัสสาวะลงมา) ด้วยเครื่องยูโรพลศาสตรN (Urodynamic study) และให้การรักษาผู้ป่วยที่มีปัญหาการถ่ายปัสสาวะซึ่งมีความผิดปรกติจากการควบคุมด้วยระบบประสาท (Neurogenic bladder dysfunction)
ให้การรักษาผู้ป่วยที่มีปัญหาการถ่ายอุจจาระซึ่งมีความผิดปรกติจากการควบคุมด้วยระบบประสาท (Neurogenic bowel dysfunction)
การตรวจประเมิน และออกเอกสารรับรองความพิการ สำหรับผู้พิการทางการเคลื่อนไหวชนิดต่างๆ
การตรวจประเมิน และสั่งการรักษาด้วยกายอุปกรณ์เทียม (Prostheses หรือคืออวัยวะเทียมนั่นเอง) สำหรับผู้พิการแขน-ขาขาด (Limb amputation)
การตรวจประเมิน และสั่งการรักษาด้วยด้วยกายอุปกรณ์เสริม (Orthoses หรือคือเครื่องประคองร่างกายชนิดต่างๆ) สำหรับผู้ป่วยกลุ่มต่างๆ เช่น ปวดหลังที่บั้นเอว, เส้นเอ็นมือขาด, ข้อเท้าตก เป็นต้น
การตรวจประเมิน รักษา และกระตุ้นพัฒนาการ (Early intervention) สำหรับผู้ป่วยเด็กกลุ่มต่างๆที่มีความพิการ (Child disabled) เช่น มีปัญหาพัฒนาการช้า มีปัญหาทางการเคลื่อนไหว หรือพิการทางสมอง เป็นต้น
การตรวจประเมินหาสาเหตุ และรักษาฟื้นฟูสภาพ แก่ผู้ป่วยที่มีอาการเจ็บปวด (Pain) ด้วยวิธีการต่างๆ เช่น การฉีดยาคลายจุดเจ็บปวดจากการหดเกร็งของกล้ามเนื้อ (Trigger point injection) การทำกายภาพบำบัด การฝังเข็ม (Acupuncture) การออกกำลังแบบต่างๆ (อาทิ การยืดกล้ามเนื้อ, การออกกำลังเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ เป็นต้น) การฉีดยาเข้าข้อ เป็นต้น
การตรวจประเมิน รักษา และให้การฟื้นฟูผู้ป่วยโรคหัวใจ (Cardiac rehabilitation) ประเภทต่างๆ (เช่น โรคหัวใจขาดเลือด, ลิ้นหัวใจรั่ว ฯลฯ) ทั้งก่อนและหลังการรักษาด้วยวิธีการผ่าตัดหรือสวนหัวใจ
การตรวจประเมิน รักษา และให้การฟื้นฟูผู้ป่วยโรคทางปอด (Pulmonary rehabilitation) กลุ่มต่างๆ เช่น โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD ซึ่งมักเกิดจากการสูบบุหรี่) เป็นต้น
การตรวจประเมิน รักษา และฟื้นฟูผู้ที่บาดเจ็บจากการเล่นกีฬา หรือนักกีฬาที่บาดเจ็บ รวมถึงการประยุกต์ใช้วิทยาศาสตร์ทางการแพทย์เพื่อเพิ่มสมรรถภาพแก่นักกีฬาอีกด้วย (Sport clinic)
การตรวจประเมิน รักษา ฟื้นฟู และป้องกันภาวะแทรกซ้อนหรือการกลับเป็นซ้ำ สำหรับผู้ป่วยกลุ่มอื่นๆ เช่น ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยโรคมะเร็ง เป็นต้น
การประชุมและให้ปรึกษาระหว่างทีมผู้รักษา กับผู้ป่วย/ผู้พิการและญาติ (Team meeting)
การฟื้นฟูนอกสถานพยาบาล เช่น การฟื้นฟูอย่างต่อเนื่องที่บ้าน (Home-based rehabilitation) หรือ ในชุมชน (Community-based rehabilitation) เป็นต้น
ฯลฯ

cr: th.wikipedia.org

วันหยุดยาวว พาร่างกายไปรับธรรมชาติกันค่ะอาบแดด อาบป่า อาบทะเล
03/12/2025

วันหยุดยาวว

พาร่างกายไปรับธรรมชาติกันค่ะ

อาบแดด อาบป่า อาบทะเล

⚡🔋 “อิเล็กตรอนเดินทางเข้ามายังไมโทคอนเดรียได้อย่างไร?”

อธิบายให้เข้าใจแบบง่ายที่สุด แต่เห็นภาพที่สุด

หลายคนเคยได้ยินว่า
ไมโทคอนเดรียคือโรงไฟฟ้าของร่างกาย
แต่ไม่เคยรู้ว่าพลังงานจริง ๆ มาจากอะไร

คำตอบคือ…
มาจาก “อิเล็กตรอน (electrons)” ที่ถูกส่งเข้าสู่ไมโทคอนเดรีย

แต่เจ้าอิเล็กตรอนมันมาจากไหน? เดินทางไปไมโทคอนเดรียได้อย่างไร?

นี่คือเวอร์ชันง่ายที่สุดแบบบ้าน ๆ แต่ภาพชัดเหมือนดูหนังครับ 👇

🥩 1. อาหาร = แหล่งกำเนิดอิเล็กตรอน

ไม่ว่าคุณจะกิน ไขมัน โปรตีน หรือคาร์บ…
สุดท้ายร่างกายแยกออกมาเป็น ไฮโดรเจน และ อิเล็กตรอน

ลองคิดง่าย ๆ ว่า:

อาหาร = “ลังแบตเตอรี่”

เรื่องของไมโทคอนเดรีย = “การเอาแบตออกจากลังมาใช้”

อาหารไม่ได้ให้ “พลังงานแคลอรี”
แต่ให้ อิเล็กตรอน ที่พร้อมใช้

🌞 2. แสงแดด — ยิ่งใหญ่กว่าอาหาร

นี่คือมุมมอง Quantum Biology

แสงแดดสามารถสร้างอิเล็กตรอนให้เราได้โดยตรง

ผ่านสามระบบสำคัญ:

✔ เมลานิน (Melanin)

ดูดแสงแล้ว “แยกน้ำ” → ได้ H⁺ + e⁻ + O₂

✔ DHA ในดวงตาและสมอง

ทำงานเหมือน “แผงวงจรกึ่งตัวนำ” → รับโฟตอนแล้วปล่อยอิเล็กตรอนได้

✔ EZ Water (น้ำโครงสร้าง)

อินฟราเรดจากแสงแดด → ทำให้น้ำผลักอิเล็กตรอนออกมา

อาหารให้พลังงาน
แสงแดด “เปิดระบบไฟฟ้า” ให้ใช้พลังงานได้เต็มที่

🧲 3. โลกดึงอิเล็กตรอนเข้าสู่ตัวเรา

การ Grounding (เดินเท้าเปล่า) =
“เสียบปลั๊กกับโลก”

โลกเต็มไปด้วยอิเล็กตรอนอิสระ
เมื่อผิวสัมผัสพื้น → อิเล็กตรอนไหลเข้าสู่ร่างกายทันที
เหมือนเราเติมไฟลงแบตอย่างช้า ๆ แต่ต่อเนื่อง

🔌 4. แล้วอิเล็กตรอนพวกนี้เข้าไปในไมโทคอนเดรียได้อย่างไร?

คิดภาพง่าย ๆ ว่าในเซลล์ของเรามี “สายพานส่งอิเล็กตรอน”
ชื่อว่า Electron Transport Chain (ETC)

การเดินทางเป็นแบบนี้:

➤ Step 1

อาหารหรือแสงแดด → ให้ NADH / FADH₂
สองตัวนี้เหมือน “รถบรรทุกอิเล็กตรอน”

➤ Step 2

NADH / FADH₂ → วิ่งเข้าไปจอดที่ ไมโทคอนเดรีย

➤ Step 3

อิเล็กตรอนถูกปล่อยลงบนสายพาน ETC
เหมือนวางลูกแก้วบนรางแล้วไหลลงมาเรื่อย ๆ

➤ Step 4

ทุกครั้งที่อิเล็กตรอนไหล → ปั๊มโปรตอน
โปรตอนถูกดันออกไปเหมือนการอัดลมเข้าถัง

➤ Step 5

โปรตอนไหลกลับเข้ามา → หมุนใบพัด ATP synthase
เหมือนกังหันน้ำหมุนด้วยแรงตกกระแทก
แล้วถูกแปลงเป็น ATP (พลังงานชีวิต)

📌 สรุป:
อิเล็กตรอน = กระสุนพลังงาน
ETC = รางกระสุน
ATP synthase = เครื่องปั่นไฟ
ATP = ไฟฟ้าที่ร่างกายใช้

⚡ ทำไมต้องให้อิเล็กตรอนไหลดี?

เพราะถ้าอิเล็กตรอนไม่ไหล → พลังงานลด → ร่างกายพังแบบเงียบ ๆ

สาเหตุที่อิเล็กตรอนติดขัด:

แสงฟ้า (LED/มือถือ)

nnEMF

Deuterium สูง

นอนดึก

ขาดแสงเช้า

ขาดเกลือแร่ (ไฟฟ้าลัดวงจร)

น้ำไม่โครงสร้าง (EZ water ต่ำ)

ทั้งหมดนี้ทำให้ “แรงดันไฟฟ้าในไมโทคอนเดรียตก”

เมื่อแรงดันตก = อ้วนง่าย เหนื่อยง่าย แก่เร็ว

✨ บทสรุปสไตล์ NuEnG The One

ร่างกายไม่ได้ขับเคลื่อนด้วยอาหาร
แต่ขับเคลื่อนด้วย “อิเล็กตรอน” ที่ธรรมชาติส่งมา

อาหาร → ให้ “แบตเตอรี่”
แสงแดด → เปิดระบบให้ใช้แบตได้เต็ม 100%
โลก (grounding) → เติมไฟให้ไม่ขาด
น้ำ → เป็นสายลำเลียงประจุ
ไมโทคอนเดรีย → เปลี่ยนไฟฟ้าเป็น “ชีวิต”

สุดท้ายชีวิตก็คือ “การไหลของอิเล็กตรอนที่ไม่เคยหยุด”
ถ้าเราดูแลการไหลนี้ ทุกอย่างในร่างกายจะดีขึ้นเอง

กายภาพบำบัด คืออะไรกายภาพบำบัด (อังกฤษ: physical therapy หรือ physiotherapy) เป็นวิชาชีพทางด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพ ที่เกี่...
30/11/2025

กายภาพบำบัด คืออะไร
กายภาพบำบัด (อังกฤษ: physical therapy หรือ physiotherapy) เป็นวิชาชีพทางด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพ ที่เกี่ยวข้องกับการป้องกัน รักษา และจัดการเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวที่ผิดปรกติ ที่เกิดขึ้นจากสภาพและภาวะของโรค ที่เกิดขึ้นในทุกช่วงของชีวิต

กายภาพบำบัด จะกระทำโดย นักกายกายภาพบำบัด (Physical therapist หรือ Physiotherapist หรือย่อว่า PT) หรือผู้ช่วยนักกายภาพบำบัด (Physical Therapy Assistant) ภายใต้การดูแลและแนวทางของนักกายภาพบำบัดอย่างไรก็ตาม ได้มีการใช้การรักษาทางกายภาพบำบัดบางอย่างโดยผู้ประกอบวิชาชีพสุขภาพอื่นๆ เช่น ไคโรแพรคเตอร์ , แพทย์ทางด้านการจัดกระดูก และโปรแกรมการรักษาทางกายภาพบำบัด ยังเกี่ยวข้องกับผู้ให้บริการสาธารณสุขอื่น ๆ อีกด้วย

cr: th.wikipedia.org

28/11/2025

🫁การหายใจโดยใช้สติ, หายใจทางจมูก, ใช้กะบังลม, ลงไปถึงอุ้งเชิงกราน (ไม่เพียงแค่ช่องท้องเท่านั้น แต่เป็นส่วนล่างของลำตัวทั้งหมดในทุกทิศทาง) มีผลกระทบอย่างมากต่อวิธีการที่ออกซิเจนถูกส่งเข้าสู่ไมโทคอนเดรีย:

1. คุณกักเก็บ CO2 ไว้มากขึ้น
2. กระตุ้นการสร้างไนตริกออกไซด์ (nitric oxide) (โดยเฉพาะเมื่อควบคู่กับแสงแดด)
3. สิ่งนี้ทำให้ออกซิเจนถูกปล่อยออกมามากขึ้น (ผ่าน ปรากฏการณ์โบห์ร (Bohr effect))
4. ซึ่งทำให้เมตาบอลิซึมของไมโทคอนเดรียสามารถเพิ่มระดับเพื่อสร้าง ATP, H2O, และพัลส์เชิงควอนตัมของสัญญาณ UPEs/ROS ได้มากขึ้น

การฝึกหายใจโดยพื้นฐานแล้วจะ "เพิ่มประสิทธิภาพสนามแม่เหล็กไฟฟ้า" ของคุณในแง่นี้ และมอเตอร์นาโน ATPase จะหมุนเร็วขึ้นและดึงดูดออกซิเจนให้ถูกรีดิวซ์มากขึ้น — ทำงานในวงจรป้อนกลับเชิงบวกกับการปรับความตึงของออกซิเจนให้เหมาะสม

คุณทำสิ่งนี้ "นอกบ้านท่ามกลางแสงแดด" (เกิดปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทริก) "ในขณะที่สัมผัสพื้น" (ได้รับอิเล็กตรอน) และนั่นคือจุดที่คุณจะได้รับผลตอบแทนอย่างแท้จริง

ทำไมต้องกายภาพบำบัดหลังการผ่าตัด นี่คือคำตอบ หลายคนอาจมีความเข้าใจผิดว่าหลังการผ่าตัดควรฟักฟื้นเพื่อให้ร่างกายได้ฟื้นฟูอ...
26/11/2025

ทำไมต้องกายภาพบำบัดหลังการผ่าตัด
นี่คือคำตอบ
หลายคนอาจมีความเข้าใจผิดว่าหลังการผ่าตัดควรฟักฟื้นเพื่อให้ร่างกายได้ฟื้นฟูอย่างเต็มที่ แต่การทำกายภาพบำบัดก็เป็นอีกหนึ่งขั้นตอนที่จะช่วยเพื่อฟื้นฟูสมรรถภาพการเคลื่อนไหวของร่างกายหลังการผ่าตัดให้ดีขึ้นเช่นกันหลังผ่าตัดร่างกายต้องได้รับการพักฟื้น

เราเชื่อว่ายังมีผู้ป่วยบางรายเข้าใจผิด คิดว่าเมื่อเข้ารับการผ่าตัดแล้วจะสามารถกลับไปลุยงานต่อได้เลยทันที แต่ในความเป็นจริงแล้วร่างกายไม่สามารถตอบสนองความต้องการได้มากขนาดนั้น ร่างกายยังต้องอาศัยเวลาพักฟื้นเพื่อให้สามารถกลับมาใช้งานได้เป็นปกติ เตรียมพร้อมสำหรับการเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง ดังนั้นแน่นอนว่าผลการรักษาที่จะบอกได้ว่าประสบความสำเร็จหรือไม่จำเป็นต้องขึ้นอยู่กับการดูแลตนเองและการทำกายภาพบำบัดอย่างถูกต้องเหมาะสมหลังจากการผ่าตัดด้วยเช่นกัน

รู้จักการทำกายภาพบำบัด
การทำกายภาพบำบัด (Physical Therapy) คือศาสตร์ฟื้นฟูสุขภาพด้วยการออกกำลังกายและใช้อุปกรณ์พิเศษ เช่น การใช้ความร้อน ความเย็น การใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่ให้ความร้อนลึก (Short Wave Diathermy) และเครื่องมือทางกายภาพอื่นๆ เช่น Ultrasound , Low Level Laser Therapy , Shockwave เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าระงับปวด เครื่องดึงคอและดึงหลัง เป็นต้น นอกจากนั้นยังมีการใช้การรักษาด้วยมือที่เรียกว่า Manipulation & Mobilization การยืดกล้ามเนื้อ (Stretching Exercise) การออกกำลังกายเพื่อเพิ่มความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อ รวมทั้งเทคนิคการเคลื่อนไหวร่างกายอย่างถูกวิธี
เหตุผลสำคัญที่ไม่ควรละเลยในการทำกายภาพบำบัด

จุดประสงค์ของการทำกายภาพบำบัดนั้นก็เพื่อรักษาผู้ป่วยให้กลับมาสมบูรณ์แข็งแรง เคลื่อนไหวได้ตามปกติมากที่สุด แต่ทั้งนี้ก็ต้องทำความเข้าใจด้วยว่าผู้ป่วยบางรายหลังผ่าตัดอาจจะต้องใช้ระยะในการฟื้นฟูนาน โดยขึ้นอยู่กับประเภทและระยะของโรค วิธีการผ่าตัด รวมถึงการดูแลปัจจัยเสี่ยงโรคประจำตัว อายุของผู้ป่วย เป็นต้น โดยเป้าหมายหลักในการทำกายภาพบำบัด แบ่งออกเป็น 3 ข้อใหญ่ๆ คือ

การลดความเจ็บปวด คือ การบำบัดอาการปวดและอาการชา หลังจากการผ่าตัดผู้ป่วยเกือบทุกรายมักมีอาการปวด รวมถึงอาการบวม แดง ร้อน ที่มีผลมาจากการไหลเวียนเลือดบริเวณแผลทำได้ไม่ดีนัก จึงเกิดอาการบวมขึ้น การทำกายภาพบำบัดจะสามารถช่วยให้อาการเหล่านี้ลดลงได้ โดยอาจใช้วิธีประคบเย็นบริเวณแผลเพื่อลดอักเสบ การกระตุ้นไฟฟ้าหรือการนวดไล่สารน้ำรอบๆ แผล หรือการใช้เครื่องมือทางกายภาพบำบัดเพื่อลดปวด ลดการอักเสบ

เพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ หลังจากที่ผ่าตัดมาใหม่ๆ ความเจ็บปวดจะยังคงมีอยู่ จนไม่อาจขยับหรือเคลื่อนไหวได้ รวมถึงความจำเป็นที่ต้องให้ร่างกายในส่วนนั้นอยู่นิ่งๆ เพื่อให้แผลยึดติดกันได้ดี ซึ่งแน่นอนว่าการที่เราไม่ขยับร่างกายหรืออวัยวะส่วนใดๆ ส่วนหนึ่งเป็นเวลานานๆ จะส่งผลให้กล้ามเนื้อบริเวณนั้นฝ่อลีบ ขาดความแข็งแรง อย่างในผู้ป่วยที่ผ่าตัดเข่า ในช่วงแรกผู้ป่วยจะรู้สึกว่าเดินเพียงไม่กี่ก้าวก็รู้สึกล้าขา รู้สึกเมื่อยขามากกว่าขาข้างที่ไม่ได้ผ่า ดังนั้นการทำกายภาพบำบัดฟื้นฟูกำลังกล้ามเนื้อจึงมีส่วนสำคัญอย่างมากเพื่อให้ผู้ป่วยมีกล้ามเนื้อที่แข็งแรงมากพอ สามารถกลับไปใช้ชีวิตได้ตามปกติและลดความเสี่ยงต่อการพลัดตกหกล้มในอนาคต ในทางกลับกันหากเข้ารับการผ่าตัดแล้วไม่ยอมทำกายภาพบำบัด ปล่อยให้กล้ามเนื้อและเส้นเอ็นบริเวณนั้นอ่อนแรงไป ไม่แข็งแรงเพียงพอที่จะพยุงตัวได้ อาจส่งผลให้ผู้ป่วยลุกเดินลำบาก อาจต้องใช้ชีวิตบนรถเข็นนั่ง (wheel chair) ตลอดเวลา ส่งผลให้คุณภาพชีวิตแย่ลง และเป็นภาระของผู้อื่นตามมา

เพิ่มองศาการเคลื่อนไหวของข้อต่างๆ ปัญหาข้อยึดติดหลังจากการผ่าตัดไม่สามารถงอหรือเคลื่อนไหวได้ปกติที่พบได้บ่อยนั้น เกิดจากอาการปวดที่ส่งผลให้ผู้ป่วยเลี่ยงที่จะงอ หรือขยับข้อส่วนนั้น เช่นข้อเข่า หรือข้อไหล่ เมื่อไม่ยอมงอหรือเคลื่อนไหวข้อส่วนนั้นติดต่อกันเป็นเวลานานอาจส่งผลให้เกิดพังผืดอยู่ภายในเส้นเอ็น กล้ามเนื้อ เกิดการหดรั้ง กระทั่งในที่สุดผู้ป่วยมีภาวะข้อติด ส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน เสี่ยงต่อการล้มเกิดอุบัติเหตุได้ง่ายจากการเคลื่อนไหวไม่สะดวก

ดังนั้นการทำกายภาพบำบัดภายหลังการผ่าตัด โดยบริหารเคลื่อนไหวข้อต่อให้ได้มากที่สุดจะช่วยลดปัญหาการเกิดข้อยึดติดได้ ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักไม่ค่อยให้ความร่วมมือเนื่องจากความเจ็บปวด แต่เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีในอนาคต ผู้ป่วยจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องเข้ารับการทำกายภาพบำบัด

https://www.phyathai.com/th/article/2998-%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%9A%E0%B8%B3%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%AB%E0%B8%A5?srsltid=AfmBOorUsadfS4xslb76ug8KUZ9d0Jegeb59EELJE-K97KWzM0ldnx0N

15/11/2025

🧠ระบบประสาทอัตโนมัติ(Autonomic Nervous System)

😩 เหนื่อยล้าแต่ตาค้าง? หัวใจเต้นแรงเมื่อยืนขึ้น?

คุณเหนื่อยล้าแต่ไม่สามารถข่มตาหลับได้ หัวใจคุณเต้นแรงเมื่อคุณยืนขึ้น อาหารทำให้คุณท้องอืด ไม่ว่าคุณจะกินอะไรก็ตาม Apple Watch ของคุณแสดงให้เห็นว่าอัตราการเต้นของหัวใจแปรปรวน (HRV) ลดลงสัปดาห์แล้วสัปดาห์เล่า

คุณได้ลองทำทุกอย่างแล้ว — อาหารเสริมสำหรับการนอนหลับ, การจำกัดอาหารบางประเภท, แอปจัดการความเครียด แต่ดูเหมือนจะไม่มีอะไรได้ผล แพทย์ของคุณบอกว่าผลตรวจของคุณ "เป็นปกติ" ทว่าคุณรู้สึกว่ามันไม่ปกติเลย

นี่คือสิ่งที่ไม่มีใครเคยบอกคุณ: "อาการที่ดูเหมือนไม่เกี่ยวข้องกันเหล่านี้มีรากร่วมกัน" พวกมันไม่ใช่ปัญหาที่แยกจากกันซึ่งต้องการการแก้ปัญหาที่แยกจากกัน พวกมันคือสัญญาณจาก "ระบบควบคุมเดียวที่สูญเสียความสมดุล" นั่นคือ "ระบบประสาทอัตโนมัติ (Autonomic Nervous System หรือ ANS)" ของคุณ

และนี่คือข่าวดี: ต่างจากพันธุกรรมหรืออายุของคุณ "ANS ของคุณสามารถฝึกฝนได้"

🧠 ระบบประสาทอัตโนมัติ (ANS) คืออะไร?

ลองนึกถึง ANS ของคุณว่าเป็นระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติของร่างกาย ในขณะที่คุณกำลังตัดสินใจอย่างมีสติว่าจะกินอะไรเป็นอาหารกลางวัน หรือจะตอบอีเมลฉบับไหนก่อน ANS ของคุณกำลังดำเนินการปฏิบัติการสำคัญหลายพันอย่างโดยไม่รู้ตัว เช่น: การปรับอัตราการเต้นของหัวใจ, การสั่งการไหลเวียนของเลือด, การควบคุมการย่อยอาหาร, การควบคุมอุณหภูมิ, การจัดการการอักเสบ, และการประสานงานการตอบสนองของภูมิคุ้มกัน

คุณไม่เคยคิดถึงกระบวนการเหล่านี้ "จนกระทั่งพวกมันหยุดทำงานอย่างเหมาะสม"

ANS มีสองสาขาหลัก ทำงานเหมือนคันเร่งและเบรกในรถของคุณ:

1️⃣. ระบบประสาทซิมพาเทติก (Sympathetic Nervous System): คันเร่งของคุณ

นี่คือการตอบสนองแบบ "สู้หรือหนี" (fight-or-flight) เมื่อเปิดใช้งาน มันจะ:

* เพิ่มอัตราการเต้นของหัวใจและความดันโลหิต
* ขยายรูม่านตาเพื่อให้มองเห็นได้ดีขึ้น
* เปลี่ยนเส้นทางเลือดจากการย่อยอาหารไปยังกล้ามเนื้อ
* ปล่อยฮอร์โมนความเครียด (คอร์ติซอล, อะดรีนาลีน)
* ระงับการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันชั่วคราว
* เตรียมคุณให้พร้อมสำหรับการดำเนินการ

2️⃣. ระบบประสาทพาราซิมพาเทติก (Parasympathetic Nervous System): เบรกของคุณ

นี่คือโหมด "พักผ่อนและย่อยอาหาร" (rest-and-digest) เมื่อเปิดใช้งาน มันจะ:

* ชะลออัตราการเต้นของหัวใจ
* ลดความดันโลหิต
* กระตุ้นการย่อยอาหารและการดูดซึมสารอาหาร
* ส่งเสริมการซ่อมแซมและการฟื้นตัวของเซลล์
* เพิ่มการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน
* อำนวยความสะดวกในการนอนหลับลึก

▶️ข้อสังเกตที่สำคัญ: สุขภาพไม่ได้เกี่ยวกับระบบใดระบบหนึ่งที่ครอบงำอีกระบบหนึ่ง มันคือเกี่ยวกับ "ความสมดุลแบบไดนามิก" ANS ของคุณเปลี่ยนไปมาระหว่างสภาวะซิมพาเทติกและพาราซิมพาเทติกอย่างคล่องแคล่วตามสิ่งที่ร่างกายของคุณต้องการในแต่ละขณะ

เมื่อคุณกำลังออกกำลังกาย การกระตุ้นซิมพาเทติกเป็นสิ่งที่เหมาะสม เมื่อคุณกำลังกินอาหารเย็น การครอบงำของพาราซิมพาเทติกเป็นสิ่งในอุดมคติ ปัญหาเกิดขึ้นเมื่อคุณติดอยู่ในโหมดใดโหมดหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อความเครียดเรื้อรังทำให้ระบบซิมพาเทติกของคุณทำงานเกินพิกัดตลอด 24 ชั่วโมง

📚 รายการตรวจสอบความผิดปกติของ ANS: 12 สัญญาณเตือน

ความผิดปกติของ ANS (หรือที่เรียกว่า dysautonomia) ส่งผลกระทบต่อชาวอเมริกันหลายล้านคน แต่คนส่วนใหญ่ไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับมัน งานวิจัยที่เผยแพร่ในปี 2025 พบว่าอาการของระบบประสาทอัตโนมัติมีอยู่ในโรคของระบบต่าง ๆ มากมาย ตั้งแต่ความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันตนเองไปจนถึงกลุ่มอาการหลังการติดเชื้อไวรัส แต่ยังคงมีการวินิจฉัยต่ำกว่าความเป็นจริงเรื้อรัง

คุณมีอาการใด ๆ เหล่านี้หรือไม่?

👉การนอนหลับและพลังงาน

☐ นอนหลับยากแม้จะเหนื่อยล้า "เหนื่อยแต่ตื่นตัว" ในเวลากลางคืน
☐ ตื่นนอนตอนตี 3 และไม่สามารถกลับไปหลับได้ การควบคุมคอร์ติซอลผิดปกติ
☐ ความเหนื่อยล้าเรื้อรังที่ไม่ดีขึ้นด้วยการพักผ่อน ความไม่สมดุลของ ANS ส่งผลต่อการผลิตพลังงาน

👉ระบบหัวใจและหลอดเลือด

☐ อัตราการเต้นของหัวใจขณะพักสูงกว่า 75 ครั้งต่อนาที สัญญาณของการทำงานเกินพิกัดของซิมพาเทติก
☐ ความแปรปรวนของอัตราการเต้นของหัวใจ (HRV) ต่ำอย่างสม่ำเสมอ การลดลงของโทนพาราซิมพาเทติก
☐ อาการวิงเวียนศีรษะหรือหน้ามืดเมื่อยืนขึ้น ภาวะทนต่อการยืนไม่ได้ (orthostatic intolerance)
☐ หัวใจเต้นผิดจังหวะหรือหัวใจเต้นเร็ว การกระตุ้นซิมพาเทติกที่ไม่เหมาะสม

👉ระบบทางเดินอาหาร

☐ ท้องอืด, ท้องผูก, หรืออาการ IBS เรื้อรัง การทำงานผิดปกติของโหมด "พักผ่อนและย่อยอาหาร"
☐ คลื่นไส้หรือเบื่ออาหาร การทำงานผิดปกติของเส้นประสาทเวกัสที่ส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของลำไส้

👉การรับรู้และจิตใจ

☐ ภาวะสมองล้าหรือมีปัญหาในการมีสมาธิ การลดลงของการไหลเวียนเลือดในสมอง
☐ ความวิตกกังวลหรือหงุดหงิดง่าย ภาวะทำงานเกินพิกัดของระบบประสาทซิมพาเทติก

👉ระบบภูมิคุ้มกันและอื่น ๆ

☐ ป่วยบ่อยหรือฟื้นตัวช้า การควบคุมระบบภูมิคุ้มกันบกพร่อง
☐ การควบคุมอุณหภูมิผิดปกติ ความผิดปกติของการขับเหงื่อหรือรู้สึกหนาวตลอดเวลา

🚨หากคุณทำเครื่องหมายถูกตั้งแต่ 3 ช่องขึ้นไป ANS ของคุณอาจต้องการความสนใจมากขึ้น

เพื่อให้เข้าใจว่าทำไมอาการเหล่านี้จึงรวมกลุ่มกัน คุณต้องเห็นว่า ANS ของคุณควบคุมร่างกายของคุณอย่างครอบคลุมเพียงใด

🕰 การควบคุมในระดับอวัยวะ

🫀หัวใจ: การกระตุ้นซิมพาเทติกเพิ่มอัตราการเต้นของหัวใจและความแรงของการบีบตัว ส่วนพาราซิมพาเทติกจะชะลอลงผ่าน เส้นประสาทเวกัส (vagus nerve)
🫁ปอด: ซิมพาเทติกขยายทางเดินหายใจเพื่อรับออกซิเจนมากขึ้น ส่วนพาราซิมพาเทติกทำให้ทางเดินหายใจตีบลง
🍝ลำไส้: พาราซิมพาเทติกกระตุ้นการย่อยอาหาร, การเคลื่อนไหวของลำไส้, และการหลั่งเอนไซม์ ส่วนซิมพาเทติกจะหยุดการทำงานเหล่านี้ (นี่คือสาเหตุที่ความเครียดทำให้เกิดปัญหาการย่อยอาหาร)
🏥ระบบภูมิคุ้มกัน: เส้นประสาทเวกัส (พาราซิมพาเทติก) ลดการอักเสบอย่างแข็งขันผ่าน "วิถีทางต้านการอักเสบแบบโคลินเนอร์จิก (cholinergic anti-inflammatory pathway)" เมื่อโทนของพาราซิมพาเทติกต่ำ การอักเสบก็จะดำเนินไปโดยไม่ถูกควบคุม
🩸หลอดเลือด: ซิมพาเทติกทำให้หลอดเลือดหดตัว, เพิ่มความดันโลหิต ส่วนพาราซิมพาเทติกส่งเสริมการผ่อนคลายและการไหลเวียนของเลือดที่ดีต่อสุขภาพ
👁รูม่านตา: ซิมพาเทติกขยาย (เพื่อการตรวจจับภัยคุกคามที่ดีขึ้น) ส่วนพาราซิมพาเทติกหดตัว (สำหรับการโฟกัสในระยะใกล้)
🚽กระเพาะปัสสาวะ: พาราซิมพาเทติกควบคุมการขับปัสสาวะ ส่วนซิมพาเทติกยับยั้งการขับปัสสาวะ

นี่คือเหตุผลที่ความผิดปกติของ ANS สร้างอาการที่หลากหลายเช่นนี้ เมื่อ ANS ของคุณไม่สมดุล ทุกระบบที่มันควบคุมก็จะได้รับผลกระทบ

🏙การถูกควบคุมโดยวิถีชีวิตสมัยใหม่: ทำไมระบบประสาทของคุณจึงติดอยู่ในภาวะทำงานเกินพิกัด

ANS ของคุณวิวัฒนาการมานับล้านปีเพื่อรับมือกับความเครียดเฉียบพลันที่คุกคามชีวิต: การโจมตีของสัตว์นักล่า, การล้มกะทันหัน, การเผชิญหน้าทางกายภาพ ในสถานการณ์เหล่านี้ ระบบประสาทซิมพาเทติกของคุณจะพุ่งสูงขึ้นอย่างรุนแรงเป็นเวลาหลายนาที จากนั้นจะกลับสู่ภาวะปกติเมื่อภัยคุกคามผ่านไป

แต่ชีวิตสมัยใหม่ได้ทำลายระบบนี้โดยพื้นฐาน

1️⃣. ความเครียดเรื้อรัง: การตอบสนองต่อภัยคุกคาม 24/7

ANS ของคุณไม่สามารถแยกความแตกต่างระหว่างเสือกับกล่องจดหมายเข้าที่ล้นทะลักได้ ทุกกำหนดเวลา, รถติด, ความกังวลทางการเงิน, และการแจ้งเตือนจากโซเชียลมีเดีย ล้วนกระตุ้นการตอบสนองแบบสู้หรือหนีแบบเดียวกัน งานวิจัยจาก Harvard Medical School แสดงให้เห็นว่าความเครียดเรื้อรังทำให้โทนซิมพาเทติกสูงขึ้นตลอดเวลา นำไปสู่ความดันโลหิตสูง, ความผิดปกติของระบบย่อยอาหาร, การกดระบบภูมิคุ้มกัน, และโรคเมตาบอลิซึม

ผลลัพธ์: "คันเร่ง" ของคุณถูกเหยียบไว้แม้ในขณะที่คุณกำลังพยายามจะนอนหลับ

2️⃣. อาหารแปรรูป: การรบกวนการเชื่อมต่อระหว่างลำไส้กับเส้นประสาทเวกัส

การศึกษาในปี 2025 ที่ตีพิมพ์ในวารสาร Nature พบว่าอาหารแปรรูปขั้นสูง "ทำลายจุลินทรีย์ในลำไส้" ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อการส่งสัญญาณของเส้นประสาทเวกัส ซึ่งเป็นเส้นทางพาราซิมพาเทติกหลัก เมื่อแบคทีเรียในลำไส้ของคุณไม่สมดุล พวกมันจะส่งสัญญาณการอักเสบขึ้นไปตามเส้นประสาทเวกัส ทำให้อ่อนแอลงซึ่งจะส่งเสริมการครอบงำของซิมพาเทติก

สรุป: อาหารที่คุณกินกำลัง "เขียนโปรแกรม ANS ของคุณใหม่" ตามตัวอักษร

3️⃣. วิถีชีวิตที่อยู่กับที่: การยับยั้งการกระตุ้นพาราซิมพาเทติก

ระบบประสาทพาราซิมพาเทติกของคุณถูกกระตุ้นผ่านการฟื้นตัวที่เน้นการเคลื่อนไหว: การออกกำลังกายเบา ๆ, การยืดเหยียด, การเดิน, และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง "การหายใจด้วยกะบังลม" แต่คนอเมริกันโดยเฉลี่ยจะนั่ง 9.5 ชั่วโมงต่อวัน การไม่เคลื่อนไหวเรื้อรังนี้ทำให้โทนซิมพาเทติกสูงและล้มเหลวในการกระตุ้น "การรีเซ็ต" พาราซิมพาเทติกที่ร่างกายของคุณต้องการ

4️⃣. แสงสีฟ้าและเวลาอยู่หน้าจอ: การหยุดชะงักของนาฬิกาชีวิต

ANS ของคุณตามจังหวะนาฬิกาชีวิต: การครอบงำของซิมพาเทติกควรสูงสุดในตอนเช้า (เพื่อปลุกคุณ) และลดลงในตอนเย็น เพื่อให้พาราซิมพาเทติกเปิดใช้งานสำหรับการนอนหลับ แต่แสงประดิษฐ์ โดยเฉพาะแสงสีฟ้าจากหน้าจอ "ระงับเมลาโทนินและทำให้คอร์ติซอลสูงขึ้นในเวลากลางคืน" สิ่งนี้รบกวนการเปลี่ยน ANS ตามธรรมชาติจาก "คันเร่ง" เป็น "เบรก"

5️⃣. โซเชียลมีเดีย: การสะสมของความเครียดเล็ก ๆ น้อย ๆ

การแจ้งเตือน, การเปรียบเทียบ, หรือโพสต์ที่เป็นที่ถกเถียงแต่ละอย่างล้วนกระตุ้นการพุ่งขึ้นของซิมพาเทติกเล็กน้อย ทีละครั้งมันอาจจะเล็กน้อย แต่เมื่อคุณตรวจสอบโทรศัพท์ของคุณมากกว่า 150 ครั้งต่อวัน (ค่าเฉลี่ยของสหรัฐฯ) ความเครียดเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านี้จะสะสมจนกลายเป็นการทำงานผิดปกติของ ANS เรื้อรัง

📌ANS ของคุณได้รับการปรับเทียบมาเพื่อภัยคุกคามทางกายภาพที่เฉียบพลัน "ไม่ใช่สำหรับความเครียดทางจิตวิทยาเรื้อรังที่ส่งผ่านหน้าจอ"

แน่นอนครับ! นี่คือฉบับแปลภาษาไทยของส่วน "ข่าวดี: $\text{ANS}$ ของคุณสามารถฝึกฝนได้":

✅ ข่าวดี: ANS ของคุณสามารถฝึกฝนได้

นี่คือข้อมูลเชิงลึกที่ปฏิวัติและเปลี่ยนแปลงทุกสิ่ง: "ANS ของคุณไม่ได้ถูกกำหนดตายตัว" ต่างจากพันธุกรรมหรืออายุของคุณ ระบบประสาทอัตโนมัติของคุณแสดงความสามารถในการปรับตัวที่โดดเด่น "มันสามารถได้รับการฝึกฝนใหม่ได้"

งานวิจัยล่าสุดที่ตีพิมพ์ในปี 2025 เกี่ยวกับความยืดหยุ่นของระบบประสาทอัตโนมัติแสดงให้เห็นว่า การแทรกแซงที่มุ่งเน้นสามารถเปลี่ยนสมดุลของ ANS ได้ภายในไม่กี่สัปดาห์:

🏃‍♀️การออกกำลังกาย (โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวแบบแอโรบิกและการฟื้นฟู) เพิ่มโทนพาราซิมพาเทติก
🧘การฝึกหายใจ (การหายใจช้า ๆ โดยใช้กะบังลม) กระตุ้นเส้นประสาทเวกัสโดยตรง
❄️การสัมผัสความเย็น กระตุ้นการทำงานของเวกัส
🛌การเพิ่มประสิทธิภาพการนอนหลับ ฟื้นฟูจังหวะนาฬิกาชีวิต ANS ตามธรรมชาติ

🥩🍒และที่ทรงพลังที่สุดคือ: โภชนาการ

"เส้นประสาทเวกัส" ซึ่งเป็นซูเปอร์ไฮเวย์พาราซิมพาเทติกหลักของร่างกายคุณ ได้รับอิทธิพลอย่างลึกซึ้งจากสิ่งที่คุณกิน สารอาหารเฉพาะ, เมตาบอไลต์ของแบคทีเรียในลำไส้, และรูปแบบอาหารสามารถกระตุ้นหรือระงับการส่งสัญญาณของเวกัส ซึ่งโดยพื้นฐานแล้วทำให้คุณสามารถ ปรับเทียบ ANS ของคุณใหม่ได้ถึงสามครั้งต่อวัน

นี่คือจุดที่วิทยาศาสตร์ประสาทวิทยาทางโภชนาการจะกลายเป็นการเปลี่ยนแปลง ในบทความที่กำลังจะมาถึง เราจะสำรวจ:

* อาหารใดที่กระตุ้นโหมด "พักผ่อนและย่อยอาหาร" ของพาราซิมพาเทติก
* วิธีการลดการอักเสบเรื้อรังผ่านโภชนาการที่มุ่งเน้น
* รูปแบบการกินที่ เพิ่ม HRV และทำให้พลังงานคงที่
* โปรโตคอลที่เน้นอาหารเป็นหลักเพื่อความยืดหยุ่นของภูมิคุ้มกันและอายุยืน

Cr. Walton Wang

ลองดูค่ะ ตึงสุดด
08/11/2025

ลองดูค่ะ ตึงสุดด

06/11/2025

“หลายคนทำ fasting อย่างตั้งใจ แต่ลืมแสง” ทั้งที่แสงคือเงื่อนไขที่เปิดสวิตช์ autophagy ให้สมบูรณ์จริง ๆ🌞

________________________________________

🌞 Fasting โดยไม่มีแสงแดด — เมื่อร่างกายพยายามชำระ แต่ไฟในเซลล์ไม่เปิด

เราได้ยินกันบ่อยว่า “Fasting กระตุ้น autophagy”

แต่ถ้าคุณทำ fasting ในห้องปิด แสงเทียมล้อมรอบ — คุณอาจกำลังพยายามให้ร่างกาย “กินตัวเองเพื่อซ่อมแซม” โดยไม่มีพลังงานพอที่จะจุดประกายกระบวนการนั้นเลย

เพราะ autophagy ไม่ได้เกิดจาก “การอดอาหาร” เพียงอย่างเดียว
มันต้องการ “จังหวะแสง” เพื่อบอกเซลล์ว่า ตอนนี้คือเวลาชำระ หรือเวลาสร้างใหม่

________________________________________

☀️ Autophagy คือจังหวะการฟื้นฟูที่ต้องใช้แสงเป็นเข็มเวลา

ในเชิงชีววิทยา autophagy คือการที่ไมโทคอนเดรียและเซลล์ “ย่อยตัวเองอย่างมีสติ”
เมื่อไม่มีพลังงานจากอาหาร ร่างกายจะเปลี่ยนโหมดเข้าสู่การรีไซเคิล

แต่การจะเปิดโหมดนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ — ต้องมีสัญญาณจาก “นาฬิกาชีวิต” (Circadian Rhythm)

แสงเช้า (โดยเฉพาะแสง Blue + UVA) คือสัญญาณที่บอกสมองส่วน SCN ว่า “เข้าสู่โหมดเผาผลาญและซ่อมแซมได้”
แสงเย็นและความมืดตอนกลางคืนคือสัญญาณปิด — ให้ร่างกายเข้าสู่ช่วงหลั่งเมลาโทนิน ซ่อม DNA และสร้างเซลล์ใหม่

ถ้าคุณทำ fasting โดยไม่มีแสงธรรมชาติเลย — circadian rhythm จะรวน
ร่างกายไม่รู้ว่า “ตอนนี้ควรเผาผลาญหรือควรเก็บพลังงาน”

ผลคือ autophagy จะเริ่มต้นช้า หรือไม่สมบูรณ์

เหมือนพนักงานทำความสะอาดที่ไม่มีไฟในห้อง — เขาจะกวาดได้ยังไงถ้ามองไม่เห็นฝุ่น?

________________________________________

🔋 ไมโทคอนเดรีย: โรงไฟฟ้าที่ต้องใช้แสงเปิดเครื่อง

ไมโทคอนเดรียคือหัวใจของ autophagy

เพราะทุกครั้งที่เซลล์จะกำจัดของเสียหรือซ่อมแซมตัวเอง มันต้องใช้ “พลังงานไฟฟ้าภายใน”

ซึ่งเกิดจากการเคลื่อนไหวของอิเล็กตรอนและโปรตอนในไมโทคอนเดรีย

แสงแดด โดยเฉพาะแสงแดง (Red light) และแสงใกล้อินฟราเรด (NIR)
คือสิ่งที่ “ชาร์จแบต” ให้ไมโทคอนเดรียทำงาน — กระตุ้น Cytochrome C Oxidase และเพิ่มระดับ NAD⁺, SIRT1, SIRT3

ซึ่งทั้งหมดนี้คือโปรตีนสำคัญที่เปิดสวิตช์ autophagy

แต่ถ้าคุณอยู่ในอาคารทั้งวัน แม้จะทำ fasting
ไมโทคอนเดรียจะไม่มีพลังพอจะรีไซเคิลของเสียได้หมด

ของเสียบางส่วนจะยังคงค้างอยู่ในเซลล์ — และนั่นคือจุดเริ่มของ “incomplete autophagy”

คือร่างกายพยายามชำระ แต่กลับสะสมสิ่งตกค้างที่เหนื่อยยิ่งกว่าเดิม

________________________________________

🌑 เมื่อขาดแสง circadian จะสับสน — ร่างกายหลงวันหลงคืน

Dr. Jack Kruse เรียกแสงว่า “ซอฟต์แวร์ของชีวิต”

เพราะแสงคือสิ่งที่คอยอัปเดตนาฬิกาในทุกเซลล์

ไม่มีแสง = ไม่มีจังหวะ
ไม่มีจังหวะ = ไม่มีสัญญาณให้เปิดโหมดซ่อมแซม

คนที่ทำ fasting ในแสงเทียมตลอดทั้งวัน
มักเจออาการ “อ่อนเพลียกว่าที่ควรจะเป็น”
นอนหลับไม่ลึก ฮอร์โมนไม่รีเซ็ต

แม้จะไม่ได้กินอาหาร แต่ระบบในร่างกายก็ยัง “ไม่เข้าสู่โหมดซ่อม”
เพราะ autophagy ต้องการทั้ง การขาดพลังงานภายนอก (fasting)
และ การได้รับพลังงานภายใน (sunlight)
เหมือน Yin–Yang ของการชำระและสร้างใหม่

________________________________________

🌿 แสงกับการ “ตายอย่างมีศิลปะ” ของเซลล์

แสงแดดไม่เพียงช่วยให้เซลล์ซ่อมแซมตัวเอง
แต่ยังเป็นผู้กำกับการ “ตายอย่างสงบ” ของเซลล์ที่หมดอายุ — apoptosis

เมื่อแสง UVA กระตุ้นยีน POMC และโปรตีน melanin
มันจะปล่อยสัญญาณให้เซลล์ที่พลังงานตกต่ำ “ยุติวงจรชีวิตอย่างมีแบบแผน”
เพื่อให้พื้นที่ว่างแก่เซลล์รุ่นใหม่ที่มีพลังเต็มเปี่ยม

หากไม่มีแสงนี้ เซลล์เสียจะไม่ยอมตาย
กลายเป็นการสะสมของ “zombie cells” — เซลล์ที่ยังอยู่แต่ไม่ทำงาน

นี่คือรากของความเสื่อมเรื้อรัง ที่ทำให้การ fasting ไม่ได้ผลเต็มที่

________________________________________

✨ สรุป: Fasting คือครึ่งหนึ่งของสมดุล — แสงคืออีกครึ่งที่ขาดไม่ได้

“Autophagy ไม่ใช่แค่เรื่องของการอดอาหาร
แต่มันคือการให้แสงแดดช่วยร่างกายแยกแยะสิ่งที่ควรเก็บ และสิ่งที่ควรปล่อย”

เมื่อคุณ fasting โดยไม่รับแสงธรรมชาติ
ร่างกายเหมือนคนถือไม้กวาดอยู่ในห้องมืด — มีแรงแต่ไม่มีทางเห็นทาง

แต่เมื่อคุณออกไปเจอแดดยามเช้า แสงจะส่องให้เห็นฝุ่น

ให้ร่างกายรู้ว่าควรทำความสะอาดตรงไหนก่อน

________________________________________

🌞 บทส่งท้ายจากแสง

“แดดเช้าไม่ใช่ศัตรูของ fasting
แต่มันคือเพื่อนที่ทำให้การชำระของคุณสมบูรณ์
แดดคือสัญญาณจากจักรวาล
ที่บอกเซลล์ของคุณว่า ถึงเวลาปล่อยของเก่า แล้วเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง”
🌅✨
— NuEnG The One

05/11/2025

ทำไมความเบื่อถึงเป็นสิ่งที่สมองต้องการ
(เราควรปล่อยให้ตัวเอง อยู่เฉย ๆ เปื่อยๆบ้าง อย่าเล่นมือถือทุกครั้งที่ว่าง)
เราทุกคนโตมาในโลกที่สอนว่า ถ้าอยู่นิ่งๆ = เสียเวลา
แต่สมองของเรากลับคิดตรงกันข้าม
Dr. Arthur C. Brooks จาก Harvard บอกว่า
“You need to be bored. You will have less meaning and be more depressed if you never are.”
“คุณจำเป็นต้องรู้สึกเบื่อ เพราะถ้าคุณไม่เคยรู้สึกแบบนั้นเลย ชีวิตคุณจะมีความหมายจะไม่มีความหมาย และมีแนวโน้มจะรู้สึกซึมเศร้ามากขึ้น”
เราต้องการ “ความเบื่อ”
เพราะมันคือช่วงเวลาที่สมองเริ่ม ซ่อมตัวเอง #อ่านจบปุ๊ปเก่งขึ้นปั๊ป
------------------------------
[1] คนส่วนใหญ่ “กลัวการอยู่เฉยๆ”
ในปี 2014 ทีมวิจัย Harvard ทดลองให้คนอยู่ในห้องเปล่า 15 นาที
ไม่มีมือถือ ไม่มีอะไรเลย แต่มีปุ่ม ช๊อตไฟฟ้าให้กด ถ้ากดจะโดนช๊อต
ผลคือก็คือ 67% ของผู้ชาย และ 25% ของผู้หญิง
ยอมกดช็อตตัวเอง ดีกว่านั่งอยู่เฉย ๆ (ไม่มีไรทำ ช๊อตตัวเองเลย55555)
มีคนนึงกดไป 190 ครั้ง ภายใน 15 นาที โหดแท้พี่ชาย
เพียงเพราะ “อยู่เฉยๆ ทนความเบื่อไม่ได้"
เพราะทันทีที่เราหยุดทำอะไรเสียงข้างในตัวเราก็จะดังขึ้น
เราจะเริ่มตั้งคำถามทีละอย่าง
ฉันกำลังทำอะไรกับชีวิต?
ฉันยังมีความสุขอยู่ไหม?
ฉันทำหน้าที่ครอบครัวได้ดีพอไหม?
คำถามเหล่านี้คือสิ่งที่คนส่วนใหญ่กลัวที่สุด
ไม่ใช่ความเบื่อ แต่คือ “กลัวการต้องอยู่กับตัวเอง”
-------------------------------
[2] สมองเรามีโหมดลับชื่อ Default Mode Network (DMN)
เมื่อเราไม่ทำอะไรเลย สมองจะสลับเข้าสู่โหมดที่เรียกว่า
Default Mode Network (DMN)
ระบบที่ทำงานเฉพาะตอนที่เรา “ไม่ทำอะไรเลย ไม่มีตัวกระตุ้นภายนอก”
Dr, Andrew Huberman (นักประสาทวิทยา) อธิบายว่า DMN คือ “เครือข่ายในสมองที่เชื่อมโยงอดีต ปัจจุบัน และตัวตนเรา
มันคือช่วงเวลาที่สมอง เรียบเรียงชีวิตของเราใหม่อีกครั้ง
เมื่อเราปล่อยให้ตัวเองเบื่อ
สมองจะเริ่มเชื่อมต่อสิ่งที่เราไม่เคยคิดว่ามันเกี่ยวกัน
และนั่นคือจุดเริ่มของสิ่งที่เรียกว่า “Insight” (ตัวตนเราข้างใน)
Dr. Arthur C. Brooks เรียก DMN ว่า “the source of meaning”
เพราะมันช่วยให้เราตอบคำถามว่า
“ฉันกำลังทำสิ่งนี้ไปเพื่ออะไร”

อะใคร งง เอาง่ายๆคือ พอเราอยู่เฉยๆ สมองเราจะเริ่มเชื่อมโยงเรื่องราวของเรา
ยิ่งมีเวลาอยู่เฉยๆมากขึ้น = ยิ่งเข้าใจตัวเอง
-----------------------------------
[3] แต่โลกยุคนี้ ปิด DMN ของเราทิ้งหมดแล้ว
เราถูกฝึกให้เปิดจอทุกครั้งที่รู้สึกเบื่อ
และทุก Notification คือตัวกระตุ้น Dopamine ขนาดเล็ก
พอเราทำแบบนี้วันละหลายร้อยครั้ง
สมองก็ “ลืมวิธีอยู่นิ่ง” ไปโดยสมบูรณ์
Dr. K (ช่อง Healthy Gamer) อธิบายว่า การเสพสิ่งกระตุ้นตลอดเวลา
ทำให้สมองเราชินกับ Dopamine สูงแบบเรื้อรัง (เหมือนติดยาเลย)
จนเมื่อไม่ได้รับ หรือไม่ได้กระตุ้นมันจะ ความสุขเราจะร่วงหล่นแรงเลย
เราจึงรู้สึก “ว่างเปล่า เหงา ไม่มีค่า” ทั้งที่แค่สมองกำลังขอพัก
Dr Huberman เองก็บอกว่า
“Silence is not nothing. It’s an active signal.”
ความเงียบไม่ใช่ความว่างเปล่า แต่มันคือสัญญาณฟื้นฟูที่สมองต้องการ
---------------------------------------
[4] Boredom = Brain Reset
การอยู่นิ่งๆ คือการซ่อมสมอง
Dr. Arthur C. Brook เองฝึกสิ่งที่เขาเรียกว่า “Screen Cleanse”
- เดินโดยไม่มี Podcast
- นั่งโดยไม่เปิดมือถือ
-ให้เวลาสมอง “เบื่ออย่างตั้งใจ” อย่างน้อยวันละ 15 นาที
เขาพบว่า
หลังจากผ่านความรู้สึก “อยากหนี เบื่อ” ไปได้
สมองจะเริ่มเปิด DMN ขึ้นมาใหม่ และความคิดที่ชัดเจนกว่าทุกช่วงเวลาจะเกิดขึ้น
ลองเริ่มง่าย ๆ ทุกคนตามนี้เลย

-ปล่อยมือถือไว้ในอีกห้อง 15 นาที

-ไม่เปิดโทรศํพท์ หรือ ทีวี ตอนกินข้าว (เบ้นทำแบบนี้มา2 ปีแล้วดีมาก)

-นั่งเงียบ ๆ หลังตื่นหรือตอนเย็น (ไม่จับมือถือหลังตื่นนอนทันที)

-สังเกตความคิดของตัวเอง เหมือนดูเมฆลอยผ่านไป

อาจจะยังไม่ต้อง นั่งฝึกสมาธิ ก็ได้ แค่ “อยู่กับตัวเอง” ให้ได้ก็พอก่อนในช่วงแรกๆ
-----------------------------
#สรุปแบบลงดาบ
ถ้าเราไม่มีเวลาที่จะเบื่อ เราก็ไม่มีเวลาที่จะเข้าใจชีวิต
เราต้องตกหลุมหลักความเบื่อให้ได้
เพราะความเบื่อไม่ได้ทำลายสมอง มันกำลัง “ซ่อมมันกลับคืนมา”
การอ่านบทความนี้ก็เหมือนกัน มันทำให้เราเบื่อมากกว่า การดูคลิปสั้นๆมากๆ Dopamine มันทำงานกับคนละแบบเลย

ถ้าเราฝึกอ่านบทความยาวๆปล่อยๆ หรืออ่านหนังสือ เราจะเริ่มกลับมาเชื่อมโยงกับตัวเรา มีความสุข เข้าใจตัวเองมากขึ้น แบบที่ Dr. Andrew Huberman บอก
และบางที...
คำตอบของความสุข
อาจไม่ได้ซ่อนอยู่ในสิ่งใหม่ที่เราต้องทำ
แต่มันอยู่ใน “ช่วงเวลาที่เราไม่ทำอะไรเลย” ต่างหาก

คำแนะนำที่แปลกที่สุดในยุคนี้คือให้เราแสวงหาความเบื่อบ้าง
🧠 Be bored. Be better ยิ่งเบื่อยิ่งดี
ผมหวังว่าเรื่องนี้มันจะช่วยสร้างวันของคุณ

ที่อยู่

6/283 หมู่บ้านชื่นกมลนิเวศน์ 7 ถนนพระยาสุเรนทร์ ซอยพระยาสุเรนทร์ 33 บางชัน คลองสามวา
Bangkok
10510

เวลาทำการ

อังคาร 09:00 - 18:00
พุธ 09:00 - 18:00
พฤหัสบดี 09:00 - 18:00
ศุกร์ 09:00 - 18:00
เสาร์ 09:00 - 18:00
อาทิตย์ 09:00 - 18:00

เบอร์โทรศัพท์

+66632693897

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ คลินิก กายภาพบำบัด109ผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ การปฏิบัติ

ส่งข้อความของคุณถึง คลินิก กายภาพบำบัด109:

แชร์

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram