09/12/2025
งานวิจัยล่าสุดในปี 2024 ยืนยันว่าความถี่ในการขับถ่ายมีผลโดยตรงต่อจุลชีพในลำไส้ ซึ่งเป็นตัวกำหนดสุขภาพหลายด้านของร่างกาย ทั้งการย่อยอาหาร การสร้างสารสำคัญ และการสื่อสารกับระบบภูมิคุ้มกันและสมอง เมื่อขับถ่ายน้อยหรือท้องผูก อุจจาระที่ค้างนานทำให้จุลชีพบางกลุ่มเปลี่ยนไป โดยหันไปหมักโปรตีนแทนใยอาหารจนเกิดสารพิษ เช่น p-cresol sulfate และ indoxyl sulfate ที่ทำร้ายไตและเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคเรื้อรัง ในทางตรงกันข้าม การขับถ่ายที่อยู่ในระดับปกติช่วยให้จุลชีพในลำไส้ทำงานสมดุล ผลิตกรดไขมันสายสั้นที่เป็นประโยชน์ และส่งเสริมสุขภาพกายและอารมณ์
ถ่ายหนักกับสุขภาพ
มีสมมุติฐานซึ่งตั้งขึ้นมานานพอควรแล้วว่า การขับถ่ายอุจจาระวันละหนึ่งถึงสองครั้งเป็นประจำมีความสัมพันธ์กับผลลัพธ์ด้านสุขภาพที่ดี (ซึ่งน่าจะรวมถึงอารมณ์ที่ดีด้วย) แต่จำนวนครั้งของการขับถ่ายอุจจาระที่ถือว่าปกตินั้นมักพบว่า แตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล โดยขึ้นกับปัจจัยต่างๆ เช่น ลักษณะของอาหาร การดื่มน้ำ ความเครียด อายุ การใช้ยาบำบัดโรค ฯลฯ ซึ่งล้วนมีอิทธิพลต่อความถี่ในการขับถ่าย ดังนั้นสิ่งที่ผู้บริโภคได้รอมานาน คือ งานวิจัยที่พิสูจน์ว่า สมมุติฐานดังกล่าวข้างต้นเป็นจริง ซึ่งปัจจุบันได้มีงานวิจัยในประเด็นดังกล่าวแล้วว่า จริงหรือไม่จริง
บทความเรื่อง Aberrant bowel movement frequencies coincide with increased microbe-derived blood metabolites associated with reduced organ function ในวารสาร Cell Reports Medicine ของปี 2024 ได้อธิบายเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างความถี่ในการขับถ่ายและความเชื่อมโยงกับสุขภาพในระยะยาวได้อย่างไร ข้อมูลในบทความเป็นการรายงานผลการตรวจสอบข้อมูลทางคลินิก ลักษณะการดำเนินชีวิต (lifestyle) และข้อมูลทางชีวภาพโดยรวมในหลายระดับ (multiomic data) ของผู้ใหญ่ที่มีสุขภาพดีกว่า 1,400 คน แล้วพบว่า ความถี่ในการขับถ่ายของคนเรามีอิทธิพลอย่างมากต่อสรีรวิทยาและสุขภาพของมนุษย์
บทความในวารสาร Cell Reports Medicine ของปี 2024 นั้นได้ให้ข้อสรุปสำคัญจากการศึกษาว่า จุลชีพทั้งหมดในลำไส้มีอิทธิพลต่อสุขภาพของมนุษย์ในความหลากหลายต่างๆ ตั้งแต่การทำหน้าที่ควบคุมการพัฒนาระบบภูมิคุ้มกันในช่วงต้นของชีวิต ไปจนถึงการกำหนดการตอบสนองทางโภชนาการต่อการกินอาหารและมีอิทธิพลต่อระบบประสาทส่วนกลาง นอกจากนี้ความถี่ของการเคลื่อนไหวของลำไส้ (bowel movement frequency) ที่สอดคล้องกับความถี่ของการถ่ายอุจจาระยังเป็นปัจจัยสำคัญที่กำหนดองค์ประกอบของจุลินทรีย์ในลำไส้ของมนุษย์ ซึ่งน่าจะได้รับผลกระทบจากอาหาร การดื่มน้ำ การออกกำลังกาย การผลิตเมือกตามธรรมชาติของลำไส้ รวมถึงโมเลกุลขนาดเล็กที่ได้จากจุลินทรีย์ในทางเดินอาหาร (เช่น กรดไขมันสายสั้นหรือ short-chain fatty acids กรดน้ำดี และสารสื่อประสาท) และการหดตัวของกล้ามเนื้อเรียบเป็นระยะในทางเดินอาหาร
ประเด็นสำคัญคือ บทความได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับความถี่การเคลื่อนไหวของลำไส้ที่มีความผิดปกตินั้นอาจมีส่วนทำให้เกิดโรคเรื้อรังหลายชนิด โดยผู้เขียนบทความได้ทำการสำรวจข้อมูลจากผู้เข้าร่วมโครงการ Arivale Scientific Wellness program (2015–2019) ของบริษัท Arivale Inc. (ซึ่งเป็นบริษัทที่ผลิต software เพื่อสุขภาพและให้บริการคำปรึกษาแก่ผู้บริโภคในสหรัฐอเมริกา ซึ่งน่าเสียดายที่บริษัทได้ปิดไปแล้วในปี 2021) โดยทีมวิจัยได้แบ่งความถี่ในการขับถ่ายที่รายงานด้วยตนเองออกเป็น 4 กลุ่ม ได้แก่ 1) ท้องผูก (ถ่ายอุจจาระหนึ่งหรือสองครั้งต่อสัปดาห์) 2) ต่ำ-ปกติ (ถ่ายอุจจาระระหว่างสามถึงหกครั้งต่อสัปดาห์) 3) สูง-ปกติ (ถ่ายอุจจาระระหว่างหนึ่งถึงสามครั้งต่อวัน) และ 4) ท้องเสีย (ถ่ายอุจจาระเหลวมากกว่า 3 ครั้งต่อวัน) จากนั้นทีมงานได้ค้นหาความสัมพันธ์ระหว่างความถี่ในการขับถ่ายและปัจจัยต่างๆ ได้แก่ ข้อมูลประชากร พันธุกรรม จุลินทรีย์ในลำไส้ เมตาบอไลต์ (อนุพันธ์ที่มีการเปลี่ยนแปลงจากสารตั้งต้น) ในเลือด และสารเคมีในพลาสมา ซึ่งข้อมูลเหล่านี้บริษัท Arivale ได้จัดทำไว้
จริงแล้วก่อนหน้านี้มีงานวิจัยเรื่อง Meta-analysis of the Parkinson’s disease gut microbiome suggests alterations linked to intestinal inflammation ในวารสาร npj Parkinson's Disease ของปี 2021 (npj มาจากคำว่า Nature Portfolio journal ซึ่งอยู่ในเครือวารสาร Nature) ที่ได้แสดงให้เห็นว่า ความถี่ในการขับถ่ายสามารถส่งผลกระทบอย่างมากต่อการทำงานของระบบนิเวศในลำไส้ (ซึ่งคือชุมชนของจุลินทรีย์ที่อาศัยอยู่ภายในลำไส้ของมนุษย์ ประกอบด้วยแบคทีเรีย ไวรัส เชื้อรา และสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กอื่นๆ เป็นจำนวนมาก ซึ่งทำงานร่วมกันเพื่อช่วยย่อยอาหารที่เหลือจากการย่อยของร่างกาย ดูดซึมสารอาหาร สังเคราะห์วิตามิน สนับสนุนระบบภูมิคุ้มกัน และมีอิทธิพลต่อสุขภาพโดยรวม รวมถึงสุขภาพสมองและอารมณ์ด้วย) ซึ่งผลการศึกษาในวารสาร Cell Reports Medicine ของปี 2024 แสดงให้เห็นว่าอายุ เพศ และดัชนีมวลกาย (BMI) มีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญกับความถี่ในการขับถ่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนหนุ่มสาว ผู้หญิง และผู้ที่มี BMI ต่ำกว่าปรกติ มีแนวโน้มที่จะขับถ่ายน้อยกว่า
มีประเด็นว่าอะไรจะเกิดขึ้นถ้าอุจจาระค้างอยู่ในลำไส้ใหญ่เป็นเวลานานเมื่อท้องผูก ซึ่งบทความในวารสาร Cell Reports Medicine ของปี 2024 ได้มีการอภิปรายว่า หากอุจจาระตกค้างอยู่ในลำไส้นานเกินไป หลังจากจุลินทรีย์ (ในภาพรวมที่อยู่ในลำไส้) ได้ใช้ใยอาหารที่มีอยู่ทั้งหมดเป็นอาหารและปล่อยกรดไขมันสายสั้นหลายชนิดที่มีประโยชน์ (ในการปรับ pH ลำไส้ใหญ่ ส่วนกรดบิวทิริคซึ่งเป็นหนึ่งในกรดไขมันสายสั้นก็ถูกใช้เป็นแหล่งพลังงานของเซลล์ลำไส้ใหญ่และบางส่วนถูกส่งไปเป็นพลังงานให้สมอง) หลังจากนั้นถ้ายังมีอุจจาระคงค้างอยู่ในลำไส้ใหญ่สิ่งที่เกิดคือ การหมักของโปรตีนในอุจจาระที่ตกค้างโดยแบคทีเรียบางชนิดแล้วได้สารพิษบางชนิดที่สามารถเข้าสู่กระแสเลือดได้ ซึ่งสอดคล้องกับการที่พบว่า แบคทีเรียที่เกี่ยวข้องกับการหมักโปรตีนในทางเดินอาหารมีแนวโน้มที่จะมีจำนวนมากขึ้นในผู้ที่มีอาการท้องผูกและประเด็นสำคัญคือ เมตาบอไลต์ (อนุพันธ์ของสารเคมีตั้งต้น) หลายชนิดในเลือดที่ถูกแสดงความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญกับความถี่ในการขับถ่าย ซึ่งชี้ให้เห็นถึงความเชื่อมโยงที่อาจเกิดขึ้นระหว่างสุขภาพของลำไส้และความเสี่ยงต่อโรคเรื้อรัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลพลอยได้จากการหมักโปรตีนจากจุลินทรีย์ โดยเนื้อหาของเรื่องนี้นั้นดูได้จากบทความเรื่อง The Production of p-Cresol Sulfate and Indoxyl Sulfate in Vegetarians Versus Omnivores ในวารสาร Clinical Journal of the American Society of Nephrology ของปี 2012 ที่กล่าวว่า การหมักโปรตีนที่ตกค้างในอุจจาระโดยแบคทีเรียบางชนิดในลำไส้ใหญ่ก่อให้เกิดสารพิษที่เป็นอันตรายต่อไต คือ พารา-ครีซอลซัลเฟต (p-cresol sulfate) และอินดอกซิลซัลเฟต (indoxyl sulfate) ซึ่งพบได้สูงในเลือดของผู้ที่รายงานด้วยตนเองว่ามีอาการท้องผูก
พารา-ครีซอล-ซัลเฟต เป็นสารที่เกิดจากแบคทีเรียในลำไส้ย่อยสลายกรดอะมิโนบางชนิด เช่น ไทโรซีน(tyrosine) และ เฟนิลอะลานีน (phenylalanine) ในกากอาหารซึ่งจัดเป็นสารพิษต่อไตในปัสสาวะ (uremic toxin) ที่มีปริมาณสูงขึ้นในผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังและเกี่ยวข้องกับปัญหาสุขภาพ เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด ส่วนอินดอกซิลซัลเฟต คือ สารพิษที่เกิดจากการสลายตัวของทริปโตเฟน (tryptophan) โดยแบคทีเรียในลำไส้ใหญ่ เมื่อใดที่พบว่าไตทำงานผิดปกติ มักพบสารพิษเหล่านี้สะสมในเลือดซึ่งทำให้คาดว่าเป็นสาเหตุของการเกิดโรคไตเรื้อรังและโรคหัวใจและหลอดเลือด เพราะสามารถทำลายเซลล์ท่อไต ทำให้เกิดพังผืด และเพิ่มความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือดในผู้ป่วยโรคไต ดังนั้นสรุปแล้วอาการท้องผูกส่งผลเสียต่อไตและอวัยวะอื่น ๆ
นอกจากนี้การศึกษาอื่นๆ ยังสำรวจพบความสัมพันธ์ระหว่างความถี่ในการขับถ่ายและความวิตกกังวลและภาวะซึมเศร้า ซึ่งบ่งชี้ว่าสุขภาพจิตนั้นน่าจะมีความเชื่อมโยงกับความถี่ในการขับถ่าย ดังนั้นถ้าท่านผู้อ่านจำเป็นต้องทำงานกับคนที่หน้าตาไม่มีความสุขเลยทั้งวัน สิ่งหนึ่งที่คาดได้คือ เขาผู้นั้นอาจจะมีอาการท้องผูกแบบไม่รู้ตัว และ/หรืออาจจะกำลังเป็นโรคไตโดยไม่รู้ตัว ซึ่งท่านผู้อ่านน่าจะหากุศลโลบายให้เขาคนนั้นได้อ่านบทความนี้
แหล่งข้อมูล: ดร.แก้ว กังสดาลอำไพ
#ถ่ายหนักกับสุขภาพ #ฉลาดซื้อ #นิตยสารฉลาดซื้อ #มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค